www.go6tv.com เมื่อเวลา 13.30น. วันที่ 19 ก.ย. 53 ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรม ศาสตร์ (มธ.) กลุ่มนิติราษฎร์ คณะนิติศาสตร์ มธ. และสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน เปิดตัวเว็บไซต์ www.enlightened-jurists.com นิติราษฎร์ นิติศาสตร์เพื่อราษฎร เพื่อเปิดช่องทางการสื่อสาร และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกฎหมายในการสนับสนุนความเคลื่อนไหวทางความคิดในระบอบประชาธิปไตยของประชาชน
เว็บดังกล่าวจัดทำโดย อาจารย์จากคณะนิติศาสตร์ มธ. 5 คน ประกอบด้วย นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์, น.ส.สาวตรี สุขศรี, นายธีระ สุธีวรางกูร, นายปิยบุตร แสงกนกกุล, นางจันทจิรา เอี่ยมมยุรา
โอกาสนี้ได้จัดเสวนา เรื่อง "4 ปีรัฐประหาร 4 เดือนพฤษภาอำมหิต: อนาคตสังคมไทย" มีเนื้อหาดังนี้
วรเจตน์ ภาคีรัตน์
หลายปีที่ผ่านมานิติศาสตร์เข้ามามีบทบาทต่อการช่วงชิงอำนาจและสร้างความชอบธรรมให้กับอำนาจรัฐ สร้างบาดแผลให้กับวงการกฎหมายอย่างรุนแรง และสร้างความ อยุติธรรมให้กับประชาชน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาล้วนแสดงถึงความล้มเหลวในการสถาปนานิติรัฐของไทยที่รองรับกฎหมายระบอบประชา ธิปไตย ทำให้กฎหมายไม่สามารถจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้ จึงทำให้เกิดการรัฐประหารขึ้นเป็นระยะๆ
อีกทั้งนักกฎหมายเข้าไปรับใช้ภายใต้อำนาจรัฐประหาร ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ส่วนทหารควรกำหนดเป็นหน้าที่ ทหารต้องสามารถปฏิเสธคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ที่มีคำสั่งให้ทำรัฐประหารได้ หากเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ ชอบธรรม
ตอนนี้มีคำตอบที่หลายฝ่ายอยากรู้คือ การรัฐประหารในวันที่ 19 ก.ย.49 จะเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่ ส่วนตัวเชื่อว่าการทำรัฐ ประหารน่าจะเกิดขึ้นอีกสักครั้ง โดยครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งสุดท้าย
ส่วนการทำ รัฐประหารครั้งที่ผ่านมายังถือไม่ได้ว่าเราพ้นจากการรัฐประหารครั้งนั้นแล้ว เนื่องจากเนื้อหาและผลของการทำรัฐประหารกำลังดำเนินอยู่ในตอนนี้
การทำรัฐประหาร 19 ก.ย.49 ก็ยังถือมีข้อดีอีกอย่างหนึ่งคือ ทำให้ประชาชนเกิดความตื่นตัวในเรื่องนี้ และยังเป็นการจุดชนวนให้กับภาคประชาชนลุกขึ้นมาต่อสู้กับการรัฐประหาร
การทำรัฐประหาร 19 ก.ย.49 ถือเป็นการรัฐประหารที่ใช้ต้นทุนสูง เพราะมีชนชั้นนำเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยมีวัตถุ ประสงค์ทำลายล้างปฏิปักษ์ทางการเมืองที่มีความเข้มแข็งกว่า รวมทั้งเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับฝ่ายก่อการรัฐประหาร
การรัฐประหาร 19 ก.ย.49 ถือว่าประสบความสำเร็จแต่ไม่ทั้งหมด ในส่วนที่ประสบความสำเร็จจะอยู่ในส่วนของเนื้อหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการยุบพรรค การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และการลดทอนสิทธิของประชาชน จนทำให้ประชาชนเสมือนเป็นผู้ไร้ความสามารถและความรู้สึกนึกคิด
ที่ถือว่ายังไม่ประสบความสำเร็จทั้งหมด หากดูจากผลการเลือกตั้งหลังการทำรัฐประหารในช่วงเดือนธ.ค.50 ก็จะเป็นเครื่องชี้วัดได้เลยว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เอาด้วยกับการทำรัฐประหาร
เหตุการณ์ในช่วงพ.ค. 53 ถือเป็นเครื่องชี้วัดให้เห็นได้ว่า อุดมการณ์ทางความคิดเริ่มอ่อนแอลง ทำให้ต้องมีการใช้ความรุนแรงกับประชาชน ในอนาคตอาจมีการปะทะกันเช่นนี้อีก แต่เหตุการณ์อาจเปลี่ยนแปลงไปจากครั้งนี้
ในครั้งหน้าคงไม่มีใครที่จะยอมให้ยิงเฉยๆ เหมือนครั้งนี้อีก และหลังจากนี้อาจมีการต่อสู้กันทางความคิดไปอีกสักระยะหนึ่ง
ส่วนตัวเชื่อว่าอะไรที่เป็นความไม่จริงไม่ใช่สัจจะ วันหนึ่งความไม่จริงนั้นก็ต้องถูกเปิดออกและประชาชนก็จะเห็น ตอนนี้การต่อสู้ระหว่างความจริงกับความไม่จริงนั้นกำลังดำเนินอยู่ เราทุกคนต้องอดทน
ในอนาคตเราคงจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในสังคม ใครก็ไม่สามารถที่จะรั้งไว้ได้
ส่วนเรื่องการปรองดอง คงเกิดขึ้นได้ยาก ถ้าในตอนนี้ยังไม่มีการพูดความจริงกันและรัฐบาลยังทนรับฟังความจริงไม่ได้ ประกอบกับคนที่ทำผิดก็ยังไม่ได้รับผิด
หากเป็นเช่นนี้แล้วความปรองดองจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
เว็บดังกล่าวจัดทำโดย อาจารย์จากคณะนิติศาสตร์ มธ. 5 คน ประกอบด้วย นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์, น.ส.สาวตรี สุขศรี, นายธีระ สุธีวรางกูร, นายปิยบุตร แสงกนกกุล, นางจันทจิรา เอี่ยมมยุรา
โอกาสนี้ได้จัดเสวนา เรื่อง "4 ปีรัฐประหาร 4 เดือนพฤษภาอำมหิต: อนาคตสังคมไทย" มีเนื้อหาดังนี้
วรเจตน์ ภาคีรัตน์
หลายปีที่ผ่านมานิติศาสตร์เข้ามามีบทบาทต่อการช่วงชิงอำนาจและสร้างความชอบธรรมให้กับอำนาจรัฐ สร้างบาดแผลให้กับวงการกฎหมายอย่างรุนแรง และสร้างความ อยุติธรรมให้กับประชาชน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาล้วนแสดงถึงความล้มเหลวในการสถาปนานิติรัฐของไทยที่รองรับกฎหมายระบอบประชา ธิปไตย ทำให้กฎหมายไม่สามารถจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้ จึงทำให้เกิดการรัฐประหารขึ้นเป็นระยะๆ
อีกทั้งนักกฎหมายเข้าไปรับใช้ภายใต้อำนาจรัฐประหาร ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ส่วนทหารควรกำหนดเป็นหน้าที่ ทหารต้องสามารถปฏิเสธคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ที่มีคำสั่งให้ทำรัฐประหารได้ หากเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ ชอบธรรม
ตอนนี้มีคำตอบที่หลายฝ่ายอยากรู้คือ การรัฐประหารในวันที่ 19 ก.ย.49 จะเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่ ส่วนตัวเชื่อว่าการทำรัฐ ประหารน่าจะเกิดขึ้นอีกสักครั้ง โดยครั้งนี้น่าจะเป็นครั้งสุดท้าย
ส่วนการทำ รัฐประหารครั้งที่ผ่านมายังถือไม่ได้ว่าเราพ้นจากการรัฐประหารครั้งนั้นแล้ว เนื่องจากเนื้อหาและผลของการทำรัฐประหารกำลังดำเนินอยู่ในตอนนี้
การทำรัฐประหาร 19 ก.ย.49 ก็ยังถือมีข้อดีอีกอย่างหนึ่งคือ ทำให้ประชาชนเกิดความตื่นตัวในเรื่องนี้ และยังเป็นการจุดชนวนให้กับภาคประชาชนลุกขึ้นมาต่อสู้กับการรัฐประหาร
การทำรัฐประหาร 19 ก.ย.49 ถือเป็นการรัฐประหารที่ใช้ต้นทุนสูง เพราะมีชนชั้นนำเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยมีวัตถุ ประสงค์ทำลายล้างปฏิปักษ์ทางการเมืองที่มีความเข้มแข็งกว่า รวมทั้งเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับฝ่ายก่อการรัฐประหาร
การรัฐประหาร 19 ก.ย.49 ถือว่าประสบความสำเร็จแต่ไม่ทั้งหมด ในส่วนที่ประสบความสำเร็จจะอยู่ในส่วนของเนื้อหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการยุบพรรค การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และการลดทอนสิทธิของประชาชน จนทำให้ประชาชนเสมือนเป็นผู้ไร้ความสามารถและความรู้สึกนึกคิด
ที่ถือว่ายังไม่ประสบความสำเร็จทั้งหมด หากดูจากผลการเลือกตั้งหลังการทำรัฐประหารในช่วงเดือนธ.ค.50 ก็จะเป็นเครื่องชี้วัดได้เลยว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เอาด้วยกับการทำรัฐประหาร
เหตุการณ์ในช่วงพ.ค. 53 ถือเป็นเครื่องชี้วัดให้เห็นได้ว่า อุดมการณ์ทางความคิดเริ่มอ่อนแอลง ทำให้ต้องมีการใช้ความรุนแรงกับประชาชน ในอนาคตอาจมีการปะทะกันเช่นนี้อีก แต่เหตุการณ์อาจเปลี่ยนแปลงไปจากครั้งนี้
ในครั้งหน้าคงไม่มีใครที่จะยอมให้ยิงเฉยๆ เหมือนครั้งนี้อีก และหลังจากนี้อาจมีการต่อสู้กันทางความคิดไปอีกสักระยะหนึ่ง
ส่วนตัวเชื่อว่าอะไรที่เป็นความไม่จริงไม่ใช่สัจจะ วันหนึ่งความไม่จริงนั้นก็ต้องถูกเปิดออกและประชาชนก็จะเห็น ตอนนี้การต่อสู้ระหว่างความจริงกับความไม่จริงนั้นกำลังดำเนินอยู่ เราทุกคนต้องอดทน
ในอนาคตเราคงจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในสังคม ใครก็ไม่สามารถที่จะรั้งไว้ได้
ส่วนเรื่องการปรองดอง คงเกิดขึ้นได้ยาก ถ้าในตอนนี้ยังไม่มีการพูดความจริงกันและรัฐบาลยังทนรับฟังความจริงไม่ได้ ประกอบกับคนที่ทำผิดก็ยังไม่ได้รับผิด
หากเป็นเช่นนี้แล้วความปรองดองจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
ประมวลภาพโดยผู้สื่อข่าวพิเศษของgo6tv.com "อาร์คแมน ณ ราชดำเนิน" ท่านสามารถติดตามได้จากลิ้งข้างล่างนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น