วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

มองต่างมุม "พระปราโมทย์ vs ฐิตินาถ"


www.go6tv.com ตั้งใจจะไม่พูดถึงเรื่องของท่านพระอาจารย์ปราโมทกับคุณฐิตินาถ ณ พัทลุงมากนักเพราะไม่ได้ทราบตื่นลึกหนาบางเท่าที่ควร ก่อนหน้าเป็นข่าว ได้ยินแว่วๆ มาว่ามีการเมืองแทรกแซงอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม อยากจะฝากอีกมุมมองหนึ่งไว้ ในฐานที่เคยรู้จักท่านพระปราโมทย์ตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาสชื่อ "ปราโมทย์ สันตยากร" และฐานที่เป็นคนเข้าวัดเหมือนกัน

หากยกเอาเรื่องนี้มาแยกดูหลัก จะแยกดูได้ ๒ หลัก คือหลักของกฏหมายและหลักของพระธรรมวินัย

๑. เรื่องที่ดินพิพาท ที่คุณฐิตินาถ ถวายให้หลวงพ่อ

๑.๑ ทางกฏหมาย การถวายที่ดินของคุณฐิตินาถนั้น สมบูรณ์ด้วยผลของกฏหมาย คือมีการโอนกรรมสิทธิ์ผ่านทางเอกสาร มีการลงมือชื่อ มีการจดแจ้งให้หน่วยราชการทราบแล้ว การถวายหรือการ "ให้" จึงสมบูรณ์
๑.๒ ทางพระวินัย การให้หรือถวายของคุณฐิตินาถ ได้ประกาศแจ้งชัดเจนว่าถวาย หรือ "ให้" กับพระเรียบร้อยแล้ว (จะด้วยเสน่หา ศรัทธา หรือใดๆก็ตาม)
ทางออก จะเรียกคืนใด้ไหม ในเมื่อเป็นการให้โดยเสน่หา หรือศรัทธา ก็ต้องดูว่าให้ฐานอะไร เป็นการให้ฐานะคนทั่วไป ไม่ใช่ให้ในฐานะมรดกหรือฐานพ่อลูก จึงไม่มีเหตุให้เรียกคืนได้โดยกฏหมาย แต่หากจะตัดปัญหา พระปราโมทย์ สามารถคืนเขาไปเสียเพื่อตัดปัญหา

๒. เรื่องเงินบริจาค จำนวน ๔.๓ ล้าน
๒.๑ ทางกฏหมาย เป็นสังหาริมทรัพย์ ให้โดยศรัทธา ต้องการทำบุญกับพระศาสนา ไม่ว่าพระจะเก็บไว้เอง หรือวัดเก็บเงินไว้ หรือพระจะมอบหมายให้ใครเก็บ ซึ่งเป็นสิทธิ์โดยชอบ คุณฐิตินาถถือว่าได้มอบหรือให้เงินกับพระเรียบร้อยแล้ว
๒.๒ ทางพระวินัย เมื่อญาติโยมถวายเงินกับพระ กรรมสิทธิ์ ก็ตกเป็นของพระ แต่ต้องชัดเจนว่าพระปราโมทย์ไม่ได้ไปหลอกเอาเงินมาจากคุณฐิตินาถ
ทางออก เมื่อพระรับประเคนเงินไปจากญาติโยม เป็นสิทธิ์ของพระโดยสมบูรณ์ หากจะตัดรำคาญ ก็คืนเขาไปเสีย หากเขากล้ารับเงินพระก็ดูใจดำไปหน่อย
(หมายเหตุ หากการให้หรือถวายเงินพระ สามารถเพิกถอนกันได้โดยไม่มีเหตุสมควร ต่อไปใครถูกใจใคร ใครชอบวัดใหนก็จะถวายกัน พอไม่พอใจก็จะไปรื้อโบสถ์ รื้อพื้นไต้ถุนศาลา โดยอ้างว่าเคยบริจาคไว้แต่ตอนนี้ไม่เอาขอยกเลิก ก็ดูกระไรไปหน่อย)

๓. เรื่องชื่อผู้บริจาค ที่ไม่ได้รับการประกาศหรือแจ้งให้ทราบว่าใครบริจาค

๓.๑ ทางกฏหมาย หากพระสัญญาไว้ชัดเจนว่า "จะติดป้ายชื่อ" หรือ "แจ้งชื่อบริจาคบนกำแพงหรือเสาต้นใด" อันนี้ ก็น่าจะเป็นอีกกรณี หากพระสัญญาแล้วไม่ทำ อันนี้พระก็จะผิด แต่ไม่ได้ผิดจนกระทั่งอาบัติ อาจแค่ไม่เหมาะสม ควรจะทำป้ายแจ้างรายชื่อให้ชัดเจนเสีย
๓.๒ ทางพระวินัย ไม่ได้มีเขียนไว้เฉพาะเจาะจง แต่หากสัญญาว่าจะทำอะไร ก็ทำเสียให้เรียบร้อยเช่น ทำป้ายชื่อแจ้งผู้บริจาคบนฝาผนังวัด ก็ควรทำหากสัญญา หากไม่ทำอาจจะผิด แต่ไม่ได้มีโทษหนัก

๔. สอนผิดเพี้ยนจากพระไตรปิฏก และอวดอุตริมนุษธรรม
๔.๑ ทางกฏหมาย ไม่มีกฏหมายใดบังคับได้
๔.๒ ทางพระวินัย กรณีสอนผิดจากพระไตรปิฏก (เหมือนธรรมกาย) หากตรวจสอบได้ว่า สอนผิด ก็สามารถลงโทษตามพระวินัยของพระได้ตามลำดับ ตั้งแต่น้อยที่สุดคือปรับอาบัติ จนกระทั่งบัพพชนียกรรม แต่ไม่น่าจะถึงขั้นปาราชิก ซึ่งการสอนผิดนี้ ท่านเองก็สามารถแก้ไขตน แล้วเดินตามทางที่ถูกต้องได้ต่อไป เรื่องอวดอุตริมนุษษธรรม หากอวดจริง ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ ก็เพียงแค่โลกติเตียนหรือปรับอาบัติ ไม่น่าจะถึงกับปาราชิก ซื่งต้องดูด้วยว่า เป็นการอวดเพื่ออะไร หากท่านเข้าใจ(เอง)ของท่านว่าท่านบรรลุจริง ก็น่าสงสารท่านมากกว่า แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดปิดโอกาส มรรคผล นิพพานของท่าน อีกทั้ง หากท่านอวดฯ เพื่อสร้างกำลังใจหรือเป็นตัวอย่างให้ผู้ปฏิบัติ อันนี้ไม่น่าจะผิด แต่การอวดอ้างเพื่อเอาเงินทอง เอาทรัพย์สินจากประชาชนมาบูชาธรรม (สำนวนคุ้นๆ) อันนี้สิ ไม่สมควร น่าจะโดนตำหนิมากกว่า

จริงๆแล้ว พอดูข้อเท็จจริงของคุณฐิตินาถแล้ว ผมขอพูดกลมๆ กว้างๆไว้ดังนี้

๑. คุณฐิตินาถเอง เมื่อคราวศรัทธาพระ ก็จะประเคน ถวาย ทำทุกอย่างดีๆ ใหญ่ๆ ให้พระชอบเพื่อตนจะได้เป็นคนไกล้ชิด ศิษย์เอก พอไม่พอใจพระ ก็ออกมาทวงเงินคืน ประเด็นนี้ พระเสียเปรียบ แต่ฝั่งฐิตินาถเองนั้น ก็ไม่ใคร่จะถูกต้องร้อยเปอร์เซนนัก เมื่อบริจาคแล้วก็ควรบริจาคไป หากเรียกคืนได้ต่อไปทุกวัดคงจะวุ่นวาย
๒. คุณฐิตินาถเอง เขียนหนังสือ "เข็มทิศชีวิต" ผมเชื่อแน่นอนหลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้เมื่อหลายปีก่อนแล้วว่า แนวคิด สำนวน หลักคิดสำคัญๆ ในหนังสือเอามาจากคำเทศน์ คำสอนของพระท่าน
หากจะพูดง่ายๆว่า เอาคำพระมาหากินจนรวยขนาดนี้แล้ว ตนเองก็ตั้งตัวได้จากคำพระ ตัวเองศรัทธาพระก็บริจาคเงิน แต่พอไม่พอใจก็จะมาเอาเงินพระคืน หาเรื่องกับพระ ผมเองก็รู้สึกว่ากระไร
๓. คุณฐิตินาถกล่าวหาว่า แม่ชีอรนุชเก็บเงินไว้ อันนี้ไม่ได้มีข้อกำหนด หรือข้อห้ามใดๆ ทีพระจะมอบหมายให้บุคคลไกล้ชิดมาดูแลเรื่องเงินทองให้ เป็นเรื่องปกติ แต่หากพระเองเก็บเงินไว้ในบัญชีตนเองเป็นร้อยๆล้าน นี่สิ จึงว่าผิดปกติ

พระท่านจะถูกหรือไม่ทั้งหมดนั้นผมไม่ทราบจริงๆ แต่โดยนิสัยคนเข้าวัดที่เคยพบเห็นมาตลอดชีวิต ผมเจอตลอดเลยว่า โยมทั้งหลายที่ทุ่มทุน ทุ่มเงิน ทุ่มถวายทุกอย่างแย่งชิงเป็นคนไกล้ชิด ไกล้พระส่วนมากนั้น ยังไม่ได้เข้าใจพระศาสนาจริงๆ หากท่านเข้าใจจริง เมื่อท่านถวายแล้ว บุญย่อมสำเร็จเมื่อถวาย ท่านจึงไม่จำเป็นต้องไปฟ้องร้อง ร้องแรกแหกกระเชิงอะไร หากพระท่านรับเงินไปแล้วท่านทำผิด บาปกรรมก็จะตกไปยังพระเอง โดยญาติโยมไม่ต้องไปโวยวายอ่ะไรเลย

อีกประเด็นที่คนรู้สึกคาใจ ศิษย์ใกล้ชิดที่ออกมาโวยวาย พยายามพูดว่า พระปลูกกุฏิไกล้แม่ชี ประเด็นนี้พูดกันมาร่วมเดือนแต่ยังไม่มีคนพูดว่าท่านได้ทำอาบัติปาราชิก แม้ท่านจะไม่ถึงอาบัติ แต่การอยู่ไกล้มากก็ไม่สมควร โลกกวัชชะ โลกติเตียน ประเด็นนี้หากจริง ก็ไม่สมควร แต่ไม่ถึงขั้นปาราชิก


ฝากประเด็นสุดท้าย ทั้งหมดในเหตุการณ์นี้ จะโทษพระเสียทั้งหมดก็คงไม่ถูก ฝากบอกไปยังลูกศิษย์ไฮเทคทั้งหลายของท่าน ที่ช่วยกัน "สร้าง ปั่นกระแส พระปราโมทย์ " ด้วยความรักท่านอย่างไม่ระมัดระวัง โปรโมทท่านอย่างหูดับตับใหม้ เห็นเขามีทีวี ก็เอาบ้าง เขามีซีดีเทศน์ ศิษย์ก็ปั้มแจกฟรีบ้าง เขามีหนังสือศิษย์ก็พิมพ์แจกแข่งกัน ยกท่านขึ้นสูงเหนือลมเพียงลำพัง ยามท่านโดนลมพัดแรงโค่นก็ไม่เหลือลูกศิษย์คนใหนมาช่วย แต่ได้ประโยชน์กันไปจากหนังสือ เทป ซีดี สารพัดขายกันรวยไปแล้ว

หากรักพระอาจารย์ของท่านเองแล้ว ควรปฏิบัติธรรมถวายท่านดีกว่า ดีมากกว่าแจกซีดีโฆษณาพระท่าน แล้วภูมิใจว่า "อาจารย์ตัวเองดัง"

ไม่มีความคิดเห็น: