วันที่ (22 ก.ย.) เมื่อเวลา 14.00 น.ที่มัสยิดกลางประจำ จ.สงขลา องค์กรมุสลิมในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา และ นราธิวาส ประกอบด้วย อิหม่าม และผู้บริหารมัสยิด ผู้ประกอบการกิจการฮัจญ์ ผู้นำกลุ่มฮัจญ์ ผู้แสวงบุญ สมาคมมุสลิม และกลุ่มโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม กว่า 500 คน รวมแสดงพลังเพื่อเรียกร้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลไทย กับซาอุดีอาระเบีย จนส่งผลกระทบต่อการขอวีซ่าเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ของผู้แสวงบุญชาวไทย
พร้อมกันนี้ ได้มีการจัดเสวนาของกลุ่มนักวิชาการมุสลิมเกี่ยวกับความสัมพันธ์และต้นตอของปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลไทย กับซาอุดีอาระเบีย
โดย อาจารย์ วิสุทธิ์ บิลลาเต๊ะ หัวหน้าฝ่ายวิชาการและการต่างประเทศสำนักงานกิจการฮัจญ์ จ.สงขลา และหัวหน้าศูนย์ประสานงานสำนักจุฬาราชมนตรีภาคใต้ กล่าวในตอนหนึ่งว่า การเมืองกับศาสนานั้นแยกกันไม่ออก เพราะการเมืองจะมีผลต่อการประกอบศาสนกิจของชาวมุสลิม ว่า จะทำให้สมบูรณ์แบบหรือไม่ โดยเฉพาะการประกอบพิธีฮัจญ์ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของศาสนาอิสลามข้อที่ 5 เพราะการเมืองที่ไร้ความยุติธรรม ไม่มีทางที่จะทำให้ศาสนาสมบูรณ์แบบได้ ที่สำคัญ ศาสนาต้องอยู่เหนือการเมือง ไม่ใช้เอาศาสนาไปรับใช้การเมือง
“กรณีความสัมพันธ์ไทยกับซาอุดีอาระเบีย จึงมีความพิเศษ เพราะเป็นเรื่องของจิตวิญญาณชาวมุสลิมที่จะต้องเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์อันศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศอันเป็นที่ตั้งของกะบะฮ์ และมัสยิดนาบาวีย์ ซึ่งเป็นศาสนสถานที่สำคัญยิ่งของมุสลิมเพราะทุกคนต้องไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่นั่น จึงจำเป็นต้องอาศัยความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างการเมืองของทั้งสองประเทศ ซึ่งจะทำให้การเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์อันศักดิ์สิทธิ์ของชาวไทยมุสลิมสะดวกยิ่งขึ้น” อาจารย์ วิสุทธิ์ กล่าว
จากนั้น นายวิสุทธิ์ บิลลาเต๊ะ หัวหน้าฝ่ายวิชาการและการต่างประเทศ สำนักงานกิจการฮัจญ์ จ.สงขลา และหัวหน้าศูนย์ประสานงานสำนักจุฬาราชมนตรีภาคใต้ ในนามของสมัชชาองค์การมุสลิมภาคใต้ และ นายอิบรอฮิม อาดำ นายกสมาคมผู้ประกอบการฮัจญ์ในภาคใต้ ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1 หลังทราบข่าวการประกาศไม่รับตำแหน่งของ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม
โดยระบุว่า การประกาศไม่รับตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติของ พล.ต.ท.สมคิด เป็นความเสียสละอย่างหนึ่ง เพราะเป็นการแสดงออกที่หวังว่าจะนำสู่ไปสู่ความปรองดองของไทย และซาอุดีอาระเบียได้ จึงเป็นความเสียสละผลประโยชน์ส่วนตัว เพื่อประโยชน์ส่วนรวมที่ควรแก่การชื่นชม พร้อมกับได้เรียกร้องให้รัฐบาลใช้เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นบทเรียนในการสร้างความสงบร่วมเย็นความสมานฉันท์ปรองดอง ซึ่งจะต้องยืนอยู่บนความยุติธรรม และการเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก และควรตระหนักว่าการปกครองที่ไร้ความยุติธรรม คือ ชนวนสำคัญที่ทำให้สังคมขาดความสมดุลและนำไปสู่เหตุการณ์รุนแรงได้
อย่างไรก็ตาม ทางองค์กรมุสลิมใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ประกาศยุติการเคลื่อนไหวทุกอย่างหลังจากนี้ เพราะสถานการณ์คลี่คลาย และไม่ได้มีการละหมาดฮายัตตามกำหนดการที่ประกาศไว้ เพราะมองว่าพระเจ้าได้พระทานพรอันยิ่งใหญ่ให้กับชาวไทยมุสลิมแล้ว
พร้อมกันนี้ ได้มีการจัดเสวนาของกลุ่มนักวิชาการมุสลิมเกี่ยวกับความสัมพันธ์และต้นตอของปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลไทย กับซาอุดีอาระเบีย
โดย อาจารย์ วิสุทธิ์ บิลลาเต๊ะ หัวหน้าฝ่ายวิชาการและการต่างประเทศสำนักงานกิจการฮัจญ์ จ.สงขลา และหัวหน้าศูนย์ประสานงานสำนักจุฬาราชมนตรีภาคใต้ กล่าวในตอนหนึ่งว่า การเมืองกับศาสนานั้นแยกกันไม่ออก เพราะการเมืองจะมีผลต่อการประกอบศาสนกิจของชาวมุสลิม ว่า จะทำให้สมบูรณ์แบบหรือไม่ โดยเฉพาะการประกอบพิธีฮัจญ์ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของศาสนาอิสลามข้อที่ 5 เพราะการเมืองที่ไร้ความยุติธรรม ไม่มีทางที่จะทำให้ศาสนาสมบูรณ์แบบได้ ที่สำคัญ ศาสนาต้องอยู่เหนือการเมือง ไม่ใช้เอาศาสนาไปรับใช้การเมือง
“กรณีความสัมพันธ์ไทยกับซาอุดีอาระเบีย จึงมีความพิเศษ เพราะเป็นเรื่องของจิตวิญญาณชาวมุสลิมที่จะต้องเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์อันศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศอันเป็นที่ตั้งของกะบะฮ์ และมัสยิดนาบาวีย์ ซึ่งเป็นศาสนสถานที่สำคัญยิ่งของมุสลิมเพราะทุกคนต้องไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่นั่น จึงจำเป็นต้องอาศัยความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างการเมืองของทั้งสองประเทศ ซึ่งจะทำให้การเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์อันศักดิ์สิทธิ์ของชาวไทยมุสลิมสะดวกยิ่งขึ้น” อาจารย์ วิสุทธิ์ กล่าว
จากนั้น นายวิสุทธิ์ บิลลาเต๊ะ หัวหน้าฝ่ายวิชาการและการต่างประเทศ สำนักงานกิจการฮัจญ์ จ.สงขลา และหัวหน้าศูนย์ประสานงานสำนักจุฬาราชมนตรีภาคใต้ ในนามของสมัชชาองค์การมุสลิมภาคใต้ และ นายอิบรอฮิม อาดำ นายกสมาคมผู้ประกอบการฮัจญ์ในภาคใต้ ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1 หลังทราบข่าวการประกาศไม่รับตำแหน่งของ พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม
โดยระบุว่า การประกาศไม่รับตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติของ พล.ต.ท.สมคิด เป็นความเสียสละอย่างหนึ่ง เพราะเป็นการแสดงออกที่หวังว่าจะนำสู่ไปสู่ความปรองดองของไทย และซาอุดีอาระเบียได้ จึงเป็นความเสียสละผลประโยชน์ส่วนตัว เพื่อประโยชน์ส่วนรวมที่ควรแก่การชื่นชม พร้อมกับได้เรียกร้องให้รัฐบาลใช้เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นบทเรียนในการสร้างความสงบร่วมเย็นความสมานฉันท์ปรองดอง ซึ่งจะต้องยืนอยู่บนความยุติธรรม และการเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก และควรตระหนักว่าการปกครองที่ไร้ความยุติธรรม คือ ชนวนสำคัญที่ทำให้สังคมขาดความสมดุลและนำไปสู่เหตุการณ์รุนแรงได้
อย่างไรก็ตาม ทางองค์กรมุสลิมใน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ประกาศยุติการเคลื่อนไหวทุกอย่างหลังจากนี้ เพราะสถานการณ์คลี่คลาย และไม่ได้มีการละหมาดฮายัตตามกำหนดการที่ประกาศไว้ เพราะมองว่าพระเจ้าได้พระทานพรอันยิ่งใหญ่ให้กับชาวไทยมุสลิมแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น