www.go6tv.com. เวปไซด์ชื่อดังอย่าง manager.co.th ออกบทความตำหนิซาอุดิอารเบีย ว่าเรื่องการไม่ออกวีซ่าให้จุฬาราชมนตรี และผู้แสวงบุญมาเป็นเงื่อนไข ทั้งยกย่องผู้ที่มีคดีอาญา คดีอุ้มฆ่านักธุรกิจชาวซาอุฯเชื้อพระวงศ์ ว่าเป็นวีรบุรุษของชาติที่คนไทยต้องสำนึกบุญคุณ
ทั้งนี้ แหล่งข่าวจากเมเนเจอร์ออนไลน์กล่าวไว้ในบทความออนไลน์วันที่ ๒๔ ก.ย.๕๓ เวลา ๒๓.๒๔ น. ว่า
"... ทั้งนี้ แม้จะสามารถเข้าใจได้ว่า ทุกกลยุทธ์ทุกเกมที่เขาหยิบยกขึ้นมากดดันรัฐบาลไทย โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ “นายนาบิล แอชรี” อุปทูตซาอุดีอาระเบีย ประจำประเทศไทย เป็นการทำเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศของตัวเอง แม้จะเป็นเรื่องเสียมารยาท และเข้าข่ายการแทรกแซงกิจการภายในของไทยก็ตาม
แต่สิ่งที่ต้องบอกว่า รับไม่ได้เป็นอย่างยิ่งก็คือ การที่รัฐบาลซาอุดีอาระเบียเล่นเกมแรงโดยเริ่มต้นจากการไม่อนุมัติวีซ่าให้แก่นายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี ซึ่งเป็นประมุขของผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามในประเทศไทย ในการเดินทางไปทำ “อุมเราะห์” หรือการทำพิธีในแบบเดียวกับ “ฮัจญ์” และตามต่อด้วยการไม่อนุมัติวีซ่าของชาวไทยมุสลิมจำนวน 13,000 คน ที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ณ นครเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยทางการซาอุฯ อ้างว่ามีเหตุขัดข้องในงานธุรการ ทั้งที่ ตลอดระยะเวลายาวนานต่อเนื่องหลายสิบปีที่คนไทยมุสลิมเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ไม่เคยปรากฏเหตุการณ์เหล่านี้เลย
ปฏิบัติการอย่างท้าทายอำนาจพระอัลเลาะห์ครั้งนี้กล่าวได้ว่า เป็นการนำเรื่องของศรัทธา เรื่องของศาสนา เรื่องของพระอัลเลาะห์มาพัวพันกับการเมืองอย่างน่ารังเกียจ ซึ่งถึงแม้อุปทูตซาอุฯ จะได้ให้คำมั่นว่า การอำนวยความสะดวกให้กับมุสลิมไทยไปประกอบพิธีฮัจญ์ จะถูกแยกออกจากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้นายแอชรี่ไม่สามารถปฏิเสธความเกี่ยวโยงของทั้งสองเรื่องได้ เพราะภายหลังการปฏิเสธไม่รับตำแหน่งของ พล.ต.ท.สมคิด สถานทูตซาอุฯ ก็ยอมออกวีซ่าให้ผู้แสวงบุญชาวไทยทันที
สิ่งที่รัฐบาลซาอุดีอาระเบียต้องไม่ลืมคือ นครเมกกะและการประกอบพิธีฮัจญ์ไม่ใช่สมบัติของประเทศซาอุดีอาระเบีย แต่เป็นสมบัติของพระอัลเลาะห์ที่มอบเอาไว้ให้กับพี่น้องมุสลิมทุกคน...."
แต่สิ่งที่ต้องบอกว่า รับไม่ได้เป็นอย่างยิ่งก็คือ การที่รัฐบาลซาอุดีอาระเบียเล่นเกมแรงโดยเริ่มต้นจากการไม่อนุมัติวีซ่าให้แก่นายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี ซึ่งเป็นประมุขของผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามในประเทศไทย ในการเดินทางไปทำ “อุมเราะห์” หรือการทำพิธีในแบบเดียวกับ “ฮัจญ์” และตามต่อด้วยการไม่อนุมัติวีซ่าของชาวไทยมุสลิมจำนวน 13,000 คน ที่จะเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ณ นครเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยทางการซาอุฯ อ้างว่ามีเหตุขัดข้องในงานธุรการ ทั้งที่ ตลอดระยะเวลายาวนานต่อเนื่องหลายสิบปีที่คนไทยมุสลิมเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ไม่เคยปรากฏเหตุการณ์เหล่านี้เลย
ปฏิบัติการอย่างท้าทายอำนาจพระอัลเลาะห์ครั้งนี้กล่าวได้ว่า เป็นการนำเรื่องของศรัทธา เรื่องของศาสนา เรื่องของพระอัลเลาะห์มาพัวพันกับการเมืองอย่างน่ารังเกียจ ซึ่งถึงแม้อุปทูตซาอุฯ จะได้ให้คำมั่นว่า การอำนวยความสะดวกให้กับมุสลิมไทยไปประกอบพิธีฮัจญ์ จะถูกแยกออกจากความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้นายแอชรี่ไม่สามารถปฏิเสธความเกี่ยวโยงของทั้งสองเรื่องได้ เพราะภายหลังการปฏิเสธไม่รับตำแหน่งของ พล.ต.ท.สมคิด สถานทูตซาอุฯ ก็ยอมออกวีซ่าให้ผู้แสวงบุญชาวไทยทันที
สิ่งที่รัฐบาลซาอุดีอาระเบียต้องไม่ลืมคือ นครเมกกะและการประกอบพิธีฮัจญ์ไม่ใช่สมบัติของประเทศซาอุดีอาระเบีย แต่เป็นสมบัติของพระอัลเลาะห์ที่มอบเอาไว้ให้กับพี่น้องมุสลิมทุกคน...."
"... ส่วนกรณีของ พล.ต.ท.สมคิดนั้น คงต้องบอกว่า นี่คือการเสียสละเพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริง... ทั้งนี้ เนื่องจากการแต่งตั้ง พล.ต.ท. สมคิด เป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายไทย อีกทั้งคดีของพล.ต.ท.สมคิดยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาล ตราบใดที่คำพิพากษายังไม่ถึงที่สุด ตามหลักกฎหมายของไทย และของสากลแล้ว ก็ต้องถือว่า พล.ต.ท.สมคิด ยังบริสุทธิ์
ถึงตรงนี้ คงต้องบอกว่า ความเสียสละของ พล.ต.ท.สมคิดคือความเสียสละที่คนไทยทั้งประเทศต้องตบมือให้ และจำต้องได้รับการเยียวยาอย่างสมศักดิ์ศรีจากรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ..."
ซึ่งการออกบทความดังกล่าวโดยเอ่ยอ้างพระนามของพระผู้เป็นเจ้าในสถาการณ์ที่ตึงเครียดนี้ เป็นสิ่งที่พึงระมัดระวังอย่างยิ่ง หากในข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นนี้ เป็นความขัดแย้งทางการเมืองและคดีความกันเพียงแค่ ๒ ฝ่ายคือ ทางการไทย โดยรัฐบาล ส.ตำรวจแห่งชาติ และประเทศซาอุฯ และก็ควรย้ำความเข้าใจไว้เพิ่มเติมด้วยว่า ประเทศซาอุดิอารเบียนั้น ใช้หลักกฏหมายอิสลาม เป็นกฏหมายประจำชาติ ซึ่งจะทำให้แยกวิถีชีวิตกับกฏหมายไม่ได้ หากเราต้องการให้เขามองเราอย่าง "เข้าใจ" เราก็จำเป็นต้องมอง ซาอุดิอารเบียอย่างเข้าใจด้วยว่าเขารู้สึกเจ็บปวดอย่างไรกับคดีความเพชรฯ และคดีอุ้มฆ่านักธุรกิจเชื้อพระวงศ์ ซึ่ง"สมคิด" มีส่วนไปก่อเรื่องเอาไว้ อย่ามองแค่ฝ่ายเราแต่งตั้งถูกหลักกฏหมายไทยแต่ฝ่ายเดียว อย่าเอาหลักการมองอย่าง"เห็นแก่ตัว" ที่ใช้ฟาดฟัน "ทักษิณ" ไปใช้มองต่างชาติเพราะเขาไม่ได้โง่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น