วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2555

"ศาสดา" เซ็กส์ - การเมือง - ศาสนา - และคนขี้เหงา

ศาสดา

ในโลกออนไลน์ ผู้คนสามารถหาเรื่อง"ดราม่า" กันได้แทบทุกวัน และแทบทุกเรื่อง ตั้งแต่เรื่องข้อสอบโอเน็ตยันตุ๊กแกพนมมือ และในช่วงที่ผ่านมา มีเรื่อง "ดราม่า" เรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นที่สนใจในหมู่นักท่องเน็ตมากมาย นั่นคือ "การงัดข้อ" ระหว่างแฟนเพจ "สมาคม Report แห่งประเทศไทย" และเพจแนววิพากษ์สังคมที่มีลักษณะเฉพาะตัวอย่าง "ศาสดา"


ในช่วงแรกของการเปิดเพจ "สมาคม Report แห่งประเทศไทย" เพจนี้มีไว้เพื่อเฝ้าระวังข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หากพบว่าแฟนเพจใดที่มีข้อความหมิ่นฯ สมาชิกของเพจนี้จะช่วยกันรายงานเพื่อให้เฟซบุ๊คลบเพจนั้นเสีย การเคลื่อนไหวเช่นนี้ ได้ผลดีมาก จนเมื่อเป้าหมายของแฟนเพจนี้เปลี่ยนมาเล่นงานเพจที่ดูหมิ่นศาสนาบ้าง...


เพจที่ถูกหวย โดนเพ่งเล็งคือเพจแรงๆ อย่าง เพจ "โหดสัส", "ศาสดา" และเพจที่ถูกตีความว่าเป็นเพจล้อเลียนศาสนาเพจอื่นๆ จนในที่สุด ตัวเพจ "สมาคม Report แห่งประเทศไทย" ต้องออกมาขอโทษเพจเหล่านี้ เพราะถูกสังคมออนไลน์กดดันจากข้อหาการยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางเพื่อที่จะจัดการกับเพจอื่นจนลุแก่อำนาจซึ่งมีผลให้จำนวนคนกด "ถูกใจ" เพจนี้ลดฮวบจาก 31,877 คน เหลือเพียง 23,252 คน ในเวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น (นับถึงวันที่ 5 มีนาคม 2555) และมีแนวโน้มว่าจะลดลงเรื่อยๆ ที่น่าสนใจคือ เพจแรงๆ อย่าง "ศาสดา" กลับมีคนกด "ถูกใจ" ถึง 27,000 กว่าคน


ในตอนเกิดเรื่อง เพจ "ศาสดา" ออกมาประกาศจุดยืนบนหน้าเพจตัวเองว่า... "ถ้า admin ของเพจสมาคม Report แห่งประเทศไทย อยู่แถวนี้ ช่วยแจ้งผมหน่อยครับ ว่าเพจผมมันเข้าข่ายอะไรที่จะต้องปิด คำว่า ′..., ..., ..., แม่ง′ นี่หรอครับ? มันทำให้ศีลธรรมสังคมนี้ตกต่ำมากขนาดนั้นเลยหรอครับ? ผมไม่ได้ mention เพจคุณแต่แรกเพราะเข้าใจว่าจะ report เว็บที่ตัดต่อภาพหมิ่นฯ อย่างเดียว แต่หลังๆ นี่เปลี่ยนจุดยืนแล้วหรอครับ? จะรุม report ทุกกลุ่มที่ไม่ตรงใจกู แบบนี้หรอครับ? คุณคิดว่าการทำแบบนี้มันช่วยสังคมนี้ให้เจริญขึ้นได้จริงหรอครับ? สุดท้ายสังคมเราจะไม่ต้องอยู่ด้วย ′กติกา′ อะไรแล้วใช่มั้ยครับ จะใช้แค่ ′กติกู′ หรอครับ?"


(เฝ้าตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ที่เว็บไซต์ drama-addict.com ตามหัวเรื่อง "เพจหมิ่นศาสนา!!", "ด้านมืดของพลัง!!" และหน้าเพจเฟซบุ๊คที่เป็นประเด็นในข้างต้น)


ด้วยความดุดันกล้าใช้คำตรงๆ เพื่อประกาศความคิดของตนเอง เพจ "ศาสดา" ตั้งขึ้นและดูแลเพจโดยชายหนุ่มวัย 24 ปี ที่จบการศึกษาจากคณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์


"มติชนออนไลน์" พูดคุยกับแอดมินของเพจนี้...ไม่น่าเชื่อว่า เพจที่มีคนติดตามระดับหลักหมื่น จะมีคนดูแลเพียง 1 คน! ไปคุยกับเขากันดีกว่า


@ เหตุการณ์โดนถล่มจากเพจ "สมาคม Report แห่งประเทศไทย" เรื่องราวเป็นยังไง


เริ่มจากเช้าวันหนึ่ง มีคนแจ้งข่าวมาว่า เพจ "สมาคม Report แห่งประเทศไทย" จะเล่นงานเพจ "ศาสดา" มีการตั้งสเตตัสเป็นคำถามให้มารุม report เพื่อแจ้งปิดเพจศาสดา (กรณีมีคน report แจ้งปิดจำนวนมาก เพจนั้นอาจถูกปิดโดยระบบของเฟซบุค) แล้วเข้าใจว่า เรตติ้งคงไม่ดี ต่อมาจึงมีการตั้งคำถามใหม่ ว่า จะลบเพจหมิ่นศาสนาดีไหม? ซึ่งไม่เกี่ยวกับเพจผม


ผมก็ตั้งสเตตัสว่า ไม่ได้หมิ่นสถาบัน ไม่ได้หมิ่นศาสนา และไม่เห็นด้วยกับเพจ "สมาคม Report แห่งประเทศไทย" แล้วจู่ๆ จะมาปิดเพจผมได้ไง ผมก็เลยเอารูปวิธีการปิดเพจ มาโพสต์ใน "ศาสดา" แล้วบอกว่าถ้าจะมา report ผม ผมขอ report คุณก่อนละกันนะ


จากเดิมแทนที่คนจะแจ้ง report ให้ปิดเพจเรา กลายเป็นว่า เพจ "สมาคม Report แห่งประเทศไทย" โดนตั้งคำถามว่าเป็น "ศาลเตี้ย" แล้วหรือ? เรื่องก็เริ่มลามไป เพจอื่นๆ ที่เขาไม่พอใจวีธีการของเพจ "สมาคม Report แห่งประเทศไทย" อยู่แล้ว ก็เลยมาแห่ช่วยเพจศาสดา จนกระทั่งเว็บ Drama-addicts เอาไปทำข่าว ทำให้เกิดวิกฤติศรัทธากับเพจ "สมาคม Report แห่งประเทศไทย" สมาชิกแฟนเพจของเขาลดลงไปประมาณ 8,500 คนใน 10 ชั่วโมง ตอนแรกเขามีสมาชิกประมาณ 31,800 คน ลดลงเหลือประมาณ 23,000 คน


ว่ากันว่า วิธีที่จะทำให้เพจใดเพจหนึ่งโดนปิด ต้องรุม report มากกว่าจำนวนสมาชิกที่มีอยู่ ซึ่งที่ผ่านมา เขาจัดการเพจเล็กได้ เขาทำสำเร็จ แต่มาทำเพจนี้ทำกับเว็บเราแล้วไม่เวิร์ค ปรากฏว่า แอดมินของเพจอื่นๆ ก็เห็นด้วยกับเรา มีการแชร์กันต่อ ว่าเราถูกรุมให้ report ปิดเพจ คนที่เห็นด้วยกับเราก็มากขึ้น แฟนคลับก็แพร่ออกไป


@ คุณเป็นแอดมิน เพจ "โหดสัส" ด้วยหรือเปล่า


ไม่ใช่ครับ ทราบว่า เขาเรียนจบจากคนละมหาวิทยาลัยกับผม แต่เพิ่งมารู้จักกัน เพราะเหตุการณ์เพจของผมโดนรุมให้แจ้ง report แล้วเขามาช่วยเพจ "ศาสดา" แม้ว่าเนื้อหาหลายอย่าง ผมจะไม่เห็นด้วยกับการเผยแพร่ภาพของเพจ "โหดสัส" แต่งานนี้ เขาก็เป็นส่วนสำคัญที่เข้ามาช่วยเพจ "ศาสดา" นอกจาก "โหดสัส" แล้วก็มี drama-addict.com ที่เอาเรื่องเพจผมถูกรุมปิด ไปเผยแพร่รายงานสถานการณ์ด้วย แต่แอดมินของ drama-addict ก็โดนแอดมินเพจ "สมาคม Report แห่งประเทศไทย" เขียนไปด่าด้วยอีกราย


@ ก่อนโดนเล่นงานจากเพจ "สมาคม Report แห่งประเทศไทย" ยอมรับหรือไม่ว่า เพจ "ศาสดา" มีคำหยาบคาย โดยเฉพาะเรื่องเพศ ที่ใช้คำตรงๆ มาเรียกอวัยวะเพศหญิง-ชาย


ปัญหาที่เรามองว่า "หยาบคาย" รับไม่ได้ ก็เพราะเป็นการมองแบบ "ชนชั้นกลาง" แต่ถ้าเราเป็น รากหญ้า ชาวนา ชาวสวน ชาวบ้าน คำนี้ก็ไม่ใช่คำหยาบคาย ชนชั้นล่าง เขาก็พูดกันในชีวิตปกติ นี่ยังไม่ต้องนับการละเล่นพื้นบ้านหลายๆอย่าง เพลงฉ่อย อีแซว หนังตะลุง หรืออะไรก็ตาม คำพวกนี้ ธรรมดามาก


"คำหยาบคาย" หรือภาษาแบบชาวบ้านที่ใช้ในเพจนี้ จุดประสงค์จริงๆ คือ เพื่อ simplify ทำเรื่องง่ายให้เข้าใจได้ด้วยภาษาชาวบ้าน และสนุก บางเรื่องเป็นเรื่องวิชาการ แต่ถ้าจะเอามาอธิบายกันแบบนั้น ก็ยาก น่าเบื่อ ไม่มีใครอยากอ่าน มันเหมือนความรู้ที่อยู่บนหอคอยงาช้าง ใครจะเอื้อมไปถึง ไอ้ที่ทำแบบนี้ทั้งหมด ก็เพื่อให้สิ่งที่ทำมันกระจายในวงกว้างได้


คำเหล่านี้ ไม่ใช่คำหยาบโดยตัวมันเอง แต่หยาบด้วยสำนึกของเรา เพราะพอเราถีบตัวเองมาเป็น "คนเมือง" เป็น "ชนชั้นกลาง" ก็ต้องใช้คำที่สุภาพ ยกตัวอย่างเช่น คำว่า สำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง มีคำว่า "ชักว่าว" แต่เราพูดในที่สาธารณะไม่ได้ ก็ใช้คำว่า "ไปสนามหลวง" แทน


นอกจากนี้ที่เพจผมใช้บ่อยก็จะมีคำว่า "แม่ง" ซึ่งจริงๆก็ไม่ได้หยาบอะไร คุณพูดกันทั่วไปในหมู่เพื่อนๆ เด็กมัธยมสมัยนี้เผลอๆ พูดหยาบกว่าเพจผมซะอีก


@ ความสัมพันธ์กับ "ธเนศ วงศ์ยานนาวา" อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


ผมเป็นลูกศิษย์ อาจารย์ธเนศ ชอบลีลาการสอนที่นำ "ความรู้ยากๆ" มาอธิบายแล้วใช้ภาษาชาวบ้านยกตัวอย่าง ผมว่ามันเข้าในง่าย จึงเริ่มทำเพจ "ธเนศ เขตยานนาวา" ก็มีคนชอบสไตล์นี้ มีคนคลิกไลค์แฟนเพจถึง 5,000 คน ภายใน 10 วัน โดยเริ่มมีนักวิชาการ นักศึกษา นักเรียน เข้ามาอ่านด้วย แล้วจำนวนมากก็เข้าใจผิด คิดว่าเป็น "ธเนศ วงศ์ยานนาวา" ตัวจริงมาเป็นแอดมิน


ผมก็เลยปิดเพจ "ธเนศ เขตยานนาวา" เพราะกลัวว่าอาจารย์จะเสียหาย


แม้อาจารย์ธเนศ (ตัวจริง) จะบอกว่าไม่เป็นไร "ถ้าเรื่องเสียดสี เรื่องล้อเลียน ไม่สามารถมีได้ ประเทศนี้ก็แม่งไม่มี freedom of speech ซึ่ง freedom of speech ก็คือ หัวใจสำคัญที่สุดของเสรีประชาธิปไตย" นี่คือ คำพูด อาจารย์ธเนศครับ


จากนั้น ผมมาตั้งเพจใหม่เป็น "ศาสดา" ที่ใช้ชื่อนี้ เพราะก่อนปิดเพจเก่า มีคนบอกว่า ถ้าเพจนั้นปิดแล้วเขาจะอยู่ยังไง ในเมื่อ "ธเนศ วงศ์ยานนาวา" เป็น "ศาสดา" ของเขา ผมชอบคำนี้ ก็เลยเอามาตั้งชื่อเพจ "ศาสดา" คนก็ตามมาจากเพจเดิม ประมาณ 2,000 คน กระทั่ง เหตุการณ์น้ำท่วมปลายปี 2554 มีคนวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเยอะมาก ว่าแก้ปัญหาไม่ได้


เพจ "ศาสดา" จึงตั้งคำถามว่า ปัญหาน้ำท่วมแก้ได้ง่ายงั้นหรือ การจัดการน้ำท่วมมันง่ายเหมือนที่ด่าเขาหรือเปล่า ปรากฏว่า หลายๆ คอมเมนท์ในสเตตัสของ "ศาสดา" มีความเห็นสวนกระแสสังคมเป็นจำนวนมาก จนทำให้เป็นที่พูดถึงและเริ่มมีคนเข้ามาไลค์จนทะลุ 5,000 คน


@ เห็นถามไปที่เพจของ ท่านว.วชิรเมธี บ่อยๆ ท่านเคยตอบหรือเปล่า แล้วทำไมจึงไปถามท่าน


ที่ถามท่านว. ไม่ใช่ว่าอยากสนุก หรือจะไปล้อท่าน แต่เพราะ ท่าน ว. เป็นเหมือนเซเลบ พระผู้มีชื่อเสียง ในสังคมไทย เวลามีอะไรก็จะไปสัมภาษณ์ท่าน ว. หรือ โคว้ทคำของท่าน ว. กลายเป็นมีอะไรก็จะนึกถึงท่านคนเดียว โฟกัสมากแบบนี้จะเป็นการ "ผูกขาด" การตีความธรรมะ เหมือนถ้าเราเรียนหนังสือกับครูคนเดียว ก็จะคิดว่า ความถูกต้องมีแต่แบบนั้นสิ่งเดียว ซึ่งเป็นเรื่องอันตราย เพราะพุทธศาสนาเผยแผ่มาไม่ต่ำกว่า 2,500 ปี พระสงฆ์ แต่ละรูป อาจจะไม่ได้พูดถูกต้องทั้งหมด


ถ้าเราเชื่อว่าท่านพูดถูกทั้งหมด แล้วเกิดกรณีมีความขัดแย้ง สักวันท่านอาจจะถูกตีความเข้าข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งเมื่อนั้น ฝ่ายตรงข้ามที่ถูกตีความว่าท่านไม่ได้เข้าข้าง ก็อาจโดนทำร้ายได้เลยทีเดียว


สิ่งที่ผมทำทั้งหมดคือ การตั้งคำถามกับการผูกขาดการตีความเรื่องธรรมะของท่าน ว.วชิรเมธี และพยายามลดความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน ว. ลง เพราะความศักดิ์สิทธิ์มันอันตราย ผมขอยกตัวอย่างเรื่อง ศาลพระพรหม ตรงแยกราชประสงค์ ที่มีคนบ้าไปทุบ สุดท้ายคนบ้านั้นโดนรุมกระทืบจนตาย พระพรหมเป็นปูน แต่คนบ้านั่นมีชีวิต นี่ละคือตัวอย่างว่าอะไรก็ตามที่มันศักดิ์สิทธิ์มากไป มันอันตรายเสมอ


@ ทำไมเน้นเรื่องศาสนา และ SEX


เพราะ 2 เรื่องนี้ ทรงอิทธิพลกับชีวิตมนุษย์มากที่สุด ถ้าชีวิตมนุษย์ขาดสองสิ่งนี้ ชีวิตก็จบแล้ว


@ ถ้าไม่ยอมก้มหัวให้กับระเบียบกฎเกณฑ์ ที่ควบคุมสังคมเรื่อง sex รวมถึงความเชื่อทางศาสนา แล้วสังคมจะอยู่ร่วมกันอย่างไร


เราไม่ได้ชวนให้คนยกเลิกกฎเกณฑ์ของสังคม แต่เราตั้งคำถามว่า หากเคร่งไป จะเหมือนกับเราหลอกตัวเองหรือเปล่า? ยกตัวอย่างเช่น เรารู้อยู่แล้วว่าเวลามีความต้องการทางเพศ ก็ต้องสำเร็จความใคร่ แต่ข้อสอบ โอเน็ต กลับมีชอยส์ให้เลือก เป็น ชวนเพื่อนไปเตะบอล ปรึกษาครอบครัว พยายามนอนให้หลับ ไปเที่ยวกับเพื่อนต่างเพศ ชวนเพื่อนสนิทไปดูหนัง


ผมมองว่า เป็นการโกหกตั้งแต่คนออกข้อสอบ ยันคนตอบคำถาม แทนที่จะสอนหรือเรียนรู้ รับรู้ความจริง ว่าจะจัดการกับอารมณ์ตัวเองอย่างไร แต่กลับมีชอยส์ให้เลือกแต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้


@ โพสต์เรื่องเพศจำนวนมาก แล้วหลังไมค์ได้รับการติดต่อขอมีเพศสัมพันธ์ด้วยหรือไม่


มีผู้หญิงติดต่อ ขอ SEX PHONE บางคนขอนัดร่วมเพศด้วย


@ รับนัดเจอตัวกับคนที่มาขอร่วมเพศด้วยหรือไม่


ไม่ครับ ไม่มีนโยบายรับนัดร่วมเพศใดๆ ทั้งสิ้น ผมเคยประกาศชัดเจนไว้ตลอด คือ ผมอยากทำเพจขำๆ สนุกๆ ไม่อยากมีอะไรมากวนใจ เผลอไปมีอะไรสักครั้งนี่ แย่เลยนะ เกิดเขาบอกว่า ศาสดาเซ็กส์ห่วยนกเขาไม่ขันขึ้นมา ผมไม่แย่หรอ?? โม้เขาไว้เยอะ (หัวเราะ)


@ คุยอะไรกับคนที่ติดต่อหลังไมค์บ้าง


เบื้องหลังเป็นการตอบคำถามแก้ปัญหาชีวิตของหลายๆ คน ผมตอบจดหมายวันละไม่ต่ำกว่า 10-20 ฉบับ บางคนเป็นทุกข์เรื่องแฟน เรื่องพ่อไล่ออกจากบ้าน บางคนแฟนมีชู้ บางคนทะเลาะกับแม่ ผมก็ตอบคำถามไปช่วยให้คำปรึกษา อีกด้านหนึ่งเราก็ได้เรียนรู้ความทุกข์ของคน


@ ตอบปัญหาคล้ายคอลัมนิสต์ แต่ไม่ได้รับค่าตอบแทนจากใคร แล้วทำไปทำไม


ผมเป็นคนขี้เหงา ชอบมีเพื่อนคุย ชอบแชร์ไอเดีย ทำอะไรแบบนี้มันก็สนุกดี แต่นอกจากได้ความสนุกแล้ว จริงๆ ผมก็มีเป้าหมายทางการเมืองด้วย ผมอยากเปลี่ยนสังคม แต่ผมไม่ใช่คนกล้าลุยสู้ ไม่กล้าพลีชีพ ไม่ชอบไปม็อบเพราะร้อนทนแดดทนฝนไม่ได้ ผมกระแดะ และไม่มีเวลาพอที่จะอุทิศตัวเองเป็นนักปฏิวัติอะไร แต่ผมใช้สื่อในโลกออนไลน์ผลักดันความคิด ตั้งคำถามกับความเชื่อหลักของสังคม ผมเชื่อว่า "การตั้งคำถาม" และ "การคิด" สามารถนำพาสังคมให้ก้าวหน้าได้ไม่แพ้การต่อสู้ในรูปแบบอื่นๆ เช่นกัน


@ มีคนสงสัยคุณว่าเป็นคนเสื้อแดง จริงๆ เป็นหรือไม่


มีหลายครั้ง ผมก็ด่าคนเสื้อแดง แต่ไม่เห็นมีใคร มาด่าว่าผมเป็นเสื้อเหลืองบ้างเลย? คือ ถามว่าลึกๆ ผมมีจุดยืนทางการเมืองไหม มันก็มี แต่ผมไม่อยากให้เอาตรงนี้มาโฟกัส เพราะถึงที่สุดถ้าคุณตราหน้าผมว่าเป็นแดง เหลือง หรือ หลากสี คุณก็จะไม่สนใจอะไรที่ผมเขียน ไม่ฟังที่ผมพูด และวิจารณ์ผมบนฐานของสีเสื้อที่ผมสังกัด โดยไม่ได้ตรองดูว่าสิ่งที่ผมพูด มันถูก หรือผิด หรือมีเหตุผลหรือไม่อย่างไร


ความเห็นหลายอย่างอาจจะโดนใจเสื้อแดง เพราะผมสนับสนุนแนวทางแบบเสรีประชาธิปไตย และมันตรงใจเขา แต่ในเพจผมก็มีคนเสื้อเหลืองก็เยอะ หลายคนเข้ามาถกเถียง หลายคนคุยหลังไมค์ มาให้กำลังใจ บอกว่า แม้ไม่เห็นด้วยในแนวความคิดทางการเมือง บางคนก็กลายเป็นเพื่อนสนิทเลย แม้เราจะเถียงการเมืองกันบ่อยๆ ก็ตาม


คือ เพจผมเนี่ย ไม่ว่าสีอะไรคุณก็อยู่ได้ เพราะผมไม่เคยลบคอมเมนท์ใคร ทุกสีเถียงตะลุมบอนกันทุกวัน หลายคนจึงมองว่า เพจของผมเนี่ย "สมานฉันท์" ของจริง บางเพจนี้คิดไม่ตรงเขาลบนะ แต่เพจผมไม่เลย ผมจะลบเฉพาะคอมเมนท์ ที่สุ่มเสี่ยงว่าจะผิดกฎหมาย เพราะผมเองก็รับผิดชอบไม่ไหว


@ เวลาโพสต์ว่า อกหัก นั่นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง


ชีวิตจริงครับ พอเขียนไปเขียนมา ผมก็เริ่มแยกไม่ออก ระหว่างตัวละคร "ศาสดา" กับตัวตนจริงๆ ของผม


@ แฟนเพจ ส่วนใหญ่เป็นใคร


ถ้านับจำนวนและสังเกตจากสไตล์การเล่นเฟซบุ๊ค ส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่นอายุประมาณ 18-25 ปี ส่วนอาชีพของแฟนเพจ ก็มีตั้งแต่ หมอนวด แท็กซี่ นักศึกษา นักวิชาการ นักเขียน นักศึกษาปริญญาเอก MIT ก็มี รวมถึงเซเลบคนดังและเศรษฐีพันล้าน


@ ให้คำจำกัดความเพจของตัวเองว่าอะไร เป็น "อินดี้" หรือเปล่า


ไม่สามารถจำกัดความได้ครับ และชื่อของ "ศาสดา" เป็นการสื่อถึงการนำเสนอไอเดีย ความคิดอะไรบางอย่างออกมา ไม่ได้ต้องการให้คนอื่นเชื่อทั้งหมด ต้องการเพียงให้ตั้งคำถาม เพราะสุดท้ายสังคม จะเชื่อ หรือไม่เชื่อ จะถกเถียงอย่างไรก็เป็นเรื่องของคุณ ซึ่งทุกศาสนาก็ควรจะเป็นแบบนี้ ถ้าทุกความเชื่อ ทุกศาสนา สามารถเลือกเชื่อบางส่วน และตั้งคำถามกับสิ่งที่ตัวเองเชื่อได้ โลกก็ไม่ต้องฆ่ากันแบบนี้

ขอขอบคุณ

ไม่มีความคิดเห็น: