วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2555

"สื่อต้องรับฟังความเห็นของประชาชน"

คอลัมน์ "ที่เห็นและเป็นอยู่"
หัวข้อ "สื่อต้องรับฟังความเห็นของประชาชน"
โดย ผู้สื่อข่าวเนชั่น นภพัฒน์จักษ์ อัตตนนท์



ผมไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องแย่เลย ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นคลิปจ.เจตน์เดินทางเข้ามาพูดคุยกับพี่กนก (กนก รัตน์วงศ์สกุล) ที่อาคารอสมท. ความจริงผมเห็นแล้วกลับรู้สึกดีด้วยซ้ำ กับท่าทีถ้อยอาศัยของทั้งสองคน ที่ชัดเจนว่าแนวคิดและมุมมองทางการเมืองอยู่คนละขั้วกั้น

ใครที่ดูคลิปนี้จะเห็นคนเสื้อแดงที่ชื่อจ.เจตน์ เดินทางไปที่อาคารอสมท. เข้าใจว่าเป็นช่วงค่ำวันหนึ่ง ก่อนที่พี่กนกจะเข้าไปจัดรายการข่าวข้นคนข่าว เมื่อเข้าไปถึงตัวแล้วก็ขอเวลาพูดคุย เมื่อได้พูดคุยก็ได้เสนอความเห็นต่อการทำงานสื่อของพี่กนก จ.เจตน์บอกว่าเป็นการเข้ามาพูดคุยด้วยเจตนาที่เป็นห่วง ซึ่งส่วนเจตนาและท่าทีแนะนำให้ดูคลิปแล้วตัดสินใจกันเอง

ความรู้สึกดีหลังจากที่ได้ดูคลิป เกิดจากทั้งสองส่วน ส่วนแรกคือการที่จ.เจตน์เลือกที่จะใช้วิธีการเข้ามาพูดคุย เสนอ สะท้อนความเห็นแบบตรงไปตรงมา ไม่มีอ้อมค้อม ซึ่งผมว่าดีกว่าการใช้ความรุนแรงเป็นไหนๆ ความรุนแรงในที่นี้ผมหมายถึงทั้งความรุนแรงทางกายภาพ เช่นการลงไม้ลงมือ ทำร้ายร่างกาย ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริงแล้วก็ไม่ดีแน่ ไม่ใช่เพราะเกิดขึ้นกับรุ่นพี่ของผม แต่ผมไม่อยากให้เกิดการใช้กำลังขึ้น ไม่ว่าจะเกิดกับสื่อ กับประชาชน หรือกับนักการเมืองก็ตาม เพราะตามครรลองของประชาธิปไตย ความขัดแย้งทางการเมืองจะจบลงได้ ก็ต้องเริ่มจากการพูดคุยกัน

ส่วนที่สองที่ผมรู้สึกดีก็คือท่าทีของพี่กนก รุ่นพี่ที่ผมเคารพมาตลอด กับท่าทีรับฟัง ไม่ย้อนสวน ไม่เดินหนี (เดินไปแต่งตัวก่อนจัดรายการ ไม่เรียกว่าเป็นการเดินหนีนะครับ อีกอย่างพี่เขาคงไม่หนีไปไหนได้ เพราะพี่เขาก็ต้องจัดรายการสดตามเวลารายการอยู่แล้ว) อยู่พูดคุยกับคนที่แสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่เห็นด้วย นั่งลงพูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผล ไม่หนีขึ้นลิฟท์ ไม่หลบหน้าหายหัว รับผิดชอบในสิ่งที่ทำ พูดคุยและตรวจสอบกันได้ระหว่างสื่อและประชาชน

เป็นท่าทีที่น่าเคารพและต้องเอาเป็นแบบอย่าง

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลายคนมองว่าเป็นเรื่องใหญ่โต บางคนใช้คำว่าบุกรุก คุกคาม แต่ในฐานะคนทำงานข่าวและมีสื่ออยู่ในมืออย่างผม ผมดีใจมากที่ได้เห็นภาพแบบนี้ ภาพที่ประชาชนเข้ามาหาสื่อ พูดคุยนำเสนอในสิ่งที่ตัวเองคิด จะเป็นประชาชนคนเสื้อสีไหนก็ตาม ก็ย่อมมีสิทธิ์ที่จะสะท้อนความเห็นของตัวเองมาให้กับสื่อ ผู้ซึ่งมีบทบาทที่สำคัญในการเป็นกระบอกเสียงของสังคม สิ่งที่สื่อพูดออกไปย่อมมีผลกับสังคม มีผลกับประชาชน

แล้วครั้นการที่ประชาชนจะสะท้อนมุมมองกลับมาบ้าง
ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องแย่อะไร

หลายคนขุดคุ้ยหาประวัติของจ.เจตน์ บุคคลที่ชัดเจนว่ามีแนวความคิดทางการเมืองสนับสนุนคนเสื้อแดง เป็นบุคคลที่เคยปรากฏตัวอยู่บนจอแดงอย่างเอเชีย อัพเดท มีภาพที่หลุดออกมาทางอินเตอร์เน็ท เป็นภาพที่จ.เจตน์กลมกอดกับคุณทักษิณอยู่ หลายคนขุดคุ้ยเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นมา อาจจะเพื่อให้เห็นถึงเจตนาที่อาจจะไม่ได้ใสซื่อบริสุทธิ์ของจ.เจตน์ บ้างก็ว่าเป็นแผนการดิสเครดิตพี่กนก บ้างก็ว่าเป็นขั้นตอนไปสู่การถอดรายการข่าวข้น ก็คิดและเฝ้าระวังกันไปได้ แต่จะคนเสื้อแดง หรือเสื้อไหนๆ สุดท้ายคนเสื้อสีเหล่านี้ก็คือประชาชน ที่สื่อต้องรับฟังทั้งนั้น

หลังคลิปนี้เผยแพร่ออกไป ในทางหนึ่งก็มีบางคนมองว่านี่คือวาระเสื้อแดงปะทะเนชั่นอีกครั้ง ตามความรู้สึกที่ว่าเนชั่นกับเสื้อแดงคือปรปักษ์กัน ซึ่งความจริงก็ไม่ใช่ เนชั่นเป็นองค์กรสื่อที่นำเสนอมุมมองและแนวคิดจากรอบด้าน จากฝั่งคนเสื้อแดงเราก็คัดเลือกเรื่องที่มีผลต่อสาธารณะประโยชน์มานำเสนออยู่ตลอด เช่นเดียวกับมุมมองและแนวคิดจากคนกลุ่มอื่นๆ ดังนั้นการที่มีคนเสื้อแดงเข้ามาสะท้อนความเห็น หรือหนักข้อขึ้น เข้ามาด่า เข้ามาวิจารณ์รุนแรง ถ้ายังทำอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ไม่ใช้ความรุนแรง ก็ย่อมเป็นสิ่งที่พึงกระทำได้ เพราะด้วยตัวองค์กรแล้วเนชั่นก็เป็นองค์กรสื่อที่ไม่ได้ฝักใฝ่ทางการเมืองในด้านใดด้านหนึ่ง แล้วผมเองก็คงไม่กล้าพูดในสิ่งเหล่านี้ ถ้ามันไม่จริง เพราะจากประสบการณ์การทำงานที่เนชั่นมากว่า3ปี ก็ไม่เคยมีวาระที่ผู้บริหารหรือบก.จะกำหนดแนวทางการรายงานข่าว ว่าจะต้องเข้าข้างใดข้างหนึ่ง ที่เนชั่นผู้สื่อข่าวแต่ละคนมีสิทธิ์ในการเลือกประเด็นรายงานได้ด้วยตัวเอง มีเอกสิทธิ์ในการแสดงความเห็นทางการเมืองที่เป็นของตัวเอง ไม่มีขนบดักดานที่ว่าหัวหน้าหรือเจ้าขององค์กรหรือพรรคการเมืองสั่งอย่างไร พนักงานหรือส.ส.ก็จะต้องยกมือทำตามงกๆราวกับคนที่ไม่ปัญญาคิดอะไรเองได้ เนชั่นที่ผมรู้จักมีพื้นที่ให้กับทุกเฉดความคิดทางการเมือง และเราก็ตั้งเป้าเป็นสื่อที่ประชาชนไว้เนื้อเชื่อใจได้ ดังนั้นการที่มีคนยุแยงตะแคงรั่ว ก่อให้เกิดการปะทะโดยตรงระหว่างคนเสื้อแดงและเนชั่นก็คงจะไม่เป็นผล แนวความคิดอาจจะต่างกันบ้าง การปะทะทางความเห็นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สุดท้ายเนชั่นก็จะเป็นสื่อที่พร้อมรับฟังทุกความเห็นตามครรลองของสังคมประชาธิปไตย

ให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพี่กนกนี้เป็นแบบอย่างให้กับน้องๆอย่างผมและทุกๆคน ว่าในอนาคต ถ้ามีคนแม้จะเสื้อสีไหน ยกตัวอย่างว่าในวันข้างหน้าถ้าเนชั่นมีนักข่าวที่รายงานข่าวไม่ถูกใจกองเชียร์ประชาธิปัตย์ และเมื่อมีคนมาสะท้อนความเห็น นักข่าวคนนั้นก็ต้องพร้อมรับฟัง เป็นบรรทัดฐานที่ดีที่เราต้องยึดถือไว้
อ่านมาถึงตรงนี้ ก็คงมีคนดูแคลนผมว่าอ่อนข้อ ปล่อยผ่านกับสิ่งที่เข้ามามากเกินไปหรือเปล่า


บางคนคงมองว่านี่คือการยอมโอนอ่อนไปกับสิ่งรอบข้าง ยิ่งในกรณีนี้ก็จะกลายเป็นว่าผมไปยอมคนเสื้อแดงอีก

ผมย้ำในบทความนี้ว่าสิ่งสำคัญคือการได้รับฟังครับ ย้ำถึงบทบาทของสื่อที่พึงกระทำเพื่อเป็นสิ่งที่สังคมยึดถือไว้ได้ ใครมาเสนออะไรเราต้องรับฟัง รับฟังแล้วต้องคิดตาม ถ้าคิดตามแล้วได้ว่าสิ่งที่เขาวิจารณ์เรามันจริง เราทำได้ไม่ดี เราก็ควรต้องแก้ไข ถ้ามีสิ่งไหนที่เขาวิจารณ์มาแล้วมันฟังดูเลื่อนลอย เป็นเสียงวิจารณ์ที่เน้นหนักไปในเรื่องอคติมากกว่า นั่นก็เป็นคราที่เราอาจจะต้องปล่อยวางปล่อยผ่านไปบ้าง รับฟังในสิ่งที่เป็นประโยชน์ และปล่อยวางกับสิ่งที่ไร้สาระไป เพื่อพัฒนาการทำงานของให้ได้ตลอด

ตัวผมเองถ้าจะเขียนอย่างเดียวแล้วไม่ทำตาม ก็คงไม่ดีแน่ และไม่อยากให้ใครมาตราหน้าว่าเป็นพวกดีแต่พูดครับ ฉะนั้นใครข้อข้องใจ มองว่างานข่าวที่ผมทำไปที่ปัญหาตรงไหน ติอต่อเข้ามาหาผมได้ที่ noppatjak@gmail.com นัดแนะกันก่อนก็ดีครับ เดินดุ่มๆดุ่ยๆเข้ามาไม่นัดกันก่อนอาจจะคลาดกันได้ ไอ้ผมเองก็เป็นพวกโดดงานอยู่เรื่อยซะด้วย

ที่เสนอนี่ไม่ได้จะบอกว่าตัวเองยิ่งใหญ่และมีคนรู้จักมากมายนะครับ เทียบกับพี่กนกผมก็รุ่นน้องตามหลังหลายขุม แค่อยากให้รู้ไว้ว่าสื่ออย่างผมพร้อมรับฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ครับ พูดคุยกันในกรอบ ไม่ใช้ความรุนแรง เข้ามาพูดคุย จะดุจะด่า จะใช้ถ้อยคำผรุสวาทผมก็พร้อมรับฟังครับ รับฟังแบบที่ไม่คิดว่าเป็นการคุกคามแม้แต่น้อย

เพราะสุดท้ายสื่อก็ต้องรับฟังและรับใช้ประชาชนครับ

ไม่มีความคิดเห็น: