วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555

ด่วน! คลิปเปิดใจ "นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ทุกประเด็นคาใจ


หลังจากเรื่องการแต่งกาย เสื้อผ้า บุคลิกท่วงท่าของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นสปอทไลท์ของสื่อมวลชนทั้งกลางแจ้ง และทางลับ หลายครั้งการแต่งกาย และแฟชั่นของนายกฯหญิงคนนี้กลายเป็นประเด็นฮอตของสังคมตลอดเวลา ไปจนถึงการหนีไม่พ้นการถูกตั้งคำถาม การตั้งข้อสังเกต หรือการแสดงความเห็นอย่างอิสระผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ


ยิ่งกับสถานการณ์ล่าสุด "นารี อิน ฮันบก" ปรากฎภาพน.ส.ยิ่งลักษณ์ สวมใส่ชุดฮันบก ชุดประจำชาติสาธารณรัฐเกาหลี เสียงทั้งชื่นชมมีมากพอๆกับเสียงติฉินนินทาตามโลกออนไลน์

ประสาผู้นำหญิงย่อมหนีไม่พ้นเรื่องราวการถูกวิพากษ์อย่างไรก็ตามน่าสนใจ่วาการเยือนสาธารณรัฐเกาหลีของนายกรัฐมนตรีในการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ที่สาธารณรัฐเกาหลี น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้พบปะแลกเปลี่ยนความเห็นกับผู้นำหญิงอีก 2 ประเทศ คือนางเฮลลี่ ธอร์นนิ่ง ชมิดท์ นายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก วัย 45 ปี และนางจูเลีย กิลลาร์ด นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียวัย 50 ปี ทั้ง 3 คน มีสถานะหนึ่งที่เหมือนกันคือ "นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก"ของประเทศ

หัวอกผู้นำหญิงถึงผู้นำหญิงในโลกการเมืองบนตำแหน่งผู้บริหารสูงสุด พวกเธอเหล่านั้นมีปัญหาในเวทีการเมืองผู้นำหญิงอย่างไร "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ให้สัมภาษณ์พิเศษ "เครือมติชน" ถึงการพูดคุยกับผู้นำหญิงเดนมาร์ก และออสเตรเลียว่าผู้นำหญิง 3 ชาติ มีปัญหาบางด้านที่คล้ายกัน หนึ่งในนั้นคือการถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการแต่งตัว น่าสนใจว่าพวกเธอรับมือกันอย่างไร

รวมไปถึงการ "รับมือ"กับเสียงวิพากษ์วิจารณ์แรงๆ "ยิ่งลักษณ์" ได้เล่าถึงการรับมือและทางออกให้ฟัง...ดังนี้


**ได้พูดคุยกับผู้นำหญิง 2 ประเทศ ได้แชร์ประสบการณ์อะไรร่วมกันหรือไม่

ได้พบกับนายกฯออสเตรเลีย และเดนเมาร์ก ถือเป็นผู้นำหญิง 3 คนได้พบกันในงานประชุมสุดยอดผู้นำ สิ่งที่แลกเปลี่ยนมุมมอง คล้ายๆกัน คือความเป็นผู้นำหญิงอาจจะเจอเรื่องการคาดหวังค่อนข้างเยอะ ซึ่งเป็นบทบาทผู้นำหญิงที่ต้องพิสูจน์และเท่าที่ดูทั้ง 3 คนกำลังใจดี ยิ่งต้องให้พิสูจน์ยิ่งต้องทำให้คนเห็นว่าเราทำได้ แม้ว่าจะเป็นผู้หญิงอย่างเดนมาร์กไม่เคยมีผู้นำหญิงมาก่อน และก้าวเข้าสู่บทบาทพิสูจน์การทำงานให้ประชาชน เรื่องที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มีหลายมุมมอง เป็นงานที่ต้องทำด้วยความอดทน และผลงานเท่าน้ันเป็นเครื่องพิสูจน์

ดิฉันก็ได้พูดคุยกับทางผู้นำหญิง 2 ประเทศว่า วันนี้ประเทศไทยเรามีนโยบายสตรีที่ชัดเจน ได้แชร์มุมมองว่าดิฉันเป็นผู้นำหญิงคนแรกของประเทศไทยอยากทำอะไรในส่วนผู้หญิงบ้าง แต่ไม่ใช่ทำแต่ผู้หญิงอย่างเดียว แต่ให้บทบาทผู้หญิงเท่าเทียมกันภายใต้บทบาทรัฐธรรมนูญ ในฐานะผู้หญิงเหมือนกัน อาศัยกระบวนการความเข้าใจทำอย่างไร สร้างให้ผู้หญิงเข้ามามีโอกาสเป็นผู้นำทางสังคม ทั้งภาคธุรกิจ เอกชน เพื่อให้สุดท้ายแล้วเป็นส่วนในการเสริมสร้างเศรษฐกิจในภาพรวมต่อไป

**เปิดอกพูดคุยปัญหาอะไรกันบ้างประสาผู้นำหญิง

มีบ้างมุมมองเรื่องถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการแต่งตัว ทั้ง 3 ประเทศเจอแบบเดียวกัน เราก็มองแบบเดียวกันว่าเป็นธรรมชาติผู้หญิง ที่คนเราก็ต้องมีการรักสวยรักงามบ้าง ที่สำคัญต้องแต่งกายให้อยู่ในภาวะเหมาะสมกับกาลเทศะ การแต่งกายเราก็ถือว่าเป็นหน้าตาของประเทศด้วย การเป็นผู้นำบุคลิกต่างๆเป็นเรื่องสำคัญให้ความใส่ใจใสรายละเอียดแต่ไม่ใช่ว่าจะไปเน้นเรื่องการแต่งตัวมาเป็นเรื่องนำแต่สิ่งที่สุดท้ายต้องกลับมาเป็นสัจธรรมผลงานเท่านั้นเป็นสิ่งที่พิสูจน์ เป็นสิ่งที่เราได้เรียนรู้แชร์ประสบการณ์กันและกัน ทางผู้นำหญิงเขาได้ติดตามประเทศไทยว่าจากดิฉันมาอยู่ในตำแหน่งนี้เห็นอย่างไรบ้าง ก็ได้มีการแลกเปลี่ยนกัน

**ผู้นำหญิงออสเตรเลียและเดนมาร์กสรุปว่าถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการแต่งตัวเหมือนกันกับเมืองไทย

มีเหมือนกันแต่ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายโอกาสาจะมาคุยในเรื่องทิศทางว่าผลงานจะเป็นอย่างไร เป็นหัวอกเดียวกัน และทุกคนก็อดทนในการพิสูจน์อาจเป็นสิ่งที่เป็นเรื่องยาก หรือเป็นความสามารถอีกส่วนหนึ่ง การเป็นผู้นำหญิงนอกจากพิสูจน์ผลงาน ยังต้องฟังมุมมองต่างๆเหล่านี้ แล้วคิดว่าให้กำลังใจซึ่งกันและกัน อดทน และต้องเดินหน้าที่ผลงานเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์

อย่างออสเตรเลีย ในฐานะผู้นำหญิงเค้า (จูเลีย กิลลาร์ด) เริ่มผ่านการพิสูจน์จนสุดท้ายในพรรคให้การยอมรับ เขาถือว่าได้ผ่านบทพิสูจน์ไปขั้นหนึ่ง ส่วนนายกฯเดนมาร์กเพิ่งเป็นนายกฯได้ 6 เดือน จริๆเขาอยู่ในวงการการเมืองตั้งแต่อายุ 27 ปี

**บทบาทความเป็นผู้นำหญิง กับบทบาทความเป็นแม่กับลูกความสัมพันธ์กับน้องไปป์เป็นอย่างไร

อาจต้องประคองเริ่มมีบ้างที่ลูกอาจรู้สึกวาแม่หายไปแต่เราก็ต้องพยายามในส่วนที่มีเหลือที่มีอยู่ต้องรีบเติมเต็มในส่วนที่ขาดไม่ให้ลูกรู้สึกว่าแม่กับลูกห่างกัน วันนี้วันเกิดลูกพอดี เขาครบ 9 ขวบ ขึ้น 10 ขวบ ตอนเช้าให้หอมแก้ม ส่วนใหญ่ซื้อของเล่นอะไรให้เขาเป็นประจำ วันนี้คงไปเป่าเค้กกัน และวันเสาร์อาทิตย์ให้ทานข้าวกับเพื่อนๆแค่เล็กๆ ไม่ให้ความสำคัญว่าวันเกิดเลี้ยงใหญ่โต แต่อายุผ่านไปหนึ่งปี สิ่งที่เขาต้องรับทราบคือ ต้องเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ขณะเดียวกันการเป็นผู้ใหญ่พ่อแม่ก็ยังรักและเป็นห่วงเสมอ

**ลูกชายเข้าใจการทำงานของแม่หรือไม่

น้องเข้าใจแต่ก็คงมีความต้องการไปป์ล่าสุดเขาก็เริ่มบอกรู้สึกคิดถึงแม่เพราะแม่ไม่อยู่ เราก็จะรีบกลับมาบ้าน เมื่อวานพยายามกลับบ้านเร็วนิดนึงเพื่อเชยช่วงที่ขาดหายไป พอได้คุยกับเค้าบ่อยขึ้นเค้าก็กลับมา เค้าเรียกว่าเป็นช่วงของการปรับตัวระหว่างแม่กับลูกที่ต้องปรับตัว ที่สำคัญการเติบโตของลูกในช่วงนี้เป็นวัยหัวเลี้ยวหัวต่อต้องประคองไม่ให้ความรู้สึกของความเป็นครอบครัวมีช่องว่างเกิดข้ึน

**นายกฯมีเวลาดูแลตัวเองหรือไม่

เรื่องดูแลจะให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพจิตมากกว่าเพราะเรามาบริหารประเทศเราต้องมีสมาธิในการทำงานมีสภาพจิตที่ดีเป็นสำคัญ ต้องมีอีคิวในการทำงาน ก็จะทำให้งานทุกอย่างอยู่ในสิ่งที่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ และสามารถใช้สติปัญญาในการคิดแก้ไข

**ดูแลสภาพจิตใจตัวเองอย่างไร

ช่วงไหนงานหนักมากก็จะต้องพักผ่อนเร็วขึ้นหรือทำอะไรที่ตัวเองไม่รู้สึกว่าเครียดเป็นปกติอยู่แล้วที่ภาระความรับผิดชอบจะมีเรื่องเครียดบ้าง พักผ่อนไม่เพียงพอบ้าง เราก็พยายามให้เวลานั้นสั้นที่สุดในชีวิต และกลับมาให้เป็นปกติ แต่บางครั้งเราต้องคิดว่าหลายอย่างเราเองไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด แต่เราต้องทำอย่างไรในองค์ภาวะที่มีอยู่ภายใต้ปัจจุบันที่ควบคุมได้ให้ดีที่สุดให้เต็มที่ที่สุดแล้วเราจะได้ไม่เสียใจในเวลาที่ผ่านไป

เราต้องคิดเชิงบวกบ้างเราต้องมองว่าการที่เราได้รับการพูดการคอมเมนท์ การติ การชมต่างๆเป็นหนึ่งในข้อคิดเห็นที่ให้กับเรา และเราต้องเอาตรงนี้ไปปรับปรุงการทำงาน มากกว่าการที่จะต้องมาจริงจังกับตรงนี้ และกลายเป็นว่าฝังอยู่ในความคิด ดังนั้นเราก็ต้องคิดว่าตรงนี้เป็นข้อคิดเห็นทุกครั้ง เราต้องเคารพเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งเชิงบวกเชิงลบ และที่สำคัญเราต้องนำสิ่งที่ทุกคนพูดไปปรับตัว และให้ตัวเองก้าวออกจากหลุมนี้ให้ได้ เป็นสิ่งที่ดิฉันคิด และตอกย้ำกับตัวเองอยู่เสมอ ต้องคิดถึงประชาขนให้ความหวังไว้วางใจกับเรา เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด

**เรื่องจิตใจแล้วดูแลร่างกายความสวยความงามอย่างไร

ไม่ได้มองตรงนี้เป็นสาระเรื่องใหญ่เพราะเรื่องใหญ่เรื่องแรกคือภาวะจิตใจคืออีคิว ถ้าคนเรามีจิตใจที่ดีและสงบนิ่งการพักผ่อนจะง่ายขึ้น การทาน การนอน ทุกอย่างจะสบาย จิตใจดีหน้าตาสดใสมันก็ไปได้ แต่ถ้าเราเริ่มจากความเครียดก็นอนไม่ได้ สุขภาพไม่ดี ดังนั้นต้องเริ่มจากจุดนี้ และที่เหลือก็เรื่องของตามวัย ทุกอย่างเราก็ทำเท่าที่เราทำได้ ก็ใช้วิธีอย่านั้น เราเองก็จะไม่เครียด รู้สึกรีแลกซ์ ที่สำคัญต้องได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบบ้าง

ขอขอบคุณ ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ไม่มีความคิดเห็น: