เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2555 เวลา 10.30-15.00 น. มีการเปิดเวทีสาธารณะ โครงการปัญหารากเหง้าของความขัดแย้งและแนวทางสู่ความปรองดอง ศึกษาเฉพาะกรณีด้านโครงสร้างอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกัน เสนอโดย ศ.ดร. ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ รศ.ดร. พอพันธุ์ อุยยานนท์ รศ.ดร. อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ และ ผศ. พฤกษ์ เถาถวิล ที่ห้องประชุมบุญชู ตึกอเนกประสงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ อันเป็นโครงการวิจัยภายใต้ คณะอนุกรรมการด้านการศึกษาวิจัยและกิจกรรมทางวิชาการและคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ
ศ.ดร.ธเนศ เปิดเผยว่า จะนำงานวิจัยชิ้นนี้ ส่งให้แก่ คอป. ในวันที่ 27 เม.ย. โดยจะมีจำนวน 7 บท รวมแล้ว ไม่ต่ำกว่า 300 หน้า เพื่อเป็นแนวทางหาทางแก้ปัญหาความขัดแย้งต่อไป
ศ.ดร.ธเนศ กล่าวตอนหนึ่งว่า ความขัดแย้งที่เกิดในช่วงเดือนเมษา-พฤษภา 2553 เป็นเพราะมวลชนไม่ยอมรับสภาพการดำรงอยู่ ของโครงสร้างอำนาจทางสังคมที่ไม่เท่าเทียมกันอีกต่อไป โจทย์ใหญ่ในการศึกษานี้ คือปัจจัยอะไรในโครงสร้างของอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันในสังคม ที่นำไปสู่การเกิดความขัดแย้งระหว่างกลุ่มฝ่ายและพลังทางสังคมต่างๆ และค้นคว้าว่ามีปัจจัยอะไรที่จะช่วยในการปฏิรูปการจัดสรรอำนาจ เพื่อลดทอนความขัดแย้งที่รุนแรงและนำไปสู่การสร้างความสมานฉันท์ในสังคมต่อไป พบว่าเครือข่ายหลักๆ ที่นำไปสู่โครงสร้างอำนาจมี 4 เครือข่าย คือ 1. อุดมการณ์ 2. การเมือง 3. ทหาร 4. เศรษฐกิจ
"โครงสร้างทางสังคมนั้นจริงๆ แล้วในทางปฏิบัติไม่มีความเท่าเทียมกันมาตลอด แต่มันจะแสดงออกในหลายลักษณะ ในแง่ของการดูถูก หรือการขัดแย้งระหว่างเมืองกับชนบท ระหว่างหญิงชาย คือวิถีความเหลื่อมล้ำมีมาก จนหาความเหลื่อมล้ำได้ง่ายกว่าความเสมอภาคเท่าเทียมกัน สิ่งที่น่าสนใจก็คือว่าในหลายร้อยปีที่ผ่านมา ทำไมคนไม่ประท้วงทุกวัน ทำไมคนไม่ขัดแย้งกัน นี่คือโจทย์ว่าทำไมช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ทำไมความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกันซึ่งมีมาตลอด จึงกลายเป็นจุดที่คนไม่ยอมรับแล้ว คนมีปฏิกิริยาไม่ยอมรับมากกว่าที่เคยมีมา เหตุการณ์ไม่ปกติจากแต่ก่อนทนได้ หรือมีคำตอบอย่างอื่น แต่ตอนนี้ คำตอบเหล่านั้นสิ่งที่เคยทนได้ ไม่ทนแล้ว
และนี่ก็คือสิ่งที่เราสนใจว่าเกิดอะไรขึ้น แน่นอนก็ไปโยงถึงความชอบธรรมของสถาบันเครือข่ายต่างๆ ทำให้สิ่งที่เป็นอาญาสิทธิ เริ่มมีคำถามว่าเป็นอาญาสิทธิที่ถูกต้องไหม แล้วมีคนออกมาแสดงออกด้วย ทั้งหมดเป็นโจทย์คำถามถึงความขัดแย้งต่างๆ จากนั้น เราจะดูว่าปัจจัยอะไรที่จะช่วยการปฏิรูปการจัดการอำนาจและโครงสร้างอำนาจหรือความสัมพันธ์เชิงอำนาจ เพื่อนำไปสู่การลดทอนความขัดแย้งที่รุนแรงและนำไปสู่การสร้างความสมานฉันท์ปรองดองในสังคมต่อไป นี่เป็นภาพรวมของงานวิจัยชิ้นนี้"ศ.ดร.ธเนศ กล่าว
รศ.ดร.พอพันธุ์ อุยยานนท์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวว่า ในอดีตการชี้วัดสังคมเศรษฐกิจไทยเมื่อ 20 ปีที่แล้ว กรุงเทพฯ มีสัดส่วน GDP 1 ใน 3 หรือ 33% แต่ปัจจุบันนี้เหลือ 1 ใน 4 ขณะที่การขยายตัวเกิดขึ้นมากในภาคกลางคือ นอกกรุงเทพฯ โดยเฉพาะภาคกลางและตะวันออก แสดงว่าอำนาจเศรษฐกิจเริ่มกระจายไปชนบท สำหรับเหนือ อีสาน ใต้ ก็มีการก่อสร้างโรงงาน มีผลผลิตทางการเกษตร มีกิจการขนาดใหญ่
สังคมเศรษฐกิจไทย วิกฤตการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2540 มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางอำนาจ โดยหลังปี 2540 กลุ่มทุนเก่า พวกแบงก์ที่เคยมีอิทธิพลในอดีต กลุ่มทุนเหล่านี้ ควบคุมเงินทุน ควบคุมสินทรัพย์ 70-80% กลุ่มทุนเหล่านี้ก็มีปัญหาทางเศรษฐกิจ เจ้าของทุนซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ๆ ก็ถูกลดทอน จนกระทั่งปัจจุบัน แม้ว่าแบงก์จะเติบโต แต่สัดส่วนจริงๆ ของผู้เป็นเจ้าของดั้งเดิม เช่น ตระกูลโสภณพณิช ตระกูลล่ำซำ ก็เหลือน้อยมาก พร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลง แต่กลุ่มทุนใหม่ก็เกิดขึ้น โดยเฉพาะหลังเศรษฐกิจฟื้นตัว
"กลุ่มทุนที่เติบโต ซึ่งสะท้อนภาพการเติบโตของโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ก็คือ กลุ่มทุนคมนาคม กลุ่มทุนบริการ กลุ่มทุนสื่อสาร ถ้าเราไปดูลำดับเศรษฐีของประเทศไทยในปัจจุบัน ก็จะมีตระกูลใหม่ๆ ซึ่ง 20-30 ปี เราไม่เคยรู้จักตระกูลเหล่านี้ เช่น ตระกูลชินวัตร ดามาพงศ์ มาลีนนท์ จึงรุ่งเรืองกิจ ดำรงชัยธรรม โพธารามิก แล้วพวกนี้ แม้กระทั่งปัจจุบัน ถือว่าเป็นผู้มีสัดส่วนติดอันดับรายใหญ่ที่สุดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นี่คือ พลวัตของกลุ่มทุนใหม่ ซึ่งมีไดเวิร์ส (มีความหลากหลาย - มติชนออนไลน์) เป็นภาคธุรกิจบริการ ธุรกิจคมนาคม ขณะที่ในอดีตมี 4 กลุ่มหลัก โดยเฉพาะทุนการเงิน ซึ่งมีเครือข่ายแบงก์กรุงเทพฯ แบงก์กสิกร ขณะเดียวกับกติกาของรัฐธรรมนูญ 2540 ก็สนับสนุนพรรคการเมืองขนาดใหญ่และต้องมีทุนขนาดใหญ่ แม้ว่าตัวรัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุว่าต้องมีเงิน แต่ลองดูนะครับ ระบบปาร์ตี้ลิสต์ ทำให้พรรคเล็กอยู่ไม่ได้ ออกแบบมาอย่างมีอคติกับพรรคเล็ก เมื่อพรรคใหญ่ทุนมาก ประกอบกับสังคมโลกาภิวัฒน์ที่มีระบบเสรีมากขึ้น กลุ่มทุนก็เข้ามาในพรรคไทยรักไทยมากขึ้น แล้วเป็นกลุ่มทุนที่หลายกรณีก็ไม่ได้ถูกภาวะเศรษฐกิจถล่มในปี 2540 ซึ่งทำไมต้องเข้ามา คือเราต้องเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะโลกาภิวัฒน์ กติกาการค้าโลก มันบังคับให้หลายประเทศเปิดการค้าเสรีจริงอยู่ โดยหลักการเป็นเสรี แต่กลุ่มทุน เหล่านี้ ผมคิดว่า ความหมายก็คือปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง แล้วกลุ่มเหล่านี้ ก็เข้ามากำหนดนโยบายทางการเมือง นโยบายทางอำนาจ ในด้านหนึ่งก็ปกป้องกลุ่มทุนของตัวเอง" รศ.ดร.พอพันธุ์ กล่าว
นอกจากนั้น หลังปี 2540 ในอดีตย้อนไป 20 กว่าปี ยุคสมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แบงก์ไทยพาณิชย์ แบงก์พาณิชย์ ถือว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลมาก พอทักษิณ ขึ้นมาเป็นนายกฯ เขาเคยไปกระแนะกระแหนแบงก์กสิกร แบงก์อะไรว่าสนใจแต่เรื่องปรับฮวงจุ้ย บทบาทของเอกชนในฐานะกลุ่มทุนเก่า มันเริ่มหมดไป หลังปี 2540 นายทุนใหญ่ๆ เจ้าของทุน เข้ามาการเมืองเต็มตัว อันนี้เป็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองที่ไม่เหมือนในอดีต
สำหรับการเมืองไทยหลังปี 2540 เปลี่ยนแปลงไปมากและไม่สามารถถอยหลัง คือสิทธิเสรีภาพของท้องถิ่น ไม่สามารถย้อนกลับไปรัฐธรรมนูญแบบครึ่งใบ บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2540 มีคุณูปการ คือเปิดพื้นที่ให้กับกลุ่มคนที่ไม่เคยมีส่วนร่วมทางการเมือง ประกอบกับในช่วงที่ทักษิณ เป็นผู้นำรัฐบาลปี 2544 ทำให้บุคคลจำนวนมากได้ประโยชน์
เมื่อการเมืองเปิดกว้าง 5-6 ปี ก็จะเกิดผู้ประกอบการทางการเมือง เข้ามาในระบบการเมือง ยกตัวอย่างในระดับรากหญ้า นักการเมืองระดับเล็กระดับใหญ่ คนที่จะเป็นตัวกลางทางการเมือง คอยจัดการทางการเมือง โดยเฉพาะให้กับพรรคไทยรักไทย พรรคเพื่อไทย เกิดขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อน นี่คือการเปิดพื้นที่อย่างมหึมา แม้ทักษิณจะถูกรัฐประหาร 19 กันยา 2549 แต่ปรากฎว่าแนวร่วมก็ยังคงอยู่ ผมคิดว่าเป็นเพราะรัฐธรรมนูญ2540 บวกนโยบายประชานิยม ทำให้กลุ่มพลังทางการเมือง มันค่อนข้างจะมีความหลากหลาย มีพลังไปสู่ต่างจังหวัด
การเมืองหลังรัฐประหารคล้ายการเผชิญหน้าระหว่างภูมิภาค เหนือกับอีสาน และ กลางกับใต้ มีสัดส่วนการเลือกตั้งไปในแนวทางเดียวกัน เลือกตั้งครั้งใด ผลก็ออกมาแบบนั้น
รศ.ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ อาจารย์คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า กองทัพเป็นส่วนหนึ่งของปมปัญหาความขัดแย้ง เพราะการสร้างระบอบประชาธิปไตย สถาปนารัฐธรรมนูญวัฒนธรรมของชนชั้นสูง คือข้อตกลงในระหว่างคนชั้นสูงว่าเราจะอยู่ร่วมกันในความสัมพันธ์เชิงอำนาจแบบนี้ แล้วทุกคนก็จะรับรู้ร่วมกัน แต่ย้ำว่าเป็นของคนชั้นสูง ซึ่งถูกสถาปนาขึ้นมาในสมัย พล.อ.เปรม แล้วกลายเป็นฐานความขัดแย้งกับคนกลุ่มใหม่ โดยความเปลี่ยนแปลงหลังปี 2516 อำนาจของผู้อุปถัมภ์รายใหญ่ของกองทัพ หายไปอย่างฉับพลัน ขณะที่ก่อนนั้นมีการต่อรองกัน เมื่อส่วนหัวหลุดไป จึงมีการแบ่งแยกกลุ่มย่อย ต่อสู้ช่วงชิงว่าใครจะมีอำนาจเหนือ การเข้าใกล้ หรืออ้างอิงติดอยู่กับสถาบันฯ เป็นหนทางที่จะทำให้บางกลุ่มในกองทัพมีอำนาจเหนือกว่าคนอื่น ก่อนที่การอ้างอิงลักษณะนี้จะกระจายตัวจากทหารไปสู่ข้าราชการ และกลุ่มทุน
ขณะเดียวกันเงื่อนไขต่อมา ก็ทำให้ต้องเปิดให้มีการเลือกตั้ง คือการลงทุนของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นมหาศาล พร้อมกับโครงสร้างพื้นฐาน เกิดขึ้นจากกลุ่มทุนการเงิน ขยายตัวออกไปอย่างมากมาย จึงต้องการเสถียรภาพซึ่งต้องมีระบอบประชาธิปไตยกำกับอยู่ เงื่อนไขอย่างน้อย 2 อย่างจึงทำให้มีประชาธิปไตย
ท่ามกลางการเมืองแบบนี้ ทำให้กลุ่มทุน ทหาร สัมพันธ์กันแนบแน่นมากขึ้น ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจที่ธนาคารกรุงเทพ กับ พล.อ.เปรม ก็สัมพันธ์กันแนบแน่น ช่วงที่ธนาคารกรุงเทพมีปัญหา พล.อ.เปรม ก็มีบทบาทคลี่คลายสถานการณ์ของแบงก์ ซึ่งเสถียรภาพที่กองทัพสร้างขึ้นมา มีคนได้ประโยชน์ กลุ่มทุนต่างๆ ข้าราชการขยายตัว ขยายชนชั้นกลางให้มีมากขึ้น ทั้งหมดอยู่ภายใต้อุดมการณ์เดียวกัน แต่เสถียรภาพนี้ไม่ได้ยังผลดีแก่ชาวนาสักเท่าไหร่ ชาวนาผลิตด้วยต้นทุนที่สูงขึ้น ทางออกคือสร้างความหลากหลายในผลผลิต และออกมาทำงานนอกภาคการเกษตร
เสถียรภาพทางการเมืองแบบนี้ ด้านหนึ่งทำให้คนบางกลุ่มเติบโต แต่บางกลุ่มไม่โต เป็นบทบาทของทหาร แล้วทหารก็จะเล่นบทบาทของผู้ที่ค้ำประกัน ค้ำจุน หรือปกป้องรักษาอำนาจทางวัฒนธรรม แล้วควบคุมการเมือง รูปแบบนี้เริ่มตั้งแต่สมัย พล.อ.เปรม ท้ายที่สุดแล้ว โครงสร้างอันนี้ รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมของคนชั้นสูงนี้ สุดท้ายจะกลายเป็นกลุ่มทุนใหม่ซึ่งเกิดขึ้นและจะมีความเปลี่ยนแปลงอีกชุดตามมา
ผศ.พฤกษ์ เถาถวิล อาจารย์คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี กล่าวว่า ตนได้ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของขบวนการประชาชนรากหญ้าในบริบทของการช่วงชิงอำนาจของชนชั้นนำ โดยสังเกตการณ์จากหมู่บ้านและตีความตามปรากฏการณ์ พบว่าคนชนบทเปลี่ยนแปลงไป ทั้งภาคเกษตรและนอกการเกษตร รวมทั้งวิถีการบริโภคความคาดหวังกับชีวิต ก็ใกล้เคียงชนขั้นกลางมากขึ้น เป็นชาวชนบทที่กลายเป็นคนเมือง ซึ่งความสัมพันธ์ทางอำนาจก็เปลี่ยน จากที่เคยยอมรับความเอารัดเอาเปรียบก็กลายเป็นไม่ยอมรับ ขณะเดียวกันก็เกิดขบวนการชาวบ้านที่ออกมาต่อสู้เรื่องต่างๆ ขณะที่คุณทักษิณ ก็ไม่ได้แตะปัญหาโครงสร้างของชนบท เช่น เรื่องที่ดิน แต่ไม่แก้ปัญหาการเกษตร
ขณะเดียวกัน มีการแย่งชิงอำนาจของชนชั้นนำกับการแย่งชิงมวลชนในชนบท ความวุ่นวายทางการเมือง4-5 ปีที่ผ่านมาเกิดจากกลุ่มอำนาจ 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเป็นกลุ่มอำนาจเก่า หรือกลุ่มอนุรักษ์นิยม ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นกลุ่มอำนาจใหม่ มีทักษิณ ชินวัตร และแวดล้อมด้วยกลุ่มทุนใหม่ ซึ่งการแบ่งกลุ่มนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายเป็นกลุ่มที่ผนึกอำนาจในลักษณะพันธมิตรพันธุ์ข้ามชนชั้น โดยต่อสู้แย่งชิงอำนาจกัน แต่ไม่ได้ต้องการหักล้างกันถึงที่สุด แต่เป็นการแย่งชิงกันเพื่อสถาปนาตัวเองขึ้นมาเป็นกลุ่มประวัติศาสตร์ แล้วมีช่วงเวลาประณีประนอมเกี้ยเซี้ย ไม่ทะเลาะกันจนล้มตาย แต่แย่งกันขึ้นไปสู่การครองอำนาจ แล้วสิ่งสำคัญคือ ทั้ง 2 ฝ่าย อยู่ได้ด้วยการแย่งชิงมวลชนในชนบท ไม่สามารถต่อสู้กันได้โดยลำพัง แต่ว่าทั้ง 2 ฝ่าย จะต้องดึงมวลชนเข้าหาเพื่อสนับสนุน
ปรากฏการณ์สร้างมวลชนสายอนุรักษ์นิยม มีปฏิบัติการณ์ที่ตอกย้ำอุดมการณ์กษัตริย์นิยม โดยเกิดการขยายตัวเข้าไปดูกลืน เข้าไปในการพัฒนาชนบทช่วงหนึ่งเรียกว่าชุมชนชาตินิยม คือ เชื่อในความเข้มแข็งของชุมชน ประกอบกับช่วงปี 2540 มีการเผยแพร่ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เกิดหมู่บ้านพลเมืองผู้จงรักภักดี มีกระบวนการสร้างมวลชนฝ่ายอนุรักษ์นิยม
อีกขบวนการคือ มวลชนคนเสื้อแดง มีจุดร่วมกันคือ ชื่นชมทักษิณ ชื่นชมนโยบายไทยรักไทย เลือก ส.ส.เพื่อไทย มีตัวละครใหม่ทางการเมือง เป็นผู้ประกอบการทางการเมือง ซึ่งมีฐานะจากชาวบ้านธรรมดา ที่อาจจะเป็นผู้รับเหมา คนทำสวนยาง ที่ค้นพบว่า เมื่อเขากระโดดเข้ามาเป็นแกนนำ ในการจัดกิจกรรมในท้องถิ่น จัดเวทีเชิญ นปช. เชิญเพื่อไทย มาเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงอะไรต่างๆ ปรากฏว่ามันเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจการเมือง ได้เป็นหัวคะแนน ได้เป็นโน่น เป็นนี่ คือมีทุนทางวัฒนธรรมการเมืองมีพื้นที่ เช่น นักร้องตลกบางคนกลายเป็น ส.ส. จ่าตำรวจบางคนยกมือไหว้คนทั้งจังหวัด ตอนนี้เป็น ส.ส. ชื่อดังใส่ชุดแดง ตอนนี้ไปไหนใครก็ยกมือไหว้ เป็นโอกาสในสังคมที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เปิดโอกาสให้คนที่เป็นชาวบ้านธรรมดา เข้าถึงแวดวงทางการเมือง ยกระดับมีพื้นที่มีตัวตน
ขณะนี้ขบวนการเสื้อแดงในอีสานและเหนือ ถูกผลักดันด้วยคนเหล่านี้ ไม่ต้องมีใครจะจ้าง แต่เขาอยากจะทำ เพราะเมื่อทำแล้วเขาก็ได้กลับ นี่คือพลังผลักดันของเสื้อแดงเป็นมิติใหม่ ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่
สถานการณ์ตอนนี้คนชนบทเปลี่ยนจากตัวประกอบในการต่อสู้ระหว่างชนชั้นนำไปเป็นผู้เล่นคนหนึ่งโดยชาวบ้านไม่ยอมที่จะเป็นตัวประกอบอีกต่อไป เขาเขียนบทของเขาเอง มีธงมีผลประโยชน์อุดมการณ์ของตัวเอง มาถึงยุคที่ชนชั้นนำ ต้องเข้าใจเมื่อชาวบ้านตื่นมาเป็นพลังต่อรอง นี่คือสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ถ้าชนชั้นนำปฏิเสธที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลง ก็จะเป็นปัญหา แต่ถ้าชนชั้นนำหาทางออกเปิดพื้นที่จริงจัง สังคมไทยก็มีโอกาสเปลี่ยนแปลงไปในทางสันติ ไปในทางที่ดี
ด้านนายปรีดา เตียสุวรรณ์ ผู้ก่อตั้งบริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ ซึ่งร่วมรับฟังเวทีสาธารณะได้แสดงความคิดเห็นตอนหนึ่งว่า ประเทศไทยกระโจนไปสู่โลกาภิวัตน์อย่างเต็มตัว ในแง่ที่ว่าเศรษฐกิจของเรานั้น ขึ้นอยู่กับการส่งออกและนำเข้า ซึ่งเป็นธรรมดาที่กระแสโลกาภิวัฒน์ ได้นำมาซึ่งความไม่เท่าเทียมกันความเหลื่อมล้ำกัน แม้รัฐธรรมนูญสวยหรู ฉบับปี 2540 บอกว่า จะต้องดูแลแรงงานต่างด้าวในลักษณะคนไทย แต่เราก็ไม่เคยปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ เพราะในความเป็นไทยของเรา เราก็ 2 มาตรฐาน แต่ในทางกลับกันแรงงานต่างด้าวก็มาดึงค่าแรงของคนไทยเข้าไปอีก คนที่อายุมากก็ออกไปเลย เอาต่างด้าวมาทำดีกว่า เป็นแบบนี้ก็เพราะโลกาภิวัฒน์
ด้านนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทไทยซัมมิท ในฐานะผู้เข้ารับฟังเวทีสาธารณะได้ร่วมแสดงความคิดเห็นว่า ตนขออนุญาตเห็นแย้งในข้อที่ว่าโลกาวิวัตน์ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมในสังคมไทย คือเราพูดราวกับว่าก่อนหน้าวิกฤติเศรษฐกิจ 2540 แบงก์ไทยหรือระบบธนาคารไทย ไม่ได้ผูกขาดด้วย 5 แบงก์ใหญ่ ทั้งที่ระบบที่สร้างความไม่เท่าเทียม ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างคนรวยคนจน ห่างขึ้นหรืออะไรก็ตาม มันเกิดมาตั้งแต่ ก่อน โลกาภิวัตน์อยู่แล้ว เรากล้าพูดไหมว่า ทำไมคนไทยกินเบียร์แพง ทำไมคนไทยกินเหล้าแพง คือเรื่องต่างๆ เหล่านี้ เกิดมาตั้งแต่ก่อนโลกาภิวัตน์อยู่แล้ว
"ผมขอถาม อาจารย์น่าจะนึกภาพออกย้อนหลังไป 20 ปี อาจารย์เคยเห็นแบงก์ไหนมาตั้งโต๊ะปล่อยเงินกู้บ้าง ไหม..ไม่มี ไม่เคยเห็นแบงก์ไหน ออกมาตั้งโต๊ะปล่อยเงินกู้ เพราะนายทุนธนาคาร superior (มีสถานะสูงกว่า) กว่านายทุนอุตสาหกรรม เพราะระบบนี้ เราพูดราวกับว่าก่อนหน้าวิกฤติ 2540 ก่อนหน้าการเข้ามาของโลกาภิวัตน์ สังคมไทยไม่มีการขูดรีด ไม่มีกลไกที่สร้างความไม่เท่าเทียม...ไม่ใช่ เพราะมันเป็นมาตั้งแต่ไหนแต่เราแล้ว แล้วคนที่อิมพอร์ตโลกาภิวัตน์ คนที่อิมพอร์ตทุนต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทย ให้ผมพูดไหมว่า เป๊ปซี่ใครเป็นคนเอาเข้ามา ให้ผมพูดไหมว่า โค้ก ใครเป็นคนเอาเข้ามา ไปดูชื่อผู้ถือหุ้นของโตโยต้าวันนี้ ใครเป็นคนเอาเข้ามา ไปดูชื่อผู้ถือหุ้นของฮอนด้าใครเป็นคนเอาเข้ามา ผมไม่อยากจะบอก
แต่ถ้าคุณไปดูชื่อผู้ถือหุ้นของยุคนี้เราจะเห็น...คุณไปดู อีซูซุ ใครเป็นคนเอาอีซูซุเข้ามา มันเป็นเรื่องที่ ผมถาม panel (ที่ประชุม) เลยว่า กล้าพูดถึงไหน ผมถามว่ากล้าพูดถึงไหนเลย ถ้าจะพูดถึงเรื่องนี้ โอเค พลอตเรื่องผมไม่เห็นต่างจากอาจารย์อรรถจักร์ ซึ่งเขียนไว้ในเอกสารชัดเจน
คือ จริงๆ ในแง่หนึ่งเนี่ย ผมรู้สึกขอบคุณวิกฤตปี 40 ด้วยซ้ำที่มันเกิดขึ้น ในแง่หนึ่งนะ ผมรู้สึกว่า เพราะการเกิดขึ้นของวิกฤตปี 40 แน่นอนทำให้ Banking (การธนาคาร) มันเปิด อันนี้เราเห็นชัดเจน ทำให้อุตสาหกรรมหลายอุตสาหกรรมมากที่มันถูกปิด มันเปิด มันทำให้เกิดลักษณะการสะสมทุนแบบใหม่ขึ้น
ผมยกตัวอย่างกรณีคุณตัน โออิชิ เราหาคนที่เกิดแบบคุณตัน ก่อนหน้าวิกฤตปี 40 ได้ไหม?... ไม่มี นายทุน กระบวนการสะสมทุน ที่เกิดตั้งแต่ พ.ศ. 2475-2540 มันคือถูก Economic Rent Seeking (แสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจ) ทั้งนั้นเลย การเกิดขึ้นของวิกฤต 40 มัน break channal (เปิดช่องทาง) พวกนี้หมด ...พ.ร.บ.การลงทุนต่างด้าวถูกเปิดออกหมด ในภาคเมนูแฟคเจอริ่งเกือบทุกอย่างถูกเปิดหมด
แล้วคนที่ออกมาโอดครวญการนำเข้าของโลกาภิวัตน์ หรือเรียกร้องกระแสชาตินิยม มาจากทุนที่พ่ายแพ้ทั้งนั้น ยกตัวอย่าง คุณประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ทีพีไอหนี้เน่าที่ใหญ่ที่สุดในระบบธนาคารไทย คือคนที่ออกมาป่าวประกาศ เรียกร้องเรื่องกระแสชาตินิยมวันนั้น ยกตัวอย่างสนธิ ลิ้มทองกุล นี่คือคนที่พ่ายแพ้จากโลกาภิวัตน์ทั้งนั้นเลยที่ออกมาเรียกร้องหากระแสชาตินิยม แล้วที่สำคัญที่สุด เวลาเราพูดถึงโลกาภิวัตน์เนี่ย ด้านกลับที่ตอกเข้าไปเลย คือเศรษฐกิจพอเพียง ปัญหาของข้อถกเถียงแบบโลกาภิวัตน์คือ คุณหนีไม่ออก คุณพยายามบอกว่าทางรอดทางเดียวของโลกาภิวัตน์คือ เศรษฐกิจพอเพียง
ทีนี้ ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับพลอตเรื่องนะครับ คือพลอตเรื่องแบบที่เราพูดกันเนี่ย มันเกิดการไม่เท่าเทียม เกิดการกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรม แต่พอสังคมพัฒนาขึ้น คุณทักษิณเข้ามา ทำให้คนรู้สึกว่า (อย่างในถ้อยคำที่พูดในเอกสาร) ...ทำให้ภาคชนบทและกลุ่มคนต่างๆ มีความต้องการในการปกครองและระบอบการเมือง ของประเทศมากขึ้น คือเขารู้ว่าสิทธิของเขามันกินได้จริงๆ นะ ในแง่การเมืองสมัยใหม่ ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทยด้วยซ้ำไป ที่ออกไปหาเสียงด้วยนโยบาย เมื่อได้รับเลือกตั้งก็เอานโยบายนั้นมาปฏิบัติใช้จริง เราไม่มีทางนึกนโยบายของพรรคความหวังใหม่ออกเลย ใครนึกนโยบายของพรรคความหวังใหม่ออกบ้าง ใครนึกนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ออกบ้าง ก่อนหน้า 40 นึกไม่ออก เราไม่มีทางนึกนโยบายชาติพัฒนา พรรคอะไรก็แล้วแต่ที่มี เราไม่สามารถนึกนโยบายของพรรคไหนออกได้เลย แต่พอมาถึงพรรคไทยรักไทย เรานึกนโยบายออก เพราะมันจับต้องได้ ทำให้ โอเค ตรงนี้ ผมเห็นด้วยว่า ทำให้ภาคชนบทและกลุ่มคนต่างๆ มีความต้องการในระบอบการปกครองและระบบการเมืองมากขึ้น
ผมว่าในแง่ของการเมืองสมัยใหม่แล้ว ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกด้วยซ้ำไป ในเซนส์ที่มีการขายนโยบายและ implement นโยบาย (นำนโยบายไปปฏิบัติใช้) จริงๆ
ปัญหาตรงนี้ ที่บอกว่า โครงสร้างอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกัน คือพลังที่ต้องการเข้าไป participant (มีส่วนร่วม) กับการเมืองแบบรัฐสภา มันเกิดขึ้นจริง เห็นได้ชัด จับต้องได้ แต่ปัญหาคือ สิ่งที่ปฏิปักษ์กับพลังตรงนี้ กล้าพูดเท่าไหนใน report (รายงาน) ผมคิดว่านี่คือเรื่องสำคัญ คุณกล้าพูดเท่าไหร่ คือถ้าไม่กล้าพูดเรื่องพวกนี้มัน no meaning (ไม่มีความหมาย) เลย ถ้าไม่พูดเรื่องพวกนี้ แล้วผมคิดว่า no meaning
คือพลังที่มันเป็นปรปักษ์กับพลังที่จะเปิดสังคมให้มันกว้างขึ้น อย่างเช่น นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ถ้าการเมือง คือ who get what and how (ใครได้อะไรและอย่างไร) นะครับ คนชั้นล่างกำลังบอกว่า ผมขอเข้าไปมีส่วน who get what and how ด้วย ไม่ใช่ว่าคุณไปคุย who get what and how กันข้างหลังม่าน
ผมบอกว่า ไม่เอาแล้ว ขอผมเข้าไปมีส่วนร่วมได้หรือเปล่า who get what and how เพราะในท้ายที่สุด การบริหารประเทศคือการจัดสรรทรัพยากร ดังนั้น คนที่เป็นปฏิปักษ์กับกลุ่มตรงนี้เนี่ย ถ้า report ไม่พูดถึง เราไม่สามารถพูดได้เลยว่า โครงสร้างอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกันในสังคม มันเป็นยังไง ใช่ไหมครับ
ท้ายที่สุด ที่สำคัญด้วยคือ report นี้ ถูกกระทำ under (ภายใต้) คอป. ผมไม่ทราบว่ามันจะมีผลอะไรหรือไม่ กับการนำเสนอเรื่องอย่างนี้นะครับ ผมอยากจะฝากอาจารย์หลายๆ ท่านไว้ คือถ้ามันไปไม่ถึง ผมว่ามัน no meaning ครับ คือพลอตเรื่องไม่ได้มีอะไรใหม่ เพียงแต่เรากำลังบอกว่า โครงสร้างที่ไม่เท่ากัน อะไรที่มันไม่เท่ากัน ใครกับใครไม่เท่ากัน ใครทำให้มันไม่เท่ากันยังไง ผมคิดว่าตรงนี้มีปัญหา โอเคว่า พลอตเรื่องมันไม่เท่ากันยังไง โอเค ผมไม่เห็นต่าง กับอาจารย์พอพันธุ์ ไม่เห็นต่างกับอาจารย์อรรถจักร์ ขอบคุณครับ" นายธนาธรกล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น