วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สรรพสามิตจ้องรีดภาษีมือถือ-SMS 3%



“สรรพสามิต” ชงแผนรีดภาษี 3% “โทรมือถือ-เอสเอ็มเอส” หวังโกยรายได้ 2 หมื่นล้าน แฉเอกชนฟาดเอสเอ็มเอสครั้งละ 6 บาท ด้านผู้ประกอบการรีบประสานเสียงค้านแหลก ผลักภาระผู้บริโภค สงสัยรัฐบาลถังแตกรีบหาเงินเลือกตั้ง

แหล่งข่าวกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า ภายในสิ้นปีนี้กรมสรรพสามิตจะเสนอให้นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เก็บภาษีสรรพสามิตโทรคมนาคมจากการใช้โทรศัพท์มือถือ และบริการส่งข้อความ (เอสเอ็มเอส) ในอัตรา 3% จากฐานภาษีที่ให้เก็บได้ถึง 10%

ซึ่งที่ผ่านมา ในช่วงปี 2549-2550 กรมสรรพสามิตเก็บภาษีสรรพสามิตจากการใช้โทรศัพท์มือถือในอัตรา 10% มีรายได้ภาษีปีละ 1.5 หมื่นล้านบาท แต่ยกเลิกเพราะมีปัญหาทางการเมือง และข้อกฎหมายที่เอกชนไม่สามารถนำค่าสัมปทานมาจ่ายเป็นค่าภาษีสรรพสามิตได้

สำหรับการเสนอเก็บภาษีสรรพสามิตจากค่าบริการใช้โทรศัพท์มือถือในครั้งนี้ ได้ขยายไปถึงการเก็บภาษีสรรพสามิตบริการเอสเอ็มเอสด้วย เพราะเป็นการใช้โทรศัพท์มือถือรูปแบบหนึ่งและมีการใช้จำนวนมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กนักเรียน นักศึกษา ที่อาจใช้เกินความจำเป็น

จึงเสนอเก็บภาษีเพื่อควบคุมการใช้ นอกจากนี้ เอสเอ็มเอสถูกใช้ในการพาณิชย์อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการทายผลฟุตบอล การทายผลการแข่งขันประกวดต่าง ๆ ซึ่งมีค่าบริการต่อครั้งสูงถึง 6 บาท ในจำนวนนี้ผู้ให้บริการมือถือได้เพียง 1 บาท และบริษัทผู้จัดรายการได้ 5 บาท

”การเก็บภาษีสรรพสามิตโทรศัพท์มือถือทำได้ง่าย ไม่ต้องแก้ไขกฎหมาย เพียงแค่คลังเสนอคณะรัฐมนตรีเห็นชอบก็ดำเนินการได้ทันที”

อดสงสัยไม่ได้ว่า แนวทางของกรมสรรพสามิตเป็นการส่งสัญญาณว่า รัฐบาลนี้อยู่ในภาวะถังแตกหรือไม่ เพื่อเร่งหารายได้รองรับกับการเลือกตั้งครั้งต่อไป ทั้งที่ในทางปฏิบัติหน่วยงานของรัฐ คือ บมจ.ทีโอที และบมจ.กสท โทรคมนาคมได้จัดเก็บและมีรายได้จากกิจการนี้อยู่แล้ว ซึ่งการจัดเก็บภาษีโทรคมนาคมในต่างประเทศ อยู่ภายใต้ระบบใบอนุญาตทำให้อัตราการจัดเก็บน้อยกว่าไทยมาก เมื่อไทยอยู่ภายใต้สัมปทานการจัดเก็บจึงสูงอยู่แล้ว หากเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมอีกก็ถือว่าสูงมาก

หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ผู้บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส กล่าวว่า รัฐควรศึกษาผลกระทบอย่างรอบด้าน และกิจการโทรคมนาคมไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือย แต่เป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคแล้ว การเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้น ภาระย่อมตกอยู่กับผู้บริโภค ซึ่งรัฐบาลควรมุ่งจัดเก็บภาษีบาปจากสินค้าที่อยู่ใต้ดินให้ถูกต้องตามกฎหมาย จะดีกว่า

ไม่มีความคิดเห็น: