วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

นักกฏหมายเสนอยกเลิก พรก.ฉุกเฉินและ ประกาศ"ตีนตบ-วัตถุอันตราย"

จดหมายเปิดผนึก

ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2553

เรื่อง ขอให้ยกเลิกคำสั่งที่ 141/2553 และยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน

ตามที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าผู้รับผิดชอบแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินได้มีคำสั่งที่ 141 /2553 ฉบับลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2553 เรื่องให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอํานาจออกคําสั่งยึดหรืออายัดสินค้าหรือวัตถุอื่นใด ที่ก่อให้เกิดความแตกแยกในเขตท้องที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี จังหวัดสมุทรปราการและจังหวัดปทุมธานี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงมากขึ้นและเพื่อเสริมสร้างให้เกิดความเชื่อมั่นต่อการดําเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐ อันมีเป้าหมายเพื่อนําสังคมกลับเข้าสู่ความสงบสุข นั้น

เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนและองค์กรดังมีรายชื่อท้ายจดหมาย มีความเห็นดังต่อไปนี้

ประการแรก คำสั่งฉบับนี้ขัดต่อหลักการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 29 เนื่องจากเป็นการเพิ่มอำนาจให้พนักงานเจ้าหน้าที่ในการจำกัดสิทธิเสรีภาพที่กระทบต่อสาระสำคัญของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง และการบังคับใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ของพนักงานเจ้าหน้าที่เท่าที่มีอยู่ในปัจจุบันได้สร้างภาระและคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชนจนเกินจำเป็นแล้ว เนื่องจากมีการใช้ดุลพินิจและบังคับใช้กฎหมายเพื่อจำกัดเสรีภาพของผู้ที่มีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างไปจากรัฐบาล จึงไม่จำเป็นหรือมีเหตุอันควรที่จะต้องมีคำสั่งฉบับนี้

ประการที่สอง คำสั่งฉบับนี้มีลักษณะขัดต่อหลักการของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 อันเป็นหลักการพื้นฐานที่สำคัญของการออกกฎหมายที่กำหนดความผิดและโทษทางอาญา เนื่องจากความผิดตามข้อ 1 . ของประกาศฉบับนี้กำหนดลักษณะของวัตถุซึ่งต้องห้ามจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองด้วยถ้อยคำที่มีความหมายกว้าง ไม่สามารถระบุให้ชัดเจนแน่นอนได้ว่าหมายถึงวัตถุลักษณะใดบ้าง ทั้งยังครอบคลุมถึงวัตถุแทบทุกประเภทที่ประชาชนต้องใช้ในชีวิตประจำวัน ประชาชนผู้มีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายจึงไม่สามารถทราบถึงสิทธิเสรีภาพที่ตนพึงมี ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าการกระทำใดของตนผิดกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเป็นการเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ดุลพินิจได้ตามอำเภอใจ เอื้อต่อการใช้อำนาจไปในทางกลั่นแกล้งหรือเลือกปฏิบัติต่อประชาชนบางกลุ่มได้

ประการที่สาม คำสั่งฉบับนี้ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายตามที่ระบุไว้ข้างต้นได้อย่างแน่แท้ และยิ่งเป็นปัจจัยเพิ่มสถานการณ์ความแตกแยกในสังคมและเพิ่มระดับความรู้สึกไม่เป็นธรรมแก่ประชาชนมากขึ้น ทำให้ทัศนคติของประชาชนต่อรัฐบาลและเจ้าหน้าที่รัฐย่อมเป็นไปในทางลบ เนื่องจากมีการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการจำกัดสิทธิเสรีภาพของผู้ที่เห็นต่างทางการเมือง และหากยังมีการบังคับใช้ต่อไปย่อมทำลายหลักประกันเสรีภาพในการแดงความคิดเห็นทางการเมืองของประชาชน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในสังคมประชาธิปไตย และยังเป็นการทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนในการใช้อำนาจของรัฐโดยสิ้นเชิง

ดังนั้น เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนและองค์กรดังมีรายชื่อท้ายจดหมายนี้ขอเรียกร้องต่อฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ดังนี้

ประการแรก ขอให้ยกเลิกคำสั่งที่ 141/2553 เรื่องให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอํานาจออกคําสั่งยึดหรืออายัดสินค้าหรือวัตถุอื่นใด

ประการที่สอง ขอให้ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี จังหวัดสมุทรปราการและจังหวัดปทุมธานี อันเป็นเหตุให้มีออกประกาศใช้อำนาจที่อาจคุกคามต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน ประกอบกับไม่มีเหตุฉุกเฉินที่เป็นภัยคุกคามความอยู่รอดของชาติที่จำเป็นต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างร้ายแรงดังที่มีการกล่าวอ้างแต่อย่างใด และไม่จำต้องจัดตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อใช้อำนาจทหารเป็นกลไกพิเศษในการควบคุมสถานการณ์และให้อำนาจทหารใช้อำนาจที่อาจเป็นปฏิปักษ์กับสิทธิเสรีภาพของประชาชนดังการออกคำสั่งดังกล่าว

ทั้งนี้ เครือข่าย ดังกล่าว ประกอบด้วย เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) มูลนิธิผสานวัฒนธรรม โครงการนิติธรรมสิ่งแวดล้อม ดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล สุนี ไชยรส จุลศักดิ์ แก้วกาญจน์ คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยช

ไม่มีความคิดเห็น: