วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ฉลองเมืองเวียงจันทร์ 450 ปี เริ่มแล้ว



บัวเงิน ซาพูวง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแถลงข่าวและวัฒนธรรม ซึ่งรับผิดชอบด้านการแสดงและศิลปวัฒนธรรมในโอกาสการจัดงานเพื่อเฉลิมฉลองการสถาปนานครหลวงเวียงจันทน์ครบรอบ 450 ปีที่กำหนดจะมีขึ้นในวันที่ 15-21 พฤศจิกายน 2010 นี้ แถลงยืนยันว่าสำหรับงานในด้านการแสดงและศิลปวัฒนธรรมนั้น นอกจากจะมีการจัดการแสดงที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของนครเวียง จันทน์นับจากอดีตเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้แล้วก็ยังจะมีการจัดขบวนแห่อย่างยิ่งใหญ่อีกด้วย

โดยที่ถือว่าพิเศษสุดสำหรับในส่วนของการจัดขบวนแห่นั้น ก็คือจะมีการตั้งต้นขบวนที่หลวงพระบางด้วยการจัดมหรสพสมโภชอย่างยิ่งใหญ่เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน แล้วค่อยเคลื่อนขบวนแห่ที่ประกอบด้วยช้าง 9 ตัว ม้า 9 ตัว และ เกวียน 9 เล่มจากหลวงพระบางเรื่อยลงมาตามเส้นทางหมายเลข 13 จนถึงนครเวียงจันทน์ แล้วจึงต่อเนื่องด้วยการเฉลิมฉลองต่ออีกที่นครเวียงจันทน์เป็นเวลา 7 วัน 7 คืน

การจัดงานเฉลิมฉลองการสถาปนานครเวียงจันทน์ครบรอบ 450 ปีดังกล่าวนี้ได้กำหนดมีขึ้นในโอกาสเดียวกันกับบุญนมัสการพระธาตุหลวง โดยภารกิจหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งและทางการลาวกำลังเร่งมือเพื่อให้เสร็จทันกำหนดการเฉลิมฉลองดังกล่าว ก็คือการก่อสร้างอนุเสาวรีย์ของ เจ้าอนุวงศ์ ที่มีความสูงถึง 8 เมตรและถ้าหากรวมฐานหรือแท่นยืนด้วยนั้นก็จะมีความสูงรวมถึง 17 เมตรเลยทีเดียวซึ่งถือว่าเป็นรูปปั้นที่สูงที่สุดในลาวที่จะต้องใช้ทองแดงสำหรับหล่อคิดเป็นน้ำหนักถึง 8 ตันอีกต่างหาก

ถึงแม้ว่าจะเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่ารัฐบาลภายใต้พรรคประชาชนปฏิวัติลาวนั้น จะมีข้อจำกัดด้านงบประมาณสำหรับใช้ในการพัฒนาประเทศจนต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากต่างประเทศเป็นหลักในตลอดระยะเวลา 35 ปีที่ครองอำนาจทางการเมืองในลาวมานี้ก็ตาม แต่สำหรับการหล่อรูปปั้นของเจ้าอนุวงศ์ นี้ก็จะต้องเดินหน้าต่อไปและให้สำเร็จให้ได้ เพราะนั่นนับเป็นการประกาศศักดาของพรรคฯในฐานะผู้นำพาในการกอบกู้เอกราชของชาติเฉกเช่นเดียวกันกับที่ เจ้าอนุวงศ์ ได้เคยสร้างวีรกรรมไว้เมื่อครั้งอดีตกาลนั่นเอง

ครั้นแล้วด้วยอำนาจอันเต็มเปี่ยมในการปกครองลาว จึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใดเลยที่กลุ่มบริษัท MMG ซึ่งเป็นผู้ลงทุนขุดค้นแร่ทองคำและทองแดงอยู่ที่เมืองวีละบุลี แขวงสะหวันนะเขตในภาคกลางของลาวนั้นจะตอบสนองเจตนารมย์ของพรรคฯ ด้วยการได้ตกลงมอบทองแดงที่มีน้ำหนักรวม 8 ตันที่ผลิตได้จากเหมืองแร่ดังกล่าวให้กับทางการลาวเมื่อไม่นานมานี้ เพราะถ้าหากจะเปรียบเทียบกับทอง แดงกว่า 80,000 ตันและทองคำกว่า 100,000 ออนซ์ที่กลุ่มบริษัท MMG จากจีนได้ตั้งเป้าการส่งออกจากเหมืองแร่ในลาวไปต่างประเทศในตลอดปี 2010 นี้ก็นับว่าจิ๊บจ๊อยมากสำหรับทองแดง 8 ตันที่ได้บริจาคให้กับทางการลาวดังกล่าว

การก่อสร้างอนุเสาวรีย์ของ เจ้าอนุวงศ์ นี้ถือเป็น 1 ในทั้งหมด 21 โครงการที่ทางการลาวได้วางไว้ในแผนการเฉลิมฉลองการสถาปนานครเวียงจันทน์ครบรอบ 450 ปี โดยโครงการอื่นๆ ที่สำคัญนั้นก็เช่นการบูรณะปฏิสังขรวัดสีสะเกด การพัฒนาและขยายสนามพระธาตุหลวง การพัฒนาตลาดเช้าทุกแห่งในเวียงจันทน์ การสร้างถนนเวียงจันทน์ 450 ปี การก่อสร้างสำนักงานการปกครองแห่งใหม่ของนครเวียงจันทน์ การก่อสร้างสำนักงานใหม่ของสภาแห่งชาติ การวางผังเมืองเวียงจันทน์เพื่อรองรับในการที่จะพัฒนาไปสู่เมืองแห่งความทันสมัย การก่อสร้างสวนสาธารณะหนองจัน การสร้างตลาดชายแดนที่ดงโพสี (สะพานมิตรภาพไทย-ลาว) เพื่อรองรับแผนการพัฒนาให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ การสร้างบ้านและกลุ่มบ้านพัฒนาเพื่อแก้ไขความยากจนของประชาชน และก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งในแนวแม่น้ำโขงจากเก้าเลี้ยวถึงธาตุขาวระยะทางยาวกว่า 10 กิโลเมตร เป็นต้น

ส่วนโครงการที่ดำเนินการก่อสร้างเสร็จแล้ว และทางการลาวก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งใน 21 โครงการด้วยนั้น ก็คือสนามกอล์ฟและสนามกีฬาแห่งชาติแห่งใหม่ที่หลักกิโลเมตรที่ 16 ของถนนหมายเลข 13 ใต้ในเขตเมืองไซทานี ที่ทางการจีนเป็นฝ่ายลงทุนและดำเนินการก่อสร้างเพื่อให้รัฐบาลลาวใช้เป็นสนามรองรับการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 25 เมื่อปลายปี 2009 ที่ผ่านมา

แต่อย่างใดก็ตาม การลงทุนและก่อสร้างสนามกีฬาให้กับรัฐบาลลาวดังกล่าวนี้ก็หาใช่ความช่วยเหลือแบบให้เปล่า เนื่องเพราะทางการลาวจะต้องให้สิทธิ์ในการเช่าที่ดินระยะยาวที่บึงธาตุหลวงเพื่อให้จีนพัฒนาเป็นเมืองใหม่ China Town เป็นการตอบแทน แต่เนื่องจากว่าประชาชนลาวนับเป็นแสนๆคนที่อาศัยอยู่ที่เขตบึงธาตุหลวงนั้นต่างไม่ยินยอมที่จะย้ายออกไปจากพื้นที่ดังกล่าวจนเท่าทุกวันนี้ (เพราะไม่พอใจอัตราค่าเวนคืนที่ต่ำเกินไป) จึงทำให้บริษัทจากจีนจำต้องย้ายโครงการออกไปอยู่ในเขตติดต่อกับสนามกีฬาแห่งใหม่ที่ได้สร้างให้กับรัฐบาลลาวนั่นเอง

ถึงกระนั้น คณะกรรมการจัดงานเฉลิมฉลองนครเวียงจันทน์ 450 ปีที่มี สมสะหวาด เล้งสะหวัด (รองนายกรัฐมนตรีผู้ประจำการคณะรัฐบาลลาว) เป็นประธานนั้น ก็ยังต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนงบประมาณอย่างมาก เนื่องจากว่ารัฐบาลลาวได้อนุมัติงบประมาณสนับสนุนการจัดงานฯ ทั้งหมดเพียง 15,000 ล้านกีบหรือประมาณ 55 ล้านบาทเท่านั้น ในขณะที่การจัดงานที่เป็นจริงนั้นจะต้องใช้จ่ายงบประมาณมากกว่านั้นกว่าสองเท่า

ทั้งนี้ก็เพราะว่าการจัดงานเฉลิมฉลองนครเวียงจันทน์ 450 ปีดังกล่าวนี้ นอกจากจะมีการจัดการแสดงด้านศิลปวัฒนธรรมแล้ว ทางการลาวยังจะต้องจัดกำลังพลเพื่อป้องกันและรักษาความสงบเรียบร้อยภายในให้ได้ 100% เต็ม รวมไปถึงการจัดงานพิธีการเพื่อรองรับแขกต่างประเทศและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ สำหรับรองรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติให้ได้อย่างครบชุดอีกด้วย

โดยที่ถือว่าจะต้องใช้จ่ายมากเป็นพิเศษนั้นก็คือการจัดขบวนแห่ที่จะมีมวลชนมากกว่า 1 หมื่นคนจาก 38 ภาคส่วนในทั่วประเทศเข้าร่วมด้วยในวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ถือว่าเป็นพิธีเปิดอย่างเป็นทางการซึ่งจะจัดให้มีขึ้นอยู่ภายในสนามกีฬาแห่งใหม่ที่จีนสร้างนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณดังกล่าว ก็ทำให้ทางการลาวจำต้องล้มขบวนแห่ที่ตั้งต้นจากหลวงพระบางมาที่เวียงจันทน์แล้วในขณะนี้ แต่ก็ยังจะมีการจัดมหรสพเพื่อเฉลิมฉลองเป็นเวลา 3 วัน 3 คืนที่เมืองหลวงพระบางอยู่เช่นเดิม แล้วจึงต่อเนื่องด้วยการเฉลิมฉลองในนครเวียงจันทน์อีกเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน รวมทั้งยังจะมีการจัดงานตลาดนัดอยู่ที่ธาตุหลวง ศูนย์การค้าลาว-ไอเทคและสนามกีฬาแห่งใหม่อีกต่างหาก

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้คณะกรรมการจัดงานฯ จำเป็นต้องจัดหางบประมาณให้ได้อย่างเพียงพอกับความต้องการที่เป็นจริงดังกล่าว โดยทางเลือกหนึ่งที่ได้เสนอต่อรัฐบาลลาวไปแล้ว ก็คือการออกหวยพัฒนา ที่กำหนดจะออกรางวัลเดือนละ 2 ครั้ง แต่เนื่องจากว่าการที่จะทำให้มีรายได้ถึง 15,000 ล้านกีบนั้นก็จำเป็นจะต้องมีการออกรางวัลมากถึง 120 ครั้ง ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 5 ปีเลยทีเดียว แต่คณะกรรมการฯ กลับต้องการงบฯ สำหรับใช้จ่ายเพื่อเตรียมทุกอย่างให้พร้อมภายในสัปดาห์เศษๆ ต่อไปนี้ จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะต้องหยิบยืมมาก่อน แล้วค่อยใช้คืนด้วยการให้สัมปทานสิทธิ์ในการออกหวยพัฒนาดังกล่าวแก่ผู้เป็นเจ้าหนี้ต่อไป

แต่ถึงกระนั้น พรรคฯและรัฐบาลลาวก็มีความเชื่อมั่นว่าผลตอบแทนที่จะได้จากการจัดงานเฉลิมฉลองนครเวียงจันทน์ 450 ปีในครั้งนี้จะคุ้มค่าอย่างยิ่ง เพราะการทุ่มสุดๆ เพื่อจัดงานในครั้งนี้ไม่เพียงจะมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างจิตสำนึกของประชาชนลาวในความรักชาติบ้านเมืองและมีศรัทธาต่อพรรคฯในฐานะผู้นำพาในการสร้างเสริมเอกราชแห่งชาติเท่านั้น หากแต่เป้าหมายอีกอย่างหนึ่งของพรรคฯก็คือการสร้างจิตสำนึกแห่ง “เวียงจันทน์” ในฐานะที่เป็นนครหลวงของคนลาวทั้งมวลด้วยนั้น ก็ย่อมจะสามารถนับเป็นกุศโลบายที่จะนำไปสู่การปรองดองระหว่างคนลาวในกับคนลาวนอกประเทศได้เป็นอย่างดีด้วยเช่นกัน

โดยสำหรับคนลาวในต่างประเทศที่ต้องการจะเดินทางกลับไปเยี่ยมญาติพี่น้องในโอกาสเฉลิมฉลองนครเวียงจันทน์ 450 ปีในปีนี้ ทางการลาวก็ได้อำนวยความสะดวกด้วยการให้สามารถที่จะยื่นคำร้องขอ VISAจากสถานทูตและสถานกงสุลลาวในต่างประเทศได้ระหว่างวันที่ 1-15 พฤศจิกายน และยังสามารถที่จะขอ VISA จากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่ประจำด่านชายแดนต่างๆของลาวได้ระหว่างวันที่ 15-21 พฤศจิกายน โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมแต่อย่างใด

ก่อนหน้านี้ กระทรวงการต่างประเทศของลาวก็ได้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการสนับสนุนส่งเสริมและอำนวยความสะดวกให้คนลาวนอกพากันเดินทางกลับคืนมาลาว ซึ่งก็พบว่าจะส่งผลดีอย่างยิ่งต่อการพัฒนาลาวให้เจริญก้าวหน้าอย่างเท่าทันกับบรรดาประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยกันและภูมิภาคอื่นๆได้ในอนาคต

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้รัฐบาลลาวได้ประกาศการดำเนินแผนการดึงดูดเอาคนลาวนอกกลับคืนมาประเทศลาวนับตั้งแต่ปลายปี 2009 เป็นต้นมาแล้ว ด้วยหวังว่าคนลาวนอกกว่า 6 แสนคนนั้นจะประกอบส่วนอย่างสำคัญเข้าในการพัฒนาลาวให้มีความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป เนื่องจากในปัจจุบันมีคนลาวในต่างประเทศจำนวนไม่น้อยที่มีความรู้ความสามารถในวิทยาการสมัยใหม่ และคนลาวนอกจำนวนไม่น้อยก็ยังมีความสามารถที่จะระดมเงินลงทุนเข้าไปในลาวได้อย่างมากอีกด้วย!!!

ไม่มีความคิดเห็น: