หลังการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเดือนเมษายน 2553 มีการอาศัยอำนาจตามมาตรา 9 (3) แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ออกข้อกำหนดเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2553 “ห้ามการเสนอข่าว การจำหน่าย หรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือพิมพ์ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใดที่มีข้อความอันอาจทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ในทั่วราชอาณาจักร”
มาตรา 9 (3) เป็นมาตราเดียวในพระราชกำหนดที่ให้อำนาจในการดำเนินการกับสื่อต่างๆ โดยอาจห้ามเสนอเฉพาะข่าวที่เข้าลักษณะต้องห้ามตามที่กฎหมายกำหนด แต่มิใช่ห้ามไปเสียทุกเรื่อง ในกรณีที่สื่อนั้นมีข้อความต้องห้ามตามที่กฎหมายกำหนด ก็อาจห้ามจำหน่ายหรือทำให้แพร่หลาย ซึ่งถ้าเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ก็ห้ามได้เฉพาะฉบับที่มีข้อความต้องห้าม ถ้าสื่อนั้นตัดข้อความต้องห้ามออกแล้วก็ย่อมจำหน่ายได้ และจะไปห้ามจำหน่ายฉบับในอนาคตที่ยังไม่ทราบว่ามีข้อความใดย่อมไม่ได้ หลักการเดียวกันนี้ใช้กับสื่อประเภทอื่น เช่น สื่ออินเทอร์เน็ตด้วย ทั้งนี้พระราชกำหนดมิได้ให้อำนาจ ศอฉ. ปิดสื่อ ไม่ว่าจะเป็นสื่อประเภทใดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 45
โดยวรรคสามบัญญัติห้ามการสั่งปิดกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นเพื่อลิดรอนเสรีภาพตามมาตรา 45 นี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2553 ศอฉ.มีคำสั่งที่ 71/2553 ห้ามหนังสือพิมพ์ 4 ฉบับ คือ เสียงทักษิณ ความจริงวันนี้ ไทยเรดนิวส์ และวิวาทะ เสนอข่าวสารที่มีข้อความต้องห้ามตามกฎหมาย และห้ามจำหน่ายหรือทำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือพิมพ์ดังกล่าว โดยไม่ได้ระบุว่าเป็นการห้ามฉบับประจำวันใดหรือฉบับประจำช่วงเวลาใด ซึ่งเท่ากับเป็นการห้ามทุกฉบับแม้แต่ฉบับในอนาคตซึ่ง ศอฉ.ยังไม่ทราบเลยว่าหนังสือพิมพ์เหล่านั้นอาจออกฉบับที่สรรเสริญเยิรยอ ศอฉ.มาบ้างก็ได้ ผลของคำสั่ง ศอฉ.คือการปิดกิจการหนังสือพิมพ์ 4 ฉบับ นั่นเอง
นอกจากสื่อหนังสือพิมพ์ข้างต้นแล้วยังมีสื่ออินเทอร์เน็ตอีกมากที่โดนปิดด้วยวิธีการต่างๆ โดยมีร่องรอยการกระทำของผู้ใช้อำนาจรัฐปรากฏในสื่อดังกล่าวอยู่ก็หลายกรณี
ในการอภิปรายเกี่ยวกับพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 2 ครั้ง ครั้งหนึ่งจัดโดยสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเมื่อเดือนกรกฎาคม อีกครั้งหนึ่งจัดโดยคณะกรรมการฝ่ายเสวนาวิชาการ วันรพี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อเดือนสิงหาคม ผมและผู้อภิปรายบางท่านได้อภิปรายว่า ศอฉ.ไม่มีอำนาจปิดกิจการสื่อมวลชนและรัฐธรรมนูญห้ามปิดกิจการสื่อมวลชน แต่รู้สึกว่าไม่เป็นประเด็นที่สื่อมวลชนให้ความสำคัญแม้จะเกี่ยวกับสื่อมวลชนเองก็ตาม
ต้องรอจนถึงปลายเดือนสิงหาคม 2553 ที่วาทะโฆษก ศอฉ.ทำให้เรื่องการปิดสื่อมวลชนมาเป็นเป้าความสนใจได้ อุปนายกฝ่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กล่าวเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2553 ว่าการสั่งปิดหนังสือพิมพ์ไม่น่าจะทำได้เพราะขัดรัฐธรรมนูญ หาก ศอฉ.ยังคงมีการแถลงในลักษณะการข่มขู่ว่าใช้อำนาจตาม พรก.ฉุกเฉินสั่งปิดหนังสือพิมพ์ในลักษณะที่ทำให้เกิดความสับสน คณะกรรมการบริหารสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยจะได้มีการหารือถึงมาตรการในการดำเนินการร่วมกับองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนอื่นๆต่อไป
ผมจึงขอใช้โอกาสนี้แจ้งไปยังองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนทั้งหลายว่าเรื่องการปิดกิจการสื่อมวลชนนั้นไม่ใช่เพียงการแถลงในลักษณะการข่มขู่ แต่ได้ปิดจริงๆแล้วด้วย ในยามที่กลไกทางกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมดูจะทำงานไม่เหมือนยามปกติ เป็นเหตุให้มีการใช้อำนาจรัฐโดยผิดกฎหมายหรือใช้ตามอำเภอใจอยู่เนืองๆ ถึงเวลาหรือยังครับที่องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนจะแสดงบทบาทในการปกป้องเสรีภาพของสื่อมวลชน อย่างน้อยก็ควรบอกไปยัง ศอฉ. ว่า “กระผมไม่กลัวใต้เท้า” ด้วยถ้อยคำแบบเดียวกับที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้ที่องค์การยูเนสโกยกย่องว่าเป็นบุคคลสำคัญของโลกด้านสื่อสารมวลชน เคยใช้เมื่อปลายปี 2525
พงศ์เทพ เทพกาญจนา
6 กันยายน 2553
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น