สำหรับโนติสของ น.ส. ฐิตินาถ มีสาระสำคัญ ดังนี้
ในช่วงแรกของคำร้องขอใช้สิทธิตามกฎหมายระบุว่า จากการที่พระปราโมทย์และนางอรนุช (อดีตภรรยาของพระปราโมทย์) ได้บอกกับผู้ร้องว่าได้บรรลุเป็นพระอรหันต์เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2548 แต่ภายหลังต่อมาเมื่ออยู่ใกล้กันเป็นเวลาอันสั้นๆ ผู้ร้องก็มีเหตุให้ตัดสินใจที่จะไม่เชื่อว่า พระปราโมทย์เป็นพระอรหันต์หรือพระอริยะบุคคลอีกต่อไปแม้ในขณะนั้นจะมีผู้ศรัทธาและเชื่อถือมากมาย โดยขณะนั้นผู้ร้องยังไม่แน่ใจว่ากล่าวโดยคิดว่าตัวเองเป็นหรือกล่าวทั้งที่รู้ว่าไม่เป็น
ในช่วงแรกของคำร้องขอใช้สิทธิตามกฎหมายระบุว่า จากการที่พระปราโมทย์และนางอรนุช (อดีตภรรยาของพระปราโมทย์) ได้บอกกับผู้ร้องว่าได้บรรลุเป็นพระอรหันต์เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2548 แต่ภายหลังต่อมาเมื่ออยู่ใกล้กันเป็นเวลาอันสั้นๆ ผู้ร้องก็มีเหตุให้ตัดสินใจที่จะไม่เชื่อว่า พระปราโมทย์เป็นพระอรหันต์หรือพระอริยะบุคคลอีกต่อไปแม้ในขณะนั้นจะมีผู้ศรัทธาและเชื่อถือมากมาย โดยขณะนั้นผู้ร้องยังไม่แน่ใจว่ากล่าวโดยคิดว่าตัวเองเป็นหรือกล่าวทั้งที่รู้ว่าไม่เป็น
ต่อมาผู้ร้องพบว่า พระปราโมทย์ และ นางอรนุชได้เผยแพร่คำพูดและข้อเขียนเกี่ยวกับผู้ร้องซึ่งผิดไปจากความจริง และทำให้สารานุศิษย์ของพระปราโมทย์ หลงเชื่อและได้กระทำการต่างๆเป็นการรบกวนการดำรงชีวิตอย่างเป็นปกติสุขของผู้ร้องและบุตรอย่างไม่เป็นธรรม
แต่ในขณะนี้มีบุคคลจำนวนมากออกมาแสดงความเห็นและจุดยืนในการนำเสนอความจริงซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ พระปราโมทย์ และ นางอรนุชพยายามนำเสนอต่อสาธารณชน อาทิ เช่น
1. กรณีประกาศสวนพุทธธรรมป่าละอู ซึ่งมีใจความหลักว่า "หลวงพ่อมนตรี อาภัสสะโร (สวนพุทธธรรม ป่าละอู) และหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช (สวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ. ชลบุรี) ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันในฐานะเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องแต่อย่างใด ทางสวนพุทธธรรม ป่าละอู ไม่ได้มีความเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น ทางส่วนตัว , คำสอน, ปฏิปทา หรือหลักปฏิบัติใดๆ กับ สวนสันติธรรม อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ไม่ว่าในด้านใดทั้งสิ้น" ซึ่งพระปราโมทย์มักกล่าวในไฟล์เสียงต่างๆว่า "ท่านรักหลวงพ่อมากนะ หลวงพ่อก็รักท่านที่สุดเลย เหมือนพี่ชายเราแท้ๆเลย เป็นห่วงเรารักเราสุดๆเลย"
2.กรณีประกาศเรื่อง ขอลาออกจากการเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สวนสันติธรรมและการยกเลิกการนิมนต์ พระปราโมทย์ ของคุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทดีเอ็มจี คอนซอลท์แตนท์
3.ประกาศของมูลนิธิบ้านอารีย์ เรื่อง ขอยกเลิกการเผยแผ่สื่อธรรมะ คำสอน กิจกรรมต่างๆที่เกี่ยวข้องกับหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
4.การลาออกของประธานกรรมการบริหารสวนสันติธรรม และกรรมการท่านอื่นๆ
5.การตั้งเว็บไซด์ของเหล่าศิษย์เก่าสวนสันติธรรมซึ่งมีตัวตนเป็นที่นับถือ ทั้งในห้องศาสนาของเว็บไซด์ พันธ์ทิพย์ และ ลานธรรม ออกมาชี้แจงความจริงในเว็บไซด์ http://www.antiwimutti.net
คำร้องระบุว่า เมื่อเกิดพฤติการณ์ดังกล่าวข้างต้นขึ้นพระปราโมทย์ นางอรนุช และ ศิษย์จำนวนมาก ก็จะกล่าวโทษว่าผู้ร้องเป็นต้นเหตุ เนื่องจากผู้ร้องได้วางอุเบกขาและเพิกเฉยต่อคำเท็จเหล่านั้นมาตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ตามคำขอของครูบาอาจารย์ ที่เป็นห่วงความปลอดภัยของผู้ร้อง จึงไม่ออกมาตอบโต้ชี้แจง ทำให้ผู้ร้องกลายเป็นเป้านิ่งเป็นแพะรับบาปด้วยข้อกล่าวหาที่ปราศจากความจริงและไม่เป็นธรรม
การกล่าวโทษผู้ร้องอย่างต่อเนื่องและการได้พบหลักฐานชิ้นสำคัญล่าสุดที่บ่งบอกสถานะและเจตนาของพระปราโมทย์ที่มีผู้หวังดีส่งมาให้ทำให้ผู้ร้องจำเป็นต้องออกจดหมายฉบับนี้ต่อสาธารณะ เพื่อคุ้มครองสิทธิของตัวเองและลูก ตามทำนองคลองธรรม
ทั้งนี้เพื่อให้การกระทำใดๆของพระปราโมทย์นางอรนุชและผู้ร้องได้สิ้นสุดลงด้วยความเรียบร้อย ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องต่อกันอีกต่อไป ผู้ร้องจึงเรียกร้องดังนี้
1. ขอคืนเงินบริจาคของผู้ร้องและมารดาจำนวน 4,360,000 บาท(สี่ล้านสามแสนหกหมื่นบาท)
หนึ่งล้าน บริจาค ณ ธันวาคม 2547 ก่อนการเปิดบัญชี กองทุนเพื่อสร้างสวนโพธิญาณฯ ใหม่ (ชื่อในขณะนั้น) ซึ่งในเอกสารกว่าจะเป็นสวนฯ ที่พระปราโมทย์เขียน กลับไม่มีชื่อผู้ร้องเป็นผู้บริจาค เงิน 1 ล้านนี้ แต่กลายเป็นชื่อนางอรนุช เป็นผู้บริจาคแทน ทั้งที่พระปราโมทย์และนางอรนุชเป็นผู้รับเช็คธนาคารจำนวน1ล้านบาทนี้จากผู้ร้อง และทราบว่าผู้ร้องมอบเพื่อการสร้างวัด
ผู้ร้องอยากทราบว่าตามพระวินัยและตามกฎหมายพระสามารถนำเงินที่บริจาคเพื่อบำรุงพระศาสนา สร้างวัด ไปมอบให้เป็นสิทธิ์แก่ภรรยาตามกฎหมายในอดีตก่อนบวช ของตนได้หรือไม่ ผู้ร้องไม่ทราบในเจตนาของผู้อื่นที่บริจาคให้ พระปราโมทย์ขณะอยู่ที่สวนโพธิ์ แต่ผู้ร้องทราบเจตนาตัวเองแน่ว่าต้องการบำรุงพระศาสนา อย่างแท้จริง มิได้ต้องการให้พระปราโมทย์และนางอรนุชได้รับประโยชน์เป็นการส่วนตัวทั้งทางตรงและทางอ้อม
สามล้าน บริจาค ณ กันยายน 2548 และ อีกสามแสนหกหมื่นบาทหลังจากนั้นในระหว่างการก่อสร้างรั้วและพื้นศาลาโดยพระปราโมทย์และนางอรนุช ระบุ ว่าพระปราโมทย์บรรลุอรหันต์ในวันที่ 6 มีนาคม 2548 นอกจากนั้น พระปราโมทย์ยังได้ เขียนเล่าถึงการฟังธรรมครั้งแรกเมื่อ31 กัลป์ที่แล้วกับบุตรสาวที่เริ่มเรียนธรรมะด้วยกันมาและจะมาทำที่สุดแห่งทุกข์ให้แจ้ง ในชาตินี้ ตามเอกสารลายมือพระปราโมทย์ ไฟล์เสียง และ เอกสารที่ พระปราโมทย์ พิมพ์ให้ในชื่อ ไฟล์ แด่ลูกสาว
ทั้งนี้ผู้ร้องมิได้ยึดคำอวดอ้างเรื่องอิทธิฤิทธิ์ การระลึกชาติ ของพระปราโมทย์มาเป็นสาระหลักแต่อย่างใด แต่ผู้ร้องเข้าใจไปว่าผู้ที่แสดงธรรมะได้อย่างละเอียด พูดอวดว่ามีครูบาอาจารย์ระดับสูงรับรอง โดยในขณะนั้นยังไม่มีครูบาอาจารย์ออกมาติติงพระปราโมทย์อย่างรุนแรงเหมือนในปัจจุบัน อีกทั้งพระปราโมทย์เป็นพระที่มีสาธุชนนับถือมาก ผู้ร้องจึงคิดว่าจะไม่โกหก ผู้ร้องจึงรับข้อมูลที่พระปราโมทย์อวดมาไว้ในใจด้วย
พระปราโมทย์ ได้โอนโฉนดสวนสันติธรรม ซึ่งมีมูลค่ารวมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน กว่า 50 ล้านบาทให้ นางอรนุช ภรรยาตามกฎหมายก่อนบวชของพระปราโมทย์ ตั้งแต่ ตุลาคม 2548 ในวันนี้หลังจากที่มีอาจารย์มหาวิทยาลัยได้ร้องเรียนต่อหน่วยงานราชการเพื่อให้มีการตรวจสอบพฤติกรรมพระปราโมทย์ เมื่อถูกร้องเรียน พระปราโมทย์จึงเพิ่งจะได้มีการยื่นขอจัดตั้งเป็นวัดเพื่อโอนที่ดินออกจากชื่อ นางอรนุชในอนาคต อันเป็นพฤติการณ์ที่สาธุชนตั้งคำถามเรื่องความสุจริต
ถึงแม้ในอนาคตจะมีการจัดตั้งเป็นวัดแต่การที่มีการทำให้ผู้ร้องเชื่อก่อนการบริจาคว่ากำลังบริจาคให้พระผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ เป็นพระอรหันต์ที่จะเผยแพร่ ธรรมะที่ถูกต้องต่อไป จึงนับได้ว่าผิดพระวินัยและผิดวัตถุประสงค์การบริจาค อีกทั้งพระปราโมทย์และนางอรนุช ได้ ทำให้ มีผู้เชื่อจำนวนมาก ว่าได้คืนเงินบริจาคทั้งหมดให้กับผู้ร้องแล้ว โดยการเขียนในบทความกว่าจะเป็นสวนฯอย่างกำกวมไม่ชัดเจนว่าใช้หนี้คืนผู้ร้องสองล้าน ซึ่งความจริงเป็นค่าก่อสร้างค่าปรับปรุงเพิ่มเติมตกแต่งภายในกุฎิอาทิ ค่าตู้ครอบเซฟไม้สัก เคาน์เตอร์แพนทรีไม้สักท็อปแกรนิตฯลฯ ที่ผู้ร้องได้สำรองจ่ายไปก่อน รวมทั้งกล่าวกับผู้อื่นว่าไม่ได้ต้องการติดหนี้ หรือข้องเกี่ยวใดๆกับผู้ร้อง
2.กรณีพระปราโมทย์และนางอรนุชขอให้ผู้ร้องร่วมหุ้นกันจ่ายค่าเดินสายไฟเข้าที่ดินที่ซื้อติดกัน แต่ภายหลังกลับตัดการใช้ไฟฟ้าของผู้ร้อง
3. พระปราโมทย์และนางอรนุช ขอที่ดินเพิ่มเติมจากผู้ร้องแต่ทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดว่าผู้ร้องรุกล้ำที่วัด ซึ่งผู้ร้องมีความอึดอัดใจเป็นอันมากที่จะตามใจ พระปราโมทย์และนางอรนุช ซึ่งมีความต้องการที่ผู้ร้องมิได้เห็นด้วยหลายอย่าง
ซึ่งถึงแม้ในขณะนั้นยังไม่มีใครคิดสงสัย แต่ผู้ร้องรู้สึก สงสัยเป็นอันมาก แต่เพราะขณะนั้นยังไม่เข้าใจถ่องแท้ถึงสถานะและเจตนาที่แท้จริงของพระปราโมทย์ จึงต้องมอบที่ดินให้ไปตามที่พระปราโมทย์และนางอรนุช ขอ พระปราโมทย์และนางอรนุช ได้ ให้ ทนายร่างสัญญามาให้ผู้ร้องลงนามแล้วลงมือสร้างรั้วกั้นตามแนวที่ขอ แต่กลับพูดว่าผู้ร้องล้ำที่วัดทำให้มีผู้หลงเชื่อเป็นอันมาก
คำร้องระบุว่า ...นับจากวันนี้เป็นต้นไป หากผู้ใด รวมถึงโดยเฉพาะ พระปราโมทย์และนางอรนุช กระทำการ ไม่ว่าจะทางตรง หรือทางอ้อม ที่มีผลกระทบแม้เพียงน้อยนิดต่อผู้ร้องและครอบครัว ผู้ร้องจะใช้ พยานทุกคน หลักฐานทั้งหมด ในทุกๆเรื่อง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้งทางแพ่งและทางอาญาดำเนินการกับผู้ละเมิด เป็นรายบุคคล ในกรอบของ ศีลธรรม และ กฎหมาย จนถึงที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น