วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555

เปิดภาพยัน! "มาร์ค-กรณ์" ไปลงทะเบียนเลือกตั้งในฐานะ "พลเมืองอังกฤษ"











































คำแปลโดยทีมงาน go6tv:

เราได้สืบค้นอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับปัญหาเรื่องสัญชาติ ซึ่งเกี่ยวพันกับเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ และ ได้มีการส่งรายละเอียดสั้นๆเผยแพร่นั้น

เราเหมือนได้พบหลักฐานว่า อดีตนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้อ้างสิทธิการเป็นพลเมืองอังกฤษตามหลักฐานที่ปรากฏนี้ โดยมีชื่อเขาปรากฏเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เป็นระยะเวลาถึง ๓ ปี ตามเวลาที่เขาเคยใช้เวลานั้นเรียนหนังสืออยู่ที่สหราชอาณาจักร หลักฐานนี้ ขัดแย้งกับสิ่งที่นายอภิสิทธิ์ ได้เคยพูดในที่สาธารณะเสมอๆว่า เขาไปเรียนที่มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ดในฐานะของ นักเรียนไทยไม่ใช่ ฐานะพลเมืองอังกฤษ

ในขณะเดียวกัน นายกรณ์ จาติกวนิช ก็เคยได้ลงทะเบียนในฐานะผู้มีสิทธิเลือกตั้งเช่นเดียวกัน เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๑๙๘๓ ที่ St Johns College, University of Oxford ทำให้พวกเขามีสิทธิ์ออกเสียงลงคะแนนระหว่างวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 1984 ถึง 15 กุมภาพันธ์ 1985 ทั้งสองและอีกครั้งใน 1986 ลงทะเบียนและอีกครั้งในปี 1987

ในเอกสารของ The Oxford City Council ผู้จัดทำบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ได้อธิบายเพิ่มเติมแก่เราว่า นักเรียนผู้ที่จะมีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง จะต้องเป็น นักเรียน อังกฤษ, ไอริชหรือในเครือจักรภพสภายังแจ้งเราอีกว่า พวกเขาสามารถตรวจสอบอีกครั้งกับวิทยาลัยได้ ถ้าพวกเขาไม่แน่ใจในการมีสิทธิ์ออกเสียงลงคะแนนของคนที่วิทยาลัยทำให้ และหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับสัญชาติของผู้มีสิทธิเลือกตั้งใด ๆ พวกเขาสามารถแสดงหนังสือรับรองการเกิดของพวกเขา แนบไปได้ นั่นหมายความว่า นายอภิสิทธิ์ (และนายกรณ์) ต่างลงทะเบียนเรียนที่ Oxford โดยใช้สัญชาติอังกฤษของพวกเขานั้นเอง และ ชื่อของ อภิสิทธิ์ และ กรณ์ ก็ถูกนำมาลงในทะเบียนของ electors โดยทางมหาวิทยาลัย St Johns College อย่างเป็นทางการ

มหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น คอลเลจ ยังยืนยันถึง ขั้นตอนนี้ อย่างชัดเจนด้วยว่า ช่วงเริ่มต้นของแต่ละปีการศึกษา (ปลายเดือนกันยายน ) ทางสภาของมหาวิทยาลัย จะให้มหาวิทยาลัยส่งรายชื่อของนักเรียนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งลงคะแนน หากมหาวิทยาลัยก็จะส่งสถาภาพของนักเรียน ว่าเป็นคนสังกัดใหน (เช่น อังกฤษ ไอริช หรือคอมมอลเวลล์) และจะเรียกเอกสารที่แสดงต่อมหาลัยเมื่อมาสมัครเรียน หลักฐานทั้งหมด ได้รับการตรวจสอบว่าถูกต้อง จึงจะสามารถลงทะเบียนเรียนได้ ดังนั้นจึงหมายความว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้แสดงตนยืนยันอย่างชัดเจน และรู้ทั่วพร้อมว่าตนมาสมัครเรียนในฐานะของ พลเมืองประเทศอังกฤษตั้งแต่เมื่อสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัย St Johns College, Oxford University ในปี 1983

นี่เป็นหลักฐานที่ชัดเจน ปราศจากข้อสงสัยทั้งหมดแล้วว่านายอภิสิทธิ์ ได้ใช้สิทธิในฐานะพลเมืองอังกฤษ เขารู้เรื่องนี้ด้วยตัวเขาเองมาแล้วเกือบ 30 ปีและ แต่ได้โกหกเกี่ยวกับเรื่องนี้ต่อเนื่องมาโดยตลอด

(ต้นฉบับภาษาอังกฤษ)

Abhisit and Korn Were Registered to Vote in UK as Citizens

We have continued to research the issue of dual nationality as it relates to our petition before the International Criminal Court, and will be submitting and publishing a brief on this matter shortly. In our work, we have uncovered clear evidence that the former Prime Minister of Thailand Mark Abhisit appears to have claimed British citizenship, as evidenced by his name appearing on the voter registrations below, for a period of three full years when he was studying in the United Kingdom. This evidence completely contradicts Mr. Abhisit’s many public statements on the issue of his citizenship, and, more specifically, his adamant claim that HE studied at Oxford as a Thai student.

Abhisit, as well as former Finance Minister Korn Chatikavanij, were registered as electors (voters) at St Johns College, University of Oxford on 10th October 1983, giving them both eligibility to vote from 16th Feb 1984 to 15th Feb 1985, and again in the 1986 register, and again in 1987.

The Oxford City Council, who organize the “electoral roll” or “register of electors” have informed us that the colleges forward the names of students who are eligible to vote to them. You gain eligibility to vote if you are a British, Irish or Commonwealth (ex-Empire) student. The council also informed us that they double check with the college if they are unsure of the eligibility to vote of someone the college puts forward, and if there is any doubt regarding the citizenship of the voter, they are able to show their birth certificate to be included on the voter register. This means that Abhisit (and Korn) enrolled at Oxford using their British nationalities and that Abhisit’s name was then added to the register of electors by St Johns College, his official address.

St Johns College also confirmed this process telling us that at the start of each academic year (late September of any year) they are asked by the Oxford City Council to forward the names of students eligible to vote. The college deduces voter registration eligibility by the nationality put on the enrollment form by the student. Proof of nationality for all British, Irish and Commonwealth students would be required and would need to be provided by the student at the time of enrollment. This means that Abhisit actively and knowingly pronounced himself as a British citizen when he enrolled at St Johns College, Oxford University in 1983.

It is clear, beyond all doubt, Abhisit was “active” as a British citizen. He has known about this for almost 30 years and has lied about it consistently since.

ด่วน! ระเบิด "รร.ลีการ์เด้น" 2 ลูกซ้อน เพลิงโหมไหม้ลามชั้นบน







ด่วน! ระเบิดโรงแรมลีการ์เด้น หาดใหญ่ สงขลา มีสองจุด คือชั้นใต้ดินของโรงแรมในลานจอดรถ และจุดที่สองที่ชั้น ๔

ล่าสุด ณ เวลา ๑๔.๐๐ น. รายงานเพิ่มเติมจากโรงพยาบาลในจังหวัดหาดใหญ่แจ้งว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บเข้ารักษาตัวสองโรงพยาบาลใหญ่ประมาณ ๑๒๐ คน

คุณวัลยา พนักงานห้างได้เล่าให้ฟังว่า ขณะที่เกิดเหตุเป็นช่วงเที่ยง มีเสียงระเบิดดังขึ้นสองรอบ ซึ่งขณะนี้น่าจะแน่นอนว่าเป็นเสียงแก็สระเบิดจากในร้านแม็คโดนัลย์ ได้ยินเสียงสับสนอลม่าน มีเสียงตายายเรียกหากัน และท้ายสุดก็ช่วยกันอพยพออกจากโรงแรม อีกทั้งที่ชั้น ๔ มีงานประกวด "น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์" จึงทำให้มีผู้เข้ามาใช้บริการโรงแรมนี้อย่างมาก

คุณพิ้งค์ ซึ่งเป็นผู้ประสบภัยในโรงแรม ได้โทรออกมาเพื่อแจ้งขอความช่วยเหลือ โดยแจ้งว่าขณะนี้อยู่ในโรงแรม โดนตัดไฟหมด และมีเด็กอยู่ในโรงแรม ขอความช่วยเหลือด่วน

คุณอลิสา ซึ่งเห็นเหตุการณ์ ได้เล่าให้ว่า ได้ยินเสียงระเบิด และกระจกโรงแรมแตกลงมา ด้านล่างเป็นห้างคาร์ฟู ถัดจากนั้นอีก ๕ นาที มีควันดำลอยออกมาจากจุดที่กระจกแตก พร้อมได้ยินเสียงคนแห่วิ่งหนีออกมาอย่างอลม่าน มีคนบาดเจ็บ

รายละเอียดคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบต่อไป

ด่วน! ระเบิดกลางเมืองยะลา 3 ลูกซ้อน ตาย 7 เจ็บ 60

เมื่อเวลา 12.00น.ที่ผ่านมา เกิดเหตุ คนร้ายไม่ทราบจำนวน นำระเบิดซุกรถยนต์ จุดฉนวนระเบิดกลางเมืองยะลา ใกล้กับโรงแรม ปาร์ควิว ถนนรวมมิตร เกิดการระเบิดขึ้น 3 ครั้ง โดยระเบิดลูกแรกเป็นคาร์บอม จากนั้นมีเสียงระเบิดลูกที่ 2 และ 3 ดังขึ้นอีกในจุดใกล้เคียงบริเวณดังกล่าว เจ้าหน้าที่เร่งนำผู้บาดเจ็บจำนวนมากทยอยส่งโรงพยาบาล และมีผู้บาดเจ็บสาหัสหลายราย ยังไม่ได้รับรายงานผู้เสียชีวิต

12.30น. ตำรวจเร่งสกัดจับรถกระบะนิสสันสีบรอนซ์ คาดต้องสงสัยเป็นคนกดชนวนระเบิด

โดย ระเบิดลูกที่1 เป็นจยย.บอม ใกล้ร้านรุ่งเรือง สี่แยกจงรัก ลูกที่2 จยย.บอม ใกล้โรงแรมโคล่า ถนนรวมมิตร และลูกที่ 3 เป็นคาร์บอม เป็นลูกที่หนักที่สุด หน้าร้านเซเว่นฯ ถนนรวมมิตร จ.ยะลา

12.53น. โฟนอินผู้ว่าฯยะลา ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ยังไม่มีรายงานผู้รับบาดเจ็บ และเกณฑ์กำลังเจ้าหน้าที่มาควบคุมที่เกิดเหตุ และงดกิจกรรมกีฬาที่จะจัดในช่วงบ่ายของวันนี้แล้ว ซึ่งผู้บาดเจ็บขณะนี้มีทั้งหมด 40 ราย และเจ็บสาหัส 5 ราย แพทย์เร่งให้การช่วยเหลือ

13.15น. พล.ต.ท.ไพฑูรย์ ชูชัยยะ ผบช.ศชต. ยืนยันขณะนี้มีผู้บาดเจ็บ ทั้งหมด กว่า60 ราย เสียชีวิตแล้ว 7 ราย ล่าสุดตัดสัญญาณโทรศัพท์ในพื้นที่แล้ว

เปิดตำรา "กองทุุนสตรี" มีกฏหมายรองรับหรือไม่?

มีข้อวิจารณ์อย่างมากมายเกี่ยวกับ “กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี” มีคำถามว่า กองทุนดังกล่าว ถูกกฏหมายไหม มีกฏหมายรองรับหรือไม่ และทำไมไม่ออกเป็นพระราชบัญญัติ ในปัญหานี้ รศ.ชูศักดิ์ ศิรินิล อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง และฝ่ายกฏหมายพรรคเพื่อไทย ได้ไขข้อข้องใจไว้ดังนี้

อาจารย์ชูศักดิ์ ได้อธิบายคำถามดังกล่าวว่า “ทำไมไม่ออก พรบ.กองทุนพัฒนาบทบบาทสตรี” ทำไมไม่ออกเป็นกฏหมาย ความจริงเรื่องกองทุนนั้น แบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภท กองทุนประเภทแรก เป็น พรบ.โดยตรงเลย กองทุนประเภทสอง ออกเป็นระเบียบ แต่ความเป็นจริง เป็นระเบียบที่ออกตาม พรบ.เงินคงคลัง ปี ๒๔๙๑ อนุญาตให้รัฐบาลตั้งกองทุน และกำหนดวิธีการไว้ว่าทำอย่างไร ดังนั้น ระเบียบนี้จึงเป็นระเบียบที่ออกโดย พรบ.นั่นเอง

กองทุนประเภทนี้มักเกิดขึ้นตามนโยบายรัฐบาล เจตนารมณ์กฏหมายซึ่งเขามองว่า รัฐบาล ๔ ปี มาแล้วก็ไป หากรัฐบาลใหม่มาอยากยกเลิก ก็สามารถยกเลิกได้เพราะทำได้ง่ายกว่าสะดวกกว่า เหตุผลที่สอง เวลาตั้งกองทุนเขาจะต้องไปตั้งงบประมาณแผ่นดิน จึงมี พรบ.งบประมาณประจำปีรองรับ

คำถามคือ แล้วทำไมไม่ออก กฏหมายกองทุนเป็น พรบ.ไปเสียเลย เหตุผลคือ ปกติ พรบ.ใช้เวลาออกเป็น กม.นานมาก กม.บางฉบับ ใช้เวลา ๓-๔ ปี จึงสามารถออกได้ซึ่งนานเกินไป จึงออกเป็นระเบียบ ซึ่งง่ายกว่า ให้ใช้ไปก่อน พอกองทุนนี้ประสบความสำเร็จ บริหารจัดการได้ ก็จะพัฒนานำไปสู่การออกกฏหมาย เช่น กองทุนหมู่บ้านซึ่งท้ายที่สุด ก็ออกเป็น พรบ.ได้ และตั้งองค์กรมหาชนดูแลกองทุนมาถึงปัจจุบันนี้

ดังนั้นจึงสรุปว่า กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี มีกฏหมายรองรับอยู่อย่างหนาแน่น ทั้ง พรบ.เงินคงคลัง และ พรบ.งบประมาณประจำปีแน่นอน

วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555

"พระเทพฯ" เสด็จเปิดงานกาชาดประจำปี 2555


มื่อเวลา 17.09 น. วันที่ 30 มี.ค ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดงานกาชาดประจำปี 2555 โดยมีนายแผน วรรณเมธี ประธานกรรมการอำนวยการจัดงานกาชาด คุณหญิงวรวรรณ ชัยอาญา เหรัญญิกสภากาชาดไทย ม.ร.ว.ปรียางค์ศรี วัฒนคุณ รองประธานกรรมการอำนวยการ คณะกรรมการบริหารสภากาชาดไทยและคณะกรรมการจัดงานเฝ้ารับเสด็จ ฯ ในโอกาสนี้ทรงพระราชทานโล่รางวัลแก่ผู้ชนะการประกวดร้านกาชาดเฉลิมพระ เกียรติ จำนวน 8 ราย ผู้ชนะการประกวดสูงวัยที่มีสุขภาพดี จำนวน 6 ราย และกุลบุตร – กุลธิดากาชาด จำนวน 2 ราย รองกุลบุตร – กุลธิดากาชาด จำนวน 2 ราย และพระราชทานโล่เชิดชูเกียรติแก่ผู้ได้รับการคัดเลือก “8 คนดีศรีกาชาด ผู้ตามรอยพระบาท องค์สภานายิกา” จำนวน 8 ราย
หลังจากนั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงกดปุ่มไฟฟ้าปล่อยแพร งานกาชาดประจำปี 2555 ภายใต้คำขวัญ '80 พรรษาองค์สภานายิกา ปวงประชารวมใจ ถวายพระพร” เพื่อเปิดงานกาชาดประจำปี 2555 ก่อนเสด็จเยี่ยมร้านของหน่วยงานต่าง ๆ บริเวณสวนอัมพร อาทิ ซุ้มจุฬาโอสถ ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ ทรงทอดพระเนตรนิทรรศการทางการแพทย์ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย ซุ้มไปรษณีย์ไทย ซุ้มสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ทรงทอดพระเนตรนิทรรศการ 120 ปี กระทรวงมหาดไทย ซุ้มร้านศิลปาชีพ 904 โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา และทรงร่วมสอยดาวที่ซุ้มจุฬากาชาด ก่อนเสด็จทอดพระเนตรกิจกรรมต่างๆ บริเวณสวนอัมพร.

"คณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี" แจง "บัตรเดบิตกองทุนสตรี" ไม่ได้สร้างหนี้

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด
(30 มีนาคม 2555 กรุงเทพฯ) - นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข้อกล่าวหาที่ว่า "กองทุนสตรีออกบัตรเดบิตสร้างหนี้" นั้น ล่าสุด นายอนุสรณ์ ในฐานะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ได้ชี้แจงว่า “การขออนุมัติเงินทุนโดยการรวมตัวเสนอโครงการของสตรีตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปตามวัตถุประสงค์ 3 ข้อ คือ สร้างรายได้ ลดปัญหา พัฒนาเครือข่าย ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณที่ทางนายวิรุฬ เตชะไพบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ออกมาอำนวยความสะดวกโดยเตรียมช่องทางด้านการเงินไว้ให้ อย่างไรก็ดีทางคณะกรรมการยังไม่มีมติ เนื่องจากมีธนาคารหลายแห่งเสนอให้การสนับสนุน ซึ่งเบื้องต้นทางคณะกรรมการรับไว้พิจารณาและจะสรุปทางเลือกที่เป็นประโยชน์ต่อสตรีที่สุด

ทางด้าน นางสาวชยิกา วงศ์นภาจันทร์ หนึ่งในคณะกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ได้ชี้แจงผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ เว็บไซท์ทวิตเตอร์ชยิกา http://twitter.com/chayika ว่า "ผู้ที่กล่าวหาว่ากองทุนพัฒนาบทบาทสตรีออกบัตรเดบิตสร้างหนี้ น่าจะสับสนในตัวเอง เพราะ “บัตรเดบิต” คือบัตรเงินสดที่ผูกกับบัญชีออมทรัพย์ไม่ใช่บัตรเครดิต อย่างไรก็ดีที่ผ่านมามีข้อกังวลมากมายก็ขอน้อมรับมาเพื่อปรับปรุงให้กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีสามารถตอบโจทย์ประชาชนส่วนใหญ่ให้ได้มากที่สุด”

GO6 มอบเงินรายได้งานฟุตบอลแก่เสื้อแดงในเรือนจำ








วันนี้ (30มีนาคม2555) ทีมงานโกซิคทีวี ได้เดินทางไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร เพื่่อนำเงินรายได้จากการแข่งขันฟุตบอลครั้งที่ 3 และเงินรายได้จากงานดูภาพยนตร์การกุศล The Lady ออง ซาน ซูจี รวมทั้งสิ้น 33,459 บาท และเว็บไซต์ช่วยสมทบจนครบ 35,000 บาท (สามหมื่นห้าพันบาท) ไปมอบในบัญชีผู้ต้องขัง รวมทั้งสิ้น 10 ท่าน

ทีมงานได้ลงมติ มอบเงินดังกล่าวให้ผู้ต้องขังชาย ทั้งสิ้น จำนวน 9 ท่าน ท่านละ 3000 บาท
และผู้ต้องขังหญิง 1 ท่าน ท่านละ 8000 บ. โดยมีทนายอานนท์ และคุณพ่อของผู้ต้องขังให้เกียรติเป็นพยานด้วย จึงขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้

ดร.จารุพรรณ "ความคืบหน้าคดีเสื้อแดงในศาลโลก"


ดร.จารุพรรณ กุลดิลก สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์พิเศษแก่ go6tv โดยได้กล่าวถึงความคืบหน้าคดีเสื้อแดง ในศาลอาญาระหว่างประเทศ

ดร.จารุพรรณ ได้กล่าวว่าขณะนี้คดียังอยู่ระหว่างการตรวจสอบหลักฐานต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักฐานด้าน "สัญชาติของผู้ถูกกล่าวหา" ว่าอยู่ในเขตอำนาจศาลหรือไม่ แต่มีสัญญาณที่ดีมากขึ้นหลังจากที่ศาลอาญาระหว่างประเทศ ได้นำคดีการสังหารหมู่ประชาชนซีเรียมาขึ้นศาล นั่นหมายถึงกระแสของโลกเริ่มพัดพาไปในทางยุติธรรมมากขึ้น เราก็ย่อมจะมีโอกาสมากขึ้น

กรณีของ งานวิจัยของสถาบันพระปกเกล้าที่มีข้อขัดแย้งในขณะนี้ ดร.จารุพรรณกล่าวว่า นี่เป็นเพียงแค่เริ่มนำข้อวิจัยมาคุย มาถกเถียงกันแค่นั้น ยังไม่สามารถนำเข้ามาได้ เพราะถูกตีความไปว่าเป็นการออกกฏหมาย ซึ่งเราต้องว่ามันเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น ยังไม่สามารถนำผลวิจัยมาคุยกันได้เลย




วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555

ด่วน! คลิปเปิดใจ "นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ทุกประเด็นคาใจ


หลังจากเรื่องการแต่งกาย เสื้อผ้า บุคลิกท่วงท่าของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นสปอทไลท์ของสื่อมวลชนทั้งกลางแจ้ง และทางลับ หลายครั้งการแต่งกาย และแฟชั่นของนายกฯหญิงคนนี้กลายเป็นประเด็นฮอตของสังคมตลอดเวลา ไปจนถึงการหนีไม่พ้นการถูกตั้งคำถาม การตั้งข้อสังเกต หรือการแสดงความเห็นอย่างอิสระผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กต่างๆ


ยิ่งกับสถานการณ์ล่าสุด "นารี อิน ฮันบก" ปรากฎภาพน.ส.ยิ่งลักษณ์ สวมใส่ชุดฮันบก ชุดประจำชาติสาธารณรัฐเกาหลี เสียงทั้งชื่นชมมีมากพอๆกับเสียงติฉินนินทาตามโลกออนไลน์

ประสาผู้นำหญิงย่อมหนีไม่พ้นเรื่องราวการถูกวิพากษ์อย่างไรก็ตามน่าสนใจ่วาการเยือนสาธารณรัฐเกาหลีของนายกรัฐมนตรีในการประชุมระดับผู้นำว่าด้วยความมั่นคงทางนิวเคลียร์ที่สาธารณรัฐเกาหลี น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้พบปะแลกเปลี่ยนความเห็นกับผู้นำหญิงอีก 2 ประเทศ คือนางเฮลลี่ ธอร์นนิ่ง ชมิดท์ นายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก วัย 45 ปี และนางจูเลีย กิลลาร์ด นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียวัย 50 ปี ทั้ง 3 คน มีสถานะหนึ่งที่เหมือนกันคือ "นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก"ของประเทศ

หัวอกผู้นำหญิงถึงผู้นำหญิงในโลกการเมืองบนตำแหน่งผู้บริหารสูงสุด พวกเธอเหล่านั้นมีปัญหาในเวทีการเมืองผู้นำหญิงอย่างไร "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ให้สัมภาษณ์พิเศษ "เครือมติชน" ถึงการพูดคุยกับผู้นำหญิงเดนมาร์ก และออสเตรเลียว่าผู้นำหญิง 3 ชาติ มีปัญหาบางด้านที่คล้ายกัน หนึ่งในนั้นคือการถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการแต่งตัว น่าสนใจว่าพวกเธอรับมือกันอย่างไร

รวมไปถึงการ "รับมือ"กับเสียงวิพากษ์วิจารณ์แรงๆ "ยิ่งลักษณ์" ได้เล่าถึงการรับมือและทางออกให้ฟัง...ดังนี้


**ได้พูดคุยกับผู้นำหญิง 2 ประเทศ ได้แชร์ประสบการณ์อะไรร่วมกันหรือไม่

ได้พบกับนายกฯออสเตรเลีย และเดนเมาร์ก ถือเป็นผู้นำหญิง 3 คนได้พบกันในงานประชุมสุดยอดผู้นำ สิ่งที่แลกเปลี่ยนมุมมอง คล้ายๆกัน คือความเป็นผู้นำหญิงอาจจะเจอเรื่องการคาดหวังค่อนข้างเยอะ ซึ่งเป็นบทบาทผู้นำหญิงที่ต้องพิสูจน์และเท่าที่ดูทั้ง 3 คนกำลังใจดี ยิ่งต้องให้พิสูจน์ยิ่งต้องทำให้คนเห็นว่าเราทำได้ แม้ว่าจะเป็นผู้หญิงอย่างเดนมาร์กไม่เคยมีผู้นำหญิงมาก่อน และก้าวเข้าสู่บทบาทพิสูจน์การทำงานให้ประชาชน เรื่องที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มีหลายมุมมอง เป็นงานที่ต้องทำด้วยความอดทน และผลงานเท่าน้ันเป็นเครื่องพิสูจน์

ดิฉันก็ได้พูดคุยกับทางผู้นำหญิง 2 ประเทศว่า วันนี้ประเทศไทยเรามีนโยบายสตรีที่ชัดเจน ได้แชร์มุมมองว่าดิฉันเป็นผู้นำหญิงคนแรกของประเทศไทยอยากทำอะไรในส่วนผู้หญิงบ้าง แต่ไม่ใช่ทำแต่ผู้หญิงอย่างเดียว แต่ให้บทบาทผู้หญิงเท่าเทียมกันภายใต้บทบาทรัฐธรรมนูญ ในฐานะผู้หญิงเหมือนกัน อาศัยกระบวนการความเข้าใจทำอย่างไร สร้างให้ผู้หญิงเข้ามามีโอกาสเป็นผู้นำทางสังคม ทั้งภาคธุรกิจ เอกชน เพื่อให้สุดท้ายแล้วเป็นส่วนในการเสริมสร้างเศรษฐกิจในภาพรวมต่อไป

**เปิดอกพูดคุยปัญหาอะไรกันบ้างประสาผู้นำหญิง

มีบ้างมุมมองเรื่องถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการแต่งตัว ทั้ง 3 ประเทศเจอแบบเดียวกัน เราก็มองแบบเดียวกันว่าเป็นธรรมชาติผู้หญิง ที่คนเราก็ต้องมีการรักสวยรักงามบ้าง ที่สำคัญต้องแต่งกายให้อยู่ในภาวะเหมาะสมกับกาลเทศะ การแต่งกายเราก็ถือว่าเป็นหน้าตาของประเทศด้วย การเป็นผู้นำบุคลิกต่างๆเป็นเรื่องสำคัญให้ความใส่ใจใสรายละเอียดแต่ไม่ใช่ว่าจะไปเน้นเรื่องการแต่งตัวมาเป็นเรื่องนำแต่สิ่งที่สุดท้ายต้องกลับมาเป็นสัจธรรมผลงานเท่านั้นเป็นสิ่งที่พิสูจน์ เป็นสิ่งที่เราได้เรียนรู้แชร์ประสบการณ์กันและกัน ทางผู้นำหญิงเขาได้ติดตามประเทศไทยว่าจากดิฉันมาอยู่ในตำแหน่งนี้เห็นอย่างไรบ้าง ก็ได้มีการแลกเปลี่ยนกัน

**ผู้นำหญิงออสเตรเลียและเดนมาร์กสรุปว่าถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการแต่งตัวเหมือนกันกับเมืองไทย

มีเหมือนกันแต่ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายโอกาสาจะมาคุยในเรื่องทิศทางว่าผลงานจะเป็นอย่างไร เป็นหัวอกเดียวกัน และทุกคนก็อดทนในการพิสูจน์อาจเป็นสิ่งที่เป็นเรื่องยาก หรือเป็นความสามารถอีกส่วนหนึ่ง การเป็นผู้นำหญิงนอกจากพิสูจน์ผลงาน ยังต้องฟังมุมมองต่างๆเหล่านี้ แล้วคิดว่าให้กำลังใจซึ่งกันและกัน อดทน และต้องเดินหน้าที่ผลงานเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์

อย่างออสเตรเลีย ในฐานะผู้นำหญิงเค้า (จูเลีย กิลลาร์ด) เริ่มผ่านการพิสูจน์จนสุดท้ายในพรรคให้การยอมรับ เขาถือว่าได้ผ่านบทพิสูจน์ไปขั้นหนึ่ง ส่วนนายกฯเดนมาร์กเพิ่งเป็นนายกฯได้ 6 เดือน จริๆเขาอยู่ในวงการการเมืองตั้งแต่อายุ 27 ปี

**บทบาทความเป็นผู้นำหญิง กับบทบาทความเป็นแม่กับลูกความสัมพันธ์กับน้องไปป์เป็นอย่างไร

อาจต้องประคองเริ่มมีบ้างที่ลูกอาจรู้สึกวาแม่หายไปแต่เราก็ต้องพยายามในส่วนที่มีเหลือที่มีอยู่ต้องรีบเติมเต็มในส่วนที่ขาดไม่ให้ลูกรู้สึกว่าแม่กับลูกห่างกัน วันนี้วันเกิดลูกพอดี เขาครบ 9 ขวบ ขึ้น 10 ขวบ ตอนเช้าให้หอมแก้ม ส่วนใหญ่ซื้อของเล่นอะไรให้เขาเป็นประจำ วันนี้คงไปเป่าเค้กกัน และวันเสาร์อาทิตย์ให้ทานข้าวกับเพื่อนๆแค่เล็กๆ ไม่ให้ความสำคัญว่าวันเกิดเลี้ยงใหญ่โต แต่อายุผ่านไปหนึ่งปี สิ่งที่เขาต้องรับทราบคือ ต้องเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ขณะเดียวกันการเป็นผู้ใหญ่พ่อแม่ก็ยังรักและเป็นห่วงเสมอ

**ลูกชายเข้าใจการทำงานของแม่หรือไม่

น้องเข้าใจแต่ก็คงมีความต้องการไปป์ล่าสุดเขาก็เริ่มบอกรู้สึกคิดถึงแม่เพราะแม่ไม่อยู่ เราก็จะรีบกลับมาบ้าน เมื่อวานพยายามกลับบ้านเร็วนิดนึงเพื่อเชยช่วงที่ขาดหายไป พอได้คุยกับเค้าบ่อยขึ้นเค้าก็กลับมา เค้าเรียกว่าเป็นช่วงของการปรับตัวระหว่างแม่กับลูกที่ต้องปรับตัว ที่สำคัญการเติบโตของลูกในช่วงนี้เป็นวัยหัวเลี้ยวหัวต่อต้องประคองไม่ให้ความรู้สึกของความเป็นครอบครัวมีช่องว่างเกิดข้ึน

**นายกฯมีเวลาดูแลตัวเองหรือไม่

เรื่องดูแลจะให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพจิตมากกว่าเพราะเรามาบริหารประเทศเราต้องมีสมาธิในการทำงานมีสภาพจิตที่ดีเป็นสำคัญ ต้องมีอีคิวในการทำงาน ก็จะทำให้งานทุกอย่างอยู่ในสิ่งที่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ และสามารถใช้สติปัญญาในการคิดแก้ไข

**ดูแลสภาพจิตใจตัวเองอย่างไร

ช่วงไหนงานหนักมากก็จะต้องพักผ่อนเร็วขึ้นหรือทำอะไรที่ตัวเองไม่รู้สึกว่าเครียดเป็นปกติอยู่แล้วที่ภาระความรับผิดชอบจะมีเรื่องเครียดบ้าง พักผ่อนไม่เพียงพอบ้าง เราก็พยายามให้เวลานั้นสั้นที่สุดในชีวิต และกลับมาให้เป็นปกติ แต่บางครั้งเราต้องคิดว่าหลายอย่างเราเองไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด แต่เราต้องทำอย่างไรในองค์ภาวะที่มีอยู่ภายใต้ปัจจุบันที่ควบคุมได้ให้ดีที่สุดให้เต็มที่ที่สุดแล้วเราจะได้ไม่เสียใจในเวลาที่ผ่านไป

เราต้องคิดเชิงบวกบ้างเราต้องมองว่าการที่เราได้รับการพูดการคอมเมนท์ การติ การชมต่างๆเป็นหนึ่งในข้อคิดเห็นที่ให้กับเรา และเราต้องเอาตรงนี้ไปปรับปรุงการทำงาน มากกว่าการที่จะต้องมาจริงจังกับตรงนี้ และกลายเป็นว่าฝังอยู่ในความคิด ดังนั้นเราก็ต้องคิดว่าตรงนี้เป็นข้อคิดเห็นทุกครั้ง เราต้องเคารพเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทั้งเชิงบวกเชิงลบ และที่สำคัญเราต้องนำสิ่งที่ทุกคนพูดไปปรับตัว และให้ตัวเองก้าวออกจากหลุมนี้ให้ได้ เป็นสิ่งที่ดิฉันคิด และตอกย้ำกับตัวเองอยู่เสมอ ต้องคิดถึงประชาขนให้ความหวังไว้วางใจกับเรา เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด

**เรื่องจิตใจแล้วดูแลร่างกายความสวยความงามอย่างไร

ไม่ได้มองตรงนี้เป็นสาระเรื่องใหญ่เพราะเรื่องใหญ่เรื่องแรกคือภาวะจิตใจคืออีคิว ถ้าคนเรามีจิตใจที่ดีและสงบนิ่งการพักผ่อนจะง่ายขึ้น การทาน การนอน ทุกอย่างจะสบาย จิตใจดีหน้าตาสดใสมันก็ไปได้ แต่ถ้าเราเริ่มจากความเครียดก็นอนไม่ได้ สุขภาพไม่ดี ดังนั้นต้องเริ่มจากจุดนี้ และที่เหลือก็เรื่องของตามวัย ทุกอย่างเราก็ทำเท่าที่เราทำได้ ก็ใช้วิธีอย่านั้น เราเองก็จะไม่เครียด รู้สึกรีแลกซ์ ที่สำคัญต้องได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบบ้าง

ขอขอบคุณ ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ดร.จารุพรรณ: Time to say goodbye ประชาธิปัตย์

Jarupan Kuldiloke

ข้อความในทวิตเตอร์ของ ดร.จารุพรรณ กุลดิลก ซึ่งมีโอกาสได้นั่งประชุมคณะกรรมมาธิการ ร่างรัฐธรรมนูญ ได้เห็นพฤติกรรมของสมาชิกสภาฯ พรรคประชาธิปัตย์ และได้สรุปลักษณะสำคัญของพรรคดังกล่าวไว้ดังนี้

" จากการประชุมกมธ.ร่างรธน. พฤติกรรม ปชป. จะมีลักษณะดังต่อไปนี้

  • ข่มขู่ประธานเป็นระยะ ข่มขู่องค์กรอิสระ
  • ดูถูกฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นมวยอ่อน แล้วพลิกความกฎหมายไปมาตามอำเภอใจ
  • เมื่อเถียงแพ้ด้วยข้อบังคับ จะพากันเดินออกจากห้องประชุม
  • แต่เมื่อจะลงมติ แล้วตนแพ้ จะเดินกลับเข้ามายื้อให้ถึงที่สุด
  • เมื่อยื้อไม่ได้ จะแกล้งบ้า อาละวาด
  • เมื่อจนมุมด้วยข้อบังคับทั้งปวง จะ ขอนับองค์ประชุม (เผื่อฟลุ๊ค ไม่ครบ)
  • เมื่อองค์ประชุมครบ ลงมติแพ้ จะกลายเป็นตลกไปเลย
  • แกล้งทำเป็นตลกว่าไม่มีอะไร แต่ข้างนอกจะออกไปด่ากับสื่ออย่างแรง
  • สุดท้ายเลยรู้ว่า ปชป.ทำมาหากินด้วยการด่าฝ่ายตรงข้าม และหากินบนความขัดแย้งของประเทศ
  • หากให้ปชป.ปกครองบ้านเมือง รังแต่จะทำให้ประเทศเป็นเวทีมวย มิน่าปท.จึงบอบช้ำมาก โดยเฉพาะภาคใต้
  • เสียดายที่ปชช.ส่วนใหญ่ของปท.เขารู้ทันปชป.หมดแล้ว มวยวัดเก๋าๆอย่างปชป. จึงถึงคราวที่จะไม่มีเวลาสากลโลกให้เล่นอีกต่อไป
  • Time to say goodbye ประชาธิปัตย์!

นายกรัฐมนตรี ร่วมยินดีวันครบรอบ 21 ปี นสพ.ข่าวสด


สำนักงานหนังสือพิมพ์ข่าวสด นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายนิวัฒธำรงค์ บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางนลินี ทวีสิน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เดินทางเข้าร่วมอวยพรวันครบรอบ 21 ปี ย่างเข้าสู่ปีที่ 22 ของหนังสือพิมพ์ข่าวสด โดยมีนายขรรค์ชัย บุนปาน ประธานกรรมการบริหารเครือมติชน-หนังสือพิมพ์ข่าวสด นายฐากูร บุนปาน ผู้จัดการท่ัวไปบริษัทมติชน นายสุริวงค์ เอื้อปฏิภาน บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.ข่าวสด ให้การต้อนรับ ซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้ลงนามอวยพรในสมุดเยี่ยมว่า "ขอแสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่ง" กับหนังสือพิมพ์ข่าวสด พร้อมมอบแจกันดอกไม้ และร่วมถ่ายรูปเป็นเกียรติแก่นายขรรค์ชัยด้วย ก่อนที่นายกรัฐมนตรี และคณะจะร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับผู้บริหารบริษัทฯในเครือ

"คมช.2" วอนโดนเหยียบ! ดร.จารุพรรณเตือนอย่าแหยม


ส.ส.จารุพรรณ กุลดิลก ระบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์พิเศษแก่ go6tv ในกรณีมีข่าวความเคลื่อนไหวก่อการรัฐประหาร หรือที่เรียกง่ายๆว่า "คมช.2"

ดร.จารุพรรณ กล่าวว่า ประชาชนมีสิทธิที่จะต่อต้านรัฐประหาร ประชาชนมีสิทธิ์ในการป้องกันตัว และป้องกันรัฐธรรมนูญ ในร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ควรมีบทบัญญัติระบุโทษ หากมีการก่อรัฐประหาร และเมื่อบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติ จะต้องนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

ปชป.อึ้ง! "สหประชาชาติ" ยกย่อง "กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี"

นาย บัน คี มูน เลขาธิการสหประชาชาติ(ยูเอ็น) กล่าวชื่นชมนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในระหว่างการเยือนประเทศเกาหลีที่ผ่านมา ถึงกรณี “กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี” ว่าเป็นโครงการที่สร้างโอกาสให้ผู้หญิงด้อยโอกาสให้เข้าถึงทุน

ที่โรงแรมล็อตเต้ นายกรัฐมนตรีได้ต้อนรับ นายบัน คี มูน เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงการพัฒนาบทบาทสตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับปัญหาของผู้หญิงและความเสมอภาคระหว่างชายหญิง และได้มีการจัดตั้งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ซึ่งมีนโยบายสนับสนุนบทบาทของสตรีไทย ให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศอย่างเสมอภาค ปกป้องสิทธิสตรี ปรับปรุงกฎหมายคุ้มครองสตรีที่ถูกกระทำรุนแรงในครอบครัว รวมทั้งเพิ่มโอกาสให้สตรีได้เข้าถึงการศึกษา แหล่งทุนและสาธารณสุข เพื่อให้มีความรู้ มีรายได้ มีหลักประกันในการดำรงชีวิตและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนั้น รัฐบาลยังมีนโยบายที่จะจัดตั้งสถานดูแลเด็กในสถานที่ทำงานของภาครัฐและเอกชนจนถึงระดับชุมชน การเพิ่มและพัฒนาศักยภาพของศูนย์พึ่งได้เมื่อช่วยเหลือเด็กและผู้หญิงที่ประสบปัญหารุนแรงในครอบครัวตลอด 24 ชั่วโมง ตลอดจนส่งเสริมบทบาทของสตรีให้เป็นหลักในการสร้างครอบครัวที่อบอุ่นมั่นคง

ด้านนายบัน คี มูน เลขาธิการยูเอ็น กล่าวชื่นชมบทบาทของนายกรัฐมนตรี พร้อมกล่าวถึง ความสำคัญที่สหประชาชาติให้กับการพัฒนาบทบาทของสตรีและเด็กด้อยโอกาส ทั้งนี้ สหประชาชาติเองเพิ่งได้จัดทำโครงการภายใต้ชื่อ “Every Women, Every Child” และจัดตั้งหน่วยงาน UN Women รวมทั้งเปิดสำนักงานในประเทศไทยเพื่อสนับสนุนบทบาทของสตรีและเด็กด้อยโอกาสในเอเชียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่าตรงนี้เป็นโอกาสดีที่รัฐบาลไทยและ UN Women ภายใต้สหประชาชาติ จะสามารถร่วมมือกันได้เพื่อส่งเสริมและพัฒนาบทบาทสตรี ทั้งในประเทศไทยและในระดับภูมิภาค รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ร่วมกันต่อไปในอนาคต

"มาร์กาเร็ด อึ้งภากรณ์" ภรรยาอาจารย์ป๋วย จากไปอย่างสงบด้วยวัย 93 ปี




นางมาร์กาเร็ด อึ๊งภากรณ์ ภรรยาของอาจารย์ป๋วย อึ้งภากรณ์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้จากไปอย่างสงบด้วยวัย 93 ปี

อาจารย์ใจ อึ้งภากรณ์ ได้ทวิตข้อความผ่านเฟรซบุ๊คส่วนตัว บอกเล่าประวัติของคุณแม่ ไว้ดังนี้

มาร์กาเร็ด อึ๊งภากรณ์ 1919-2012

มาร์กาเร็ดเกิดในตระกูลที่เน้นอุดมการณ์ แต่เป็นความเชื่อและอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน คุณตาเป็นครูสอนศาสนานิกายกระแสรองที่ปฏิเสธความหรูหรา ในช่วงท้ายๆของชีวิตคุณแม่ของมาร์กาเร็ดเป็น คเวเคอร์พ่อของมาร์กาเร็ดเป็นคนอนุรักษ์นิยมรักชาติที่อาสาไปรบในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งทำให้แม่ของมาร์กาเร็ดต่อต้านสงคราม

มาร์กาเร็ดเติบโตที่ลอนดอนทางใต้ใกล้ๆ แม่น้ำเทมส์ เขาจะเล่าว่าตอนเด็กๆ จะไปเล่นตามสวนและทุ่งในพื้นที่จนรู้จักดอกไม้ธรรมชาติหลายชนิด มาร์กาเร็ดเข้าโรงเรียนสตรีเซนต์พอลส์ ซึ่งตอนนั้นมีอาจารย์เป็นเฟมินิสต์ และครูเหล่านั้นมีอิทธิพลกับมาร์กาเร็ดเป็นอย่างมาก

มาร์กาเร็ดเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งและแน่วแน่ในความคิด และเขาเป็นคนกล้าหาญ เขากล้าหาญในสองเรื่องใหญ่คือ เรื่องที่หนึ่งคือ กล้าแสดงจุดยืนต้านสงคราม โดยที่ไม่ยอมทำงานช่วยรัฐบาลอังกฤษในการทำสงครามโลกครั้งที่สอง และเลือกไปทำงานสังคมสงเคราะห์แทน เพื่อนร่วมอุดมการณ์ของเขาที่เป็นผู้ชายและต้านสงครามจะติดคุกเพราะไม่ยอมไปรบ มาร์กาเร็ดต่อต้านสงครามตลอดชีวิต เขาไปร่วมประท้วงใหญ่กับเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งจากยุคมหาวิทยาลัย เพื่อต่อต้านสงครามอิรักในปี 2003 ตอนนั้นเขาอายุ 84 ปี

ในเรื่องที่สอง มาร์กาเร็ดกล้ารักเพื่อนนักเรียนคนที่ชื่อป๋วย ซึ่งเป็นคนไทย สองคนพบกันที่มหาวิทยาลัยลอนดอน หลังสงครามโลกมาร์กาเร็ดกล้าตัดสินใจเดินทางไปอีกซีกหนึ่งของโลก เพื่อไปใช้ชีวิตในประเทศไทยที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน เขาตั้งใจเรียนภาษาไทยจนอ่านและพูดได้

มาร์กาเร็ด เป็นนักสังคมนิยมประชาธิปไตย ตอนที่เขาเรียนที่มหาวิทยาลัย เขาได้รับอิทธิพลจากเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งที่ใกล้ชิดกับสส.ฝ่ายซ้ายของพรรคแรงงาน มาร์กาเร็ดไม่ใช่มาร์คซิสต์ แต่ในช่วงแรกๆ เขาไม่ยอมเป็นสมาชิกพรรคแรงงาน เพราะมองว่าไม่ซ้ายพอ เขาพึ่งมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคแรงงานในช่วงท้ายของชีวิต ในยุคนายกแทชเชอร์ มันเป็นการแสดงจุดยืนต้านแทชเชอร์และพรรคพวก อย่างไรก็ตามเขาจะพูดเสมอว่าพรรคแรงงานถูกทำลายไปหมดโดยโทนนี่บแลร์ เขาเกลียดแนวเสรีนิยมและทัศนะมือใครยาวสาวได้สาวเอาของพวกกลไกตลาดและฝ่ายขวา เขาคัดค้านการแปรรูปรัฐสวัสดิการ และบ่นว่า พวกใส่ซูดคุมอำนาจเพื่อความโลภ

เขารักประเทศไทยและอาศัยอยู่ในไทยหลายๆ ปี แต่เขาเกลียดทหารเผด็จการที่ชอบแทรกแซงการเมืองไทย เกลียดการโกงกินคอร์รับชั่น และการที่ผู้น้อยต้องหมอบคลานต่อผู้ใหญ่ เขามองว่าทุกประเทศควรเป็นสาธารณรัฐ

มาร์กาเร็ด ไม่เชื่อในศาสนาและเกลียดความงมงายทุกชนิด ที่บ้านซอยอารีเขาจะรื้อศาลพระภูมิทิ้ง แต่เขามองว่าลูกๆ ควรเรียนรู้เรื่องศาสนาต่างๆ แล้วตัดสินใจเอง

มาร์กาเร็ด รักธรรมชาติ รักการอ่านหนังสือ สนใจประวัติศาสตร์และประเด็นทางสังคม เขารักดนตรีของ Beethoven

ถ้าเขารู้ว่าผมเขียนบทความนี้เกี่ยวกับเขา เขาคงจะต่อว่าผมด้วยความรำคาญ

"วัชระ เพชรทอง" ต่ำ! สบถกลางสภาเปรียบรายงานเป็น "ขี้"


เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 28 มี.ค. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม โดยช่วงเปิดให้สมาชิกหารือ นายวัชระ เพชรทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ หยิบรายงานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งที่ประชุมร่วมรัฐสภาเห็นชอบให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณารายงานดังกล่าวในสมัยสามัญนิติบัญญัติมาแสดง ก่อนจะทำการฉีกรายงานดังกล่าวในส่วนแผ่นด้านหน้า 2-3 แผ่น พร้อมกล่าวโจมตีด้วยถ้อยคำรุนแรงโดยระบุว่ารายงานฉบับดังกล่าวเปรียบเสมือนอุจจาระสำหรับประชาชน และเป็นรายงานเถื่อน ทำให้นายสมศักดิ์สั่งถอนคำพูดทันทีซึ่งนายวัชระยอมถอนแต่โดยดี

อย่างไรก็ตาม นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส. ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวตำหนิพฤติกรรมของนายวัชระ พร้อมเรียกร้องให้ประธานสภาฯดำเนินการกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของนายวัชระ ทำให้นายวัชระลุกขึ้นตอบโต้ทันทีและท้าให้รีบร้องเรียนพฤติกรรมของตนได้เลย ส่วนนายพิเชษฐ์จะรับใช้ใครเป็นเรื่องส่วนตัว เพราะตนรับใช้ประชาชน จากนั้นทั้งสองฝ่ายโต้เถียงกันโดยไม่มีใครยอมใคร จนนายสมศักดิ์ ต้องขอให้ทุกฝ่ายนั่งลง

"ม.1 เฮ!" แจกแท็บเลตนำร่องเทอม 2

นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการมอบนโยบายแก่ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาหรือสพท. โดยระบุว่าเป้าหมายของกระทรวงศึกษาธิการต้องการให้ส่งเสริมให้เด็กมีความเจริญก้าวหน้า แต่จะดูแลคุณภาพชีวิตของครูและบุคลากรทางการศึกษา ด้วยการปรับปรุงกฎระเบียบให้สอดคล้องกับเป้าหมาย

กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายแจกแท็บเล็ตให้นักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 ประมาณ 6 - 7 แสนเครื่อง โดยตั้งงบประมาณการจัดซื้อในปี 2556 ซึ่งเบื้องต้นอาจจะใช้สเปคเดียวกับที่ซื้อให้ป.1 หรืออาจจะพิจารณาในเรื่องสเปคใหม่ที่เหมาะสมกว่า ส่วนการจัดซื้อจะทำแบบเดียวกับที่ซื้อให้ป.1 หรือไม่นั้นต้องพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง