ท่านผู้นี้มีบรรดาศักดิ์เป็น “รองหัวหมื่น พระอนุวัฒน์ราชนิยม” (ฮง เตชะวนิช) โดยเป็นลูกจีนที่เกิดในเมืองไทยเมื่อปี 2392 โดยเป็นบุตรนายเกีย (ที่ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเกิดในเมืองไทย หรือเดินทางเข้ามาจากเมืองจีน) กับนางเกิด ชาวไทย ซึ่งเมื่อยี่กอฮงถือกำเนิดมานั้น นายเกียผู้เป็นบิดาได้ตั้งหลักฐานอยู่ในพระนคร โดยเปิดร้านค้าขายผ้าอยู่ที่หัวมุมสี่กั๊กเสาชิงช้า ด้านถนนบำรุงเมือง แต่พออายุได้ประมาณ 7 ขวบ บิดาถึงแก่กรรม ญาติฝ่ายบิดาที่เป็นคนจีนจึงรับกลับไปอยู่ที่เมืองจีนจนกระทั่งอายุได้ 16 ปี จึงกลับมายังประเทศไทย และก็ไม่ได้กลับไปเมืองจีนอีกเลย แต่ก็ปรากฏว่า ตอนนั้นนางเกิดผู้มารดาได้ถึงแก่กรรมไปแล้ว ท่านจึงต้องอาศัยอยู่กับญาติชาวจีน ช่วยประกอบกิจการต่างๆ (แต่ก็ไม่ปรากฏหลักฐานว่าทำอะไรบ้าง) จนอายุได้ 30 ปี จึงขึ้นไปทำการค้าที่เชียงใหม่ และแต่งงานกับบุตรีของคหบดีบ้านสันป่าข่อย นามว่านางสาวเจียน กิจเฟื่องฟู (นางอนุวัฒน์ราชนิยม-เจียน เตชะวนิช) จากนั้นจึงได้พาภรรยาลงมาอยู่ที่พระนคร โดยปลูกเรือนแพอยู่ที่หน้าบ้านพระยาโชฏิกราชเศรษฐี ที่หน้าวัดอรุณราชวรารามฝั่งธนบุรี ครั้งต่อมาจึงได้มาปลูกบ้านอยู่ที่ย่านพลับพลาไชย หน้าวัดคณิกาผล เรียกว่า “บ้านพลับพลาไชย” ท่านยี่กอฮงได้ประกอบกิจการค้าหลายอย่าง แต่ที่ได้สร้างฐานะให้ท่านจนรุ่งเรืองก็คือ การเป็นเจ้าภาษี โรงต้มกลั่นสุรา โรงบ่อนเบี้ย โรงหวย กอขอ มาในรัชกาลที่ 6 จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็น “รองหัวหมื่น พระอนุวัฒน์ราชนิยม” และพระราชทานนามสกุลให้ว่า “เตชะวนิช” และในรัชกาลที่ 6 เมื่อมีการออกพระราชบัญญัติเลิกอากรบ่อนเบี้ย และ หวย กอขอ ท่านจึงได้หันไปประกอบกิจการค้าอื่นๆ อาทิ เรือเดินทะเลไปเมืองจีน ทำโรงสีข้าวและอื่นๆ แต่ปรากฏว่ากิจการเหล่านั้นกลับสร้างหนี้สินให้ท่านเป็นจำนวนมาก ซึ่งในที่สุดท่านก็ถูกฟ้องเป็นคนล้มละลาย และถูกยึดทรัพย์เป็นของหลวง แต่เนื่องจากท่านเป็นผู้ที่เสียสละเพื่อส่วนรวมมาโดยตลอด ทั้งการตั้งมูลนิธิป่อเต๊กตึ๊ง และมูลนิธิอื่นๆ ตั้งโรงเรียน สร้างสะพาน สร้างถนน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดฯ ให้ยี่กอฮงอาศัยอยู่ในบ้านนี้ต่อไปจนตลอดชีวิตเมื่อพระอนุวัฒน์ราชนิยมเสียชีวิตในปี 2479 ขณะที่มีอายุได้ 87 ปี ในปีต่อมาครอบครัวของท่านก็ต้องย้ายออกจากบ้านพลับพลาไชย เนื่องจากในเวลานั้นหลวงอดุลยเดชจำรัส อธิบดีตำรวจต้องการใช้ที่ตรงนี้ตั้งเป็นโรงพักกลางแทนโรงพักสามแยก ที่ถูกเพลิงไหม้เสียหาย ซึ่งในต่อมาก็ได้รื้ออาคารของเก่าลงหมด แล้วสร้างเป็นตึกสี่ชั้นขึ้นมาแทนที่สิบมาจนทุกวันนี้ ต่อมาจึงได้มีการสร้างศาล “ศาลเจ้าปู่ยี่กอฮง” ขึ้นบนชั้นสี่ของโรงพักพลับพลาไชย ซึ่งจนแม้บัดนี้ก็ยังอยู่ และเป็นที่นับถือของตำรวจที่นี่และบุคคลทั่วไป
ที่มาจากนิตยสารเซียน
ภาพประกอบ : ภาพจากอินเตอร์เน็ต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น