วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553
พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554
ทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฝ่ายพิธีการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 ครั้งที่ 1/2553 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผลการประชุมสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
ที่ประชุมจัดงานได้รับทราบตามที่ฝ่ายเลขานุการรายงานว่า ด้วยนายกรัฐมนตรีได้ขอให้สำนักราชเลขาธิการ นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอพระราชทานชื่อพระราชพิธี ชื่อการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ และกำหนดเขตการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งสำนักราชเลขาธิการแจ้งว่า ได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่ายละอองธุลีพระบาทแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อพระราชพิธีว่า " พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554" ชื่อการจัดงานเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 ว่า "งานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554" และชื่อภาษาอังกฤษใช้เพียงชื่อเดียว ซึ่งหมายรวมถึงชื่อพระราชพิธีและชื่อการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ ฯ ว่า "The Celebrations on the Auspicious Occasion of His Majesty the King′s 7th Cycle Birthday Anniversary 5th December 2011" และกำหนดเขตการจัดงานเฉลิมพระเกียรติตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2554
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการฝ่ายต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือในการดำเนินการดังกล่าวดังนี้
1. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการฝ่ายจัดงานพระราชพิธีเสด็จออกมหาสมาคมรับการถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 โดยมีปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อดำเนินการจัดงานพระราชพิธีเสด็จออกมหาสมาคมฯ
2. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการฝ่ายจัดพิธีเสกและอัญเชิญน้ำพระพุทธมนต์เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 โดยมีปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน เพื่อดำเนินการจัดพิธีเสกและอัญเชิญน้ำพระพุทธมนต์เพื่อทูลเกล้าฯ ถวายในงานพระราชพิธีเสด็จออกมหาสมาคมรับการถวายพระพรชัยมงคล
3. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการฝ่ายจัดงานศาสนพิธี เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 โดยมีปลัดกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธาน เพื่อการจัดงานศาสนพิธี อาทิ บรรพชาอุปสมบท การจัดทำพัดรอง ผ้าไตร และย่ามที่ระลึก การจัดกิจกรรมของศาสนาอื่นๆ พิธีเจริญพระพุทธมนต์ การขอพระราชทานสถาปนา เลื่อน และตั้งสมณศักดิ์พระสงฆ์ และการขอพระราชทานยกวัดราษฎร์ขึ้นเป็นพระอารามหลวง เป็นต้น
4. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการฝ่ายจัดพิธีถวายพระพรชัยมงคลเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 โดยมีปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธาน เพื่อดำเนินการจัดพิธีถวายพระพรชัยมงคล
5. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการฝ่ายจัดงานสโมสรสันนิบาตเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 โดยมีเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อดำเนินการจัดงานสโมสรสันนิบาตเฉลิมพระเกียรติฯ
6. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการฝ่ายจัดงานมหรสพสมโภชเนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 โดยมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานเพื่อดำเนินการจัดงานมหรสพสมโภช
อีกทั้ง คณะกรรมการฝ่ายพิธียังเห็นสมควรให้มีการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในงานพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวราราม เพื่อเป็นการฟื้นฟูโบราณราชประเพณี และเป็นการบำรุงขวัญอาณาประชาราษฎร์ รวมทั้งเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทย ตลอดจนเกิดประโยชน์ด้านเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ซึ่งจะได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย เมื่อได้รับพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยและพระบรมราชานุญาตแล้ว มอบหมายให้กองทัพเรือดำเนินการต่อไป
พร้อมกันนี้ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในตอนท้ายว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานกำหนดเขตการจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2554 คณะกรรมการฝ่ายพิธีเห็นสมควรให้มีการจัดกิจกรรมการเริ่มต้นเขตการจัดงานเฉลิมพระเกียรติฯ ในต้นเดือนมกราคม 2554 เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์หรือประกาศให้ประชาชนได้รับทราบว่า ได้เริ่มต้นแห่งปีมหามงคลแล้ว โดยจะได้ขอให้คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์รับไปพิจารณาการจัดกิจกรรมเพื่อเชิญชวนประชาชนทำความดีถวายเป็นพระราชกุศลสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และแสดงความจงรักภักดีถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553
ของจริง กับ ของปลอม ดูไม่ยาก เรื่องของพระปราโมทย์ กับ ฐิตินาถ ณ พัทลุง
จากเรื่อง "ป่วน" หน้า 99 หนังสือ เข็มทิศชีวิต II ตอน กฎแห่งเข็มทิศ เขียนโดย ฐิตินาถ ณ พัทลุง
กรณีพระปราโมทย์ ปราโมชโช เจ้าสำนักสวนสันติธรรม ถูกนางสาวฐิตินาถ ณ พัทลุง ผู้เขียนหนังสือเข็มทิศชีวิตเล่ม 1 และ เล่ม 2 อันโด่งดัง และคณะที่มีนายเทิดศักดิ์ เตชะกิจขจร อาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายวีรณัฐ โรจนประภา เจ้าของนิตยสารบางกอก และประธานมูลนิธิ บ้านอารีย์ กล่าวหาว่า มีพฤติกรรมยักยอกเงินบริจาค และที่ดิน อวดอุตริมนุสธรรม และความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับแม่ชีอรนุช อดีตภรรยา เป็นข่าวต่อเนื่องมานานสามสัปดาห์แล้ว
ฝ่ายผู้กล่าวหา คงจะชำนาญเรื่องการประชาสัมพันธ์สร้างข่าวไม่น้อย จึงเลือกใช้วิธี อ่อยเหยื่อ ค่อยๆ เปิดประเด็นข้อกล่าวหาทีละประเด็น เพื่อหลอกล่อให้ติดตาม โดยมีเครื่องเคียงเรียกร้องความสนใจประเภท "ทีเด็ด" เทปลับ "คลิบเสียง" และ จดหมายน้อยถึงลูกรัก 2 ฉบับ
ดูๆไปชอบใช้วิธีตีปี๊บ สร้างกระแส ด้วยการอ้างเทปลับ คลิบวิดิโอ ที่เหมือนกันอย่างกับแกะก็คือ เมื่อเปิดหลักฐานที่อ้างว่าเป็นข้อมูลเด็ดเหล่านี้แล้ว กลับปรากฏว่า ไม่ได้มีสาระ หรือนัยสำคัญที่จะสร้างน้ำหนักให้ข้อกล่าวหาเหล่านั้นได้
ตลอดระยะเวลาเกือบเดือน ที่ฝ่ายนางสาวฐิตินาถ กับพวก เป็นฝ่ายเปิดเกมรุกอยู่ข้างเดียว โดยพระปราโมทย์ ถือคติ "พระไม่ตีกับโยม" ไม่ตอบโต้ แต่ชี้แจงเท่าที่จำเป็น ปรากฏว่า ฝ่ายพระปราโมทย์ ชี้แจงได้ทุกข้อกล่าวหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เงินบริจาค ที่ทำไมต้องโอนให้นางอรนุช อดีตภรรยา ซึ่งมาบวชชีอยู่ในสำนักสวนสันติธรรม เป็นผู้ดูแล ทำไมต้องโอนที่ดินให้ภรรยา รายละเอียดเกี่ยวกับ บัญชีรายรับรายจ่าย สถานะของสวนสันติธรรม ฯลฯ
รวมทั้ง ความสัมพันธ์กับอดีตภรรยา ที่ฝ่ายที่กล่าวหาให้ข้อมูลว่า มีกุฎิอยู่ใกล้กัน หน้าต่างตรงกัน มองเห็นกันได้โดยไม่มีสิ่งใดๆขวางกั้น ซึ่งจากการเข้าไปตรวจสอบของสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 25 กันยายนที่ผ่านมา ชี้ชัดว่าข้อกล่าวหาเรื่องนี้เป็นเท็จ เพราะกุฎิของพระปราโมทย์กับอุบาสิกาอรนุช อยู่ห่างกันประมาณ 120 เมตร มีถนนคอนกรีต มีต้นไม้กั้น ไม่สามารถมองเห็นกันได้ ทั้งยังมีกุฎิของพระอุปัฏฐาก อยู่ใกล้กุฎิพระปราโมทย์ เพื่อคอยดูแล ซึ่งการวางผังที่ตั้งกุฏินี้ น.ส.ฐิตินาถ เป็นผู้กำหนดแบบไว้ตั้งแต่ก่อสร้าง และยังขอให้มีการสลับกุฏิกับพระอุปัฏฐาก เพื่อความปลอดภัยของพระปราโมทย์ นอกจากนี้กุฏิของพระปราโมทย์ และอุบาสิกาอรนุช ยังอยู่ในระยะไม่ไกลจากบ้าน อนาลโย ของ น.ส.ฐิตินาถ ก่อนที่จะมีการสร้างรั้วคอนกรีตกั้นในภายหลัง
ไม่เพียงแต่คำชี้แจงของลูกศิษย์พระปราโมทย์เท่านั้น แต่บรรดาข้อกล่าวหาต่างๆของ น.ส. ฐิตินาถ และนายวีรณัฐ ที่ยื่นเป็นหนังสือให้ สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ทำการสอบสวน นั้น ล้วนได้รับการรับรองยืนยันจากสองหน่วยงานว่า ไม่พบความผิดปกติ โดยนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ รอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า ได้รับรายงานจากสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด ชลบุรีว่าผลการตรวจสอบเรื่องของที่ดิน และเงินของสำนักสวนสันติธรรมไม่มีปัญหา เนื่องจากทางสำนักสวนสันติธรรม ได้มีการชี้แจงรายละเอียดอย่างชัดเจนว่านำเงินไปทำอะไรบ้าง ส่วนเรื่องของที่ดินที่ขอตั้งวัดก็ได้ดำเนินการอย่างถูกต้อง
สอดคล้องกับการให้สัมภาษณ์ของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่บอกว่า การตรวจสอบข้อร้องเรียนทั้งกรณีเรื่องเงินบริจาคและที่ดิน ที่ผู้ร้องอ้างว่ามีการถ่ายโอนทรัพย์สินให้เป็นชื่อของอุบาสิกาอรนุช อดีตภรรยา นั้น ยังไม่พบว่าพระปราโมทย์กระทำความผิดจริง โดยพระปราโมทย์ดำเนินการอย่างถูกต้องทั้งเรื่องของเงินบริจาค เรื่องที่ดินที่ขอจัดตั้งเป็นวัด เรื่องความใกล้ชิดกับอุบาสิกาอรนุชที่ถูกร้องเรียนว่ากุฏิอยู่ใกล้กัน รวมไปถึงการสอนที่ถูกร้องว่าอวดอุตริมนุษธรรม ก็ไม่พบว่าพระปราโมทย์มีการกระทำใด ๆ ที่ผิดต่อพระธรรมวินัย และระหว่างการให้สัมภาษณ์ยังมีการเปิดเผยบัญชีเงินฝากของทางสวนสันติธรรม ทั้งหมด 7 บัญชี ให้ผู้สื่อข่าวดู
ส่วนข้อหาอวดอุตริมนุสธรรมนั้น หลักฐานที่ น.ส. ฐิตินาถ อ้าง มีเพียงคลิปเสียงพระปราโมทย์ ข้อความว่า
".....โยนิโสมนสิกาสำคัญที่สุด ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์คอยบอก โยนิโสมนสิกาสำคัญที่สุด ต้องสังเกต อย่าเชื่อง่าย เราจะรู้ว่าไม่ใช่ จิตไม่ได้ค้นคว้าของมันอยู่ พูดอีกก็หลุดอีก พอหลายๆทีเข้า ก็โอ้ชาตินี้ทำไม่ได้แล้ว ไม่รู้จะไปทางไหน มันจบมุมเหมือนหลังชนกำแพง ถ้ารู้ที่วิเศษเป็นตัวทุกข์ล้วนๆ เลย บางคนเห็นว่าไม่ใช่ตัวเรา เห็นแล้วมันวาง
แต่ว่าต้องมีโยนิโสมนสิกากำกับการดูนะ ถ้าดูไปเฉยๆ บางทีใจไปค้างไว้ข้างใน หลวงพ่อเคยเจอ ตอนนั้นผ่านชั้นที่ 2 แล้ว เข้าไปดูอย่างโสรัจ พอดีไปเจอ ... เจอหน้าแล้วท่านยิ้มหวานเลย ผู้รู้ๆ ออกมาอยู่นอกๆ นี้ ตอนนั้นงงเลย ทำไมต้องมาอยู่ข้างนอก ท่านก็ให้บอกต่อ กิเลสอยู่ข้างนอกเนี่ย ตอนที่บรรลุลงไปข้างในก็เผลอไปหมดแล้ว มีภายในมีภายนอก...."
เอาความรู้ในเรื่องธรรมะชั้นไหนไปสรุปว่า คำพูดทำนองนี้คือ การอวดอุตริมนุสธรรม
ทั้ง น.ส. ฐิตินาถ นายวีรณัฐ เคยเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดพระปราโมทย์ มานานเกือบสิบปี เหตุใดจึงไม่สามารถหาหลักฐานที่หนาแน่นกว่านี้ มาพิสูจน์ข้อกล่าวหาที่มีต่อพระปราโมทย์ ในทุกๆเรื่องได้
เมื่อฝ่ายที่ถูกกล่าวหา สามารถอธิบายข้อกล่าวหาได้ทุกเรื่อง ก็แสดงว่า ข้อกล่าวหาเหล่านี้ เป็นเรื่องเท็จ ที่ถูกกุขึ้นมา เพื่อใส่ร้ายพระปราโมทย์ ถึงเวลาที่ น.ส. ฐิตินาถกับพวก จะต้องตอบคำถามแล้วว่า เหตุใดจึงกุเรื่องเหล่านี้ขึ้นมา
พระที่ได้ชื่อว่า เป็นพระดี มีลูกศิษย์ ลูกหาศรัทธาเลื่อมใสมากมาย หากจะต้องมีเรื่องมัวหมอง ก็หนีไม่พ้นสองเรื่องคือ สีกา กับเงินๆทองๆ
เช่นเดียว กัน บรรดาอุบาสิกา แม่ยกทางธรรมก็มีจุดตายอยู่สองเรื่องคือ เรื่องเงินๆทองๆ กับ อยากเป็นเจ้าของพระ
ในอดีต พระรูปงาม ห้อมล้อมด้วยสีกามากหน้า เกิดความหึงหวง ชิงพระหักสวาท จนนำไปสู่การเปิดโปงพฤติกรรมของพระ จนต้องสึกก็มีมาแล้ว
สำหรับสีกาฐิตินาถ เรื่องเงินๆทองๆ นั้น เธอแสดงความต้องการชัดเจนอยู่แล้วว่า ขอทวงเงิน 4 ล้าน 3 แสนบาท ที่เคยบริจาคให้พระปราโมทย์คืน เพราะพระปราโมทย์ โอน เงิน ที่ดินที่ซื้อมาด้วยเงินบริจาคไปให้อดีตภรรยาดูแล ซึ่งเธอเห็นว่า เป็นการยักยกอกเงินที่มีผู้บริจาค ไปเป็นสมบัติส่วนตัว
เหตุที่สีกาเกิดเสียดายเงิน ออกปากทวงทั้งที่บริจาคไปแล้ว พระอนุโมทนา ให้พร รับบุญ กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลกันไปแล้ว ลูกศิษย์พระปราโมทย์ ให้ข่าวผ่านทนายความมาว่า เพราะเธอผิดหวัง ที่อุตส่าห์ลงทุนไปมากแล้ว แต่กลับไม่ได้เป็น somebody ในสำนักสวนสันติธรรม เพราะพระปราโมทย์ไม่ไว้ใจในพฤติกรรมบางอย่าง
เป็นอาจารย์ ลูกศิษย์กันมาสิบปี ศิษย์ยังเห็นความไม่ดีของอาจารย์ ในหลายเรื่อง ทำไมอาจารย์จะไม่ล่วงรู้เลยหรือว่าศิษย์คิดอะไรอยู่
เรื่องนี้ เป็นอุทธาหรณ์ว่า เข็มทิศ ช่วยได้แค่ชี้ทาง แต่จะเดินไปถึงจุดหมายปลายทางหรือไม่ ใจเป็นเครื่องกำหนด
"ในหลวง" เสด็จฯ ทอดพระเนตรดนตรี
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนิน จากชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ รพ.ศิริราช ไปยังหอประชุมราชแพทยาลัย เพื่อ ทอดพระเนตรการแสดงดนตรีจากวงไทยแลนด์ฟิลฮาร์โมนิกออร์เคสตรา ในงาน “ศิริราชคอนเสิร์ต เทิดไท้องค์อัครศิลปิน”
วันนี้ 29 ก.ย. เวลา 20.02 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ เสด็จฯพระราชดำเนินลงจากชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติด้วยรถเข็นพระที่นั่ง โดยมี รศ.นพ.ประดิษฐ์ ปัญจวีณิน หัวหน้าภาควิชาหทัยวิทยา ภาควิชาอายุรแพทยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ทรงสวมฉลองพระองค์ด้วยสูททักซิโด้สีดำและหูกระต่ายสีดำ ทรงมีสีพระพักตร์สดใส พร้อมโบกพระหัตถ์ทักทายพสกนิกรที่มาเฝ้ารอรับเสด็จฯ ตั้งแต่ช่วงเย็น และพากันเปล่งเสียง "ทรงพระเจริญ" ตลอดสองข้างทางเสด็จพระราชดำเนินไปยังหอประชุมราชแพทยาลัย สถานที่จัดแสดงงาน "ศิริราชคอนเสิร์ต เทิดไท้องค์อัครศิลปิน" ซึ่งบรรเลงโดยวงดุริยางคฟีลฮาร์โมนิกแห่งประเทศไทย โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เฝ้ารับเสด็จฯ
โดยบรรยากาศทั่วบริเวณหอประชุมราชแพทยาลัย เต็มไปด้วยบรรดาบุคคลสำคัญที่ได้รับเชิญให้เข้าชมการแสดงในวันนี้มีจำนวนกว่า 300 คน อาทิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีพร้อมภริยา นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง และภริยา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม พล.อ อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. ฯลฯ
ศ.คลินิก นพ.ธีรวัฒน์ กุลทนันทน์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล กล่าวถึงความเป็นมาของการจัดงานศิริราชคอนเสิร์ตเทิดไท้องค์อัครศิลปิน ว่าเพื่อเป็นการถวายแด่พระองค์ท่านให้ทรงพระเกษมสำราญ และเพื่อรำลึกถึง วันที่ 29 ก.ย.2516 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จฯมาทรงดนตรี ที่หอประชุมราชแพทยาลัย คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลแห่งนี้ ทำให้นักศึกษาและบุคคลากรทุกหมู่เหล่ามีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ และซาบซึ้งในพระปรีชาสามารถของพระองค์ ซึ่งหลังจากที่ทรงดนตรีครั้งนั้นแล้ว พระองค์ก็ไม่ได้เสด็จฯไปทรงดนตรีที่สถาบันศึกษาไหนอีก
และเพื่อเป็นการรำลึกถึงวันทรงดนตรีที่ยังอยู่ในความทรงจำชาวศิริราช ทางคณะแพทย์ศาสตร์ฯ จึงตั้งใจจัดงานนี้ขึ้น โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้เข้ากราบบังคมทูลถวายรายงานให้ทรงทอดพระเนตร จากนั้นทรงมีรับสั่งผ่าน ศ.เกียรติยศ นพ.สงคราม ทรัพย์เจริญ แพทย์ประจำพระองค์ว่า จะเสด็จฯมาทอดพระเนตร นอกจากนี้ตนยังได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ และทรงมีรับสั่งว่าจะเสด็จมาทอดพระเนตรด้วยเช่นกัน
สำหรับวงดนตรีที่มาแสดงถวายในคืนนี้คือไทยแลนด์ฟิลฮาร์โมนิกออร์เคสตรา ซึ่งเป็นวงดนตรีออร์เคสตรา 80 ชิ้น ควบคุมวงโดย Mr Gudni A. Emillson และ พ.ต.ประทีป สุพรรณโรจน์ ซึ่งศ.คลินิก น.พ.ธีรวัฒน์ ได้กล่าวถึงความรู้สึกของนักดนตรีเมื่อได้รับทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯจะเสด็จมาทอดพระเนตรการแสดงในครั้งนี้ว่า
"เมื่อทราบว่าพระองค์รับสั่งว่าจะเสด็จฯมาทอดพระเนตร ทุกคนในวงต่างก็รู้สึกตื่นเต้นคึกคัก ส่วนตัวแล้วก็รู้สึกถึงความหลังด้วย เพราะแม้จะผ่านมากว่า 30 ปีแล้ว แต่ยังจำได้ดีว่า วันที่ที่ทรงดนตรีนั้น ตนเป็นนักศึกษาแพทย์ปีสุดท้าย ได้มีโอกาสเข้าร่วมรับชมด้วย วันนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงแซกโซโฟน พระองค์จะรับสั่งติดตลกกับนักดนตรีที่เข้าแสดง พวกเรานักศึกษาแพทย์ต่างอิ่มใจและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ทั้งยังมีรับสั่งกับนักศึกษาด้วยว่า "ดีใจที่ได้มีวันนี้อีกครั้ง" อย่างไรก็ตามทุกอย่างกระทันหันไปหมด จึงต้องขออภัยที่ทางศิริราชเรียนเชิญผู้มีเกียรติเข้าร่วมได้ไม่ทั่วถึง"
ซึ่งในวันนี้บรรดาสมาชิกวงไทยแลนด์ฟิลฮาร์โมนิกออร์เคสตรากว่าร้อยชีวิต ได้ทยอยเดินทางมาซ้อมที่หอประชุมราชแพทยาลัย ตั้งแต่เวลา 15.00 น. โดยทางคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราช ได้ทำการตกแต่งดัดแปลงให้เป็นห้องจัดแสดงออร์เตสตรา แบบสมบูรณ์แบบ โดยมีการยกเวทีสูงขึ้นจากพื้นหอประชุมราว 2 เมตรบริเวณหน้าเวที ประดับประดาด้วยดอกไม้ ส่วนภายในโถงตั้งเก้าอี้สีขาวขลิบทองจำนวนกว่า 400 ที่นั่ง เพื่อรับรองแขกผู้มีเกียรติ ขณะเดียวกัน ที่บริเวณชั้น 2 ของหอประชุม ถูกจัดวางและตกแต่งให้เป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
ซึ่งการบรรเลงในวันนี้ประกอบด้วย เพลงพระราชนิพนธ์ 19 เพลง นอกจากนี้ยังมีการบรรเลงเพลงโหมโรงมหาราช เพลงอาทิตย์อับแสง ซึ่งเดี่ยวเปียโนโดย นายดริน พันธุมโกมล , เพลงไร้เดือน เพลงเมื่อโสมส่อง เพลงเกาะในฝัน ขับร้องโดย Mrs.Colleen Jennings, เพลงใกล้รุ่ง เพลงยามเย็น ขับร้องโดย น.ส.กมลพร หุ่นเจริญ, เพลงกินรี เพลงแสงเทียน เพลงความฝันอันสูงสุด ขับร้องโดยนายณัฐพร ธรรมาธิ, เพลงดวงใจกับความรัก เพลงในดวงใจนิรันดร์ เพลงสายฝน เพลงแสงเดือน เพลงพระมหามงคล เพลงชะตาชีวิต ขับร้องโดย Mrs.Cherryl hayes, เพลงเราสู้ ขับร้องโดยนายณัฐพร ธรรมาธิ นายตุลานันท์ นรเศรษฐ์พิศาล น.ส.กมลพร หุ่นเจริญ น.ส.กุมาริกา ศุภการ , เพลงแผ่นดินของเรา ขับร้องโดยน.ส.กุมาริกา ศุภการ และเพลงมาร์ชราชวัลลภ
รศ.นพ.อภิชาติ อัศวมงคลกุล รองคณบดีฝ่ายบริหาร คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราช กล่าวว่า ไทยแลนด์ฟิวฮาโมนิกออเคสตร้า เป็นวงดนตรีที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อพัฒนาให้เป็นออเคสตร้าวงอาชีพ ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลและทางวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ในแต่ละปีที่ผ่านมาจะมีการแสดงระดับประเทศและระดับนานาชาติ ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ดีในการได้มาแสดงถวาย ทั้งนี้ทางศิริราชได้จัดเตรียมระบบแสงเสียงที่ดีที่สุด ในหอประชุมราชแพทยาลัย ถือเป็นประวัติศาสตร์ของศิริราช ที่มีการจัดแสดงวงออเคสตร้าแบบเต็มวง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทางศิริราชตั้งใจถวาย
ด้านความรู้สึกของนักร้องของวงไทยแลนด์ฟิลฮาร์โมนิกออร์เคสตราMrs Colleen Jennings ชาวอเมริกัน ผู้ขับร้องเพลง "เกาะในฝัน" เผยว่า เป็นครั้งที่ 2 ที่ได้ร้องเพลงต่อหน้าพระพักตร์ ซึ่งถือเป็นเกียรติในชีวิตอย่างยิ่ง เพราะไม่ใช่นักร้องอเมริกันทุกคนที่จะได้มีโอกาสนี้ ส่วนตัวชอบเพลง Hm blue อาทิตย์อับแสง ดวงใจกับความรัก
ส่วน น.ส.กมลพร หุ่นเจริญ อายุ 21 ปี นักศึกชั้นปีที่ 4 วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล หนึ่งในผู้ขับร้องบทเพลง"เราสู้" กล่าวว่า ถือเป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีโอกาสร้องเพลงต่อหน้าพระพักตร์ รู้สึกตื่นเต้น แต่ตั้งใจว่าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อถวายพระองค์ และทางครอบครัวก็รู้สึกดีใจพร้อมกับกำชับมาว่าต้องร้องให้ดีที่สุด เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาส
ขณะที่นายตุลานันท์ นรเศรษฐ์พิศาล อายุ 21 ปี ผู้ร่วมขับร้องเพลง "เราสู้" กล่าวว่า รู้สึกตื่นเต้น และถือเป็นเกียรติครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้มีโอกาสแสดงต่อหน้าพระที่นั่ง และเมื่อรู้ว่าจะได้ร้องเพลงเราสู้ที่ค่อนข้างหาฟังยาก จึงต้องฝึกซ้อมอย่างมาก เพราะมีท่อนเอื้อนที่ค่อนข้างเยอะ แต่มั่นใจว่าจะทำได้ดีที่สุด
เช่นเดียวกับความรู้สึกของ 2 วาทยากรของวงไทยแลนด์ฟิวฮาโมนิกออร์เคสตรา Mr Gudni A. Emillson วาทยากรจากประเทศเยอรมัน กล่าวว่า วันนี้เป็นวันที่พิเศษมาก เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ได้อำนวยเพลงต่อหน้าพระมหากษัตริย์ ที่ทรงมีความสามารถในการประพันธ์ดนตรี แต่งบทเพลงที่คนรู้จัก ภูมิใจที่พระองค์ทรงอนุญาติให้พวกเราได้มาจัดแสดงวันนี้ และเป็นเกียรติอันยิ่งใหญ่ของวงด้วย แน่นอนว่าต้องรู้สึกตื่นเต้นเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ต่างกับคนไทย เพราะต้องการทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อถวายแด่พระองค์ท่าน ส่วนตัวแล้วชอบบทเพลงพระราชนิพนธ์ของในหลวงทุกบทเพลงที่ทรงแต่ง เพราะแต่ละเพลงมีสไตล์ที่ไม่ซ้ำกัน เป็นการแต่งที่ผสมผสานกัน จนแทบไม่น่าเชื่อว่าพระองค์จะมีความซาบซึ่งในเรื่องดนตรีมากขนาดนี้ ต้องบอกว่าเป็นพรสวรรค์อย่างมาก ทั้งวันนี้จะได้เลือกบทเพลงที่ดีที่สุดพิเศษที่สุดที่ทรงโปรด คือ HM blue
พ.ต.ประทีป สุพรรณโรจน์ หนึ่งในวาทยากรวงไทยแลนด์ฟิวฮาโมนิกออร์เคสตรา กล่าวว่า ภูมิใจที่ได้มีโอกาสนำบทเพลงทั้ง 19 บทเพลงซึ่งจะนำมาแสดง มาเรียบเรียงเสียงประสานให้เป็นเพลงคลาสสิค ซึ่งการนำเพลงแจ็สมาดัดแปลงเป็นเพลงคลาสสิคนั้นไม่ใช่เรื่องงาย แต่ก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องทำเพื่อรับใช้เบื้องพระยุคลบาท ส่วนความรู้สึกนั้นเช่นเดียวกับนักดนตรีทุกคนของวง เมื่อทราบว่าได้แสดงต่อหน้าพระที่นั่ง ทุกคนต่างทุ่มเทในการฝึกฝนมาก เพราะถือเป็นช่วงเวลาแห่งเกียรติยศแห่งชีวิต จึงต้องซ้อมหนักและทุ่มเท เพราะมีเพียงวงโยธวาธิตเท่านั้น ที่สามารถเล่นต่อหน้าพระที่นั่งได้ สำหรับไฮไลท์ของการอำนวยเพลงนั้น จะมีอยู่ราว 2-3 เพลง โดยเฉพาะเพลงเปิดหน้าม่าน คือเพลง โหมโรงมหาราช ความฝันอันสูงสุด เราสู้ ซึ่งการแสดงทั้งหมดจะใช้เวลาราว 1.30 ชม. ยอมรับว่าตื่นเต้นเพราะใครได้มายืนตรงนี้ก็ถือว่าสูงสุดแล้ว
"...ละเรารู้ว่า ตัวเราเปลี่ยนไป.."
เมื่อเราผ่านการต่อสู้ เราย่อมตระหนักรู้ ว่าตัวเราเปลี่ยนไป
มันอาจจะเพียงไม่นาน และเราไม่ได้ถูกจ้างวานให้มาโดยใคร
เราสุขเราทุกข์มาด้วยกัน ผ่านคืนและวันที่เราต่างลุกเป็นไฟ
ไฟบางกองวูบวับดับลง หากที่เหลือยังคงเป็นไฟกองใหม่
แม้ล่วงเข้าปลายฤดูฝน มันยังลุกอยู่บนสิ่งที่ควรลุกไหม้
เพื่อนเอ๋ย..เราไม่อาจปล่อยวาง จุดหมายปลายทางยังอีกยาวไกล.......
ระหว่างเส้นทางสายนี้, เราเริ่มรู้ว่ามีเรื่องราวมากมาย
มีชุมชน และผู้คนเหล่านั้น ในตรอกซอยตัน และถนนสายใหญ่
บนทางลอยฟ้า หน้าห้างฯ ลานสนามกว้างขวางมีเวทีอภิปราย
วิทยุ, ทีวี, หนังสือ ฯลฯ บอกเราให้ยึดถือหลักการฯ ทั้งหลาย
การเผชิญหน้าปากกระบอกปืน ช่วยให้เราหยัดยืนได้มั่นคงกว่าใครๆ
และการล้อมปราบครั้งนั้น ไม่ทำให้เราพรั่นพรึงแต่อย่างใด........
เพื่อนเอ๋ย เราผ่านมันมา และเรารู้ว่า ตัวเราเปลี่ยนไป
เราเริ่มพูดจาเหมือนกัน ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องอะไร
คิดและทำสิ่งเดียวกัน ตั้งเข็มมุ่งมั่นโดยมิต้องนัดหมาย
ไม่ต้องมัวตั้งคำถาม เพราะทุกอย่างเป็นไปตามชุดคำอธิบาย
การเมือง, สังคม, เศรษฐกิจ ทุกเรื่องเราคิดคำตอบได้ง่ายดาย
เรารักคนคนเดียวกัน และเกลียดคนคนนั้นเหมือนๆ กันใช่ไหม ?
ทุกคน ทุกเรื่องที่เรารัก ทำไมเรามักไม่มีคำถามใดๆ ?
และทุกคน ทุกเรื่องที่เราเกลียด เราก็ยิ่งยัดเยียดความเกลียดชังลงไป
เราอนุโลมให้กับความผิดพลาด ในทุกๆ โอกาสของพวกเราใช่หรือไม่ ?
เราจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ท่ามกลางความเงียบงันของ "คำถาม" ได้อย่างไร ?
หรือนี่คือสิ่งที่เรากำหนด ให้เป็นอนาคตของ "สังคมไทย" ..? .........
แน่นอน..เราถูกกระทำ ถูกเหยียดถูกย่ำอย่างกับวัวกับควาย
เสียงเราไม่ถูกได้ยิน เลือดเราไม่มีกลิ่นเหมือนพวกเขาทั้งหลาย
ศพเราไม่ถูกมองเห็น เหมือนว่าเรานั้นเป็น "ผู้ไม่มีร่างกาย"
แต่แล้ว ในเวลาเดียวกัน เรากำลังทำอย่างนั้นกับคนอื่นอยู่หรือไม่ ?
เราคิดว่า ข้างนอกนั่น มีแต่ "พวกมัน" เท่านั้นหรืออย่างไร ?
หลายคนคงยังพอนึกออก ถึงตอนที่อยู่ "ข้างนอก" ยังไม่เข้ามา “"ข้างใน"
ก่อนจะมาถึงวันนี้ เราต่างก็เคยมีเมื่อวานนี้ ใช่หรือไม่ ?
เราเคยเห็นแย้งเห็นต่าง อคติ – เป็นกลาง กับเรื่องราวหลากหลาย
เคยถกเถียงหน้าดำคร่ำเครียด แต่ไม่เคยโกรธเกลียดกันแบบเอาเป็นเอาตาย
เคยได้ยินคำพูดทุกคำ แถมยังจดยังจำหน้าตากันได้
เราลองคิดว่า "พวกเขา" ก็คือพวกเราในวันเก่าๆ ได้หรือไม่ ?
คือ "เรา" ที่เคยมีโอกาส ก้าวข้ามความผิดพลาด กลายมาเป็นคนใหม่..
แล้วทำไมเราจะฉวยโอกาส รับฟังข้อผิดพลาดจากพวกเขาบ้างไม่ได้ ?
บางที หลายคนในพวกเขา อาจไม่ใช่ศัตรูเรา อย่างที่เราเข้าใจ............
เพื่อนเอ๋ย เราเพิ่งผ่านมันมา ภาพยังติดตา เรื่องยังคาใจ
คนตายต้องไม่ตายเปล่า ความตายของเขาต้องมีความหมาย
แน่นอน, เราไม่อาจปรองดอง กับคนที่มือทั้งสองเปื้อนเลือดพวกเราได้ !
แต่หากเราต้องเป็นเหมือนกัน - กับคนเหล่านั้น มันมีประโยชน์อะไร ?
เราอาจต้องสนใจปัญหา ในระดับลึกกว่า "อำนาจของตีนใหญ่"
สนใจเครือข่ายกลุ่มก้อน ที่ลึกลับซับซ้อนกว่าเส้นสนกลใน
ทำความรู้จักกับทุกคน เพื่อเข้าใจว่า "ประชาชน" นั้น หมายถึงใคร ?
กล้าพูด กล้าวิพากษ์วิจารณ์ ทุกๆ หลักการที่เริ่มล้าสมัย
ทบทวนวิธีต่อสู้ ที่มุ่งโค่นศัตรูอย่างเอาเป็นเอาตาย
เราก็เห็น ว่าคนเหล่านั้น ทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน..จะเอาอย่างไปทำไม ?
โลกมีพื้นที่กว้างขวาง ผู้คนถูกสร้างให้มีความหลากหลาย
เรา, ฉัน, ท่าน, เขา – แต่ละคน ต่างมีตัวตนแตกต่างกันไป
แต่เสียงเราต้องเป็นที่ได้ยิน เลือดเราต้องมีกลิ่นเหมือนพวกเขาทั้งหลาย
และมันคือเลือดสีแดง เหมือนเลือดสีแดงของผู้คนทั่วไป
ตัวตนเราต้องถูกมองเห็น เพราะชีวิตเราเป็นสิ่งที่มีความหมาย
พลังแห่งปัจเจกภาพ ย่อมไม่ใช่การหมอบราบ – รอฟังคำสั่งใคร !
เพื่อนเอ๋ย..เราจงมากำหนด สิ่งที่เป็นอนาคตของสังคมไทยใหม่
ถ้าไม่อยากย่ำอยู่ที่เก่า...
ถ้าไม่อยากย่ำอยู่ที่เก่า... ตัวตนของเรา จะต้องเปลี่ยนต่อไป
นี่คือบทกวีชื่อ "..และเรารู้ว่า ตัวเราเปลี่ยนไป" ของกฤช เหลือลมัย กวีที่แต่งบทกวีว่าด้วยสังคมการเมืองไทยซึ่งมีเนื้อหาน่าสนใจหลายชิ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
กฤชอ่านบทกลอนหัวเดียวชิ้นนี้ในงานคอนเสิร์ต "เราจะไม่ทอดทิ้งกัน" ณ หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 25 กันยายนที่ผ่านมา ต่อหน้าคนเสื้อแดงกว่า 2 พันคนซึ่งเข้าร่วมชมคอนเสิร์ตดังกล่าวจนแน่นขนัดหอประชุม และมีอีกมากที่เข้าไปนั่ง/ยืนชมข้างในไม่ได้
ในด้านหนึ่ง บทกวีชิ้นนี้ของกฤชได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ที่มีความเห็นว่า ควรจะเกิดการวิจารณ์กันเองในหมู่คนเสื้อแดง เพื่อวิถีการต่อสู้ที่ถูกต้องเหมาะสมในอนาคต นอกจากนี้ นี่ยังแสดงให้เห็นว่าคนเสื้อแดงอาจไม่ได้มีเพียงกลุ่ม/เฉดสีเดียว หากแต่เต็มไปด้วยผู้คนซึ่งมีแนวคิดแตกต่างหลากหลาย รวมทั้งบางคนที่อาจยืนข้างเสื้อแดง ทว่าไม่ได้ประกาศตนเป็นคนเสื้อแดง
แต่ในอีกด้าน บทกวีชิ้นนี้กลับถูกวิจารณ์จากคนอีกส่วนว่ามีลักษณะ "สองไม่เอา" และแม้ผู้แต่งจะมีความหวังดี ทว่าแนวคิดที่กฤชถ่ายทอดออกมา ซึ่งเป็นการวิพากษ์วิจารณ์การต่อสู้ของคนเสื้อแดงและคล้ายจะไม่ใส่ใจอย่างจริงจังต่อความอยุติธรรมที่พวกเขาได้รับนั้นก็อาจจะเข้าทางอำนาจรัฐได้
แม้วิวาทะครั้งนี้อาจเกิดขึ้นแบบจำกัดวงในหมู่ปัญญาชนเสื้อแดงเพียงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม นี่ถือเป็นความเคลื่อนไหวหรือสีสันที่น่าสนใจและชวนฉุกคิดมิใช่น้อยของขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองซึ่งมีประชาชนจำนวนมากหนุนหลังอยู่กลุ่มนี้
ตะลึง ผู้ประกาศข่าวซีเอ็นเอ็นช็อกผู้ชม แฉสดกลางอากาศ"เคยเป็นเหยื่อถูกตุ๋ยทางเพศ"
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 29 ก.ย.ว่า นายดอน เลมอน ผู้ประกาศข่าวชายของสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น ได้สร้างความช็อคตะลึงให้แก่ผู้ชม เมื่อเขาสารภาพรว่า เขาเคยถูกล่วงละเมิดทางเพศเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก โดยนายดอนถือโอกาสพูดเรื่องนี้ ขณะเขาได้ข่าวฉาวเรื่องบิชอฟเอ็ดดี้ ลอง ถูกกล่าวหาว่า ล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กชายที่โบสถ์ของเขา และกำลังสัมภาษณ์สมาชิกเด็กหนุ่มของโบสถ์ของบิชอฟเอ็ดดี้
"ผมมีบางอย่างที่ผมไม่เคยยอมรับมาก่อนทางทีวี เรื่องนั้นคือ ผมเคยเป็นเหยื่อของพวกจอมข่มขืนเด็กเมื่อครั้งผมเป็นเด็ก จากคนที่โตกว่าผมมาก"นายดอน กล่าว และว่า เหตุการณ์นี้ผมไม่เคยเล่าให้แม่ตัวเองฟัง กระทั่งผมอายุ 30 ปี"
รายงานระบุว่า ต่อมา นายดอนยังได้โพสต์ข้อความทางทวิสเตอร์ แสดงความแปลกใจที่ตัวเองเอ่ยปากพูดเรื่องดังกล่าวสด ๆ ทางโทรทัศน์ บอกว่าเขาไม่รู้ตัวมาก่อนว่า ตัวเองจะต้องพูดเรื่องนี้ออกทางโทรทัศน์ มันออกมาเอง ผมรู้สึกเสียใจ แต่มันเป็นความจริงสำหรับเด็กหนุ่มหลาย ๆ คน
เชิญชวนถวายพระพร "สมเด็จพระสังฆราช ๙๗ พรรษา"
เมื่อวันที่ 29 กันยายน ที่วัดบวรนิเวศวิหาร พระครูสังฆสิทธิกร หัวหน้าฝ่ายศาสนวิเทศ สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เปิดเผยว่า สำนักเลขานุการฯ กำหนดจัดพิธีบำเพ็ญพระกุศลคล้ายวันประสูติ ฉลองพระชันษา 97 ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วันที่ 3 ตุลาคม โดยกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1-3 ตุลาคม ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ทั้งนี้ แม้สมเด็จพระสังฆราช จะไม่ได้เสด็จมาร่วมพิธี เนื่องจากยังทรงมีพระอาการประชวรอยู่ แต่ในวันที่ 3 ตุลาคม พระองค์จะทรงให้พุทธศาสนิกชน เข้าถวายสักการะได้ที่ชั้น 6 ตึกวชิรญาณ สามัคคีพยาบาร โรงพยาบาลจุฬาฯ ตั้งแต่เวลา 16.00 น.
พระครูสังฆสิทธิกรกล่าวว่า วันที่ 2-3 ตุลาคม สำนักเลขานุการฯ จะแจกเหรียญบารมี 10,000 องค์ และหนังสือ ธรรมะบนสวรรค์ 10,000 เล่ม ให้แก่ประชาชนที่มาลงนามถวายพระพร ที่พระตำหนักคอยท่าปราโมช วัดบวรนิเวศวิหาร โดยหนังสือธรรมะบนสวรรค์ ได้อัญเชิญหลักธรรมที่สมเด็จพระสังฆราชทรงพระนิพนธ์ไว้ 2 เรื่อง ได้แก่ ความเข้าใจเรื่องพระอภิธรรม และบทแปลพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ ส่วนเหรียญบารมี สมเด็จพระสังฆราช โปรดให้สำนักเลขาฯ จัดทำ โดยเหรียญบารมีมี 2 ประเภท สีเงิน และสีทอง ลักษณะเป็นรูปไข่ ด้านหน้าเป็นรูปพระนาคปรกศิลปะลพบุรี มีตราประจำพระองค์ ญสส.ประดิษฐานบนฐานพระนาคปรก ด้านหลังประดิษฐานจารึกยันต์บารมี 30 ทัศ เป็นสุดยอดมหายันต์ มีพุทธคุณสูงครอบคลุมทุกด้าน ซึ่งถ้ามีบูชาติดตัวจะเป็นสิริมงคลปราศจากภัยพิบัติ เจริญรุ่งเรือง
เมื่อวันที่ 29 กันยายน ที่วัดบวรนิเวศวิหาร พระครูสังฆสิทธิกร หัวหน้าฝ่ายศาสนวิเทศ สำนักเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เปิดเผยว่า สำนักเลขานุการฯ กำหนดจัดพิธีบำเพ็ญพระกุศลคล้ายวันประสูติ ฉลองพระชันษา 97 ปี สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วันที่ 3 ตุลาคม โดยกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1-3 ตุลาคม ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ทั้งนี้ แม้สมเด็จพระสังฆราช จะไม่ได้เสด็จมาร่วมพิธี เนื่องจากยังทรงมีพระอาการประชวรอยู่ แต่ในวันที่ 3 ตุลาคม พระองค์จะทรงให้พุทธศาสนิกชน เข้าถวายสักการะได้ที่ชั้น 6 ตึกวชิรญาณ สามัคคีพยาบาร โรงพยาบาลจุฬาฯ ตั้งแต่เวลา 16.00 น.
พระครูสังฆสิทธิกรกล่าวว่า วันที่ 2-3 ตุลาคม สำนักเลขานุการฯ จะแจกเหรียญบารมี 10,000 องค์ และหนังสือ ธรรมะบนสวรรค์ 10,000 เล่ม ให้แก่ประชาชนที่มาลงนามถวายพระพร ที่พระตำหนักคอยท่าปราโมช วัดบวรนิเวศวิหาร โดยหนังสือธรรมะบนสวรรค์ ได้อัญเชิญหลักธรรมที่สมเด็จพระสังฆราชทรงพระนิพนธ์ไว้ 2 เรื่อง ได้แก่ ความเข้าใจเรื่องพระอภิธรรม และบทแปลพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ ส่วนเหรียญบารมี สมเด็จพระสังฆราช โปรดให้สำนักเลขาฯ จัดทำ โดยเหรียญบารมีมี 2 ประเภท สีเงิน และสีทอง ลักษณะเป็นรูปไข่ ด้านหน้าเป็นรูปพระนาคปรกศิลปะลพบุรี มีตราประจำพระองค์ ญสส.ประดิษฐานบนฐานพระนาคปรก ด้านหลังประดิษฐานจารึกยันต์บารมี 30 ทัศ เป็นสุดยอดมหายันต์ มีพุทธคุณสูงครอบคลุมทุกด้าน ซึ่งถ้ามีบูชาติดตัวจะเป็นสิริมงคลปราศจากภัยพิบัติ เจริญรุ่งเรือง
"จุ๊น"ประกาศลาออกจากช่อง3 ยืนยันไม่เกี่ยวข้อง"แอนนี่" ดาราสาวปัดไม่ใช่18มงกุฎโต้ไม่เคยเรียกเงิน
"แอนนี่"ปัดไม่ใช่ 18 มงกุฎ โต้บิ๊กRSลั่นไม่เคยเรียกรับเงิน ท้าดูสมุดบัญชี วอนหยุดแฉ ซัด"ไม่เห็นค่า-เหยียบย่ำ"ลูกผู้หญิง" ย้ำไม่ตรวจดีเอ็นเอ วอนอย่าบีบคั้น
จุ๊น-กิตติคุณ สัมฤทธิ์พันธุ์สุข เปิดแถลงข่าว ยืนยันไม่ได้เกี่ยวข้องกับ แอนนี่ บรู๊คดารานักแสดงสาวและไม่ตรวจดีเอ็นเอ กรณีที่มีกระแสข่าวว่า หนีไปสหรัฐอเมริกาเพราะ ไปดูเรื่องเรียนต่อ และที่บอกว่า รับเงิน 10 ล้านบาทให้รับเป็นพ่อเด็กไม่เป็นความจริง ครอบครัวมีฐานะดีพอ ไม่ต้องพึ่งเงินจากคนอื่น เรื่องนี้ ข่าวแรงมากกระทบกับครอบครัว ซึ่งสงสารผู้หญิง และขอลาออกจากเป็นดาราช่อง 3
"จุ๊น"ประกาศลาออกจากช่อง 3 ยันไม่เคยมีความสัมพันธ์กับ"แอนนี่"
เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 29 กันยายน "จุ๊น-กิตติคุณ สัมฤทธิ์พันธุ์สุข" นักแสดงหนุ่มสังกัดช่อง 3 พร้อมกับทนายความ ร่วมแถลงข่าวถึงกรณีที่ถูกพาดพิงว่ามีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับแอนนี่ บรู๊ค นักแสดงสาว โดยจุ๊น-กิตติคุณ กล่าวว่า ปัญหานี้เริ่มแรกเป็นเรื่องของคนสองคน แต่ตอนนี้เริ่มมีบุคคลที่ 3 เข้ามา ใจจริงแล้ว ตนไม่อยากรับรู้เรื่องราวของใคร แต่ว่าวันนี้อยากมาบอกว่า ข่าวที่ระบุว่าตนจะขอลาออกจากช่อง 3 นั้น เป็นความจริง ตอนแรกคิดว่าข่าวคงไม่แรงขนาดนี้ แต่นับวันมันยิ่งแรงขึ้นจนส่งผลกระทบต่อครอบครัวตน ที่สำคัญผมต้องขอขอบคุณนายประวิทย์ มาลีนนท์และพี่ๆ ในช่อง 3 ที่ให้การดูแลตนเป็นอย่างดี และตนก็ยังรักช่อง 3 เหมือนเดิม
"แต่อยากจะบอกว่าผมไม่อยากเป็นเครื่องมือของใคร แล้วเรื่องการตรวจดีเอ็นเอ ถ้าจะให้ผมตรวจ ผมยินดีที่จะตรวจ แต่ในเมื่อผมไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆ กับแอนนี่จริงๆ ผมจึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องตรวจดีเอ็นเอ ตอนนี้ข่าวมันแรงมาก คนที่น่าเห็นใจที่สุดคือผู้หญิงกับลูก ส่วนตัวผม ผมเป็นผู้ชายที่ไม่มีทางที่ต้องเสียอะไรอยู่แล้ว ผมอยากให้เรื่องนี้จบไปได้ด้วยดี อยากให้ข่าวเงียบไป แล้วให้ทั้ง 2 ฝ่ายจบกันด้วยดี วันนี้อาจเป็นการแถลงข่าวครั้งสุดท้ายของผม"
เมื่อถามว่า ยังยืนคำเดิมว่าไม่เคยมีความสัมพันธ์กับแอนนี่ใช่หรือไม่ จุ๊น-กิตติคุณ กล่าวว่า ขอยืนยันครับ เมื่อถามว่า แสดงว่าเป็นการสวนทางกับที่เฮียฮ้อ-สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่และบริหารบริษัทอาร์เอส จำกัด (มหาชน) และนายสมรักษ์ ณรงค์วิชัย ผู้จัดการฝ่ายผลิตรายการช่อง 3 ออกมาพูดใช่หรือไม่ จุ๊น-กิตติคุณ กล่าวว่า ตนไม่ได้อยากแตกหักกับช่อง 3 ตนยังขอขอบคุณนายประวิทย์ และพี่ๆ ในช่อง 3 ทุกคน เพราะเขาได้ดูแลเลี้ยงตนมาอย่างดี แต่ที่ตนลาออก ตนได้ตัดสินใจแล้วว่ามันมีผลกระทบต่อครอบครัวตนจริงๆ ตนจึงไม่ขอพาดพิงถึงบุคคลอื่น
"ผมเป็นเด็กมารยาทของคนไทยอย่างไรเราต้องเคารพผู้ใหญ่ ผมไม่เคยโกรธและไม่เคยพาดพิงถึงใคร ที่ผมมาพูดที่พารากอน ผมมาพูดเรื่องระหว่างผมกับแอนนี่ เพราะฉะนั้นผมจึงไม่อยากพาดพิงถึงใคร แม้สิ่งที่ผู้ใหญ่พูดออกมาจะพาดพิงถึงผม แต่ผมเป็นเด็ก ผมจะไม่กล่าวอ้างว่าใครโกหกหรือไม่โกหก"
เมื่อถามว่า ได้คุยกับนายสมรักษ์จริงหรือไม่ จุ๊น-กิตติคุณ กล่าวว่า ได้คุยกับสมรักษ์จริง แต่ว่าตนแค่ปรึกษา แต่ไม่ขอบอกว่าเป็นการปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่ เมื่อถามว่า กลัวสังคมมองว่าตัวเองเป็นคนโกหกหรือไม่ จุ๊น-กิตติคุณ กล่าวว่า ตนได้บอกความจริงไปแล้ว ตนเป็นเด็ก ตนค่อนข้างแคร์ถ้าสังคมมองว่าตนโกหก แต่เราต้องคำนึงถึงผู้หญิง แอนนี่คงอยากมีครอบครัวที่ดี อยากให้มีพ่อแม่ลูกครบกันทั้ง 3 คน คงไม่มีใครอยากให้เป็นแบบนี้ แล้วโดยส่วนตัว ตนก็ได้บอกแล้วว่าตนไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆ กับแอนนี่ แล้วตนก็ไม่ได้มีการเตี๊ยมใดๆ กับแอนนี่เลย
เมื่อถามว่า ได้พูดคุยกับแอนนี่หรือไม่ จุ๊น-กิตติคุณ กล่าวว่า ตนได้พูดคุยกับแอนนี่ในตอนเช้าเมื่อวาน ซึ่งตนไม่ได้มีเบอร์แอนนี่ แต่เผอิญตอนนั้นตนคุยกับพี่เฮเลนอยู่ แล้วพี่เฮเลนก็โทรเข้ามาหาพี่เอ แล้วเผอิญแอนนี่โทรเข้ามาพอดี ก็เลยได้พูดกัน เพราะความจริงแล้วเราไม่มีอะไรต้องปิดบังอยู่แล้ว ส่วนกรณีที่สังคมอาจมองจุ๊น-กิตติคุณเป็นแพะรับบาปนั้น จุ๊น-กิตติคุณ กล่าวว่า ไม่เป็นไร เพราะตนไม่สามารถห้ามความคิดของทุกคนได้
เมื่อถามว่า มีข่าวว่ามีคนเสนอเงิน 10 ล้านให้จุ๊น-กิตติคุณ เพื่อให้รับเป็นพ่อของลูกแอนนี่ จุ๊น-กิตติคุณ กล่าวว่า ไม่มีการยื่นเงินและตนไม่ได้รับโทรศัพท์ใดๆ ทั้งสิ้น แต่ผมได้ยินข่าวลือมาเช่นกัน ซึ่งตนอยากบอกว่าครอบครัวตนไม่จำเป็นต้องไปเอาเงินใคร พ่อแม่ตนเลี้ยงดูตนมาด้วยเงินของท่าน เพราะฉะนั้นเงินซื้อครอบครัวตนไม่ได้และไม่มีทางที่จะซื้อคนอย่างตนได้ เมื่อถามว่า จริงหรือไม่ว่ามีการเสนอว่าหากจุ๊น-กิตติคุณออกมารับเรื่องนี้ แล้วจะมีการป้อนงานละครให้ จุ๊น-กิตติคุณ กล่าวว่า คงไม่ใช่
เมื่อถามว่า จะลาออกจากช่อง 3 หรือว่าจะลาออกจากวงการบันเทิงไปเลย จุ๊น-กิตติคุณ กล่าวว่า เอาไว้ค่อยคุยกันดีกว่า ถือเป็นเรื่องของอนาคต จุ๊น-กิตติคุณยังกล่าวถึงกรณีที่เดินทางไปอเมริกาว่า ตนไม่จำเป็นต้องหนี ถ้าตนจะหนี รอให้เด็กคลอดออกมา แล้วอยู่ที่อเมริกาไปเลย 4 -5 ปีไม่ดีกว่าเหรอ ตนจะกลับมาทำไม เพราะฉะนั้นจึงไม่มีสาเหตุที่ตนต้องหนี และถ้าตนทำผิดจริง คงไม่กล้าออกมาพูดกับสื่ออย่างนี้หรอก ตนเพียงไปดูๆ ที่เรียนที่อเมริกามา
เมื่อถามว่า ถ้าทางเฮียฮ้อยังมีการพูดพาดพิงจะทำอย่างไร จุ๊น-กิตติคุณ กล่าวว่า เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ตนของปรึกษาและพูดคุยกับครอบครัวผมก่อน
ด้านทนายความส่วนตัวของจุ๊น-กิตติคุณ กล่าวว่า วันนี้จุ๊นตั้งใจมาแถลงข่าวว่าจะลาออกจากช่อง 3 เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นๆ เราไม่ประสงค์ทึ่จะตอบคำถามใดๆ เพิ่มเติม หากมีการกล่าวอ้างใดๆ ที่กระทบถึงจุ๊น-กิตติคุณ ทางเราจะขอดำเนินการตามสิทธิเท่าที่เป็นไปได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะฟ้องร้อง แต่เราต้องดูถึงการกล่าวอ้างของผู้ใหญ่ในอนาคต ส่วนสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ก็จะปล่อยให้ผ่านไป เราไม่ได้ดำเนินการใดๆ
"แอนนี่"ขอโอกาสทำงานเลี้ยงลูก วอนอย่านำชื่อคนอื่นมาพัวพัน
แอนนี่ บรู๊ค นัดแสดงสาว ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์เข้ามาในรายการ 9 Entertain ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ตอบโต้ "เฮียฮ้อ" สุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่และบริหารบริษัทอาร์เอส จำกัด (มหาชน) ที่ออกมาแถลงเมื่อวันที่ 29 กันยายนนี้ว่า "แอนนี่ไม่ใช่ 18 มงกุฏนะ ตอนนี้อากาศจะหายใจ ไม่รู้ว่าได้หายใจเข้าหรือยัง ที่จะยืนยังไม่มีเลย ตอนนี้พูดได้คำเดียวว่าใจสู้ แต่ก็ท้อ หนึ่งสมองสองมือเลี้ยงลูกทุกวัน ไม่เคยคิดแผนการไปนั่งปั่นหัวใคร ทุกคนเป็นผู้ใหญ่หมดเลย เรื่องลุกลามใหญ่โตกลายเป็นอะไรไม่รู้ ถ้าถามว่าหนูมีอะไรกับหลายคนในเวลาเดียว แค่พูดก็รู้สึกแย่แล้ว"
แอนนี่ กล่าวว่า ไม่รู้สึกโกรธที่เฮียอ้อออกมาแถลงข่าว ผู้ใหญ่ก็คือผู้ใหญ่ ให้ความเคารพผู้ใหญ่ทุกท่าน ส่วนจะฟ้องไหม อันนี้ไม่รู้ แต่ก็ไม่อยากมีเรื่องกับใคร
"หนูจะตายไม่เป็นไร แต่ลูกหนูหิวไม่ได้ ให้หนูไปทำงานเหอะ ให้ได้เลี้ยงลูก อย่าให้หนูต้องติดคุกในบ้านอีกเลย ไม่มีใครห้ามออกจากบ้านก็จริง แต่นักข่าวเฝ้าหน้าบ้านทุกวัน รู้ว่าเรื่องนี้ไม่จบ แฮปปี้เอนดิ้งไม่ได้ไม่เป็นไร เชื่อเวลาจะบอกเอง"แอนนี่ กล่าว
แอนนี่ กล่าวต่อว่า "ตอนนี้เพื่อนหนูไม่อยากจะคบกับหนูแล้ว เพราะเอาชื่อเพื่อนไปบอกว่าเป็นพ่อของลูกหนู ขอร้องผ่านรายการตรงนี้เลยว่า อย่าเอาชื่อเพื่อนรอบๆตัวมาพัวพันเลย สงสารเขาเถอะ หนูขอโทษทุกๆคน ที่เรื่องลุกลามใหญ่โต แต่หนูมีจุดยืนแบบนี้ แบบแม่คนนึงที่อยากจะปกป้องลูก
ส่วนเรื่องการตรวจอีเอ็นเอนั้น แอนนี่กล่าวว่า "เรื่องไม่ตรวจดีเอ็นเอได้พูดไปหลายครั้งแล้ว ไม่ต้องอะไรจากใคร จะมาตรวจทำไม ถ้าคิดว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ก็ได้ แต่ทุกอย่างเวลาจะบอกเอง ไม่ต้องการความรับผิดชอบจากฝ่ายไหนทั้งสิ้น ขอแค่ให้หนูได้ทำงานพาลูกไปเที่ยวได้บ้าง จะว่าหนูฝังใจก็ได้ ผู้หญิงทุกคมันเจ็บแล้วจำ ถ้าตรวจเพื่ออะไร เพื่อความสะใจ สบายใจของใครบางคน แต่ผลข้างเคียงในเรื่องกฏหมายมันมากมายเหลือเกิน แต่ไม่มีใครพูด"
ส่วนกรณีที่เฮียฮ้อแฉว่า แอนนี่คบผู้ชายถึง 4 คนในช่วงเวลาเดียวกันนั้น แอนนี่ กล่าวว่า "4-5 ปีนี้ไม่เคยทำอะไรเสียหาย หรือไปทำเจ้าชู้กับใคร คบใครคบจริง เป็นคนรักใครรักนาน ตอนนี้ก็อายุ 30 ปีแล้ว ไม่ใช่ผู้หญิงเวอร์จิ้นแล้ว จะมาตีหน้าใสซื่อมันไม่ใช่ ก่อนหน้าฟิล์มก็เคยมี แต่ว่าเลิกกันไปแล้ว คบที่ละคน"
ด้านแม่ของแอนนี่ที่อยู่ที่ต่างจังหวัด ก็กล่าวว่า "ใครจะดีไม่ดีสังคมจะรู้เอง เป็นห่วงลูกแต่ก็ห่วงหลานมากกว่า ถ้าฟิล์มปัดความรับผิดชอบก็ปล่อยไป ไม่ต้องมายุ่ง ตนเลี้ยงลูกเองได้ ทำไมแอนนี่จะเลี้ยงลูกเองไม่ได้"
"แอนนี่"โต้บิ๊กRSลั่นไม่เคยเรียกรับเงิน ท้าดูสมุดบัญชี วอนหยุดแฉ ซัด"ไม่เห็นค่า-เหยียบย่ำ"ลูกผู้หญิง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แอนนี่ บรู๊ค นักแสดงสาว ได้โฟนอินให้สัมภาษณ์กับรายการ "แฉแต่เช้า" ทางสถานีวิทยุ 94.00 เอฟเอ็มว่า เคยคบกับผู้ชายคนอื่นมากก่อนที่จะคบกับ "ฟิล์ม" รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ แต่ละคนก็ต้องเลิกก่อนถึงจะคบคนอื่นได้ คนที่ทำร้ายร่างกายแอนนี่ยังทนเลย
ส่วนกรณี "จุ๊น" กิตติคุณ สัมฤทธิ์พันธ์สุข นักแสดงหนุ่มยอมรับว่า เคยเห็นมานั่งเล่นที่ชลลัมพีครั้งนึง แต่ไม่เคยคบกันและไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว ตอนนี้สงสารลูกแอนนี่เถอะ แค่นี้จะตายแล้ว จะบอกว่าคนนั้นคนนี้เป็นพ่อ จะหาแพะอะไรหนักหนา
แอนนี่ ยังกล่าวว่า ขอถามหน่อยคนที่ท้องแล้วเนี่ย ยังจะมีหน้าไปมีอะไรกับคนอื่น ยังจะมีอารมณ์เหรอ บ้าหรือเปล่า แอนนี่สติดี ส่วนกรณีเรื่องรับเงิน ก็ขอบอกว่าถ้าแอนนี่บอกคนนั้นคนนี้ว่าท้องแล้วเรียกรับเงินจากเขา อยากจะดูสมุดบัญชีธนาคารกันไหม ทุกวันนี้ตังค์เหลือเท่าไหร่เอง ถ้าจะเรียกรับเงินจริง ตีค่าแค่นี้เองเหรอ เอาเป็นล้านไม่ดีกว่าเหรอ
"อยากจะฝากถึงใครที่พยายามแฉขอให้หยุดเถอะ ตอนนี้กลายเป็นเรื่องสนุกปากไปแล้ว ไม่ได้เห็นค่าของผู้หญิงเลยหรือ หรือว่าสนุกสนานที่ได้เหยียบย่ำลูกผู้หญิง และที่ไม่ตรวจดีเอ็นเอเพราะผลข้างเคียงการการตรวจมีเยอะแยะ และถ้าตรวจแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าจะไม่เอาลูกไป จากนี้ไปจะไม่เชื่อคำสัญญาใครแล้ว" แอนนี่ กล่าว
กลั่นแกล้ง!! ปลด "พิเชษฐ สถิรชวาล" พ้นเลขาฯกก.กลางอิสลาม เชื่อเพราะด่าไล่รัฐบาล
เมื่อวันที่ 29 กันยายน ที่สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย เขตหนองจอก กทม. มีการประชุมคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย(กอท.) โดยนายอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี ในฐานะประธาน กอท. เป็นประธานการประชุม และมี กอท.เข้าร่วมประชุม 51 คน จากจำนวนเต็ม 53 คน โดยการประชุมครั้งนี้ ได้มี กอท.เสนอญัตติด่วนให้มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งต่างๆ ใน กอท.ทุกตำแหน่ง ยกเว้นตำแหน่งประธาน กอท. ที่เป็นตำแหน่งถาวรของจุฬาราชมนตรี โดยมี กอท.ลงชื่อเสนอญัตติ 34 คน และที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้มีการเปลี่ยนแปลง
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับตำแหน่งสำคัญ คือ ตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ซึ่งนายพิเชษฐ สถิรชวาล ดำรงตำแหน่งอยู่นั้น ได้ถูกปลดออก และ ได้แต่งตั้งให้ พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ รักษาการแทน สำหรับ พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาลาเร่ ปัจจุบันอายุ 62 ปี จบ ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต (พัฒนาสังคม) จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เคยเป็นวุฒิสมาชิกและเป็นข้าราชการตรวจคนเข้าเมือง
อนึ่ง ก่อนหน้านี้ นายพิเชษฐ สถิรชวาล ได้ออกมาโจมตีรัฐบาล เกี่ยวกับการแต่งตั้ง พล.ต.ท. สมคิด บุญถนอม เป็นผู้ช่วย ผบ.ตร.และโดยอ้างว่า ได้รับทราบข้อมูลว่า จากทางสถานทูตซาอุฯ ได้ยื่นหนังสือถึง นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แสดงความไม่พอใจที่รัฐบาลไทยจะแต่งตั้ง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ขึ้นเป็น ผู้ช่วย ผบ.ตร. โดยตั้งเงื่อนไข 3 ข้อกับรัฐบาล คือ
1. หากรัฐบาลไทยแต่งตั้ง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร. รัฐบาลซาอุดิอาระเบีย จะตัดสินใจดำเนินการปิดสถานเอกอัครราชทูตซาอุดีอาระเบียประจำประเทศไทย
2. จะดึงผู้ร่วมกลุ่มประเทศ OIC (Organisation of Isalamic Conference) หรือ องค์การระหว่างประเทศของกลุ่มประเทศอิสลาม ที่มีสมาชิก 57 ประเทศทั่วโลก บอยคอตประเทศไทย
3. จะดึง 6 ประเทศธุรกิจ ในกลุ่มสภาความร่วมมือแห่งอ่าวเปอร์เซีย หรือ GCC ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, บาห์เรน, คูเวต, โอมาน, กาตาร์ และซาอุดิอาระเบีย ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจกลุ่มหนึ่งของโลกบอยคอตประเทศไทยด้วย
สุรนันท์ เวชชาชีวะ ตอน "สุเทพ"
สุเทพ
ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ฉบับวันที่ 29 กันยายน 2553
สำหรับผมแล้ว การที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ และรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง จะลงเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เขต 1 แทน นายชุมพล กาญจนะ ที่ถูกถอดสิทธิทางการเมืองไป ถือเป็นเรื่องทางการเมือง “ปกติ” ในยุคที่การเมืองไทย “ไม่ปกติ”
ที่บอกว่า “ปกติ” และไม่น่าจะเสียหายก็เพราะ นายสุเทพ เดิมก็เป็น “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” จากสุราษฎร์ธานีอยู่แล้ว ทั้งเมื่อต้องออกจากตำแหน่งเพราะคดีความเดิมที่ถือหุ้นในบริษัทที่ได้รับสัมปทานจากรัฐนั้น ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้วินิจฉัย และหากเคลียร์ประเด็นนั้นได้แล้วคุณสมบัติก็น่าที่จะครบถ้วน
ส่วนเรื่องรัฐธรรมนูญ มาตรา 102 ที่กำหนดคุณสมบัติต้องห้ามลงสมัคร ไม่ได้บัญญัติโดยตรง โดยเฉพาะตาม “(8) เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำนอกจากข้าราชการการเมือง” หรือ “(9) เป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น” เพราะตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี ไม่ได้ระบุไว้ชัดเจน และตำแหน่งตามทั้งสองวงเล็บคงเทียบเคียงไม่ได้
ความจริงเรื่องนี้ผมไม่ค่อยเห็นด้วยอยู่แล้ว การที่ว่าเมื่อไปสมัครลงเลือกตั้ง ต้องลาออกจากตำแหน่งอื่นๆก่อน ในหลายประเทศไม่ต้องทำ เหตุผลหนึ่งก็เพราะสิ้นเปลือง เกิดผู้ที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น ลาออกมาลงสมัคร สส. ระดับชาติ แต่สอบตก การเลือกตั้งซ่อมก็ต้องมีที่ท้องที่นั้นใหม่เช่นกัน สู้สอบตกแล้วกลับไปทำงานต่อได้ทันทีจะดีกว่า
อย่างในสหรัฐอเมริกา คนที่เป็นวุฒิสมาชิกจะลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดี ก็ไม่ต้องลาออก มาลงได้เลย สอบตกก็กลับไปทำงานต่อ สอบได้ค่อยลาออก
ผมจึงไม่ติดใจอะไรมาก หาก นายสุเทพ จะเป็นรองนายกฯแล้วลงสมัครรับเลือกตั้งไปด้วย ในเมื่อรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ไม่ได้ห้าม สส. เป็นรัฐมนตรี ก็ต้องปล่อยไป ไม่เหมือน รัฐธรรมนูญ ปี 2540 ที่เมื่อ สส. เข้ามาเป็นรัฐมนตรี ต้องปล่อยที่นั่ง สส. ของตนไป โดยจะมีการเลือกตั้งซ่อม หรือ เลื่อนลำดับบัญชีรายชื่อ แล้วแต่กรณี
แต่ก็ไม่รู้ว่าเขียนเสร็จ ส่งต้นฉบับแล้ว คณะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์จะตัดสินเป็นอย่างอื่นหรือไม่!!
และที่ “ปกติ” อีกเรื่อง คือ การที่จะส่ง นายสุเทพ ลงนั้น ในเมื่อวาระของสภาฯชุดนี้เหลืออีกเพียง 1 ปีเศษๆ จะส่งคนใหม่ลงอาจได้ไม่คุ้มเสีย ให้ นายสุเทพ ลง น่าจะ “ประหยัด” ที่สุดสำหรับ พรรคประชาธิปัตย์ ชื่อก็เป็นที่รู้จัก คุมหัวคะแนนได้หมด แถมลงเองยังไม่ต้องไปโต้เถียงกับ “สาย” อื่นในพรรคที่อาจต้องการส่งคนของตนลง
แต่ที่ว่า “ไม่ปกติ” นั้น ก็คงเป็นเพราะความคาดหมายในวงการเมืองถึงคดี “ยุบพรรค” ที่ส่อท่าทีว่า อาจถึงคราวเคราะห์ของ พรรคประชาธิปัตย์ แล้ว และถึงจะคาดเดาต่อว่า ยุบแล้วอาจมีทั้งความเป็นไปได้ที่จะ “ตัดสิทธิ์” กรรมการบริหารหรือไม่นั้น “ผู้ใหญ่” หลายคนใน พรรคประชาธิปัตย์ เอง คงไม่อยากเสี่ยงรอดวงโดยไม่หาวิธีป้องกันดูแลสมาชิกที่เหลือในสภาฯไว้ไม่ให้กระจัดกระจาย
การที่ นายสุเทพ จะคืนถิ่นสู่สภาฯ จึงไม่ใช่เรื่องของการเตรียมการเป็น “นายกรัฐมนตรี” เท่ากับ ความคิดว่าจะต้องมีคนที่มีบารมีพออยู่ในสภาฯ หากกรรมการบริหารถูกตัดสิทธิ์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ “ติดกับดัก” 5 ปี พรรคกลายเป็นพรรค “หัวขาด” อย่าง พรรคพลังประชาชน สส. ที่อยู่ในสภาฯอาจถูก “ตอด” รวบไปทางอื่นได้ นายสุเทพ จึงเป็น “กุญแจ” สำคัญ ที่จะคอยต้อนไพร่พลให้เข้าคอกที่เตรียมไว้แล้ว
พรรคประชาธิปัตย์ เห็นบทเรียน “งูเห่า” และการก่อกำเนิดของ พรรคภูมิใจไทย จนสลับขั้วได้ คง “หนาว” และต้องหาวิธีป้องกันให้ดีที่สุด
และ นายสุเทพ จะได้เป็น “King Maker” ผู้จัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง ส่วนจะหันไปหนุน นายกรณ์ จาติกวนิช หรือ ต้องกลับไปยกมือให้ นายชวน หลีกภัย ทำ “Hat Trick” เป็นนายกฯสมัยที่ 3 ไว้ว่ากันเมื่อถึงเวลา ส่วนที่ว่า ตัว นายสุเทพ จะเป็นนายกฯเองเลยนั้น นายชวน “ตีกัน” ไปเรียบร้อยว่า คงต้องเป็นไข้หวัดนกตายกันทั้งพรรคก่อน!!
คนเก๋า อย่าง นายสุเทพ มองเกมออก เพราะนอกจากจะมีเกมการเมืองภายใต้ภาวะที่ “ไม่ปกติ” ในระบอบรัฐสภาแล้ว ยังมีการเดิมเกมที่ออกนอกระบบอยู่ด้วย เพราะถ้ายุบพรรคจริง การซาวเสียงนายกฯคนใหม่ล้มเหลว เกิดภาวะ “สุญญากาศ” อาจมีการ “เสียบ” ข้อเสนอ “รัฐบาลแห่งชาติ” ที่รวมพลคนกลางและคนการเมืองไว้ทั้งในรัฐบาล สภานิติบัญญัติ
นายสุเทพ ที่นั่งอยู่ในสภาฯ ก็จะ คงอยู่ในเกมและการ “ต่อรอง” แหม ระดับนี้แล้วไม่ “Game Over” ง่ายๆ!!
รัฐสั่งทำนาปีละ 2 ครั้ง!! ชาวนาตาย
นายวัชระ กรรณิกา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 กันยายน ว่าที่ประชุมมีมติอนุมัติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดระบบปลูกข้าวของประเทศไทย ภายใต้วงเงินงบประมาณ 2,180,360 บาท เพื่อให้ระบบการผลิตข้าวมีประสิทธิภาพมากขึ้น จากในปัจจุบันมีการเพิ่มพื้นที่และจำนวนรอบการเพาะปลูกหลายครั้งในแต่ละปี ส่งผลทำให้คุณภาพข้าวไทยมีปัญหา และเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำ ตัดวงจรการแพร่ระบาดของโรคแมลงด้วย
นายวัชระกล่าวต่อไปว่า การจัดระบบปลูกข้าวดังกล่าวมีระยะเวลาโครงการ 3 ปี (2554-2556) กำหนดให้เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการปลูกข้าวปีละไม่เกิน 2 ครั้ง มีเป้าหมายดำเนินการในพื้นที่ปลูกข้าว 9 ล้านไร่ ใน 22 จังหวัด ในเขตชลประทาน ได้แก่ กำแพงเพชร เชียงราย นครสวรรค์ พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย อุทัยธานี ชัยนาท นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง นครนายก ฉะเชิงเทรา ราชบุรี นครปฐม สุพรรณบุรี กาญจนบุรี เพชรบุรี และจังหวัดอื่นๆ ที่มีปัญหา โดยแบ่งการปลูกข้าวออกเป็น 4 ระบบ ให้เกษตรกรเลือก คือ 1.ปลูกข้าวนาปี ต่อด้วยข้าวนาปรัง และปลูกพืชหลังนาเพื่อพักดิน 2.ปลูกข้าวนาปีต่อด้วยข้าวนาปรัง และเว้นการปลูก 3.ปลูกข้าวนาปี และเว้นวรรคปลูกพืชหลังนา ก่อนที่จะปลูกข้าวนาปรัง และ 4.ปลูกข้าวนาปี และเว้นวรรคการปลูก ก่อนที่จะปลูกข้าวนาปรังอีกครั้ง
"นายธีระ (วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ) ยืนยันต่อที่ประชุมว่าการปลูกข้าว 2 ครั้งต่อปี จะช่วยให้เกษตรกรมีกำไรมากกว่าการปลูกหลายครั้งในปัจจุบัน เพราะผลผลิตจะมีคุณภาพและมีต้นทุนน้อยกว่า ส่วนการใช้จ่ายงบประมาณว่าแต่ละปีจะใช้เท่าไรในกรอบวงเงิน 2 พันกว่าล้านบาท กระทรวงเกษตรฯจะไปหารือร่วมกับสำนักงบประมาณเพื่อกำหนดความชัดเจนอีกครั้ง"
นายวัชระกล่าวต่อไปว่า ส่วนขั้นตอนหลังจากนี้จะเร่งสำรวจข้อมูลความต้องการของเกษตรกรที่จะเข้าร่วมโครงการ และวิเคราะห์ให้เรียบร้อยภายในสิ้นเดือนกันยายนนี้ เพื่อนำมาใช้วางแผนและเตรียมการใช้การจัดอบรมให้ความรู้แก่เกษตรกร รวมทั้งจัดเตรียมและสนับสนุนเมล็ดพันธุ์และปัจจัยการผลิตให้เกษตรกรที่จะเริ่มปลูกในพื้นที่ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนนี้เป็นต่อไป
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลกล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้เสนอความเห็นว่า กระทรวงเกษตรฯควรมีมาตรการในการบริหารจัดการโครงการที่ชัดเจนในพื้นที่ชลประทานให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน รวมถึงมาตรการรองรับในกรณีเกษตรกรที่ร่วมโครงการได้รับผลตอบแทนน้อยกว่าระบบเดิม
Bomb threat clears Eiffel Tower
PARIS - Police evacuated tourists from the Eiffel Tower in Paris on Tuesday after the second bomb alert this month at one of the world's most visited sites.
The latest alert came amid official warnings that France faces a serious threat of imminent terrorist attack and just a day after a major Paris train station was evacuated after a bomb alert that proved to be a false alarm.
Police on September 14 evacuated about 2,000 people from the Eiffel Tower and the park surrounding it following a bomb alert that also turned out to be a false alarm.
Read more: http://www.montrealgazette.com/Bomb+threat+clears+Eiffel+Tower/3591574/story.html#ixzz10qh3ToTr
วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553
Royals to attend concert honouring His Majesty
Their Majesties the King and the Queen and HRH Princess Maha Chakri Sirindhorn will be the guests of honour at a royal concert tomorrow night at Siriraj Hospital in a tribute to the Monarch's considerable musical talent.
The Thailand Philharmonic Orchestra will perform his works in the first concert for him since he entered Siriraj Hospital a year ago.
Teerawat Kulthanan, dean of Mahidol University's Medical School, said yesterday that the "Siriraj Concert in honour of the Great Blue-Blood Artist" was scheduled for September 29 to commemorate the last musical performance His Majesty played for a student audi-ence.
"It took place on September 29, 1976," he said.
The King liked playing in front of his students, but that was more than three decades ago, he said.
The last perform-ance was held at the Royal Medical College's auditorium, the same venue for tomorrow night.
Most of the 200 seats are reserved for the university's staff, students and sponsors.
The programme will start at 7pm with a cocktail reception, and the concert will begin at 8pm with the "Overture for His Majesty the King".
Montri Tramod, a late national artist, composed the overture in 1987 in honour of the fifth birthday cycle of His Majesty.
Kamolporn Hooncharoen, a senior at the College of Music, said she would join the stage as the singer for the royal arrangements of "Love at Sundown" and "Rao Soo".
"I am so hon-oured and so proud to get the opportunity to perform in front of His Majesty the King," she said.
Gudni A Emillson and Major Prateep Suwannaroj will be the con-ductors, while Sukree Charoensuk is the music director.
"..ไม่ป้องกันจนมีลูกเพราะถูกคนที่รักขอ.." แอนนี่ บรู๊ค
“แอนนี่” หอบลูกเปิดใจถึงชีวิตยากจนข้นแค้นในวัยเด็ก เผยประวัติศาสตร์ซ้ำรอยแม่ที่ต้องนั่งรถไปคลอดลูกที่โรงพยาบาลคนเดียว พอเอาลูกให้สามีดูก็ถูกทิ้ง ตนต้องทำงานหาเลี้ยงชีพดูแลแม่และตัวเองมาตลอดตั้งแต่ 9 ขวบ กระทั่งบังเอิญได้เข้ามาทำงานในวงการ แต่ไม่ดังเลยหันไปถ่ายเซ็กซี่เลี้ยงชีพ รับเคยมีอดีตที่เลวร้าย มีแฟนหลายคน แต่ “ฟิล์ม” คือคนที่รักที่สุด ไม่ป้องกันจนมีลูกเพราะถูกคนที่รักขอ เผยใบเกิดลูกไม่ระบุชื่อใครเป็นพ่อ พร้อมบอกเหตุไม่ตรวจดีเอ็นเอ เพราะกลัว “ฟิล์ม” มาแย่งลูกไป เปิดใจแถลงข่าวกับสื่อมวลชนรอบ 2 ไปแล้วเมื่อค่ำวานนี้ (27 ก.ย.) ขณะมาร่วมบันทึกเทปรายการ“ตีสิบ” โดยดาราสาว “แอนนี่ รุ่งนภา บรู๊ค” ยังคงยืนยันจะไม่มีการตรวจดีเอ็นเอพิสูจน์ บอกหน้าของลูกชายตัวน้อย “ด.ช.ฑีฆายุ แก้วไทรหาญ” วัย 3 เดือน บ่งบอกชัดเป็นลูกของพระเอก-นักร้องซูเปอร์สตาร์ “ฟิล์ม รัฐภูมิ โตคงทรัพย์” และตนก็จะบอกลูกเช่นนั้นว่าพ่อชื่อ “ฟิล์ม” ซึ่งภายหลังให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเสร็จ “แอนนี่” ก็ได้บันทึกเทปรายการ “ตีสิบ” ต่อ โดยมีพิธีกรหลักอย่าง “วิทวัส สุนทรวิเนตร” เป็นผู้ดำเนินรายการ คอยซักถามถึงชีวิตของดาราสาวเริ่มตั้งแต่วัยเด็กที่ครอบครัวยากจน เธอต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเองและแม่มาตลอด “ชีวิตครอบครัวแอนนี่ตอนเด็กๆ เรียกว่ายากจนได้ค่ะ คือแอนนี่เกิดที่กรุงเทพฯนี่แหละค่ะ อยู่ที่กรุงเทพฯได้สักพักนึง แต่ไม่ได้เรียนหนังสือสักที คุณแม่เลยตัดสินใจพากลับไปอยู่ที่ลำปาง เพราะค่าใช้จ่ายมันน้อยกว่า ซึ่งแอนนี่ก็ทำงานมาตั้งแต่เด็ก ทำทุกอย่างเลยค่ะ ขายเห็ด ขายหน่อไม้ รับจ้างทำงานบ้าน ซักผ้า รีดผ้า ถางหญ้า เป็นเด็กปั๊ม ตอนนั้นประมาณ 9-10 ขวบนี่แหละ ตอนแรกก็ไปช่วยเก็บตังค์ก่อน พอเราพอที่จะถือหัวจ่ายน้ำมันไหว เราก็เริ่มจ่ายน้ำมันได้ พอปิดเทอมเราก็ไปทำ” “พอเสร็จจากปั๊มน้ำมันเราก็ไปรีดผ้าตามบ้านของครู อาจารย์ที่ท่านจ้างเรา ก็คือทำทุกอย่าง ซึ่งแม่เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับแอนนี่มากเลยค่ะ ท่านเข้มแข็งนะ แอนนี่ไม่รู้สึกทุกข์เลย ท่านเลี้ยงเราอย่างอบอุ่น และท่านเป็นคนที่เขียนหนังสือไม่เป็นด้วยนะ อ่านหนังสือไม่ออกด้วย แต่เลี้ยงมาด้วยแบบ คือแอนนี่สอบได้ที่ 1 ทุกเทอมค่ะ คุณแม่ท่านทำให้แอนนี่เรียนหนังสือเก่งได้ ตอนประถมแอนนี่ก็เรียนโรงเรียนแถวบ้าน แล้วก็ไปเข้ามัธยมที่เชียงใหม่ แล้วก็มาต่อที่กรุงเทพฯ ค่ะ แล้วก็มาจบพยาบาล ซึ่งแอนนี่จะได้ทุนตลอด ไม่เคยใช้เงินของแม่เลยค่ะ” เผยเข้าวงการได้เพราะความบังเอิญ จากนั้นก็เริ่มมีงานในวงการเรื่อยมา แต่ทำยังไงก็ไม่ดังสักที จนต้องตัดสินใจถ่ายเซ็กซี่เพื่อเลี้ยงชีพ “ที่เข้าวงการได้เพราะไปเดินเล่นที่สยามฯ แล้วก็มีพี่นางแบบคนนึง คือวันพรุ่งนี้เขาจะต้องไปเดินแบบ แล้วอีกวันนึงเขาต้องไปถ่ายงานโฆษณา แต่ว่างานโฆษณาได้เงินมากกว่า เขาก็เลยจะหาคนไปเดินแบบแทน คือสมัยก่อนมันยังไม่ค่อยมีโมเดลลิ่ง เวลาทำงานบางทีเขาต้องไปเดินหานางแบบ แล้วพอแอนนี่เดินผ่านไป เขาก็เรียกบอกให้ไปเทสต์ให้พี่หน่อยสิ พอดีพี่ต้องไปเดินแบบ แต่ว่าพี่ได้งานอื่นที่ได้ตังค์เยอะกว่า พี่ต้องไป แต่ว่าอยากได้ตัวแทน เขาก็ให้แอนนี่ไปแคส แอนนี่ก็ลองไปเดินให้เขาดู ก็เดินเขย่งไปเขย่งมานี่แหละค่ะ(หัวเราะ) เขาก็เอา ตั้งแต่นั้นมาก็ได้เดินแบบ แล้วก็ถ่ายหนังสือ เสร็จก็ขยับมาถ่ายโฆษณา แล้วก็ได้มาเล่นหนัง แล้วก็เล่นละคร ออกเทปมาถึงทุกวันนี้ค่ะ” “แต่เรียกว่าทำยังไงก็ไม่ดัง (หัวเราะ) แม้จะบอกว่าได้เป็นนางเอกหนังเรื่อง เชอร์รี่ แอน แต่จริงๆ แล้วแอนนี่ได้รับเกียรติจากทางไฟว์สตาร์มากกว่า ที่เขาอุตส่าห์ให้คำว่านางเอก เพราะในหนังจริงๆ แล้วก็ออกมาแค่นิดเดียวเองค่ะ แล้วแอนนี่ก็เคยออกเทป แต่ก็หลายปีแล้วค่ะ ตั้งแต่อายุ 22-23 ส่วนสาเหตุที่ต้องมาถ่ายเซ็กซี่ ก็เพราะเล่นหนังมันก็เฉยๆ แล้วพอออกเพลงก็ยังเฉยๆ อีก จริงๆ แล้วแอนนี่อยากจะบอกนะคะว่าผู้หญิงหลายคนในวงการตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ทุกคนก็ต้องผ่านการถ่ายภาพเซ็กซี่ทั้งนั้น มันคืองานค่ะ” “แล้วแอนนี่ก็ไม่ใช่คนสวยนะคะ หมายถึงไม่ใช่คนสวยที่จะไปเลือกงานเองได้ หรือไปเป็นนางเอกอะไรอย่างนั้น เราไม่มีคนคอยสนับสนุนข้างหลัง ไม่มีผู้ใหญ่ที่จะผลักดันเข้าสู่วงการ เราก้าวเข้ามาด้วยตัวของตัวเองจริงๆ เพราะฉะนั้นการที่เราจะอยู่รอดให้ได้ ก็จะต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเหมือนสินค้า ถ้าเกิดว่าเรามองตัวเองเป็นสินค้า เป็นโปรดักส์ ถ้าเราเป็นโปรดักส์เก่าๆ ไม่เปลี่ยนฉลากเลย คือสินค้าข้างในยังเหมือนเดิม แต่มันต้องเปลี่ยนฉลากบ้าง เปลี่ยนหีบห่อบ้างให้มันดูว่าแปลกใหม่นะ น่าหยิบน่าจับมาซื้อ หรือถ้าเกิดว่าเรายังคงเป็นเชอร์รี่ แอนเหมือนเดิม หรือว่ายังร้องเพลงเหมือนเดิม ซึ่งมันก็จะอยู่แค่นั้น เราก็จะหายไปจากวงการ เพราะเราไม่มีคนดูแล” “แต่ถามว่าเสียใจไหมที่ทำลงไป แอนนี่ต้องทำมาหากินเลี้ยงแม่ เลี้ยงตัวเอง เราคิดว่าไม่ได้ไปฆ่าใคร ไม่ได้ไปทำร้ายใคร ไม่ได้ไปทำสิ่งผิดกฎหมาย เราทำงานของเรา ซึ่งมันก็อาจจะดูว่าเป็นสิ่งยั่วยุหรือยั่วยวน แต่ถามว่ามันคืองานไหม มันคืองานจริงๆ แต่ถามว่ามันมาจากข้างในที่อยากจะทำไหม ทุกวันนี้มันก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เราก็ไม่ได้อยากจะเป็นอย่างนั้น ไม่ได้อยากจะทำอย่างนั้น พอแอนนี่ได้งานใหม่อย่างเช่นตอนนี้ที่ว่ามีเป็นตลกเป็นอะไร เราก็ทิ้งตรงนั้นเลย ไม่เอาอีกเลย” “แต่ช่วงนั้นก็ยอมรับว่ามีผู้ชายเข้ามาบ้าง เพราะผู้ชายเขาก็เห็นผู้หญิงเซ็กซี่ ใส่วับๆ แวมๆ เขาก็อาจจะคิดอะไรหลายๆ อย่าง ก็มีเข้ามาบ้าง หวังดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ก็ต้องมีอยู่แล้วค่ะ แต่จริงๆ แล้วอย่างที่บอกอดีตมันคืออดีต ไม่มีใครสามารถย้อนกลับไป เพื่อที่จะทำให้อดีตมันดีขึ้นหรือว่ามันแย่ลงได้ แอนนี่เชื่อทุกคนต้องผ่านชีวิตวัยรุ่น ผ่านชีวิตวัยที่อยากรู้อยากเห็นอยากลอง เราก็เป็นคนนึงเหมือนกัน ไม่มีใครที่เกิดมาแล้วก็มีประวัติ มีอดีตที่สวยงามโรยด้วยกลีบกุหลาบ ไม่มี….ทุกคนจะต้องผ่านอะไรมาแล้วทั้งนั้น ซึ่งเราเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เราก็เคยผ่านเรื่องเลวร้ายมา ลองผิดลองถูกมา ผิดพลาดไปบ้างในชีวิตมียอมรับ ซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตคน” เมื่อซักถามสาวลึกไปถึงประวัติของคุณพ่อชาวสวิสฯ ที่มาพบรักกับแม่ของเธอ “แอนนี่” ยอมรับว่าช่วงที่แม่ท้องตน มีชีวิตไม่ต่างไปจากตนก่อนหน้านี้เลย “คุณพ่อเป็นคนสวิสเซอร์แลนด์ค่ะ แล้วมาเจอกับคุณแม่ ก็เพราะคุณแม่ขายกับข้าว ทำข้าวแกงขาย แล้วคุณพ่อก็ชอบผัดกระหล่ำของคุณแม่มาก(หัวเราะ) ติดใจแล้วก็มาทานทุกวัน แล้วก็เลยปิ๊งกันค่ะ แต่ชื่อคุณพ่อแอนนี่ไม่ทราบเลยว่าชื่ออะไร เพราะคุณแม่โกรธคุณพ่อมาก จนชื่อก็ไม่บอก บอกแต่ว่าตกเครื่องบินตายไปแล้ว(หัวเราะ) เพราะว่ามันตอบง่ายไงคะ เวลาแอนนี่ไปโรงเรียน แล้วเห็นคนอื่นเขามีพ่อมารับ เราก็จะถามว่าพ่ออยู่ไหน แม่ก็บอกพ่อตกเครื่องบินตายไปแล้ว ก็เลยไม่บอกชื่อ ไม่บอกอะไรเลย” “แต่ว่าตอนนี้รู้แล้วค่ะ พอโตมาได้สักประมาณอายุ 20 เราก็เริ่มกลับไปถามใหม่ เพราะทิ้งช่วงเวลามา เราก็คิดว่าพ่อเราตายจริงๆ เราก็ไม่ถาม แต่พอวันนึงเราสะกิดใจขึ้นมา เหมือนเราเริ่มมีความรักก็กลับไปถามแม่ว่า ตอนที่แม่มีความรักกับพ่อมันเป็นยังไงเหรอ พอแม่เล่าถึงความรักกุ๊งกิ๊งๆ เสร็จ เราก็เข้าเรื่องต่อ แล้วก็ถามว่าอ้าว...แล้วตอนที่คลอดแอนนี่ล่ะ ทำไมพ่อถึงทิ้งหนูไป แม่ก็เลยตัดสินใจเล่าความจริง เพราะว่าเรามีวุฒิภาวะมากพอแล้วที่จะรับฟัง ถ้าเรายังเด็กอยู่ เด็กก็ไม่มีเหตุผลหรอก มีแต่อารมณ์กับความรู้สึก ถ้าเราจะบอกว่าเลี้ยงเด็กต้องเลี้ยงด้วยเหตุผลนะ แต่เหตุผลอย่างเดียวมันไม่พอ มันอยู่ที่อารมณ์ความรู้สึกด้วย” “แต่ชีวิตของแอนนี่กับแม่ไม่รู้ว่าเหมือนกันหรือเปล่านะ แต่คุณแม่ก็บอกว่า วันที่แอนนี่คลอด แล้วก็เอาหน้าหนูไปให้พ่อดู พ่อเขาบอกว่าไม่ใช่ลูกเขา คือคุณแม่กับแอนนี่จะไม่เหมือนกันเลย หน้าตาไม่เหมือนกันเลย หน้าตาแอนนี่จะเหมือนคุณพ่อหมดเลย คุณแม่ก็เลยบอกว่ายูดูสิ ยูดูหน้าลูกยูสิ เหมือนยูไหม เพราะสมัยก่อนคงยังไม่มีมั้งคะเรื่องตรวจดีเอ็นเอ เท่าที่แอนนี่จำได้เพิ่งจะมีตรวจไม่กี่ปีมานี่เอง แต่พอคุณแม่เอาไปให้ดู แล้วก็บอกยูดูหน้าลูกยูสิ เหมือนยูทุกอย่างเลย ยูยังจะบอกว่าไม่ใช่ลูกยูอีกเหรอ เขาก็หนีไปเลย หายไปเลย” “ตอนนั้นคุณแม่โกรธมากค่ะ เพราะว่าวันที่แม่คลอด แม่ก็ไปคนเดียว แม่เล่าให้ฟังว่าขึ้นแท็กซี่ไป แล้วก็น้ำคร่ำแตกแล้ว ปวดท้องมากแล้วขึ้นแท็กซี่ไปตอนประมาณตี 3 ตี 4 แล้วก็ไปคลอดที่โรงพยาบาลคนเดียว อยู่คนเดียว เลี้ยงคนเดียวมา แล้วก็มีอยู่คำนึงตอนที่แอนนี่บอกแม่ไปว่า หนูมีน้องนะ แม่บอกว่าตายละหวา.....หรือว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย แอนนี่ก็เลยอึ้ง แล้วก็เลยถามแม่ว่าทำไมเหรอ แม่เขาก็บอกว่ามันช่างเหมือนกันอย่างน่าประหลาดใจ แกพูดอย่างนี้ แอนนี่ก็เลยบอกว่าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็แปลกดี” “แต่พอแอนนี่สักประมาณ 5 ขวบ รู้สึกว่าคุณพ่อเหมือนคงคิดอะไรได้ เหมือนที่แอนนี่บอกไง เวลาเท่านั้นมันจะทำให้อะไรดีขึ้น ณ วันนี้ไม่อยากให้ทุกคนมาบีบอะไรอีกแล้ว อย่าเพิ่งไปบีบ อย่าเพิ่งไปทำอะไร ที่มันทำให้รู้สึกว่ามันช่างกระชับวงล้อมซะเหลือเกิน คืออย่าเพิ่ง ใจเย็นๆ ทุกฝ่ายทำงานไป ทุกคนเดินหน้าต่อ อย่าเพิ่งร้อนรน อย่าเพิ่งใจร้อน เดี๋ยววันนึงเวลามันจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นเอง” ย้อนถึงความสัมพันธ์กับ “ฟิล์ม” ซึ่ง “แอนนี่” ยืนยันว่าเป็นผู้ชายที่ตนรักที่สุด และที่ยอมปล่อยไม่ป้องกันจนมีลูกนั้น เพราะถูกคนรักขอ ทั้งยังเผยใบเกิดของลูกไม่ระบุชื่อพ่อ และเหตุที่ไม่ตรวจดีเอ็นเอเพราะกลัวถูกแย่งลูกไป “กระแสที่ว่าแอนนี่ท้องก่อนที่ละครจะเปิดกล้อง 3 เดือน คือละครเรื่องนี้ถ่ายก่อนแล้วค่อยเปิดกล้องทีหลัง อย่าไปนับวันเปิดกล้องนะ เพราะว่าเราถ่ายไปก่อนหน้านั้นแล้วค่ะ ตั้งแต่กรกฎาคมแล้ว แต่เปิดกล้องประมาณเดือนกันยายน เรารู้จักกันก่อนหน้านั้นแน่นอน ถามว่าทำไมแอนนี่ไม่ป้องกัน ก็เพราะเราก็อายุขนาดนี้แล้วด้วย เรารักใครสักคนนึง รักมากจริงๆ อาจจะเป็นด้วยอารมณ์ที่เรารักเข้าไปในหัวใจ ณ เวลานั้นนะ แอนนี่ถามผู้หญิงทุกคน....ถ้าเรารักใครสักคน แล้วคนที่เรารักขอ เราจะไม่ให้เหรอ แต่แอนนี่ไม่ขอลงดีเทลนะ” “ก็ต้องบอกว่าแอนนี่หนักใจนะที่งานของเขาสะดุดอย่างนี้ ยอมรับว่าหนักใจเหมือนกัน แต่เราจะต้องยืนอยู่บนรองเท้าของเราให้ได้ ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ซึ่งที่แอนนี่ตัดสินใจไม่ตรวจ ไม่ว่าจะเพื่อความสบายใจ เพื่อความสะใจ หรือเพื่ออะไรก็แล้วแต่ แอนนี่กลัว ถ้าตรวจแล้วฟิล์มก็มีสิทธิ์เต็มตัวร้อยเปอร์เซ็นต์ในตัวลูกของแอนนี่ และแอนนี่ก็ไม่ใช่คนรวย เราต้องทำมาหากิน ฐานะที่บ้านก็ไม่ได้ดี” “คนส่วนใหญ่จะมองแอนนี่เป็นผู้หญิงไม่ดีไปแล้ว และถ้าเราไม่มีความสามารถที่จะเลี้ยงลูก แล้วพ่อมีฐานะดีกว่า เขาก็อาจจะดึงลูกของแอนนี่ไปได้ แอนนี่กลัวค่ะ แม้จะบอกว่ามันมีผลกับงานของเขา แอนนี่ก็เชื่อว่าผู้ใหญ่ต้องให้โอกาสเขา แต่สำหรับสังคมที่ต้องการคำตอบ ก็อย่างที่บอกค่ะว่า ลองหลับตาดู แล้วถามตัวเองในใจว่าเด็กคนนี้ใช่ลูกไหม สำหรับสูติบัตรของลูกแอนนี่ตอนนี้ไม่มีชื่อพ่อค่ะ เขาสามารถเว้นไว้ได้ค่ะ” “ถามว่าที่ทำอย่างนี้เพราะแอนนี่งอนเขาหรือเปล่า มันมากกว่าคำว่างอนนะคะ นึกภาพนะคะ ผู้หญิงคนนึงกำลังจะมีละครอีกหลายเรื่องเลยนะ กำลังจะมีหนังติดต่อเข้ามา เพราะเพิ่งจะได้มาเล่นกับทางช่อง 3 ได้ 3-4 เรื่อง เรากำลังจะมีงานที่ดี กำลังจะมีเงินเก็บให้แม่เรา แอนนี่อยากจะทำบ้านหลังใหม่ให้แม่ เพราะบ้านหลังเก่ามันก็ทรุดโทรมแล้ว เพราะทำไว้หลายปี” “ต่อไปในชีวิตแอนนี่ก็ไม่รู้ว่าจะได้แต่งงานหรือเปล่า ไม่รู้ว่าจะมีครอบครัวหรือเปล่า คิดว่าอาจจะอยู่คนเดียวด้วยซ้ำ เราอาจจะเก็บเงินไว้เพื่อตัวเองในอนาคตถ้าแก่ไป แต่แอนนี่กลับต้องมาเป็นอย่างนี้ ต้องมาหลบๆ ซ่อนๆ ต้องมาเก็บตัว เพราะเรามีน้องแล้ว และเราเลือกตัดสินใจที่จะเก็บเขาไว้ ไม่ทำร้ายชีวิตเขา แล้วก็อยู่อย่างนั้นถึง 9 เดือนนะ” “ตรงจุดนี้ที่แอนนี่ยังยืนกรานที่จะเป็นอย่างนี้ สิ่งนึงคือมาจากแม่เลย เราเห็นตัวอย่างจากแม่เราแล้วว่า ไม่มีพ่อแต่ว่าเราอยู่ได้ เราไม่ได้รู้สึกขาดด้วย แอนนี่ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กมีปัญหานะ ไม่เคยมีเลย ทำไมทุกคนบอกว่าครอบครัวไม่อบอุ่น เดี๋ยวจะกลายเป็นเด็กมีปัญหา ต่อไปในอนาคต จะไปติดยา จะไปสำมะเลเทเมา แอนนี่ไม่เห็นเป็นเลย แอนนี่ไม่รู้สึกขาดใดๆ ทั้งสิ้น ขนาดเราทุกข์ด้วยนะ ทุกข์ยากลำบากแค่ไหน เราไม่ใช่คนรวย เรามาจากรากหญ้าจริงๆ เป็นคนจน บ้านมุงหลังคามุงจากเลย” “ถึงตอนนี้ก็ยืนยันเลยว่าไม่ให้ลูกแอนนี่กับใครทั้งนั้น ถึงได้บอกเลยค่ะว่า อีกเหตุผลนึงที่เราไม่อยากจะตรวจตรงนี้ เพราะไม่รู้ว่าสักวันนึงใครจะเอาลูกเราไปไหม เราอุตส่าห์อุ้มท้องตั้ง 9 เดือน เลี้ยงมาอีก 3 เดือน เลี้ยงเองทำเองทุกอย่าง ความเจ็บปวดทรมานที่ผู้หญิงคนนึงทุกข์มากมาย สักวันนึงถ้ามีใครมาเอาลูกเราไป แอนนี่คงหัวใจสลายแน่ แอนนี่ไม่เหลืออะไรแล้ว แอนนี่กลัวค่ะ ทุกวันนี้เราไม่เชื่อคำสัญญาของใครแล้ว อย่ามาสัญญากับเรา เราไม่เชื่อน้ำบ่อหน้าแล้วด้วย อย่ามาขายให้ไม่เอาแล้ว คืออย่ามาสัญญาว่าจะไม่เอาลูกไป แอนนี่ไม่เชื่อ” ยืนยันจะออกมาพูดเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้าย พร้อมโต้ได้รับเงินจากที่ต่างๆ เวลาไปออกรายการ “วันนี้แอนนี่ก็ขอรายการอาเป็นที่สุดท้าย สำหรับการจะพูดคุยเรื่องนี้ ก็ถ้าจะเป็นรายการต่อจากนี้ไป ก็ขอให้เป็นรายการเกี่ยวกับแม่ลูกแล้วกัน หนึ่งแอนนี่ไม่อยากพาดพิงถึงใครให้เสียหายอีกต่อไปแล้ว สองแอนนี่ต้องการจะเดินหน้าต่อไปกับลูก เพราะแอนนี่ต้องเลี้ยงลูกแล้ว คือแม่ทุกคนหิวได้ แต่ลูกแอนนี่ต้องอิ่มนะคะ และต้องบอกว่าเราไม่เคยมีการคุยเรื่องเงินกันเลย อย่างที่บอกไปแล้วว่าตั้งแต่เกิดเรื่องจนถึงวันนี้ ไม่มีใครให้เงินแอนนี่สักสลึงแดงเดียว” “แล้วก็ไม่มีใครมาเสนองานให้แอนนี่ว่าได้ละครได้อะไร ได้งานนั่นงานนี้ ไม่มีใครให้สิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น ยังไม่มี ซึ่งมาออกรายการวันนี้ก็ไม่เคยคุยเรื่องจำนวนเงินว่า ถ้ามาออกแล้วจะให้เท่านั้นให้เท่านี้ แอนนี่มาออกที่นี่เพราะอยากมาออกจริงๆ ด้วยใจเราจริงๆ ค่ะ เรื่องเซ็นสัญญาว่าถ้ามาออกตีสิบแล้วไม่ให้ไปออกรายการอื่น ก็ไม่มีอยู่แล้วค่ะ จะมาเซ็นทำไมล่ะคะ เป็นสิทธิส่วนบุคคล ถ้าแอนนี่อยากออกก็ออกได้ ถ้าไม่อยากออกแอนนี่ก็ไม่ออก” |
บึ้มทุกวัน!! วันนี้ที่ ... "บางกรวย"
วันนี้ (28 ก.ย.) เมื่อเวลา 15.30 น.ตำรวจ สภ.บางกรวย จังหวัดนนทบุรี ได้รับแจ้งพบวัตถุต้องสงสัยคล้ายระเบิดวางไว้ที่หน้าอาคารพาณิชย์ เลขที่ 45/26-27 หมู่ที่ 4 ตำบลวัดชะลอ อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี หลังรับแจ้งจึงรุดไปตรวจสอบ พร้อมแจ้งให้เจ้าหน้าที่เก็บกู้วัตถุระเบิดของ ตร.ภ.จว.นนทบุรี มาตรวจสอบพร้อมทั้งเก็บกู้
ที่เกิดเหตุอยู่ภายในซอยตันหน้าอาคารดังกล่าว เมื่อเจ้าหน้าที่เก็บกู้วัตถุระเบิดตรวจสอบแล้วสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นระเบิดจริง เนื่องจากมีสายชนวนต่อเข้ากับแท่งที่มีลักษณะกลมยาว เจ้าหน้าที่จึงนำยางรถยนต์มาครอบไว้ ก่อนที่จะใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูง ยิงทำลายวงจรของวัตถุดังกล่าว หลังจากยิงทำลายเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบ พบว่า วัตถุดังกล่าวเป็นระเบิดชนิดแสวงเครื่อง ซึ่งแท่งระเบิดภายในบรรจุดินระเบิดสีเทา พันด้วยกระดาษกาวสีน้ำตาล โดยมีตะปูยาวขนาด 4 นิ้ว และหัวนอตแปะติดรอบจุดชนวนด้วยสายชนวนโดยใช้ธูปเป็นตัวจุดชนวน ถ้าระเบิดทำงานขึ้นมาอานุภาพการทำลายล้างจะสูงมาก
จากการสอบสวน น.ส.สุมาลี เหลืองดำรงกิจ อายุ 48 ปี อาชีพรับออกแบบสิ่งพิมพ์ ซึ่งเป็นเจ้าของอาคารดังกล่าว ทราบว่า เมื่อเวลาประมาณ 13.10 น.ขณะที่ตนกำลังจะขับรถเก๋งฮอนด้า หมายเลขทะเบียน 20-3497 กทม.จะไปทำธุระนอกบ้าน ปรากฏว่า ขณะถอยรถมีความรู้สึกว่าล้อรถไปทับสิ่งของ ตนเองจึงลงมาดู ก็พบวัตถุดังกล่าว จึงได้เดินไปที่ปากซอยบอกให้มอเตอร์ไซค์รับจ้างมาดู เมื่อมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาดูแล้วบอกว่าน่าจะเป็นระเบิด ตนจึงได้โทรศัพท์ไปแจ้งให้ตำรวจทราบและขอให้มาตรวจสอบ โดย น.ส.สุมาลี กล่าวว่า ตนเองและสามีไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งกับใคร ไม่ทราบว่าคนร้ายนำระเบิดมาวางเพื่อวัตถุประสงค์อะไร
ด้าน พล.ต.ต.ศุภกิจ ศรีจันทนนท์ ผบก.ตร.ภ.จว.นนทบุรี ได้เดินทางมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมกล่าวว่า จะต้องนำตัว น.ส.สุมาลี และสามี ไปสอบปากคำว่าทั้งคู่เคยมีปัญหากับใครหรือเปล่า แต่ในเบื้องต้นทราบว่าทั้งคู่ไม่เคยมีปัญหากับใคร ซึ่งคาดว่า คนร้ายน่าจะนำระเบิดมาวางเพื่อสร้างสถานการณ์ ไม่หวังชีวิต เนื่องจากจุดที่คนร้ายนำระเบิดมาวางเป็นจุดที่ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน ถ้าระเบิดทำงานขึ้นมาอาคารที่อยู่รอบๆ จะได้รับความเสียหาย แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องตรวจสอบให้ละเอียดอีกครั้ง