ล่าสุด กระแสข่าวดังกล่าวทำให้กลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพหมอ ได้เขียนข้อความบนเฟรซบุ๊คถึงกรณีข่าวดราม่า "แม่-ลูก" ตอบโต้ดาราดังว่า ดาราดังเขียนเฟรซบุ๊คเอาดังแต่ไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลยทางการแพทย์ แต่กลับมาแสดงความเห็นผิดๆทางวิชาการ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
"ผมว่าเรื่องนี้มันเลยเถิดไปเพราะเอาอารมณ์มาสู้กันนี่เแหละครับ เถียงจนลืมไปแล้วว่าที่เถียงๆ กัน
เถียงเรื่องอะไร
ถ้าอยากชี้แจง อยากให้ข้อมูล
การเหน็บแนมเสียดสี มีแต่จะทำให้กลไกปกป้องตัวเองของอีกฝ่ายทำงาน
ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรก็สื่อสารไม่ถึงหรอกครับ
ลองดูที่เพจวิชาการสรุปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไว้นะครับ
ไม่จิกกัด ไม่เสียดสี มันก็ไม่ดราม่า แม้จะมีพวกไม่อ่านให้จบมาคอมเมนต์บ้าง
แต่ก็ถือเป็นส่วนน้อย
จากกรณีที่คุณบิณฑ์โพสต์ภาพและเหตุการณ์สุภาพสตรีและลูกที่เสียชีวิตระหว่างคลอด
เนื่องจากนำเสนอด้วยภาพที่สะเทือนอารมณ์ ผลตอบสนองจึงค่อนข้างรุนแรง
ทั้งฝ่ายที่ออกมาด่าโรงพยาบาล และอีกฝ่ายที่ออกมาโต้เถียงแทนโรงพยาบาล
จนเรื่องราวค่อนข้างจะบานปลายทีเดียว
เมื่อนำข้อมูลจากแหล่งต่างๆ
มาเรียบเรียงเพื่อให้เห็นภาพว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร พอจะเรียบเรียงได้ดังนี้ครับ
จากปากคำของสามีผู้ตาย บอกว่า
"ภรรยาปวดท้องคลอดจึงเดินทางไปยังโรงพยาบาลลำลูกกาซึ่งฝากครรภ์ไว้ ต่อมาได้รับแจ้งว่า ภรรยามีอาการเป็นลม
ต้องส่งต่อไปยังไปยังโรงพยาบาลนพรัตน์
และได้รับแจ้งอีกครั้งว่าภรรยาแต่เสียชีวิตให้กลับไปยังโรงพยาบาลลำลูกกา เมื่อกลับมาถึงก็พบว่าภรรยาและลูกเสียชีวิตแล้ว
จึงแจ้งความและมีหน่วยกู้ภัยนำศพไปชันสูตรที่โรงพยาบาลตำรวจ
ได้ผลว่าเสียชีวิตเพราะ "ขาดอาการหายใจ ติดเชื้อในกระแสเลือด"
http://77.nationchannel.com/home/295300/
คุณบิณฑ์ โพสต์ภาพและข้อความทาง facebook บอกว่า ผู้ตายไปโรงพยาบาลแต่ไม่มีห้องคลอดให้ และถูกย้ายไปอีกโรงพยาบาล จนเสียชีวิตเพราะช๊อกจากความเจ็บปวด มีร่องรอยการกัดลิ้นจากความเจ็บปวด และเชื่อว่าทางโรงพยาบาลไม่ยอมทำคลอดให้จนเด็กและแม่ตายเสียชีวิต เพราะเห็นว่าเป็นคนจน ใช้บัตร 30 บาท มารักษา
ทางผู้เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาล อธิบายว่า โรงพยาบาลมีห้องคลอด
แต่ระหว่างที่คนไข้เปลี่ยนเสื้อเพื่อนอนโรงพยาบาล
เกิดอาการตัวเขียวขึ้นแบบเฉียบพลัน จึงไม่สามารถทำคลอดได้ สันนิษฐานว่าผู้ป่วยเกิดภาวะน้ำคร่ำอุดหลอดเลือด
(amniotic fluid embolism) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง
เกิดจากเนื้อเยื่อของทารกหลุดเข้าไปในกระแสเลือดของแม่
ทำให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงและหัวใจหยุดเต้น
เป็นภาวะที่คาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดขึ้น ซึ่งเกินขีดความสามารถของโรงพยาบาล
จึงต้องย้ายไปให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจัดการ และแพทย์ได้พยายามช่วยเหลือเบื้องต้น
ทั้งปั๊มหัวใจ จากนั้นจึงส่งขึ้นรถและคอยดูแลอยู่บนรถ
แผลที่ลิ้นไม่ได้เกิดจากการกัดลิ้น แต่เกิดจากการสอดท่อต่างๆ ทางปากเพื่อช่วยเหลือ แต่คนไข้เสียชีวิตระหว่างเดินทาง
เมื่อไปถึงปลายทางก็ผ่าท้องเอาเด็กออกแต่เด็กก็เสียชีวิตเช่นกัน
ข้อกังขาที่คุณบิณฑ์ตั้งคำถามและจุดประเด็นไว้คือ
"ทำไมไม่ทำคลอดให้คนไข้" ทั้งที่ใกล้คลอดมากๆ แล้ว ซึ่งคำตอบเบื้องต้นคือทางโรงพยาบาลเตรียมทำคลอดทุกอย่างแล้ว
แต่เกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น คนไข้เกิดภาวะน้ำคร่ำอุดหลอดเลือด หัวใจวาย
จึงปั๊มหัวใจและส่งให้แพทย์ผู้เชียวชาญที่โรงพยาบาลอื่น ฉะนั้นจึงไม่ใช่ไม่ยอมทำคลอดแต่ในสภาวะนั้นทำคลอดไม่ได้
มันเกินความสามารถ
ณ
ตอนนี้เรายังไม่มีหลักฐานอะไรมากไปกว่าถ้อยคำของทั้ง 3 ฝ่าย
ซึ่งเป็นการบอกเล่าจากมุมมองของตัวเองเป็นหลัก รายละเอียดข้อมูลชันสูตรก็ยังไม่มีใครทราบ
มีเพียงประโยคเดียวจากปากคำของสามีผู้ตาย ส่วนข้อมูลจากทางโรงพยาบาลที่รับฝากครรภ์โดยตรง
ก็ยังไม่สามารถติดต่อได้
หน่วยกู้ภัยเข้ามาเกี่ยวตอนไหนก็ยังไม่แน่ชัด
แต่สามีผู้ตายบอกว่า ได้แจ้งความและมีหน่วยกู้ภัยเข้ามา
นั่นหมายถึงหน่วยกู้ภัยเข้ามาหลังจากผู้ตายและลูกเสียชีวิตแล้ว?
ส่วนคุณบิณฑ์บอกว่าเดินทางจากลำลูกกาไปถึงนิติเวช
แต่ผ่าช่วยเด็กไม่ทัน ทั้งที่ตอนนั้นน่าเด็กน่าจะเสียชีวิตตั้งแต่ก่อนเดินทางไปหานิติเวชแล้ว?
นิติเวชน่าจะผ่าชันสูตรเท่านั้น
ที่จริงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอะไรเป็นอะไรก็ยังไม่แน่ชัด
แต่อ่านคอมเมนต์กลับเต็มไปด้วยการประณาม ด่าทอ
ด่าโรงพยาบาลที่รับฝากครรภ์ว่าเห็นแก่เงิน
ทั้งที่เค้าอาจรักษาไม่ได้ก็เลยส่งต่อ
ด่าโรงพยาบาลที่รับช่วงต่อ
ทั้งที่ผู้ตายเสียชีวิตมาก่อนถึง
ด่าโรงพยาบาลที่ชันสูตรศพ
ทั้งที่หน้าที่เค้าคือตรวจสอบ
ด่าคุณบิณฑ์ว่าสร้างกระแส
ด่า
ด่า
ด่าเหมือนจะเอาความสะใจเป็นหลัก
ตกลงเราต้องการอะไรกันแน่?
เรื่องนี้เป็นเรื่องน่าเศร้า
เป็นเรื่องสะเทือนจิตใจ
แต่เพราะอย่างนั้นก็เลยยิ่งต้องใช้สติในการพิจารณาใช่หรือไม่?
ส่วนตัวแล้วยังไม่ตัดสินว่าใครถูกใครผิด หรือประณามใคร จนกว่าข้อเท็จจริงจะปรากฏชัดเจน
ขอแสดงความเสียใจกับสามีผู้ตายครับ
ที่มา Vcharkarn Dot Com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น