Go6TV (11 กันยายน 2555) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรพรรครักประเทศไทยได้เขียนเฟรซบุ๊คเปิดใจถึงความรู้สึก หลังจากที่ศาลอุทธรณ์ได้กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำคุก 5 ปีไม่รอลงอาญาในคดีรื้อบาเบียร์ตั้งแต่เมื่อปี 2546 ว่าตนเองรู้สึกเศร้าใจและหดหู่กับคำพิพากษาในวันนี้ แต่เนื่องจากตนเป็น สส. และยังมีเอกสิทธิ์คุ้มครอง และยังต้องการสู้คดีในชั้นฏีกาอีกโดยไม่หวั่นเกรงใดๆทั้งสิ้น
นายชูวิทย์ ได้เขียนข้อความเมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. โดยกล่าวถึงการรับฟังคำพิพากษาดังรายละเอียดต่อไปนี้
“ วันนี้ได้รับฟังคำพิพากษาคดีรื้อบาร์เบียร์ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อปี 46 เมื่อผมซื้อที่ดินแปลงนี้มาจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ tisco และมีผู้ที่เช่าอยู่ในที่ดินแปลงนี้ติดมาด้วย ผมได้ทำสัญญาเช่าต่อให้กับบริษัทหนึ่ง หลังจากนั้นก็มีการรื้อถอนตามที่เป็นข่าว”
ผมถูกจับกุมและถูกขังคุกอยู่ 1 เดือน แล้วประกันตัวออกมา การต่อสู้ทางคดีศาลชั้นต้นได้ยกฟ้อง วันนี้มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้พิพากษากลับ ลงโทษจำคุก 5 ปี 4 เดือน ผมไปฟังคำพิพากษาในขณะที่ยังอยู่ในวาระการประชุมสภาฯเพราะเห็นว่าไม่เกี่ยวข้องกัน ผมจึงเดินทางไปฟังโดยไม่ได้ใช้เอกสิทธิ์คุ้มครองแต่อย่างใด แต่เมื่อศาลมีคำพิพากษาจำคุก เนื่องจากอยู่ในสมัยประชุม ผมจึงไม่ต้องประกันตัว
เป็นธรรมดาของปุถุชนย่อมเกิดการท้อแท้หวั่นไหว แต่ผมจะพยายามไม่ให้กระทบต่องานเพื่อส่วนรวม เพราะมีข้อมูลอีกจำนวนมากที่เตรียมจะเปิดเผย ต้องขอโทษด้วย ลูกผู้ชายชั่ว 7 ที ดี 7 หน ข้อดีของระบบยุติธรรมในประเทศนี้คือมี 3 ศาล เมื่อศาลชั้นต้นยก ศาลอุทธรณ์ลงโทษ ผมยังเหลือศาลฎีกาให้พิสูจน์อีกศาล
อย่าเพิ่งหัวเราะเยาะ อย่าเพิ่งตัดสินผม จนกว่าจะถึงวันที่ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษา ขอบคุณสำหรับกำลังใจ (ถ้ามี) ส่วนคำวิพากวิจารณ์ขอรับฟัง เป็นธรรมดาของมนุษย์ โบราณเขาบอก "คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ"
นี่เป็นภาพปกจากหนังสือที่ผมเขียนไว้เมื่อปี 47 ในขณะที่ผมถูกขังอยู่ในเรือนจำเป็นระยะเวลา 1 เดือน หนังสือเล่มนี้ผมได้เขียนถึงเรื่องราวต่างๆในขณะนั้น มีเรื่องราวเบื้องหลังมากมาย เป็นเหตุการณ์ความจริงที่พูดไม่ได้ และยังคงอยู่กับผมไปจนวันตาย"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น