วันนี้นายอภิสิทธิ์พร้อมคณะขึ้นรถแห่หาเสียงไปยังตลาดแม่กิมเฮง จ.นครราชสีมา ซึ่งขณะเดินหาเสียงขอคะแนนอยู่นั้น มีชายสวมเสื้อยืดสีเขียวทราบชื่อต่อมานายพิสิษฐ์ โล่ห์พินิจ หรือยอดรัก คนสู้ชีวิต อายุ 56 ปี อาชีพทำโต๊ะจีน อดีตเชฟโรงแรม ขี่รถมอเตอร์ไซด์ผ่านรถแห่นายอภิสิทธิ์ กำลังยืนไหว้ขอคะแนนเสียงอยู่
ได้ตะโกนเสียงดังครั้งว่า "ไอ้ฆาตกร ไอ้ฆาตกร" จากนั้นขี่มอเตอร์ไซด์เข้าไปยังวัดสะแก
อย่างไรก็ตาม เมื่อนายอภิสิทธิ์เดินเท้าต่อไปอีกระยะ ก็เจอกับนายพิสิษฐ์ยืนรวมกลุ่มกับแม่ค้าขายผลไม้ ซึ่งเป็นสมาชิกกลุ่มคนเสื้อแดง ครั้งแรกนายพิสิษฐ์ไม่ต้องการจะพบ แต่ฝ่ายทีมหาเสียงมาบอกเขาเองว่า นายอภิสิทธิ์ต้องการจะพูดคุยด้วย
เมื่อนายอภิสิทธิ์อยากพบ นายพิสิษฐ์กล่าวทันทีว่า “ผมขอคุยกับนายกฯ เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วนายกฯ คงจำผมได้ บ้านคุณหญิงพูนสุข (พนมยงค์) ผมไปทำก๋วยเตี๋ยว ผมให้ความอนุเคราะห์พรรคประชาธิปัตย์มาตลอด ผมอยากถามไม่มากมายเรื่องของน้ำมัน(ปาล์ม)ฝา 3 สี เป็นของพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ ผมไม่เคยเจอตั้งแต่เกิดมา ผมอยู่สีลมแต่มาทำกิจการที่โคราช ผมรับไม่ได้กับนโยบายของรัฐบาลนี้ และผมขอถามอีกคำเดียว ถ้าอยากให้ผมกลับมารักพรรคประชาธิปัตย์ ถามนายกฯ จริง ๆ ใครสั่งฆ่าประชาชน
ขณะนั้นฝ่ายทีมหาเสียงมาจับมือเขาไว้ เขาจึงพูดขึ้นว่า "เจ้าหน้าที่ไม่ต้องมาจับมือผม ผมไม่ต่อยนายกฯ แน่ ผมเป็นลูกผู้ชายพอ ขอให้นายกฯ ตอบคำถามผม แล้วผมจะสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์”
ฝ่ายนายอภิสิทธิ์ซึ่งเข้าไปยืนประชิดตัวนายพิสิษฐ์ พร้อมฝ่ายอารักขา และตำรวจสภ.เมืองโคราช กล่าวอย่างใจเย็น แต่เหงื่อแตกพลั่กด้วยอากาศระอุอ้าวว่า
"เบื้องต้นได้ชี้แจงถึงเรื่องของราคาน้ำมันปาล์มและน้ำมันพืช และยืนยันว่าน้ำมันไม่ใช่ของคนในพรรคประชาธิปัตย์อย่างแน่นอน ส่วนเหตุการณ์ปีที่แล้ว ไม่มีใครสั่งฆ่าประชาชน พี่ลองคิดดูคนเป็นรัฐบาลเวลาเกิดความเสียหายทุกคนก็ต้องมาต่อว่ารัฐบาล เมื่อปี 52 เกิดเหตุจลาจลต่าง ๆ เราสามารถคลี่คลายได้ แต่พอปี 2553 ปรากฎฝ่ายเขามีกองกำลังชุดดำไปฝึกมาและยิงใส่ทหารและประชาชน ทำให้เกิดความวุ่วายเพิ่มตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2553”
ฝ่าย นายพิสิษฐ์ พูดแย้ง พร้อมถลกเสื้อเปิดให้เห็นรอยกระสุนแล้วพูดว่า วันนั้นเขาอยู่ที่สะพานมัฆวานฯ
"กล้าพูดว่าผมโดนยิง 3 นัด ถูกยิงไล่มาตั้งแต่กองทัพบก จนถึงสวนมิกสักวัน ครัวผู้ชุมนุมถูกตีเละเทะ จึงอยากถามว่า ทำไมต้องยิงประชาชน แล้วทำไมต้องใช้กระสุนจริง ผมถูกยิงตั้ง 3 นัด แต่เพราะมีของดีเลยยิงไม่เข้า" นายพิสิษฐ์ กล่าวอ้างด้วยเสียงเข้ม
นายอภิสิทธิ์ ชี้แจงต่อว่า "ตอนกลางวันไม่มีการใช้กระสุนจริง ยืนยันว่าไม่มี จนกระทั่งมีการใช้ระเบิดเอ็ม 79 ยิงมาใส่ทหารบาดเจ็บ จึงมีการตอบโต้ และต่อสู่กัน และหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ยังมีคนตายที่สีลม พระราม 4 ซึ่งเป็นการตาย ที่เกิดจากกลุ่มผู้ชุมนุม แต่ผมไม่ทราบว่าใครยิง"
อย่างไรก็ตาม นายพิสิษฐ์แย้งว่า ช่วงกลางวัน วันที่ 10 เมษายน 2553 มีใช้กระสุนจริงแน่นอน เพราะตัวเองยังยืดปืนเอ็ม 16 ไว้ได้
"ผมเองก็ไม่สบายใจมีการกล่าวหาว่า ท่านอภิสิทธิ์เป็นฆาตกรมือเปื้อนเลือด เราอยากได้พียงคำเดียวว่า ใครเป็นคนสั่งฆ่า แล้วถ้าปฏิเสธว่าไม่ใช่ แล้วทหารลงมือได้อย่างไร” นายพิสิษฐ์ ถาม
นายอภิสิทธิ์ ชี้แจงทันทีว่า เราได้บอกเจ้าหน้าที่ไปว่า วิธีจะแก้ปัญหาต้องมีการปิดล้อม แต่ทหารไม่ได้เข้าไป ทหารอยู่กับที่ ระหว่างวันที่ 14 ถึง 19 พฤษภาคม 2553 เกิดมีกลุ่มคนมาใช้อาวุธจนเกิดการปะทะกัน หน้าที่ของเราคือการพยายามรักษากฎหมาย แต่ยืนยันไม่ได้มีคำสั่งให้เข้าไปปราบปราม ไม่ได้สั่งให้สลายการชุมนุม แม้แต่วันสุดท้ายของการชุมนุม
แต่นายพิสิษฐ์ยังย้อนถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า "วันนี้อยากถามตรง ๆ ว่าถ้าท่านไม่ได้สั่งแล้วใครสั่ง ทหารลงมือเองอย่างนั้นหรือ"
นายอภิสิทธิ์ตอบว่า “กำลังตรวจสอบ เหตุการณ์ทั้งหมดวันนี้อย่าไปตัดสินว่าใครถูกหรือผิด ค่อย ๆ หาความจริง และเมื่อได้ความจริงแล้วค่อยพิจารณาต่อ จะดำเนินการอย่างไรต่อไป ประเทศไทยเราต้องอยู่กันให้ได้อย่างนี้ และต้องคุยกันแบบผมกับคุณ และขอขอบคุณที่ฟังผมชี้แจง ไม่โต้เถียงอย่างเดียวเหมือนที่ผ่าน ๆ มา”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น