วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ขอเชิญลงชื่อ "ข้อเรียกร้องต่อบรรดาพรรคการเมือง ถึงเวลาแก้ไขมาตรา 112"

ข้อเรียกร้องต่อบรรดาพรรคการเมือง
ถึงเวลาแก้ไขมาตรา 112 (กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ)

ในวาระที่สังคมไทยกำลังเข้าสู่การเลือกตั้งครั้งสำคัญในวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ.2554 นี้ การเลือกตั้งครั้งนี้ประชาชนจำนวนมากไม่เพียงต้องการรู้ว่าบรรดาพรรคการเมืองใหญ่ๆ มีนโยบายที่จะสร้างความกินดีอยู่ดีให้กับประชาชนอย่างไร แต่ยังจับตามองว่าพวกท่านแนวทางอะไรในการแก้ไขความขัดแย้งทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน และหลักการประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางและรุนแรงนับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อปีพ.ศ.2549 เป็นต้นมา

มาตรา 112 กับการละเมิดสิทธิเสรีภาพ
เป็นที่ทราบกันดีว่านับตั้งแต่การรัฐประหารในปี พ.ศ. 2549 วิธีการหนึ่งที่ถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางเพื่อกดปราบผู้ที่มีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างก็คือ การใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือมาตรา 112 โดยมักใช้ควบคู่ไปกับ พ.ร.บ.การกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ. 2550 ดังจะเห็นได้ว่าสถิติผู้ถูกจับกุมและต้องโทษด้วยมาตรา 112 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างไม่เคยปรากฎมาก่อน กล่าวคือ ในขณะที่ระหว่างปี พ.ศ. 2520-2535 การฟ้องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเฉลี่ยเพียงปีละ 10 ราย และลดลงเรื่อยมานับจากปีพ.ศ. 2543 แต่หลังการรัฐประหารจนถึงปี พ.ศ. 2552 มีการยื่นฟ้องคดีหมิ่นฯถึง 396 ราย นอกจากนี้ ภายใต้การทำงานของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เชื่อได้ว่าตัวเลขผู้ต้องหาคดีหมิ่นฯ จะมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง

เป็นที่ชัดเจนว่าข้อความหลวม ๆ ของมาตรา 112 ที่ว่า "ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งสามปีถึงสิบห้าปี" ได้ถูกผู้ที่ยึดกุมอำนาจรัฐและกลุ่มบุคคลต่าง ๆ ใช้เพื่อทำลายความชอบธรรมของกลุ่มการเมืองที่อยู่ตรงข้าม สถาบันกษัตริย์ถูกอ้างครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับการเมืองของคนบางกลุ่ม “ความจงรักภักดี” กลายมาเป็นอาวุธสำหรับข่มขู่คุกคามและสร้างความเกลียดชังในหมู่ประชาชนด้วยกัน ตัวอย่างล่าสุดที่ชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมดังกล่าวได้ดีก็คือ คำให้การในศาลของพันเอกสรรเสริญ แก้วกำเนิด ถึงกำเนิดของ “แผนผังล้มเจ้า” ของ ศอฉ. ว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงเรื่องที่ศอฉ. คิดขึ้นเองแบบทันทีทันใดโดยยังไม่มีข้อยืนยันว่า รายชื่อคนจำนวนมากที่ปรากฎในแผนผัง คือคนที่คิด "ล้มเจ้า" หรือ "ล้มล้างสถาบันกษัตริย์" จริงๆ แต่เราก็ได้ประจักษ์กันแล้วว่า แผนการณ์ที่ถูกคิดขึ้นแบบทันทีทันใดนี้ กลายมาเป็นข้ออ้างสำคัญเพื่อใช้ปราบปรามการชุมนุมของคนเสื้อแดงในเดือนเมษายนและพฤษภาคม พ.ศ. 2553 ในที่สุด ข้อหาไม่จงรักภักดียังนำไปสู่การตามปิดสถานีวิทยุชุมชุนนับร้อยแห่ง และเว็บไซต์อีกนับหมื่นแห่ง โดยที่เหตุผลที่แท้จริงอาจเป็นเพราะพวกเขากล้าวิพากษ์วิจารณ์ผู้ยึดกุมอำนาจรัฐอย่างรุนแรง และพวกเขาสนับสนุนหรือเห็นใจการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง

ความอ่อนไหวของข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทำให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาและครอบครัวของพวกเขาต้องประสบกับการกดดันจากสังคมรอบด้าน ซ้ำร้ายพวกเขามักประสบกับการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่คำนึงถึงหลักการพื้นฐานของสิทธิพลเมืองอีกด้วย เช่น การตีความตามอำเภอใจ, ไม่อนุญาตให้ประกันตน แม้ว่าบางคนจะสูงวัยและมีโรคประจำตัว, ไต่สวนด้วยวิธีปิดลับ, ห้ามสื่อมวลชนรายงานข่าว ฯลฯ ประการสำคัญ สื่อมวลชนเกือบทั้งหมดก็เลือกที่จะปิดหูปิดตาทั้งของตนเองและของประชาชนในเรื่องนี้ จนทำให้การตรวจสอบและคัดคานอำนาจอันล้นฟ้าของกระบวนการยุติธรรมในคดีหมิ่น พระบรมเดชานุภาพเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย

ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่พวกเขากระทำนั้นเป็นเพียงแค่แสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง หากพวกเขาผิด ก็ผิดเพราะ “คิดต่าง” เท่านั้น แต่อำนาจรัฐกลับกระทำต่อพวกเขาประหนึ่งอาชญากรร้ายแรง ผู้ต้องหาเหล่านี้จึงมักถูกลงโทษขั้นสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนดไว้ หลายคนถูกกลั่นแกล้งและทำร้ายจากทั้งผู้คุมและผู้ต้องขังในคุก จนเกิดความเครียด ต้องการฆ่าตัวตาย

การปิดกั้น ข่มขู่ คุกคาม และละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนด้วยมาตรา 112 ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้สถานการณ์สิทธิเสรีภาพของประเทศไทยตกต่ำอย่างถึงที่สุด กล่าวคือ ในปี พ.ศ. 2553 องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน (Reporters Without Borders) เขยิบประเทศไทยจากอันดับที่ 59 (ของปี 2547) ลงไปที่อันดับที่ 153 จากจำนวน 178 ประเทศ ส่วนในปี พ.ศ.2554 องค์กรฟรีดอมเฮ้าส์ เปลี่ยนสถานะของไทยจาก “กึ่งเสรี” เป็น “ไม่เสรี” ส่งผลให้ไทยอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับเกาหลีเหนือ พม่า จีน คิวบา โซมาเลีย อัฟกานิสถาน อิหร่านและอีก 63 ประเทศทั่วโลก

การเคลื่อนไหวของกลุ่มต่าง ๆ
ด้วยความตระหนักต่อสภาวการณ์ดังกล่าวข้างต้น ทำให้ในช่วงที่ผ่านมา ได้มีความพยายามเรียกร้องและรณรงค์ให้รัฐบาล เจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชนทั่วไปได้ตระหนักถึงปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดจากมาตรา 112 และหาทางแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ โดยเป็นการผลักดันทั้งในระดับกลุ่ม เช่น นักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์, กลุ่มเครือข่ายสันติประชาธรรม, กลุ่มมาตรา 112:การรณรงค์เพื่อการตื่นรู้, กลุ่มนักเขียนอิสระ, ฯลฯ และทั้งในระดับปัจเจกชน โดยผ่านการเขียนและอภิปรายในที่ต่าง ๆ ของศ.ดร. นิธิ เอียวศรีวงศ์, ศ.ดร.ธงชัย วินิจจะกูล, ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เป็นต้น นอกจากนี้ มาตรา 112 ยังกลายเป็นประเด็นที่ประชาคมโลกให้ความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2552 นักวิชาการชั้นนำทั่วโลกกว่า 50 คนได้ร่วมลงนามในจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เรียกร้องให้มีการปฏิรูปกฎหมายหมิ่นฯ

นอกเหนือจากปัญหาการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนด้วยมาตรา 112 ดังที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว กลุ่มบุคคลและปัจเจกบุคคลข้างต้นยังได้ท้าทายให้รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ตอบคำถามสำคัญดังต่อไปนี้

- อะไรคือบทบาทและพระราชอำนาจที่แท้จริงและที่ควรจะเป็นของสถาบันพระมหากษัตริย์?

- อะไรคือความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกับหลักการเสรีประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน?

- การแก้ปัญหาที่มุ่งไปที่การจับกุมปราบปรามและลงโทษเป็นหลัก จะนำมาซึ่งความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์ได้จริงหรือ?

- เจ้าหน้าที่รัฐและระบบตุลาการของไทยปฏิบัติต่อผู้ต้องหาในคดีนี้อย่างโปร่ง ใสและคำนึงถึงหลักการสิทธิและเสรีภาพตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเพียงใด?

- กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมีความเหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบันหรือไม่อย่างไร? ควรมีการปรับปรุงการใช้กฎหมายนี้อย่างไร?

- การวิจารณ์เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์จำเป็นต้องเท่ากับการมุ่งทำลายสถาบันจริง หรือ? เราจะมองว่าการวิจารณ์นำไปสู่การปรับตัวของสถาบันกษัตริย์เพื่อให้สอดคล้อง กับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมการเมือง และนำไปสู่ความมั่นคงของสถาบันท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่?

- หากไม่มีกฎหมายหมิ่นฯแล้ว สถาบันพระมหากษัตริย์ควรได้รับการปกป้องคุ้มครองในลักษณะใด และด้วยกฎหมายใด?

ฉะนั้น จะเห็นได้ว่าปัญหาอันรุนแรงของมาตรา 112 ได้ปลุกเร้าให้ผู้คนกลุ่มต่างๆ ไม่สามารถนิ่งเฉยดูดายได้อีกต่อไป เราเชื่อว่าแนวโน้มว่ากระแสเรียกร้องให้มีการแก้ไขมาตรา 112 จะมาจากกลุ่มที่หลากหลายและเสียงดังมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉะนั้น บรรดานักการเมือง อันเป็นตัวแทนของประชาชน ย่อมต้องไม่เพิกเฉยดูดาย หรือหลอกตัวเองต่อไปว่ามาตรา 112ไม่ใช่ปัญหาแต่ประการใด พวกเรา ประชาชนที่ลงนามในท้ายจดหมายฉบับนี้ จึงขอเรียกร้องให้พรรคการเมืองทั้งหลายประกาศนโยบายที่เป็นรูปธรรมต่อมาตรา 112 เพื่อเป็นปัจจัยในการตัดสินใจลงคะแนนเสียงของประชาชนต่อไป

ท้ายนี้ ด้วยความตระหนักถึงประเด็นปัญหาที่รายล้อมการใช้กฎหมายมาตรา 112 พวกเราเชื่อว่าท่ามกลางวิกฤติการเมืองไทยในขณะนี้ หนทางเดียวที่จะสร้างความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์ พร้อม ๆ ไปกับสร้างหลักประกันให้กับสิทธิเสรีภาพของประชาชนและระบอบประชาธิปไตยของสังคมไทยก็คือ จะต้องมีการแก้ไขมาตรา 112

เครือข่ายสันติประชาธรรม

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ธงชัย วินิจจะกูล ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-เมดิสัน
ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ วิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อภิชาต สถิตนิรามัย คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ประจักษ์ ก้องกีรติ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ยุกติ มุกดาวิจิตร คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
นิติ ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พวงทอง ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เวียงรัฐ เนติโพธิ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เกษม เพ็ญภินันท์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
กฤตยา อาชวนิจกุล สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
ศรีประภา เพชรมีศรี ศูนย์สิทธิมนุษยชนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล
ไชยันต์ รัชชกูล สถาบันศาสนา วัฒนธรรม และสันติภาพ มหาวิทยาลัยพายัพ
David Streckfuss, The CIEE Research and Development Institute, Khon Kaen University
ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
อุบลรัตน์ ศิริยุวศักดิ์ นักวิชาการอิสระ

หมายเหตุ: ท่านที่สนใจสามารถร่วมลงชื่อออนไลน์ได้ในลิงค์ด้านล่างนี้ครับ (โดยกรอกข้อมูลตรงแบบฟอร์มท้ายแถลงการณ์)

http://www.ipetitions.com/petition/santiprachadham_june2011/


ไม่มีความคิดเห็น: