เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ที่กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1รอ.) พล.ต.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.1รอ.) เป็นประธานจัดกิจกรรมเสวนา แนวทางการปฏิบัติต่อกลุ่มผู้ชุมนุมของเจ้าหน้าที่รักษาความสงบภายใต้ พ.ร.บ.มั่นคง และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2539 เป็นต้นมา ม็อบในประเทศไทยมีพัฒนาการขึ้นมาก และมีค่าใช้จ่ายในการชุมนุม หากมีการชุมนุม 400 คนต้องใช้เงินประมาณ 2 แสนบาทต่อวัน เพื่อจ่ายค่ารถและค่าอาหาร ม็อบยุคใหม่มี 3 องค์ประกอบคือ แกนนำ แนวร่วม และกองกำลังที่เพิ่งเกิดจากปี 2546-2547 ส่วนแกนนำมีอยู่ 3 ประเภท คือ 1.แบบเปิดเผยตัว 2.แบบไม่เปิดเผยตัว แต่สั่งได้ ซึ่งคนสั่งอาจอยู่ไกลอีกซีกโลกก็ได้ และ 3.แบบไม่เปิดเผย แต่สนับสนุนเรื่องเงินและข้อกฎหมาย ส่วนแนวร่วมมีอยู่ 3 ประเภทคือ 1.แฟนพันธุ์แท้ 2.พวกว่างก็มา ไม่ว่างก็ไม่มา และจะไม่ค้างคืน และ 3.ไม่ได้มา แต่เป็นกองเชียร์ ส่วนการชุมนุมขณะนี้ยังเป็นไปด้วยความสงบ ยังไม่พบอาวุธ แต่การที่คน 200 คนมาปิดถนน มันน่ารำคาญ มีคนตั้งคำถามว่าตำรวจไม่ทำอะไรสักอย่าง
ด้าน พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว ผู้บัญชาการสำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่า จากการสอบสวนมือยิงเอ็ม 79 จึงรู้ว่างานของดีเอสไอหนักและเสี่ยงอันตรายมากขึ้น เพราะการชุมนุมมีเงินสนับสนุน แต่ละครั้งที่มีจ้างขว้างระเบิดจะได้ 1 หมื่นบาท ถึงมือผู้ขว้างระเบิด 5 พันบาท ส่วนการยิงเอ็ม 79 ใส่ศูนย์ราชการได้ 5 หมื่นบาท นอกจากนี้พบข้อมูลยังมีการฝึกมือยิงระเบิดเอ็ม 79 กว่า 300 คนในประเทศเพื่อนบ้าน ที่ผ่านมาเราใช้เงินไปกับภัยคุกคามเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ใช้งบประมาณไป 1.4 แสนล้านบาท แต่ภัยคุกคามที่เกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมือง ยังไม่เห็นว่าจะจบได้ หลังวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ ไม่ว่าใครขึ้นมา จะมีอะไรตามมาแน่นอน หลังวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ ให้นับถอยหลังและเตรียมไว้เลย
ขณะที่นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ประจำสำนักประธานศาลฎีกา ให้ข้อแนะนำในการปฏิบัติตัวกับเจ้าหน้าที่ ว่า การปฏิบัติขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และต้องเปรียบเทียบสัดส่วนของภัยที่จะเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ของรัฐสามารถที่จะป้องกันตัวได้ เป็นไปตามกฎหมายอาญา มาตรา 68 เมื่อมีภัยคุกคามถึงบุคคลใดก็สามารถป้องกันตัวได้ เช่น 1.กรณีคนร้ายถือปืนเข้ามาก็ยิงได้ 2.กรณีมีการยึดอาวุธของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบ แต่เป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย ก็สามารถป้องกันตัวเองได้ตามความเหมาะสมนายภัทรศักดิ์กล่าวว่า 3.กรณีผู้ชุมนุมล้อมรถและยึดอาวุธเจ้าหน้าที่ รวมถึงทำร้ายทหารจนถึงขั้นปางตาย ขั้นตอนแรกต้องมีเครื่องมือให้พร้อม มีกระสุนยาง เพราะเป็นอุปกรณ์สำคัญ ถ้าไม่สามารถระงับได้ ก็ใช้กระสุนจริง โดยยิงไปในจุดที่ไม่ให้อันตรายถึงชีวิต 4.กรณีการบุกค่ายทหาร อย่างแรกที่ต้องพิจารณาคือการใช้มาตรการเบา โดยใช้กุญแจมือ หรือเชือกมัดตัว ใครก็ตามที่บุกเข้าไปในเขตต้องห้าม ส่วนการยิงปืนขึ้นฟ้าทำได้เพื่อข่มขู่ แต่การชี้แจงทำความเข้าใจก่อนเป็นเรื่องสำคัญ
" หากทำ 2 กรณีแล้วไม่ได้ผล ก็ต้องดูว่าใครเป็นคนนำ มีความจำเป็นต้องจัดการกับคนนำ หรือควบคุมตัวไว้หรือไม่ โดยในค่ายทหารมีอาวุธยุทโธปกรณ์ ก็เป็นอันตรายในการนำอาวุธไปก่อเหตุ เพราะฉะนั้นให้เจ้าหน้าที่ตระหนักถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ หากบุกยึดได้ ก็จะเป็นปัญหาต่อกลไกความน่าเชื่อของรัฐ " นายภัทรศักดิ์กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น