นายเทอดศักดิ์ ฟุ้งกลิ่นจันทร์มีอายุเพียง 29 ปี เมื่อเขาถูกสังหารด้วยกระสุนพลซุ่มยิง ในวันนี้เมื่อ 3 ปีก่อน ในวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553 เขาล้มลงบนพื้นถนนอันแข็งกระด้างในกรุงเทพฯ และบาดเจ็บสาหัส กองกำลังที่ใช้จัดการกับนายเทอดศักดิ์เป็นกองกำลังที่มีเป้าหมายสังหารและผู้สั่งก็จงใจให้เป็นเช่นนั้นแม้ว่าคนที่ลั่นกระสุนจะเห็นชัดเจนว่าเหยื่อของเขาไม่มีอาวุธและมิได้เป็นภัยต่อผู้ใดแต่อย่างใดก็ตาม คำเดียวที่สามารถใช้อธิบายการกระทำเหล่านี้ได้คือการฆาตกรรมและสำนักงานกฎหมายของผมยังคงทำทุกวิถีทางเพื่อนำตัวคนผิดมาลงโทษให้ได้
นอกจากนี้ หากพิจารณาในประเด็นต่างๆ ก็เป็นเรื่องชัดเจนว่ากองกำลังที่ใช้จัดการกับคนเสื้อแดงที่แยกคอกวัวในคืนอำมหิตเดือนเมษายน พ.ศ. 2553 ออกแบบมาเพื่อสังหารเพียงอย่างเดียว กองกำลังดังหล่าวได้สังหารคนเสื้อแดงทั้งหมด 21 ราย โดยทั้งหมดเสียชีวิตจากกระสุนซึ่งยิงจากปากกระบอกปืนที่มีนายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นคนสั่งการ นอกจากนี้ยังมีทหารเสียชีวิตอีก 5 นาย โดยการจบชีวิตของพวกเขาเป็นไปในสถานการณ์ที่เป็นปริศนา ในขณะที่การสอบสวนกรณีการเสียชีวิตของนักข่าวช่างภาพญี่ปุ่น นายฮิโร มูราโมโตยังคงดำเนินต่อไป การกระทำทั้งหมดนี้ทำให้มีภรรยาม่ายและมารดาหลายคนที่ต้องเศร้าสลดกับเหตุการณ์ดังกล่าวอยู่เบื้องหลัง
หากปราศจากความยุติธรรมสำหรับเหยื่อทุกคน โศกนาถกรรมของเดือนเมษยน พ.ศ. 2553 ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ประเทศไทยยังไม่มีความสงบสุขแท้จริงนับตั้งแต่คืนที่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตถูกปล่อยให้จมอยู่กับคำถามที่ยังตอบไม่ได้มากมาย
และหากต้องการทำความเข้าใจถึงความรู้สึกอันลึกซึ้งในกรณีการสังหารหมู่ที่คอกวัวในวันที่ 10 เมษายน คุณไม่จำเป็นต้องมองหาที่ไหนอื่นไกลไปกว่าหนังสือภาษาไทยอันน่าทึ่ง ชื่อว่า “คนที่ตายมีใบหน้า คนที่ถูกฆ่ามีชีวิต” ซึ่งตีพิมพ์โดยมูลนิธิวีรชนประชาธิปไตย หนังสือเล่มนี้ให้พื้นที่เหยื่อจากเหตุการณ์เดือนเมษายน พ.ศ. 2553 ได้ร่ำไห้ถึงสิ่งที่ทุกคนควรฟังหากต้องการให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้าเพื่อความสมานฉันท์
อย่างกรณีมารดาของนายเทอดศักดิ์ นางสุวิมล ซึ่งบอกเล่าให้กลุ่มผู้เขียนของหลังสืออันยอดเยี่ยมนี้ฟังว่า
“จริงๆลึกๆแล้วยังอยากต่อสู้เพื่อลูก เพราะเขาตายไป เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ ตายไปโดยไม่สมควร ไม่สมควรมาทำเขา เรารู้สึกว่าเราทำอะไรไม่ได้ เราแค่เป็นประชาชนคนเล็กๆธรรมดา ขอแค่มีส่วนร่วมไปเดินบ้างอะไรบ้างก็โอเค แต่ยังไงก็ไม่ลืม”
เราควรตรึกครองถึงคำพูดของนางสุวิมลในขณะที่เราร่วมรำลึกถึงวันครบรอบเหตุการณ์ความสูญเสียในเดือนเมษายน พ.ศ. 2553 – “ฉันยังต้องการจะต่อสู้เพื่อลูก” มารดาคนเสื้อแดงผู้เสียชีวิตไม่สามารถ “ลืม” เรื่องการสูญเสียบุตรหลานแบบนี้ได้อย่างง่ายดายซึ่ง ต่างจากผู้วิจารณ์ นักการเมือง หรือผมกล้าพูดได้เลยว่า แม้แต่นักกฎหมาย เราทำได้แค่เพียงเสนอความช่วยเหลือและแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการต่อสู้เพื่อสู้เพื่อความยุติธรรมกับบุคคลที่ตกอยู่ในชะตากรรมแบบเดียวกับนางสุวิมล
เหยื่อเหตุการณ์สังหารหมู่คอกวัวอีกรายคือช่างเย็บผ้า นายวสันต์ ภู่ทอง (อายุ 39 ปี) น้องสาวของเขา น้ำทิพย์เล่าเรื่องผ่านทางหนังสือ “คนที่ตายมีใบหน้า คนที่ถูกฆ่ามีชีวิต” ว่า
“ตอนนี้ก็ยังคิดถึง เพราะทำงานอยู่ด้วยกันมานานมาก หันไปก็ต้องเจอ เพราะอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน ……มันทำใจยาก”
คำพูดของน้ำทิพย์สะท้อนให้เห็นถึงการเสียชีวิตของน้องชายเธอซึ่งถูกสังหารในสถานการณ์อังน่าขยะแขยงได้เป็นอย่างดี การปราศจากความยุติธรรมที่แน่ชัดจะยังคงทำให้เหยื่อจากเหตุการณ์คอกวัวยากที่จะทำใจ “ยอมรับเรื่องแบบนี้”
วันนี้ทีมงานผมได้รับเกียรติพูดคุยกับพี่เขยของวสันต์ นายกลิ่น และเราขอทิ้งท้ายคำพูดของเขาไว้ในบทความนี้ คำพูดเหล่านี้ควรเป็นคำขวัญของเรา ในขณะที่เราร่วมรำลึกถึงวันครบรอบอีกหนึ่งปีที่บุคคลอันเป็นที่รักของเราถูกพรากไป“ตอนนี้ยังไม่มีความยุติธรรม เพราะคนผิดยังไม่ถูกลงโทษ เราจะยังคงต่อสู้ต่อไปเพื่อความยุติธรรม”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น