วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2556

"นพดล" โพสต์ข้อมูลพระวิหาร14ข้อ การันตีรัฐบาลยิ่งลักษณ์สู้คดีเต็มที่

11 เมษายน 2556 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 15.00น. ที่ผ่านมา นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว เพื่อทำความเข้าใจกับประชาชน ซึ่งจะช่วยประกอบการเผยแพร่ข้อมูลข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการต่อสู้ในคดีตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารปี 2505 เนื่องจากกรณีรัฐบาลกัมพูชาขอให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ที่ได้เคยตัดสินไปแล้วเมื่อปี 2505 ภายหลังศาลโลก ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ มีกำหนดขึ้นนั่งบัลลังก์เพื่อรับฟัง "การให้การด้วยวาจา" (Oral Hearing) รอบสุดท้าย ในวันที่ 15-19 เมษายน นี้ โดยมีข้อความดังนี้

บางท่านอาจไม่ได้ตามคดีในศาลโลกที่จะมีการแถลงด้วยวาจาในวันที่ 15-19 เมษายน 56 นี้ใกล้ชิด ผมขอเรียนให้ทราบข้อมูลดังนี้ครับ

1) คดีที่กำลังพิจารณาในศาลโลกในขณะนี้คือคดีตีความคำพิพากษาของศาลโลกที่ตัดสินเมื่อ 51 ปีที่แล้วครับ ไม่ใช่คดีใหม่ เรียกว่าคดีตีความคำตัดสินในอดีต คู่ความในคดีที่ศาลโลกตัดสินไปแล้ว ถ้าสงสัยว่าคำตัดสินมีความหมายอย่างไร ก็ยื่นตีความได้ตลอดเวลาครับ ไม่มีกำหนดเวลาว่าต้องยื่นภายในกี่ปี ผิดกับการรื้อฟื้นคดี ต้องกระทำภายใน 10 ปี ดังนั้นคดีปราสาทพระวิหารจึงรื้อฟื้นไม่ได้แล้วครับ


2) ในคดีตีตวามนี้ กัมพูชา (กพช.) ยื่นขอให้ศาลโลกตีความว่าพื้นที่ปริเวณตัวปราสาทพระวิหาร ที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า vicinity มีขอบเขตเพียงไรครับ


3) คดีตีความนี้ไม่เกี่ยวกับตัวปราสาทพระวิหารนะครับ เพราะตัวปราสาทพระวิหารนั้นศาลโลกตัดสินเมื่อ 51 ปีก่อนคือในวันที่ 15 มิย 2505 ให้ตกเป็นของกัมพูชาไปแล้ว แต่ก็ยังมีคนเข้าใจผิดว่าท่านสมัครกับผมเป็นคนยกปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาแล้วมาด่าพวกผม ความจริงก็คือเราแพ้คดีในศาลโลกเมื่อ 51 ปีก่อนและจำใจต้องยกตัวปราสาทให้กัมพูชาไปแล้ว


4) ขอย้อนไป 51 ปีที่แล้วครับ หนึ่งในทีมทนายที่ว่าความในคดีศาลโลกคือ ท่านเสนีย์ ปราโมช อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผมว่าทนายทุกคนต่อสู้ดีที่สุดแล้วครับ คงไม่มีใครอยากแพ้คดี


5) ดังนั้นเรื่องตัวปราสาทพระวิหารมันจบไปตั้งแต่ 51 ปีที่แล้วครับ เรารื้อฟื้นคดีไม่ได้แล้ว แต่ที่กัมพูชาและไทยยังถกเถียงกันไม่ใช่ใครเป็นเจ้าของตัวปราสาท แต่เป็นเรื่องพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร เพราะไทยอ้างเป็นของไทย แต่กัมพูชาอ้างเป็นของกัมพูชาครับ สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะต่างฝ่ายต่างยึดถือแผนที่คนละชุด และยึดถือเส้นเขตแดนคนละเส้น (ไทยยึดสันปันน้ำแต่กัมพูชายึดแผนที่ระวาง 1 ต่อ 200,000)


6) สรุปอีกที่หนึ่งคือ ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา แต่พื้นที่ทับซ้อนยังเถียงกันอยู่ ผมขออุปมาอุปมัยเหมือน ตัวปราสาทเป็นศาลพระภูมิ ส่วนพื้นที่่ทับซ้อนเปรียบเป็นสนามหญ้า 


7) ในปี 2549 กัมพูชายื่นคำขอเอาตัวปราสาทและพื้นที่ทับซ้อนไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก เปรียบเปรยคือ เอาตัวศาลพระภูมิและสนามหญ้าไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก ซึ่งในปี 2550 ไทยคัดค้านเพราะเขาจะผนวกเอาพื้นที่ทับซ้อนด้วย 


8) รัฐบาลสมัครเข้าบริหารประเทศในเดือน กุมภาพันธ์ 51 เรารับเผือกร้อนมาจากรัฐบาลทหาร คมช. กัมพูชาเขายื่นเรื่องขึ้นทะเบียนตัวปราสาทและพื้นที่ทับซ้อนฝ่ายเดียวมาก่อนเราเข้ารับตำแหน่งแล้วครับ ดังนั้นที่มาเที่ยวด่าว่ารัฐบาลสมัครเป็นผู้ทำคำแถลงการณ์ร่วมจนทำให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกฝ่ายเดียวจึงเป็นเท็จครับ


9) ผมว่านายกทุกคน รมต.ต่างประเทศทุกคน ไม่มีใครชั่วพอที่จะทำให้ไทยเสียประโยชน์ด้านดินแดน ไม่มีใครขายชาติหรอกครับ นอกจากนั้นการทำงานต้องทำร่วมกับข้าราชการ ทหาร กองทัพ สภาความมั่นคงแห่งชาติ ถ้าทำไม่ดี ข้าราชการเขาไม่เอาท่านไว้แน่ แต่กรณีของผม สิ่งที่ผมทำนั้นข้าราชการเห็นด้วย มีการปรึกษาหารือและเห็นชอบเป็นลำดับ จากระดับกระทรวงต่างประเทศ ก็ส่งเรื่องเข้าสภาความมั่นคงแห่งชาติ แล้วเสนอเข้า ครม. ทำเป็นขั้นเป็นตอนครับ


10) เมื่อกัมพูชาเขาเอาทั้งตัวปราสาทและพื้นที่ทับซ้อน หรือเปรียบเปรยเป็น เอาศาลพระภูมิบวกสนามหญ้าไปขึ้นทะเบียน พวกผมจึงไปเจรจาให้กัมพูชาตัดพื้นที่ทับซ้อนหรือสนามหญ้าออก และสนับสนุนให้ขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารที่เป็นของเขามา 51 ปีตามที่ศาลโลกตัดสิน เจรจายากมาก ท้ายที่สุดเขายอมตัดพื้นที่ทับซ้อนออก และยอมขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น นี่คือที่มาของคำแถลงการณ์ร่วมครับ เอกสารชิ้นนี้เป็นประโยชน์มากครับ เป็นครั้งแรกที่กัมพูชายอมรับว่ามีพื้นที่ทับซ้อน นักกฎหมายระหว่างประเทศชั้นนำของโลกและชั้นนำของไทย ต่างบอกว่าคำแถลงการณ์ร่วมเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย แต่ศาลปกครองตัดสินให้เป็นโมฆะไปแล้วครับตอนนี้ 


11) รัฐบาลสมัครและผมเป็นผู้ปกป้องดินแดนครับ ผมมีเอกสารราชการและมติคณะกรรมการมรดกโลกยืนยัน ผมไม่ต้องการคำชมใดๆครับ เพราะคนไทยทุกคนมีหน้าที่ปกป้องดินแดน แต่ที่รับไม่ได้คือมาด่าว่าเราขายชาติทั้งๆที่เป็นความเท็จ พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ให้สิทธิ์ใครที่จะประณามคนอื่นด้วยความเท็จครับ มันเป็นบาป


12) แนวทางของรัฐบาลท่านสมัครคืออะไรที่เป็นของเขาก็เป็นของเขา อะไรที่เป็นของเราต้องปกป้อง ตัวปราสาทเป็นของเขา แต่พื้นที่ทับซ้อนเราต้องปกป้องไม่ให้นำไปขึ้นทะเบียน ในระหว่างที่ยังเจรจาปักปันเขตแดนไม่เสร็จ ก็บริหารจัดการพี้นที่ทับซ้อนร่วมกันไปพลางๆก่อน จะได้ประโยชน์ทั้งชาวบ้านตามแนวชายแดนทั้งสองฝ่าย ไม่รบกัน 


13) ย้อนกลับมาคดีตีความที่อยู่ในศาลขณะนี้ครับ ไทยและกัมพูชาจะแถลงสรุปประเด็นด้วยวาจาในระหว่างวันที่ 15-19 เมษายนนี้ และหลังจากนั้นศาลสามารถตัดสินได้ตลอดเวลา แต่คาดว่าน่าจะตัดสินประมาณเดือนกันยายนปีนี้ครับ


14) ผมขอเรียนเป็นประเด็นสุดท้ายครับ รัฐบาลท่านนายกฯยิ่งลักษณ์สู้คดีเต็มที่ครับ ทีมกฎหมายก็ใช้ทีมเดียวกันที่ตั้งโดยรัฐบาลท่านอภิสิทธิ์ เราเอาใจช่วยทีมกฎหมายของประเทศ ผลจะออกมาอย่างไรเราไม่ทราบ แต่ไม่ควรโทษกันไปมาครับ เพราะคนไทยทุกคนรักชาติเท่ากัน และขอร้องเถอะครับ จะด่าใครขอให้ด่าแบบมีข้อมูลและเอาความจริงมาพูดกันครับ ประเภทตั้งหน้าตั้งตาจะด่าเขาฝ่ายเดียวด้วยความเท็จ ระวังให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัวนะครับ

ไม่มีความคิดเห็น: