วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ทำไม! ปชป.เดือดร้อนเรื่องขึ้นภาษีบาป?


             จากกรณีที่นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจเงา กล่าวว่า รัฐบาลจงใจที่จะปกปิดลักไก่ไม่โปร่งใส เห็นได้จาการที่ไม่ยอมแสดงข่าว เรื่องนี้หลังจากที่ประชุมครม.เสร็จแล้ว และมองว่าแท้จริงแล้วการเก็บภาษีครั้งนี้เพราะรัฐบาลใช้นโยบายประชานิยมมากเกินไป และไม่ยอมเก็บภาษีหลายตัว จึงทำให้มีปัญหาเรื่องการจัดเก็บรายได้ เช่นภาษีน้ำมันดีเซล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีที่ดิน ภาษีนิติบุคคล ที่จะช่วยลดภาระให้กับคนรวย จากที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะเก็บ 2.1ล้านล้านบาท แต่เมื่อถึงเดือนมิถุนายนก็ขาดทุนไป3.1พันล้านบาท 
              แต่หากย้อนหลังไปในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายกรณ์ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เวลานั้นมีประเด็นว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ มีข่าวฉาวโฉ่เกี่ยวกับการช่วย “เลี่ยงภาษีบริษัทบุหรี่ฟิลิปมอริส 6.8 หมื่นล้าน” ดังคำปราศรัยของนายสนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554  โดยมีเนื้อข่าวดังนี้

บุหรี่นอกโกงภาษี 7 หมื่นล้าน
       “เมื่อเวลา 20.40 น.วันที่ 11 มี.ค. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ปราศรัยที่เวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ ระหว่างการชุมนุม รวมพลังปกป้องแผ่นดินว่า นึกไม่ถึงว่าเมืองไทยจะมีคนชาติชั่วขนาดนี้ ได้ฟังหลายๆ คนพูดบนเวทีนี้แล้วรู้สึกว่าประเทศไทยทำเวรทำกรรมอะไรไว้ จึงมีแต่สัตว์นรกกับสัตว์เลื้อยคลานลิ้น 2 แฉก ตนหลับตานึก อยากเห็นคนอย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ นายกษิต ภิรมย์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มีโอกาสถูกประหารชีวิต ถ้าชาติบ้านเมืองเปลี่ยนแปลง มีคนดีและเข้มแข็งมาปกครองบ้านเมือง อยากให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองรับคดีไว้ แล้วพิพากษาให้ประหารชีวิตนายกฯ รองนายกฯ รัฐมนตรีต่างประเทศ รัฐมนตรีกลาโหม เพื่อเป็นการส่งสัญญาณไปถึงชั่วลูกชั่วหลานว่าเรื่องแผ่นดินจะไปเที่ยวยกให้ต่างชาติไม่ได้ หรือทำให้ชาติเสียดินแดนไมได้
      
       หลังจากนั้น นายสนธิได้กล่าวถึงกรณีบริษัท ฟิลลิป มอร์ริส เลี่ยงภาษีนำเข้าบุหรี่ว่า เกิดจากบริษัทผลิตบุหรี่ของฝรั่งต้องการส่งออกบุหรี่ไปขายประเทศอื่น เพราะในประเทศของเขาเข้มงวดเรื่องการสูบหรี่ทำให้ต้องขายบุหรี่ในราคาแพง ซ้ำยังถูกประชาชนฟ้องเสียเงินเป็นหมื่นๆ ล้าน จึงต้องส่งมาขายในประเทศแถบเอเชียรวมทั้งประเทศไทย โดยส่งล็อบบี้ยิสต์ ไปวิ่งเต้นผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ให้กดดันผู้แทนการค้าในประเทศต่างๆ เพื่อให้องค์กรการค้าโลกกำหนดให้บุหรี่เป็นหนึ่งในสินค้าที่ห้ามกีดกันการนำเข้า แต่ประเทศที่ไม่กลัวฝรั่ง เช่น ไต้หวัน มาเลเซียก็ตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสูงๆ เอาไว้ ส่วนประเทศไทย ก็เกรงใจฝรั่ง โดยเฉพาะในช่วงที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล
      
       นายสนธิกล่าวต่อว่า บริษัท ฟิลลิปมอร์ริส เป็นเจ้าของบุหรี่ยี่ห้อมาร์ลโบโร และแอลแอนด์เอ็ม ได้เข้ามาตั้งโรงงานที่ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เพื่อผลิตบุหรี่จำหน่ายในภูมิภาคนี้ รวมทั้งประเทศไทย โดยโรงงานที่ฟิลิปปินส์นั้นตั้งราคาต้นทุนไว้ที่ซองละ 7 บาท และอ้างข้อตกลงแกตต์ว่า ถ้าราคาต้นทุน 7 บาทแล้วบริษัทในไทยซื้อมาในราคา 7 บาทถือว่าไม่ผิดกฎ แต่ประเทศไทยก็มีกฎหมายสรรพสามิตมีหน้าที่พิจารณาว่า สินค้าที่สั่งเข้ามาเสียภาษีบนพื้นฐานราคาจริงหรือไม่ ซึ่งฟิลลิปมอรร์ริสอ้างว่าตัวเองทำถูก แต่มันมีข้อตกลงตามอนุสัญญาภาษีของโออีซีดี ถ้า 2 บริษัทที่ซื้อขายกันนั้นมีความเกี่ยวข้องกันและตั้งราคาไม่เป็นไปตามมูลค่าที่ยุติธรรม ก็ถือว่าผิด
      
       ทั้งนี้ บริษัทนำเข้าที่อยู่ในไทยกับบริษัทในฟิลิปปินส์นั้นเป็นของฟิลลิปส์มอร์ริสเหมือนกัน แต่เมื่อเปรียบเทียบราคาซื้อขาย เทียบกับราคาที่โรงงานในอินโดนีเซียนั้น ปรากฏว่าที่อินโดนีเซียขายในราคาซองละ 16 บาท ทั้งที่ในความเป็นจริงต้นทุนที่อินโดนีเซียน่าจะถูกกว่า ดังนั้น เมื่อคิดจากราคาที่โรงงานในฟิลิปปินส์ควรจะขายจริง คำนวณออกมาเป็นภาษีนำเข้าที่ฟิลลิปมอร์ริสต้องจ่าย ก็คิดเป็นเงินประมาณ 68,000 ล้านบาท ทำให้มีการวิ่งเต้นเพื่อที่จะไม่เสียภาษีจำนวนดังกล่าวมาตั้งแต่สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเป็นนายกฯ ซึ่งทักษิณนั้นกล้าโกงเฉพาะภาษีของบริษัทตัวเอง ส่วนภาษีของชาติไม่กล้าโกง แต่มาถึงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์กลับกล้าโกง ยอมก้มหัวให้ฝรั่ง ด้วยการสั่งไม่ฟ้อง
      
       นายสนธิกล่าวต่อว่า การสั่งไม่ฟ้องบริษัท ฟิลลิปมอร์ริส มีนัยหลายอย่าง เป็นภาพสะท้อนการเมืองไทยที่ชัดเจน และเพื่อให้รู้ว่า พวกเรากัดเรื่องนี้ไม่ปล่อย ประมาณปลายสัปดาห์หน้าจะยื่นร้องต่อ ป.ป.ช.ให้เอาผิดนายเกียรติ สิทธีอมร อัยการและทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการสั่งไม่ฟ้องบริษัท ฟิลลิปมอร์ริส เป็นการเอาเชือกคล้องคอไว้ก่อน ซึ่งคนที่วิ่งเต้นเรื่องนี้คืออดีตอธิบดีกรมศุลกากรที่มาเป็นปลัดกระทรวงการคลังในเวลาต่อมา เพราะคนๆ นี้มีโกดังให้บริษัทฝรั่งเช่า
      
       นายสนธิกล่าวว่า กรณีฟิลลิปมอร์ริส มันสะท้อนว่ามีการร่วมกันโกงชาติ โดยรัฐบาลชุดนี้สมรู้ร่วมคิดในการโกง สะท้อนถึงความเลวทรามต่ำช้าของนักการเมือง เพราะมีการทำหนังสือไปถึงหน่วยงานต่างๆ ทั้งที่เคยมีมติสั่งฟ้องไปแล้ว จึงเป็นการแทรกแซงหน่วยงานราชการอย่างชัดเจน รัฐบาลพยายามเก็บเศษเล็กเศษน้อยจากชาวบ้าน แต่เงิน 6.8 หมื่นล้านกลับไม่เอา ทั้งที่มีประจักษ์พยานแวดล้อมอยู่แล้ว คือบริษัทที่อินโดนีเซียที่คิดต้นทุน 16 บาท แต่กลับไม่ทำ ทำไมไม่เคารพศาลไทย แต่กลับไปเชื่อศาลเขมร กรณีนี้มันสะท้อนความเป็นสัตว์นรกของนักากรเมืองและความเลวระยำของข้าราชการประจำ นายเกียรตินั้นมีอาชีพคือการล็อบบี้ ได้เรียกอธิบดีกรมดีเอสไอ ข้าราชการกระทรวงการคลังมาประชุมแล้วเขานั่งหัวโต๊ะไม่เรียกว่าแทรกแซงได้อย่างไร ส่วนอัยการสูงสุดคนนี้ก็มีปัญหามาก ให้จำชื่อนายจุลสิงห์เอาไว้ สักวันหนึ่งจะรู้ว่าเวรกรรมมีจริง
      
       นายสนธิกล่าวอีกว่า พรรคประชาธิปัตย์นั้นทำเลวในเรื่องเล็กๆ ไม่เป็น ทำแต่เรื่องใหญ่ๆ ทั้งนั้น เริ่มตั้งแต่การเสียปราสาทพระวิหาร โดย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช การแจกที่ดิน ส.ป.ก.ให้เศรษฐี การตั้ง ปรส.มาขายทรัพย์สินราคาถูกให้ฝรั่ง การเสียดินแดนให้เขมร ให้ประชาชนเข้าแถวซื้อน้ำมันปาล์ม และยังช่วยฝรั่งโกงภาษี 6.8 หมื่นล้านอีก พรรคการเมืองพรรคนี้อ้างว่าตัวเองแล้วน้อยที่สุด ทั้งที่เลวมากที่สุด เลวกว่าทักษิณอีก
      
       นายสนธิกล่าวต่อว่า ด้วยเหตุนี้ พี่น้องที่มาร่วมต่อสู้จึงพร้อมจะยืนหยัดโดยไม่ถอย แน่จริงให้ตำรวจมาสลายการชุมนุมเลยได้เลย เป็นไงเป็นกัน พี่น้องที่ดูทางทีวีอยู่ ถึงเวลาที่จะต้องมาแสดงพลังให้เห็น และขอให้จำชื่อตำรวจที่ถูกมอบหมายให้ทำการสลายการชุมนุมไว้ให้ดี คือ พล.ต.ต.กรีรินทร์ เป็นคนของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งถูกย้ายเข้ามานครบาลเพื่อปราบพวกเราโดยเฉพาะ ดังนั้น เวลาที่เรายื่น ป.ป.ช.จะมีชื่อ พล.ต.ต.กรีรินทร์ด้วยอย่างแน่นอน
       

ไม่มีความคิดเห็น: