นายสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการศาลยุติธรรม กล่าวว่าศาลเองก็ไม่สบายใจกับเหตุการณ์ที่เกิด ศาลได้เคยอนุญาตให้ปล่อยตัวนายอำพลชั่วคราวเมื่อ 4 ต.ค. 2553 ด้วยหลักประกัน 5 แสนบาท แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้รับการประกันตัวอีก ในคดีมาตรา 112 ศาลก็เคยอนุญาตให้บางคนประกันตัว เช่น นายสนธิ ลิ้มทองกุล จากการเก็บสถิติในกระบวนยุติธรรม ศาลจะอนุญาตให้ปล่อยตัวจำเลยที่เป็นคนไทยร้อยละ 93 ไม่อนุญาตร้อยละ 7 เท่านั้น รัฐธรรมนูญบอกว่าการปล่อยตัวชั่วคราวเป็นสิทธิพื้นฐาน แต่ก็ต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108 ที่จะไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวเมื่อเกรงว่าจำเลยจะหลบหนี ศาลจะใช้ดุลยพินิจเป็นรายกรณี
การที่ศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวแม้ว่านายอำพลจะมีอาการป่วย นายสราวุธชี้แจงว่าปกติศาลจะปล่อยตัวถ้ามีหลักฐานแสดงชัดเจนเพียงพอ แต่ตอนที่นายอำพลยื่นคำร้องขอประกันตัว เอกสารที่ยื่นมีใบรับรองแพทย์ ศาลเห็นว่าอาการเจ็บป่วยยังไม่ได้ปรากฏมาก น่าเชื่อว่าจำเลยจะหลบหนี และอาการป่วยยังสามารถรักษาระหว่างจองจำได้ ถึงมีการยืนขอปล่อยตัวชั่วคราวหลายครั้ง แต่ถ้าศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงยังคงเหมือนเดิม ศาลก็ยังยืนยันตามเดิม ใช้เหตุผลซ้ำๆ กับที่เขียนไว้ของเดิม และต้องชี้แจงว่ารูปแบบคำสั่งกับคำพิพากษาแตกต่างกัน คำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวหรือไม่ต้องทำอย่างรวดเร็วในวันเดียวกัน ที่มีผู้ถามว่าทำไมศาลไม่รู้สึกว่าอาการเจ็บป่วยนั้นร้ายแรงทั้งที่ใบรับรองแพทย์ระบุว่าเป็นมะเร็ง จริงๆ มะเร็งมีหลายระยะ ระยะแรกๆ อาจรักษาหาย ควรมีการระบุความรุนแรงของอาการ นายสราวุธยืนยันว่าศาลมีความเป็นกลาง พิจารณาตามหลักฐานและเกณฑ์ที่กำหนด แต่การใช้ดุลยพินิจของผู้พิพากษาแต่ละคนมีความแตกต่างกันภายใต้กรอบกฎหมาย ตนมีความหนักใจในการแถลงครั้งนี้เช่นกัน เพราะตนไม่ใช่ศาล
นายอานนท์ อำภา ทนายความนายอำพล ตั้งข้อสังเกตว่าในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ คำสั่งศาลไม่ได้ออกมาในวันเดียวกันอย่างที่นายสราวุธกล่าว ตนเคยยื่นขอปล่อยตัวจำเลย แต่เดือนครึ่งแล้วศาลก็ยังไม่สั่งจนต้องถอนอุทธรณ์ ตนไม่แน่ใจว่าจะต้องรอให้อากงปากพูดไม่ได้ เลือดออกหูจึงจะให้ประกันหรือเปล่า และปัญหาสำคัญในกระบวนการยุติธรรมคือ เห็นได้ว่าการไม่อนุญาตให้ประกันตัวมันบังคับให้จำเลยไม่สู้คดี เช่น กรณีนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์
นางสาวพูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความนายอำพลอีกผู้หนึ่ง เสนอว่า ในการไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว ศาลควรเขียนระบุให้ชัดเจนว่าข้อเท็จจริงที่อาศัยเป็นฐานของดุลยพินิจ “เกรงว่าจะจำเลยหลบหนี” นั้นคืออะไร และเสนอให้ราชทัณฑ์เพิ่มงบประมาณการตรวจรักษาโรคที่ต้องเฝ้าระวังเช่นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ เพราะแม้ผู้ป่วยจะอาการไม่รุนแรงระยะแรกแต่จำเป็นต้องได้รับการตรวจเพื่อเฝ้าระวังว่าโรคลุกลามไปแค่ไหนแล้ว ตนมีแต่ใบรับรองแพทย์ก่อนที่อากงจะเข้าคุกมาให้ศาลพิจารณา แต่หลังจากนั้นก็ยากลำบากในการติดตามอาการของอากง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น