วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

รำลึก "สหายปรีชา-จิตร ภูมิศักดิ์" 46 ปีที่จากไป





๕ พฤษภาคม ๒๕๐๙


ค่ำคืนที่ผ่านมา แผ่นดินแล้งได้รองรับฝนห่าใหญ่ ภูเขาชื้นชุ่มและท้องทุ่งเจิ่งนองน้ำ ห้วงยามเช่นนี้คนชนบทจะรู้ว่านามีกบเขียดให้หา ในป่ามีเห็ดให้เก็บ


 เช้าตรู่ ผู้หญิงบ้านคำบ่อที่ขึ้นภูมาหาเก็บเห็ดก็มาปะเข้ากับทับทหารป่า  ทีแรกพวกนางแตกตื่นแทบสิ้นสติ เพราะความกลัวความโหดร้ายของคอมมิวนิสต์ตามที่ได้ยินคำเล่าลือกันมา  แต่ครั้นได้มานั่งทำความรู้จักและพูดคุยจนเป็นที่เข้าใจกัน ท่าทีของพวกนางก็ดูเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น จนทหารป่าวางใจว่ากลุ่มผู้หญิงจะเดินกลับเข้าหมู่บ้านด้วยความรู้สึกเป็นมิตร


 กระนั้นก็ตาม การที่มีคนมาพบเห็น ในทางจรยุทธถือเป็นการ เสียลับ มีกฎให้เคลื่อนย้ายที่ทันที
 ปล่อยผู้หญิงกลับไปแล้ว ปรีชากับพวกรีบกินอาหารที่เหลือจากเมื่อคืน แล้วเก็บข้าวของข้ามห้วยปลาหางไปอยู่อีกฟากทุ่ง ไม่ระแคะระคายใจสักนิดว่า ในกลุ่มแม่บ้านที่เจอกันเมื่อเช้า มีคนที่เป็นเมีย อส. รวมอยู่ด้วย


 แดดเที่ยงไม่ทันเบี่ยงแสงลอดพุ่มไม้ สหายคนที่อยู่ยามเอ่ยกับเพื่อนว่าเขาได้ยินเสียงคน สหายอีกคนลุกไปเมียงมองสังเกตการณ์ ฉับพลันเสียงปืนก็แตกปะทุสนั่นหวั่นไหว ลูกกระสุนปักลงพื้นและปลิดขั้วใบไม้ร่วงกราว

ทหารป่า ๖ คนแตกออกเป็นสองกลุ่ม แยกกันถอยหนี ไม่มีใครทันได้หยิบเป้สัมภาระของตัวเอง สหายสวรรค์ สหายวาริช และสหายปรีชา ถอยไปด้วยกัน  ตอนนั้นพวกเขาอาจคิดว่าโชคยังเข้าข้างอยู่บ้างตรงที่ฝ่ายโจมตีหันไปติดตามพวกอีก ๓ คนที่แยกหนีไปอีกทาง 


 หรือบางทีอาจเป็นความจงใจของฟ้าดินที่เปิดให้เขาเดินไปสู่ชะตากรรมโดยสะดวก
 ปรีชาบอกกับเพื่อนสหายร่วมทุกข์ยากว่า เราต้องไม่ทิ้งกัน แล้วออกนำหน้าบุกป่ามุ่งไปหาบ้านคำบ่อ ที่นั่นมีแกนบ้านที่ไว้ใจพึ่งพาได้


 แต่ความไม่คุ้นเคยพื้นที่ และไม่มีคนพื้นที่อยู่ในกลุ่ม ทหารป่าหนีตาย ๓ คนจึงเดินขึ้น-ลงเขาหลงป่าอยู่จนล่วงบ่าย และมาถึงท้ายหมู่บ้านเมื่อเย็นย่ำ


 นี่ละบ้านคำบ่อ สหายปรีชาบอกพรรคพวก พวกคุณสองคนรออยู่ที่นี่ ผมจะเข้าไปสืบสภาพ
 เขาหายไปชั่วครู่ก็กลับมาแจ้งกับเพื่อนว่า มีแต่บ้านหลังใหญ่ ๆ  พวกเขารู้ว่านั่นไม่ใช่บ้านของคนยากจนที่ขอความช่วยเหลือได้  


 สหายปรีชาพาพวกวนไปซุ่มดูอีกด้านของหมู่บ้าน สักพักมีคนจูงหมูจากบ้านออกมาที่ลำห้วย 
 ปรีชาเดินออกไปหาเขาคนเดียว 


 จะพาหมูไปไหน ?
 เอามันไปล้างน้ำ
 นี่บ้านอะไร ?
 บ้านหนองกุง
 บ้านคำบ่อไปทางไหน ?
 ชายคนนั้นชี้บอกทาง แล้วเดินจากไป 


 คล้อยหลังไม่นาน หญิงชาวบ้านอีกคนเดินแบกยอกลับมาจากทางทุ่งนา ปรีชาเข้าไปถามทางไปคำบ่ออีกครั้ง นางชี้ไปทิศเดิม และชวนคนแปลกหน้าให้เข้าไปเที่ยวในหมู่บ้าน ซึ่งตอนนั้นเป็นวันงานบุญพระเวส


 หญิงคนนั้นเดินเข้าหมู่บ้านไปแล้ว สวรรค์เห็นปรีชายืนรีรอเหมือนกำลังงุนงง หรือครุ่นคิดอะไรสักอย่าง สุดท้ายเห็นเขาเดินออกไปกลางทุ่ง  แล้วก็หายไป


 สหายที่ซุ่มอยู่ข้างทางแน่ใจว่าปรีชาต้องเดินย้อนเข้าหมู่บ้านไปแล้ว โดยเขาทั้งสองคนไม่ทันเห็น
เด็กชายยก หลานกำนันแหลม เพิ่งต้อนควายจากทุ่งนากลับมาถึงบ้าน เห็นชายร่างผอมสวมแว่น ท่าทางอ่อนล้า เดินออกมาจากทางเดินท้ายหมู่บ้าน ไม่พูดไม่จากับใคร บอกแต่เพียงว่าขอข้าวสักปั้น


 แม่ของเด็กชายและทุกคนในหมู่บ้านรู้ในทันทีว่า ชายแปลกหน้าเป็นพวกที่ถูกตีแตกมาจากในป่า เสียงปืนที่ดังอยู่บนภูเขาเมื่อกลางวันไม่ได้ไกลเกินได้ยินมาถึงหมู่บ้าน  ทั้งยังเพิ่งถูกกำชับมาจากกำนัน-ผู้เป็นพี่ชายของนางว่า ถ้าเห็นใครเห็นคนแปลกหน้าเข้ามาในหมู่บ้านให้มาแจ้ง ไม่อย่างนั้นจะเป็นโทษหนัก


 เด็กชายได้ยินแม่ตอบชายผู้หิวโซคนนั้นไปว่า ข้าวเหนียวกำลังนึ่ง ยังไม่สุก ให้ขึ้นมานั่งรอบนเรือนก่อน 


 ชายแปลกหน้าปฏิเสธ


 เขายืนรออยู่หน้าบ้านจนได้รับห่อข้าว แล้วเดินออกจากหมู่บ้านไปตามทางเดิมที่เขาเข้ามา


 แดดผีตากผ้าอ้อมฉาบบนทิวไม้สองข้างทางเหลืองเรืองไปทั้งป่า แมลงในพงหญ้าเริ่มกรีดปีกบรรเลงรอการมาของราตรี  


 ปั้นข้าวเหนียวที่หญิงชาวบ้านคนนั้นให้มาอ่อนอุ่นอยู่ในห่อ หิวจนแสบท้องแต่เขายังไม่ยอมแกะห่อออกกิน  เพื่อนอีกสองคนซุ่มรออยู่ที่ชายป่า พวกเขาก็อยู่ในสภาพไม่ต่างกัน  ก่อนแดดวันนี้จะสิ้นแสงทุกคนคงได้อิ่มท้อง เขาจ้ำเท้าอย่างรีบเร่งและมีความหวัง 


 เสียงอึกทึกของฝ่าเท้าคนจำนวนมากทำเอาแมลงไพรตกตื่นผวา บ้างแตกหนีลงรูดิน ทางเดินในหมู่บ้านตกอยู่ในความสงัด


 พอเขาเดินออกมาถึงกลางทุ่งโล่งที่คั่นระหว่างชายป่ากับหมู่บ้าน เสียงปืนก็แตกก้องฟ้า กระสุนสาดมาเป็นห่าฝน


 นัดหนึ่งเจาะเข้าที่โคนขาคนถือห่อข้าว
 เขาชักปืนสั้นวอลเทอร์ยิงตอบโต้กลับไปบ้าง พลางหนีกระเสือกกระสนไปล้มลงที่โคนไม้ริมชายป่า


 ได้ยินเสียงปืนชุดแรก สวรรค์กับวาริชจะหนุนเข้าไปช่วยปรีชา ตามยุทธวิธีที่ฝึกมา แต่ห่ากระสุนของฝ่ายผู้ล่าหนักหน่วงเกินต้าน จำต้องชวนกันถอยขึ้นไปรออยู่ในดงลึก


 หลังฟ้าค่ำไปพักใหญ่ สวรรค์ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีกนัด 
 แล้วป่าทั้งป่าก็คืนสู่ความเงียบงัน


 สวรรค์รู้ว่า ปรีชาเสียสละชีวิตแน่แล้ว เขาด้นป่าฝ่าความมืดไปหาบ้านคำบ่อ สั่งความให้ทหารบ้านมาสืบข่าวการล้อมยิงทหารป่าที่บ้านหนองกุง 


 การพิสูจน์ของเจ้าหน้าที่ทราบว่า ศพนิรนามในชุดเสื้อผ้ามัวมอที่ทอดร่างอยู่บนกองเลือดของตัวเอง ริมชายป่าหมู่บ้านหนองกุง อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดสกลนคร เป็นชายไทยเจ้าของบัตรประชาชนเลขที่ ๕๙๘๓๙/๒๔๙๖  


 ชื่อนายจิตร ภูมิศักดิ์


 กำนันหัวหน้าชุดล้อมฆ่าได้รับการกำนัลรางวัลจากซีไอเอ ด้วยการพาไปทัศนาจรอเมริกาอย่างเบิกบานใจ ขณะที่คนยากไร้ในหมู่บ้านแถบเทือกเขาภูพานแอบร้องไห้ด้วยความรักอาลัยเขา 

ร่างไร้วิญญาณของ จิตร ภูมิศักดิ์ ถูกเคลื่อนมาที่โคนไม้แดง ห่างไม่กี่ก้าวจากใต้ต้นสะเดาที่เขาล้ม และถูกเผากลางป่าอย่างอนาถา ไม่มีแม้คนเก็บกระดูก
 สายลมฤดูแล้งพัดเถ้าถ่านปลิวไปเป็นปุ๋ยหล่อเลี้ยงไม้ป่า และพัดหอบดวงวิญญาณไปอยู่ในห้วงฟ้าไกลโพ้น  ห้วงยามที่โลกมืดมิดมองไม่เห็นหนทาง คนจะแหงนมองฟ้าหาแสงดาว 
 ดาวแห่งศรัทธาที่สุกสว่างที่สุดดวงนั้น  นั่นแหละ จิตร ภูมิศักดิ์


 พร่างพรายแสงดวงดาวน้อยสกาว
 ส่องฟากฟ้าเด่นพราวไกลแสนไกล
 ดั่งโคมทองส่องเรืองรุ้งในหทัย
 เหมือนธงชัยส่องนำจากห้วงทุกข์ทน


  พายุฟ้าครืนข่มคุกคาม
  เดือนลับยามแผ่นดินมืดหม่น
  ดาวศรัทธายังส่องแสงเบื้องบน
  ปลุกหัวใจปลุกคนอยู่ไม่วาย


 ขอเยาะเย้ยทุกข์ยากขวากหนามลำเค็ญ
 คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย
 แม้ผืนฟ้ามืดดับเดือนลับละลาย
 ดาวยังพรายศรัทธาเย้ยฟ้าดิน


  ดาวยังพรายอยู่จนฟ้ารุ่งราง


ขอบขอบคุณนิตยสารสารคดีฉบับพิเศษ
http://www.sarakadee.com/web/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=56&page=8

ไม่มีความคิดเห็น: