นายรอยล จิตรดอน กรรมการและเลขาธิการมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานเงินจำนวน 84 ล้านบาท ซึ่งคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ทูลเกล้าฯถวาย เมื่อวันที่ 24 เม.ย. ที่ผ่านมา เพื่อใช้เป็นทุนประเดิมในการก่อตั้งมูลนิธิอุทกพัฒน์นั้น ตอนนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการระดมทุนจากผู้สนใจ มองหาสมาชิก ตลอดจนวางแนวทางการทำงานให้มีความชัดเจนมากขึ้น ภายใต้ 3 ภารกิจสำคัญ
รายละเอียดงานของมูลนิธิเช่น จัดการข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับน้ำและนำเสนอให้ประชาชนเข้าใจ , ขยายผลสำเร็จของการจัดการน้ำในระดับชุมชนออกไปในวงกว้าง และให้ทุนวิจัยเรื่องน้ำแนวคิดใหม่ ตลอดจนทุนการศึกษา เพื่อสร้างผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำให้กับประเทศ ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้อมูลสมัยใหม่ เช่น ระบบแผนที่ พิกัดจีพีเอส ที่มีการสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต จะต้องถูกรวบรวมให้เข้าใจง่าย และเป็นประโยชน์ต่อภาคประชาชน
ทั้งนี้ มูลนิธิอุทกพัฒน์ได้โอนงานส่วนหนึ่ง ซึ่งเดิมเป็นของสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ สสนก. มาอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของมูลนิธิ เช่น โครงการการจัดการทรัพยากรน้ำในระดับชุมชน ตามแนวพระราชดำริ และการประกวดการจัดการน้ำชุมชน ตามแนวพระราชดำริ เนื่องจากทั้ง 2 โครงการมีความเกี่ยวข้องกับชุมชน และมีรูปแบบการทำงานในลักษณะของมูลนิธิ ซึ่งจะช่วยให้คล่องตัวได้มากขึ้น
จากความสำเร็จในการบริหารจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริ ตั้งแต่ปี 2541 ทำให้ชุมชนกว่า 150 แห่งทั่วประเทศ หันมาใช้วิธีแก้ปัญหาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง และเกษตรทฤษฎีใหม่ ซึ่งสามารถแก้ปัญหาเรื่องน้ำในชุมชนได้เป็นอย่างดี โดยปัจจุบันมีหมู่บ้านต้นแบบเกิดขึ้น 20 แห่ง เช่น หมู่บ้านลิ่มทอง จ.บุรีรัมย์ ,หมู่บ้านแม่กลางหลวง ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ เป็นต้น ซึ่งได้รับคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่ สสนก. ตลอดจนได้รับการสนับสนุนเทคโนโลยีบางส่วน เช่น แผนที่จีพีเอส ซึ่งมูลนิธิอุทกพัฒน์ฯ จะเข้าไปดำเนินการขยายความสำเร็จของหมู่บ้านแม่ข่ายในแต่ละภูมิภาค ในลักษณะถ่ายทอดความสำเร็จจากการบริหารจัดการน้ำไปยังต้นแบบไปยังชุมชนใกล้เคียงให้ได้ 100 แห่ง ด้วยรูปแบบที่ชัดเจนมากขึ้น
“รูปแบบการทำงานของมูลนิธิฯ จะให้ความสำคัญกับการพัฒนาน้ำในภาพรวมทั้งภาคชนบท 6 ล้านครัวเรือน หรือภาคเกษตรกรรมซึ่งสัดส่วนการใช้น้ำอยู่ที่ 60-70% ของประเทศ และภาคอุตสาหกรรม โดยปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานจากในอดีตที่เคยเป็นแบบรวมศูนย์ให้มีการกระจายออกไปให้ได้มากที่สุด” นายรอยลกล่าว
พร้อมกันนี้ มูลนิธิฯ ได้เพิ่มเติมภารกิจเพื่อให้ทุนวิจัยกับนักวิจัยในเครือข่ายมหาวิทยาลัย เพื่อสร้างงานวิจัยใหม่ที่เกี่ยวข้องกับน้ำ โดยเน้นให้ทุนกับโจทย์วิจัยใหม่ที่ประเทศไทยยังขาดแคลน อาทิ การบริหารจัดการน้ำจากเขื่อน อ่างพวง สภาพการเปลี่ยนแปลงของลม และฝน ซึ่งปัจจุบันมี 3 มหาวิทยาลัยที่ตอบรับและให้ความสนใจ รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) ที่เข้ามาช่วยกำหนดโจทย์วิจัยเรื่องน้ำว่าควรจะเดินหน้าไปในทิศทางใด
ทั้งยังมีความตั้งใจที่จะมอบทุนการศึกษาให้กับคนที่สนใจศึกษาต่อเกี่ยวกับเรื่องน้ำ หรือทำการวิจัยร่วมกับต่างประเทศ เพื่อพัฒนาคน เนื่องจากปัจจุบันประเทศยังขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำ เมื่อเทียบกับต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ประเทศจีน หรือเนเธอร์แลนด์
“ในอดีตการแก้ปัญหาเรื่องน้ำ รวมถึงการวิจัย ยึดตามแนวทางและวิธีคิดของต่างประเทศ ซึ่งไม่เหมาะสมสำหรับใช้แก้ปัญหาในประเทศไทย ถึงเวลาแล้วที่ต้องต้องสร้างงานวิจัยจากองค์ความรู้ของตัวเอง เพื่อใช้บริหารจัดการและแก้ปัญหาน้ำในอนาคต” นายรอยลกล่าว
ทั้งนี้ มูลนิธิอุทกพัฒน์ก่อตั้งขึ้นเพื่อสนองพระราชดำริเกี่ยวกับการพัฒนาเรื่องน้ำ และเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพิธีมหามงคลเฉลิมพระชมนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 ชื่อของมูลนิธิอุทกพัฒน์ มาจากการนำคำ 2 คำ คือ “อุทก” แปลว่า “น้ำ” และ “พัฒน์” จากคำว่า “พัฒนา” มารวมกัน มีความหมายว่า มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเรื่องน้ำ มีนายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา เป็นประธานมูลนิธิอุทกพัฒน์ ร่วมสมทบทุนบริจาคเงินผ่านบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาถนนศรีอยุธา ชื่อบัญชี “มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์” บัญชีกระแสรายวันเลขที่ 013-6-10739-7
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น