วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ร้อนๆๆ ต้นฉบับคำวินิจฉัย ยกคำร้อง (อย่างไม่เป็นทางการ)















.....ประเด็นคดียุบพรรคที่บางท่านแกล้งทำไม่รู้ หรือ มองข้าม


ตาม พรบ.พรรคการเมือง 2550

มาตรา ๙๓ ใน กรณีที่พรรคการเมืองใดมีเหตุต้องเลิกตามข้อบังคับพรรคการเมืองแต่พรรคการ เมืองนั้นยังมีสมาชิกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่ หรือในกรณีที่พรรคการเมืองใดไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง หรือมาตรา ๘๒ ให้ยุบพรรคการเมืองนั้น

เมื่อ ปรากฏต่อนายทะเบียนว่าพรรคการเมืองใดมีเหตุตามวรรคหนึ่ง ให้นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อศาลรัฐ ธรรมนูญภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ความปรากฏต่อนายทะเบียน เมื่อศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่ามีเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นกับพรรคการเมืองตามคำร้องของนายทะเบียน ให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุบพรรคการเมืองนั้น


*******************************

มีข้อน่าสังเกต 4 ประการคือ

1 กำหนดเวลา 15 วัน ตามมาตรานี้ เป็นอายุความหรือไม่ หรือเป็นเพียงกำหนดกรอบเวลาการทำงานขององค์กร

หากเจตนารมณ์ของกฎหมายต้องการให้คดีเป็นอันสิ้นสุด เมื่อไม่ดำเนินการภายใน กำหนดเวลาดังกล่าว ในพรบ.พรรคการเมือง2550 น่าจะระบุให้ชัด แต่กรณีนี้ในพรบ.ไม่มีการระบุไว้เช่นนั้น

กรณีการกำหนดกรอบเวลาการทำงานขององค์กร มีปรากฏในกฎหมายหลายฉบับ รวมทั้งรัฐธรรมนูญ ยกตัวอย่างเช่น การตั้งคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม ที่เกินระยะเวลาที่กำหนด ฯลฯ หากถือว่า ระยะเวลาดังกล่าวเป็นอายุความ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม ที่ตั้งเมื่อเกินระยะเวลาที่กำหนด มิต้องกลายเป็นโมฆะหรือ?

2 ถ้ากำหนดเวลา 15 วัน ตามมาตรานี้ ถือว่าเป็นอายุความ แต่การที่ศาลรับคดีไว้พิจารณา แสดงว่าศาลได้นำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/29 ที่บัญญัติว่า "เมื่อไม่ได้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ศาลจะอ้างเอาอายุความมาเป็นเหตุยกฟ้องไม่ได้" มาปรับใช้ หมายความว่า แม้ สิทธิเรียกร้องอายุความจะครบกำหนดแล้ว กฎหมายก็มิได้ห้ามผู้ร้องฟ้องร้องอย่างเด็ดขาด เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาล ผู้ถูกร้องต้องยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ศาลจึงจะอ้างเอาอายุความมาเป็นเหตุยกฟ้องได้ หากผู้ถูกร้องไม่ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ศาลจะอ้างเอาอายุความมาเป็นเหตุยกฟ้องโจทก์ไม่ได้ ซึ่งในกรณีนี้ ขณะที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอยุบพรรคผู้ถูกร้อง นั้น พรรคผู้ถูกร้องไม่ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ ศาลจึงไม่มีอำนาจยกเรื่องอายุความมาเป็นเหตุยกคำร้องได้

3 หากพิจารณามาตรา93 จะพบว่ามีลำดับการทำง่าน 3 ขั้นคือ

1 ปรากฏต่อนายทะเบียนว่า มีพรรคการเมืองทำการตรงตามมาตรา 93 วรรคแรก…..คือ นายทะเบียนทราบว่ามีพรรคการเมืองทำการตรงตามมาตรา 93 วรรคแรก แล้วจึงหาหลักฐานเบื้องต้นเพื่อพิสูจน์ว่า พรรคการเมือง นั้นทำผิดจริง โดยการตั้งคณะทำงาน ฯลฯ เปรียบเหมือนขั้นตอนของพนักงานสอบสวนหรือตำรวจ

2 นายทะเบียนได้รับความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งให้ยื่นคำร้องต่อศาล….คือ นายทะเบียนเมื่อได้หลักฐานที่น่าเชื่อได้จากคณะทำงาน จึงนำเรื่องขอความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง พิจารณาแล้วเห็นว่ามีหลักฐานแน่นหนาพอ จึงจะมีมติให้ยื่นต่อศาล เปรียบเหมือนขั้นตอนของพนักงานอัยการ

3 นายทะเบียนยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ความปรากฏต่อนายทะเบียน....คำว่าความปรากฏต่อนายทะเบียนจึงต้องหมายความว่า นายทะเบียนรับทราบขั้นตอนที่1และ2 แล้ว จึงยื่นเรื่องต่อศาล

ในกรณีนี้ เมื่อผ่านขั้นที่1 และ 2 คือ คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติให้ยุบพรรค เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.2552 แต่เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งส่วนใหญ่มีความเห็นที่ต่างกันกับนายอภิชาติ ไม่ว่าจะในฐานะประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือในฐานะนายทะเบียนก็ตาม ก็แสดงว่านายอภิชาตในฐานะนายทะเบียนยังไม่มี ความตามขั้นตอนที่1 และ 2 ปรากฏต่อตนในฐานะนายทะเบียน

เพราะถ้าถือว่าความปรากฏต่อนายทะเบียนแล้ว นายอภิชาตก็ต้องมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

แต่จากพฤติกรรมที่มีการประชุมเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2553 จนมีมติตามรายงานการประชุมกกต.ครั้งที่ 41/2553 ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นคำร้องยุบพรรค ปชป.ต่อศาลรธน.กรณีใช้เงินกองทุน 29 ล้าน ก็เป็นการพิสูจน์ว่า นายอภิชาตในฐานะนายทะเบียนยังไม่มีความปรากฏต่อนายทะเบียนในขั้นตอนที่1 และ 2

กรณีนี้เป็นขั้นตอนการทำงานภายในขององค์กร คือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่มีสิทธิตัดสินว่า ขั้นตอนเหล่านั้นถูกต้องหรือไม่ เพราะไม่มีใครยื่นคำร้องต่อศาลให้พิจารณาเรื่องนี้

คณะกรรมการการเลือกตั้ง เป็นองค์กรอิสระเช่นเดียวกับศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อไม่มีข้อขัดแย้งกับองค์กรอื่น หรือมีการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่มีสิทธิก้าวล่วงไปพิจารณาในเรื่องขั้นตอนการทำงานภายในของคณะกรรมการการเลือกตั้ง

ดังนั้นระยะเวลา 15 วัน จึงต้องนับจากวันที่กกต.มีมติให้ยื่นคำร้องต่อศาลในครั้งหลัง คือ วันที่ 12 เมษายน 2553

4 ตามมาตรา93 วรรค2 ตอนท้าย ระบุว่า เมื่อ ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่ามีเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นกับพรรคการเมืองตาม คำร้องของนายทะเบียน ให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุบพรรคการเมืองนั้น หากตีความอย่างเคร่งครัด จะเห็นว่า ตามพรบ.ระบุให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่า มีเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นกับพรรคการเมืองตามคำร้องของนายทะเบียน หรือไม่ เท่านั้น ซึ่งแสดงว่ากฎหมายไม่อนุญาตให้ตีความเรื่องอื่น โดยเฉพาะเรื่องขั้นตอนการทำงานภายในขององค์กรอิสระอื่น ที่ไม่มีผู้ร้อง เพราะถ้าเจตนารมณ์กฎหมายต้องการให้พิจารณาเรื่องอื่นได้ มาตรา93 วรรค2 ต้องเขียนว่า "เมื่อปรากฏต่อนายทะเบียนว่าพรรคการเมืองใดมีเหตุตามวรรคหนึ่ง ให้นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อศาลรัฐ ธรรมนูญภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ความปรากฏต่อนายทะเบียน เมื่อศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้ว ให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ยุบพรรคการเมืองนั้น"



2มาตรฐาน-ชนะฟาวล์! 'อ๋อย'ชี้ผู้คนไม่พึ่งระบบ สอนมวยการลำดับเวลา หวั่นเกิดวิกฤตการเมือง


จาตุรนต์ลำดับ วัน-เวลาสอนมวยศาลรธน. เรื่องเกิน 15 วัน หยันเห็น 2 มาตรฐานชัดเจน ว่า "ปชป." ชนะฟาวล์คดียุบพรรค ชี้เพิ่มวิกฤตขัดแย้งอย่างรุนแรง ผู้คนไม่หวังพึ่งระบบของประเทศอีกต่อไป พร้อมเสนอแก้รธน. "ที่มา" ของตุลาการศาลรธน.

วันที่ 30 พ.ย. 2553 เวลา 14.00 น.ที่ โรงแรมเรดิสัน นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย แถลงภายหลังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมากยกคำร้องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ว่า การวินิจฉัยไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์นั้นไม่ใช่เรื่องที่ผิดคาดและการจะยุบ หรือไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์นั้น ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ที่สำคัญคือจากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้นกับความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญ และกระบวนการยุติธรรม เพราะก่อนหน้านี้เคยมีคลิปที่เกี่ยวข้องกับศาลรัฐธรรมนูญในคดีดังกล่าว และมีการขอให้ตรวจสอบเนื้อหาและข้อเท็จจริง จนบัดนี้ก็ยังไม่มีการพิสูจน์ ตรงนี้ทำให้ขาดความชอบธรรมในการพิจารณาคดีใดๆ โดยเฉพาะคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ และเมื่อมีคำวินิฉัยออกมาในลักษณะที่ไม่ได้พิจารณาในรายละเอียดของเรื่องว่า ผิดหรือถูก แต่กลับไปชี้ในส่วนของการทำผิดขั้นตอนของกฎหมายยิ่งทำให้สังคมเคลือบแคลงมาก ขึ้น ประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญตั้งไว้ 5 ข้อนั้น น่าเสียดายที่สังคมไม่ได้รู้ว่าผิดหรือถูก ทุกฝ่ายผิดหวังไปตามๆ กัน มีเพียงแฟนพันธุ์แท้พรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น ที่ดีใจ นอกจากนี้มีคำถามตามมาอีกว่า ถ้าตัดสินกันอย่างนี้ทำไมไม่ทำให้เสร็จสิ้นไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้

นาย จาตุรนต์ กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีที่วินิจฉัยว่า การยื่นฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะยื่นฟ้องหลังจากที่ความปรากฏต่อนายทะเบียน พรรคการเมืองเกิน 15 วันนั้น ในอดีตเคยมีกรณีที่เหมือนกันคือ กกต.ในฐานะผู้ร้องให้ยุบพรรคการเมืองพรรคหนึ่งได้ระบุว่าวันที่ความปรากฏต่อ นายทะเบียนพรรคการเมืองคือวันที่ผู้ร้องได้พิจารณาและเห็นชอบให้ร้องต่อศาล รัฐธรรมนูญ ซึ่งในขณะนั้นผู้ร้องคือนายทะเบียนพรรคการเมือง คือนายอภิชาต สุขัคคานนท์ แต่กรณีนี้ศาลรัฐธรรมนูญอ้างว่า วันที่ความปรากฎต่อนายทะเบียนคือ 17 ธ.ค. 2552 แต่ข้อเท็จจริงคือ ในช่วงนั้นกกต.ยังไม่มีมติให้ยื่นร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ และยังถกเถียงกันอยู่ รวมทั้งนายอภิชาตเองก็มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องด้วย ดังนั้นจะนับจากวันที่ 17 ธ.ค. 2552 จึงไม่ถูกต้อง แต่ต้องนับในวันที่ 21 เม.ย. 2553 ที่กกต.ทั้งคณะเห็นชอบให้ฟ้องตามมาตรา 93 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง สรุปคือการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้นไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง และไม่สอดคล้องกับคำวินิจฉัยที่เคยยุบพรรคการเมืองอื่นๆ มาแล้ว สามารถเห็นความเป็น 2 มาตรฐานได้จากกรณีนี้

เชื่อจากนี้ไป "ผู้คน" ไม่หวังพึ่งระบบของประเทศอีกต่อไป

"ผม คิดว่าจากนี้ไปผู้คนไม่น้อยอาจจะไม่หวังพึ่งระบบของประเทศอีกต่อไป อาจเกิดเป็นวิกฤตการณ์ทางการเมืองอย่างรุนแรง เกิดความขัดแย้งวุ่นวายมากขึ้น ผมอยากเสนอให้ประชาชนศึกษาคำวินิจฉัยและวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาเพื่อ ให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และหาความยุติธรรมทำทุกอย่างโดยยึดสันติวิธี"นายจาตุรนต์กล่าว

นาย จาตุรนต์ กล่าวว่า นอกจากนี้ขอย้ำว่า หากในระยะยาวจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ควรจะแก้เรื่องที่มาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญให้ถูกต้องกว่านี้ และสามารถตรวจสอบได้มากกว่าปัจจุบัน เปิดโอกาสให้มีการวิพากษ์วิจารณ์และโต้แย้งทางความคิด

ส่วนกรณีคดี เงินบริจาคของบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) จำนวน 258 ล้านบาทนั้น เป็นคนละกรณีกับคดีเงินกองทุนพัฒนาพรรคการเมืองจำนวน 29 ล้านบาท เพราะกรณี 258 ล้านบาทนั้นเป็นคดีที่ต้องส่งให้อัยการตามมาตรา 95 ของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง และอัยการต้องทำให้เสร็จภายใน 30 วัน โดยที่ไม่ได้ระบุขั้นตอนว่า กกต.จะต้องยื่นร้องขอให้ยุบพรรคภายในกี่วัน

รวมแคมเปญรถยนต์ MotorExpo2010 ทุกค่ายแจกกระหน่ำ เปอโยต์แจกจยย.200คันแรก เบนซ์ผ่อน0% 48เดือน

มหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 27 ซึ่งจัดขึ้นภายใต้แนวคิด "น้ำหนึ่งใจเดียว...สร้างสรรค์ยานยนต์รักโลก" เริ่มขึ้นแล้ว ณ อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ 1-3 เมืองทองธานี ตั้งแต่วันที่ 1-12 ธันวาคม 2553 โดยค่ายรถยนต์ต่างๆ ที่เข้าร่วม ได้เสนอแคมเปญพิเศษสำหรับลูกค้าผู้จองซื้อรถภายในงาน ดังนี้

โตโยต้า ยังคงแคมเปญ "ฉลองยอดขาย 2 ล้านคัน วีโก้แจกไม่จิ๊บ" สำหรับลูกค้าที่ซื้อ ไฮลักซ์ วีโก้ ทุกรุ่น รับคูปองลุ้นโชค จับรางวัลหาผู้โชคดีทุกเดือน ชิงรางวัลใหญ่ทองคำ มูลค่า 2 ล้านบาท พร้อมลุ้นรับรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย และลูกค้าที่ซื้อก่อน มีสิทธิ์ลุ้นโชคได้ทุกเดือนโดยจะนำรายชื่อผู้ที่ไม่ถูกรางวัลจากเดือนแรกๆ มารวมจับรางวัลครั้งต่อๆ ไป ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้นกว่า 6,033 รางวัล มูลค่ารวมกว่า 59 ล้านบาท โดยแคมเปญเริ่มตั้งแต่ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2553

ค่ายเมอร์เซเดส –เบนซ์ มีข้อเสนอสำหรับลูกค้าที่เลือกซื้อรุ่น SLK 200 KOMPRESSOR Roadster ผ่อนชำระ 0% นาน 48 เดือน หรือ ดาวน์น้อย ผ่อน 0% นาน 36 เดือน พร้อมรับประกันภัยชั้น 1 ฟรี 1 ปี และในรุ่น Vito 115 CDI Extra Long ผ่อนชำระ 0% นาน 24 เดือน ข้อเสนอพิเศษนี้หมดเขตวันที่ 30 ธันวาคม 2553

ค่าย นิสสัน แคมเปญในรุ่น นาวาร่า คิง แค็บ /ดับเบิล แค็บ ออกรถวันนี้ ผ่อนชำระงวดแรก 90 วัน หลังจากออกรถ ดอกเบี้ย 1.99% ดาวน์ 20% ผ่อน 48 เดือน หรือจะเลือกรับดอกเบี้ย 1.79% ดาวน์ 20% ผ่อน 48 เดือน, รุ่นฟรอนเทียร์ คอมมอนเรล ฟรี
คูปองน้ำมันมูลค่า 5,000 บาท ส่วนรุ่น ทีด้า และ ทีด้า ลาติโอ ไมเนอร์เชนจ์ ออกรถวันนี้ ผ่อนอีกที 90 วัน ดอกเบี้ย 1.99% ดาวน์ 20% ผ่อน 48 เดือน ดาวน์ต่ำเพียง 29,999 บาท ดอกเบี้ย 2.99% ผ่อนนาน 60 เดือน หรือดอกเบี้ยพิเศษ 1.79% ดาวน์ 20% ผ่อน 48 เดือน ด้านนิสสัน เอ็กซ์ -เทรล เริ่มต้นดอกเบี้ย 1.19% ดาวน์ 20% ผ่อน 48 เดือน หรือจะเลือกรับดอกเบี้ยพิเศษ 0.99% รถยนต์นิสสันทุกรุ่น ฟรีพรีเมี่ยม โพรเท็คชั่น ประกันภัยระยะเวลา 1 ปี โดยแคมเปญเริ่มตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน - 31 ธันวาคม 2553

มาสด้า
แคมเปญสำหรับรถยนต์นั่งสปอร์ตมาสด้า2 ใหม่ ดอกเบี้ยเพียง 1.99% หรือเลือกผ่อนเริ่มต้นเพียงแค่เดือนละ 4,999 บาทต่อเดือน สำหรับรุ่นเกียร์ธรรมดา และรับเพิ่ม ฟรีทันทีค่าบำรุงรักษานาน 2 ปี หรือ 40,000 กิโลเมตร สำหรับรุ่นซีดาน, รถยนต์นั่งสปอร์ตมาสด้า3 ราคาเริ่มต้นเพียง 755,000 บาท เงินดาวน์ต่ำ ดอกเบี้ยต่ำสุดเพียง 0.99% หรือผ่อนเริ่มต้นเพียงเดือนละ 6,999 บาทต่อเดือนเท่านั้น พร้อมรับฟรีประกันภัยชั้น 1 และฟรีค่าบำรุงรักษานานถึง 3 ปี หรือ 60,000 กิโลเมตร

รถปิคอัพมาสด้า บีที-50 ใหม่ สามารถนำรถยนต์มาสด้าคันเก่าคันเก่งรุ่นใดก็ได้ นำมาแรกคันใหม่เพิ่มมูลค่าจากเดิมอีก 20,000 บาท พร้อมผ่อนเริ่มต้นเพียง 5,699 บาท/เดือน เงินดาวน์ต่ำ และรับฟรีประกันภัยชั้น 1, New Mazda CX-9 ฟรีประกันภัยชั้น 1 และฟรีค่าบำรุงรักษา 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร และรถสปอร์ตโรดสเตอร์ New Mazda MX-5 ฟรีประกันภัยชั้น 1 ฟรีค่าบำรุงรักษา 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร และรับประกันคุณภาพนาน 5 ปี หรือ 140,000 กิโลเมตร
เงื่อนไขพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อรถยนต์มิตซูบิชิในงานมอเตอร์ ส เอ็กซ์โป และที่โชว์รูมรถยนต์มิตซูบิชิทั่วประเทศตั้งแต่วันนี้จนถึง 12 ธันวาคม

มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีเอ็กซ์
ดอกเบี้ย 0%* ดาวน์ 25% ผ่อน 36 เดือน หรือ เลือกรับเงินเพิ่มอีก 50,000 บาท เมื่อนำรถเก่ามาแลกซื้อรถใหม่ และ แลนเซอร์ 1.6 ลิตร ดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.69% ดาวน์ 25% ผ่อน 48 เดือน พร้อม ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง ไดมอนด์อินชัวรันซ์ นาน 1 ปี และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชม.
มิตซูบิ ชิ ปาเจโร สปอร์ต ดอกเบี้ย เริ่มต้นที่ 1.69%* ดาวน์ 25% ผ่อน 48 เดือน ฟรี GPS เนวิเกเตอร์ 1 เครื่อง ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง ไดมอนด์อินชัวรันซ์ นาน 1 ปี

มิตซูบิชิ ไทรทัน ดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ 0.99% ดาวน์ 25% ผ่อน 48 เดือน ยกเว้นรุ่น ซิงเกิ้ลแค็บ เมกะแค็บ 2.5 GLX SAM และรุ่น เมกะแค็บ ซีเอ็นจี รับเงินเพิ่มอีก 20,000 บาท เมื่อนำรถเก่ามาแลกซื้อรถใหม่ เฉพาะรุ่นเมกะแค็บ ยกเว้นรุ่นเมกะแค็บ ซีเอ็นจี
มิตซูบิชิ ไทรทัน พลัส ทุกรุ่น ฟรี GPS Navigator ยกเว้น รุ่นดับเบิ้ลแค็บ พลัส 2.4 GLS เครื่องยนต์ เบนซิน ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่งไดมอนด์อินชัวรันซ์ นาน 1 ปี พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชม.

ฟอร์ด โฟกัส ใหม่
ฟอร์ด เรนเจอร์ ฟอร์ด เอเวอร์เรสต์ และฟอร์ด เอสเคป รับข้อเสนอดอกเบี้ยต่ำ 0.99% ผ่อนนาน 48 เดือน พร้อมฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปี

ด้านฟอร์ด เฟียสต้า ใหม่ ฟอร์ด มอบข้อเสนอดอกเบี้ยต่ำ 1.75% ผ่อนนาน 48 เดือน นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่สนใจ ฟอร์ด เรนเจอร์ โอเพ่นแค็บ เอ็กซ์แอลที และฟอร์ด เรนเจอร์ โอเพ่นแค็บ ไฮไรเดอร์ เอ็กซ์แอลเอส รับข้อเสนอสุดคุ้ม โดนใจ ทั้งดาวน์ต่ำ 10% ผ่อนนาน 72 เดือน ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปี และฟรีค่าผ่อนชำระ 6 เดือนแรก

ค่ายเชฟโรเลต มีแคมเปญพิเศษสำหรับลูกค้าที่ตัดสินใจจองรถภายในงาน อาวีโอ 1.4 ,1.6 ลิตร,ออพตร้า, ออพตร้า เอสเตท รวมไปถึงเครื่องซีเอ็นจี,โคโลราโด รุ่น 10.5 S-CAB และรุ่น 10.5, แคปติวา 2.0 ลิตร ดีเซล และ แคปติวา 2.4 ลิตร เบนซิน รับข้อเสนอพิเศษ ดอกเบี้ยต่ำ 0.99% ดาวน์25% ผ่อนนาน 48 เดือน และฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง 1 ปี
ส่วน เชฟโรเลต เซอร์ทิฟายด์ ยูสด์ คาร์ โปรโมชั่น ลูกค้าจับฉลากรับส่วนลดในการซื้อรถใช้แล้วเชฟโรเลตสูงสุด 50,000 บาท

ค่ายซูซูกิ
แคมเปญรุ่นใหม่ SX4 X-over และ สวิฟท์ ดาวน์เพียง 5% ผ่อนนานถึง 84 เดือน ฟรีประกันภัยชั้น 1 และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 3 ปี เมื่อสั่งจองในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2010

ข้อเสนอสุดพิเศษจากซูบารุ เลกาซี เอาท์แบค และ อิมเพรสซา ดับเบิลยูอาร์เอ็กซ์ เลือกระยะเวลาในการผ่อนชำระได้นานขึ้น พร้อม ฟรีแพ็กเกจค่าบำรุงรักษานานถึง 3 ปี

วอลโล่
มาพร้อมแคมเปญพิเศษ สำหรับลูกค้าที่ออกรถรุ่น S40, V50, S80 2.5FT Business หรือ XC90 D5 ระหว่าง 19 พ.ย. – 30 ธ.ค. นี้ จะได้รับของขวัญ 3 ต่อ ได้แก่ 1 แพ็คเกจผ่อนราคาพิเศษ 19,980 บาทต่อเดือน สำหรับ S40 และ V50 28,980 บาทต่อเดือน สำหรับรุ่น S80 2.5FT Business และ 41,980 บาทต่อเดือน สำหรับ XC90 D5 ต่อที่ 2 เลือกรับ iPhone 4 (32GB) หรือ iPAD (32GB Wi-Fi) และต่อที่ 3 ลุ้นโอกาสเป็นเจ้าของเพชร 1 กะรัตจำนวน 10 รางวัล

ฮุนได เฮช-1
รุ่น Expo Edition ติดตั้งอุปกรณ์นำทาง GPS แบบ built-in มูลค่า 15,900 บาท ในราคาเดิมที่ 1,471,000 บาท ฟรีประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี เมื่อซื้อรถยนต์ The New Hyundai H-1 Series ทุกรุ่น และ The New Hyundai Tucson 2.0 ทุกรุ่น ดอกเบี้ยอัตราพิเศษ 1.99% ที่เงินดาวน์ 25% ผ่อน 48 งวด ลีสซิ่งกสิกรไทย สิ้นสุดวันที่ 15 ธันวาคมนี้เท่านั้น

ยนตรกิจเกีย”
ข้อเสนอ ดาวน์ 15% ผ่อนสบายๆ กว่า 4 พันบาท นาน 72 เดือน แถมรับประกันภัยชั้น 1 ฟรี 1 ปี เริ่มวันนี้ ถึง 12 ธ.ค.53

สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู มาพร้อมกับโปรแกรมเช่าซื้อ “จ่ายรายเดือนเพียง 1% ของราคารถ”โดยจะเป็นแคมเปญในรถซีรีย์ 3 ทุกรุ่น ทั้งรุ่นซาลูน คูเป้ และคอนเวิร์ทติเบิ้ล ซึ่งโปรแกรมดังกล่าวอยู่บนเงื่อนไขการเช่าซื้อแบบบอลลูน ด้วยระยะเวลาผ่อน 48 งวด และส่วนบอลลูนที่ 40% นอกจากนั้นแล้วยังมีของขวัญพิเศษ iPod Touch 4G. สำหรับลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อรถรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูทุกรุ่นในงานมหกรรมยาน ยนต์ครั้งที่ 27 และรับรถภายใน 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553 นี้

แลนด์โรเวอร์
มอบข้อเสนอทางการเงินด้วยเงื่อนไขอัตราดอกเบี้ย 0 % นาน 36 เดือน รับประกันนาน 3 ปี 100,000 กม. จากแลนด์โรเวอร์ พร้อมรับประกันเพิ่มอีก 2 ปี 60,000 กม. รวมเป็นประกันนาน 5 ปี 160,000 กม. รับฟรีค่าบำรุงรักษา 2 ปี 48,000 กม. นอกจากนั้นแล้วลูกค้ายังมีโอกาสร่วมลุ้นฟรีแพ็กเกจทัวร์โรงงานผลิตรถยนต์ แลนด์โรเวอร์ที่อังกฤษ 2 ที่นั่ง รวมทั้งร่วมประสบการณ์การเดินทางทดสอบสมรรถนะ มูลค่ารวม 300,000 บาท พร้อมรับฟรีนาฬิกา Omega Seamaster 007 Series Limited Edition มูลค่ากว่า 80,000 บาท เฉพาะรถยนต์ Range Rover Autobiography โมเดล 2010 จำนวนจำกัด
นอกจากนี้ ยังให้ข้อเสนอพิเศษสุด ส่วนลด 15 % สำหรับรถยนต์แลนด์โรเวอร์และเรนจ์โรเวอร์ เฉพาะในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป จำกัดจำนวนเพียง 50 คันเท่านั้น


สำหรับรถยนต์เปอโยต์ ลูกค้าที่ซื้อรถยนต์เปอโยต์ 200 คันแรก จะได้รับจักรยานเปอโยต์ฉลอง 200 ปี 1 คัน
โปรตอน แชฟวี่ ดาวน์ 5 % ดอกเบี้ย 0 % ผ่อน 48 เดือน หรือเลือกดอกเบี้ย 0.99 % ผ่อน 60 เดือน / ดอกเบี้ย 1.99 % ผ่อน 72 เดือน / ดอกเบี้ย 3.29 % ผ่อน 84 เดือน ฟรีประกันภัยชั้น 1 ฟรีเบาะหนัง
เฟียต 500 ดอกเบี้ย 0% นาน 36 เดือน พร้อมประกันภัยชั้น 1 ฟรีค่าบำรุงรักษา 3 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร และบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 3 ปี

โฟล์คสวาเก้น
ทุกรุ่น แคมเปญดอกเบี้ย 0% ผ่อน 48 เดือน

ดีเอฟเอ็ม
เปิดตัวด้วยแคมเปญ ดาวน์เริ่มต้น 20% เพียง 57,000 บาท ดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.99% ผ่อนดาวน์ได้สูงถึง 10 เดือน ผ่านบัตรกสิกรไทย และแคมเปญพิเศษ ฟรีบำรุงรักษา 1 ปี 20,000 กม. และฟรีประกันภัยชั้น 1 พร้อม พรบ. และยังได้สิทธิลุ้นรับรางวัลมอเตอร์ไซค์ เอสวายเอ็ม จำนวน 15 รางวัล ตั้งแต่ 1 ธ.ค. 53-31 ม.ค. 54 เท่านั้น

ค่ายจากจีนอีกหนึ่งค่ายอย่างเชอรี่ เตรียมกระตุ้นยอดขายรถเล็กในรุ่น คิว คิว ดาวน์ต่ำเพียง 29,900 บาท ผ่อนเริ่มต้นเพียงกว่า 4,000 บาทต่อเดือน และดอกเบี้ย 0% นาน 72 เดือน ขณะที่ในรุ่น เอ 1 เคาะราคาพิเศษ 398,000 บาท จากปกติ 429,000 บาท พร้อมชุดตกแต่งพิเศษและข้อเสนอฟรีค่าบำรุงรักษา 3 ปี
100,000 กม.แคมเปญเริ่มตั้งแต่วันนี้ -12 ธันวาคม 2553

ส่วนทางด้านเกรย์มาร์เก็ต 2 รายที่ตบเท้าเข้าร่วมงานในครั้งนี้ก็ขนแคมเปญออกมาประชันกัน เริ่มกันที่ ทีเอสแอล ที่มอบ ส่วนสดสูงสุด 1,000,000 บาท ,ผ่อนนานสูงสุด 100 เดือน ดอกเบี้ย 0% และค่าบำรุงรักษา ฟรี 3 ปีหรือ 100,000 กิโล ขณะที่อีกหนึ่งเจ้าคือ บีอาร์จี มอบข้อเสนอพิเศษให้กับลูกค้าที่จองและซื้อรถภายใน ข้อเสนอที่ 1 ดอกเบี้ยพิเศษ 0% ผ่อนนาน 24 เดือน สำหรับรถยุโรปทุกรุ่น หรือ ดอกเบี้ยพิเศษ 1.89% ผ่อนนานสูงสุด 60 เดือน หรือทางเลือกที่ 2 สำหรับลูกค้าที่ซื้อรถทุกรุ่นจะได้สิทธิ์รับแพ็กเกจทัวร์พิเศษ ท่องเที่ยวเมือง "ไข่มุกแห่งตะวันออกกลาง" รัฐดูไบ ประเทศ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระยะเวลา 5 วัน 4 คืน จำนวน 2 ที่นั่ง


สถิตย์ ไพเราะ: "ปากกาอยู่ที่มัน"

ปากกาอยู่ที่มัน

นายสถิตย์ ไพเราะ

นักศึกษาหลายท่านมาถามผมเสมอ ๆ ว่า เหตุใดศาลจึงมีคำวินิจฉัยอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นการวินิจฉัยสองมาตรฐานหรือไม่มีมาตรฐาน ข้อนี้ตอบแบบกำปั้นทุบดิน ก็ต้องตอบว่าเรื่องของความเห็นเป็นเรื่องยากที่จะชี้ลงไปได้ว่าใครถูกใครผิด ยิ่งคนธรรมไม่เสมอกันแล้วไม่มีทางจะเห็นตรงกันได้

เรื่องการวิพากษ์วิจารณ์คำพิพากษาของศาลนั้นไม่ใช่เพิ่งมีในขณะนี้ มีมาแต่โบราณกาลแล้วในหนังสือมูลบทบรรพกิจ ซึ่งเป็นตำราเรียนในสมัยก่อนเขียนวิจารณ์ศาลไว้ว่า

คดีที่มีคู่ (ความ) คือไก่หมูเจ้าสุภา

เอาไก่เอาหมูมา (ให้) เจ้าสุภาก็ว่าดี

ที่แพ้แก้ (ให้) ชนะไม่ถือพระประเวณี

ขี้ฉ้อก็ได้ดีไล่ด่าตีมีอาญา

และวิจารณ์พระภิกษุไว้ว่า

ภิกษุสมณะหรือก็ละพระสธรรม

คาถาว่าลำนำไปเร่รำทำเฉโก

เมื่อครั้งผมเป็นนักศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อาจารย์ผู้สอนวิชาประวัติศาสตร์กฎหมายเล่าให้ฟังว่าสมัยก่อนกฎหมายและวิธีพิจารณาในศาลยุ่งเหยิง ไม่มีมาตรฐานเป็นเหตุให้เซอร์ยอน เบราลิ่ง ผู้แทนรัฐบาลอังกฤษไม่ยอมรับอำนาจกฎหมายและศาลไทยและท่านได้เล่านิทานให้ฟังว่า

ครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเจ๊กมาจากเมืองจีนถือหลักตามที่พระพุทธเจ้าสอนว่า อุตฐาตา วินธเต ธนัง แปลว่า ผู้หมั่นย่อมหาทรัพย์ได้จึงทำงาน ๘ วันในหนึ่งสัปดาห์ แม้จะเคยมีเสื่อผืนหมอนใบ ต่อมาก็ร่ำรวยเป็นเจ้าสัวได้

ส่วนคนไทยรำพึงว่า เช้าหนอ สายหนอ ร้อนหนอ บ่ายหนอ แล้วก็ไม่ทำงาน และอ้างเหตุว่าพระสอนว่าคนเราเกิดมาตัวเปล่าตายก็เปล่า เอาทรัพย์อะไรไปไม่ได้ จะไปทำมาหาทรัพย์ไว้ทำไม นอกจากนั้นคนไทยยังมีคุณสมบัติ ๔ ข้อ คือ ขี้โม้ ขี้อิจฉา ขี้โกง และขี้เกียจ โดยเฉพาะคุณสมบัติข้อสุดท้าย ทำให้คนไทยยากจน แต่บังเอิญบ้านคนไทยปลูกติดอยู่กับบ้านเจ๊ก คนไทยขี้อิจฉาคนนั้นหมั่นไส้ว่าเจ๊กรวย วันดีคืนดี (ความจริงวันร้ายคืนร้าย) ก็ย่องเอาก้อนอิฐไปปาบ้านเจ๊ก เจ๊กจึงไปแจ้งความ เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสอบสวนแล้วก็ส่งเรื่องให้ขุนประเคนคดี พนักงานอัยการฟ้องศาลซึ่งมีหลวงสันทัดกรณีเป็นผู้พิพากษา

หลวงสันทัดกรณีสืบพยานฟังข้อเท็จจริงแล้ว พิพากษาว่า

ทยปาเรือนเจ๊ก

ไม่ถูกลูกเด็ก

ท่านว่าไม่เป็นไร

ให้ยกฟ้อง

เจ๊กกลับบ้านไปด้วยความผิดหวังและรำพึงว่า เมื่อศาลไม่มีจะฟ้องร้องก็ต้องประลองฝีมือกัน วันดีคืนดี (ความจริงวันร้ายคืนร้าย) เจ๊กก็เอาก้อนอิฐไปปาบ้านไทย คนไทยก็ไปแจ้งความ และขุนประเคนคดี พนักงานอัยการ ก็นำคดีไปฟ้องศาลซึ่งมีหลวงสันทัดกรณีเป็นผู้พิพากษา หลวงสันทัดกรณีสืบพยานฟังข้อเท็จริงแล้วพิพากษาว่า

เจ๊กปาเรือนไทย

แม้ไม่ถูกใคร

แต่ผีเรือนตกใจ

ให้ไหมสามตำลึง

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การมีผีเรือนทำให้ชนะคดีได้

อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องประสบการณ์ในชีวิตของผมเอง

เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๓ ผมไปรับราชการเป็นผู้พิพากษาศาลจังหวัดนครราชสีมา ผมประจำอยู่ที่บัลลังก์ ๑๔ ซึ่งอยู่ทางปีกด้านตะวันออกของอาคารศาล จากห้องพักผู้พิพากษาต้องเดินผ่านระเบียงระยะทางประมาณ ๓๐ – ๔๐ เมตร

วันหนึ่งผมมีสำนวนที่จะต้องพิจารณา ๔ – ๕ สำนวน ผมก็ออกไปที่บัลลังก์ ๑๔ ตามปกติ คดีเรื่องแรกเป็นคดีแพ่ง ทนายโจทก์แถลงว่า เอกสารที่โจทก์ขอให้ศาลออกคำสั่งเรียกไปยังธนาคาร ธนาคารยังไม่ส่งมาให้ โจทก์มีความจำเป็นต้องใช้เอกสารดังกล่าวถามพยานให้รับรองข้อความ ไม่อาจสืบพยานโจทก์ไปในวันนี้ได้ ขอเลื่อน ศาลสอบจำเลยแล้วไม่ค้าน ศาลให้เลื่อนไปได้

คดีที่สองเป็นคดีอาญา โจทก์แถลงว่า พยานมาศาลหนึ่งปากพร้อมจะสืบได้ จำเลยแถลงคัดค้านว่า พยานที่มาศาลวันนี้เป็นพยานคู่กับพยานที่ไม่มาศาล หากสืบไม่พร้อมกันจำเลยจะเสียเปรียบเพราะไม่ได้ถามค้านพยานในวันเดียวกัน ขอให้เลื่อนไปเพื่อสืบพยานคู่ดังกล่าวในวันเดียวกัน ศาลสอบโจทก์แล้วไม่ค้าน ศาลอนุญาตให้เลื่อนคดีไป

คดีที่เหลือก็ต้องเลื่อนไปด้วยเหตุต่าง ๆ จนหมด เมื่อผมจดรายงานกระบวนพิจารณาเลื่อนคดีไปหมดแล้ว ก็ลงจากบัลลังก์เดินไปตามระเบียงเพื่อจะกลับห้องพัก ก็ปรากฎว่าเดินไปเกือบจะทันคู่ความคดีแรก ห่างกันพอได้ยินคำสนทนา ตัวความถามทนายว่า

“คุณทนายคดีของผมนี่จะแพ้หรือชนะ”

ทนายความตอบว่า

“ผมไม่ทราบหรอกเพราะปากกาอยู่ที่มัน”

คำว่ามันตามคำพูดของทนายความ หมายถึงผม

ผมได้ยินดังนั้นก็เดินช้าลงเพื่อไม่ให้ทนายท่านนั้นทราบว่าผมได้ยินคำพูดของท่านและเพื่อไม่ให้เสียความรู้สึกของทั้งสองฝ่าย

คำตอบของทนายความท่านนั้นยังก้องอยู่ในหูผมจนถึงทุกวันนี้ เวลาผมจะเขียนคำพิพากษาไม่ว่าอยู่ในศาลใด ผมคำนึงถึงคำพูดของทนายท่านนั้นอยู่เสมอ

และหากผมจะใช้คำตอบของทนายความตอบนักศึกษา คงทำให้นักศึกษาเข้าใจมากกว่าคำตอบทางวิชาการ


ขอขอบคุณ: http://www.enlightened-jurists.com/page/167

วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

S Korea: North 'will pay the price'


สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานวันนี้ (29 พย.) ว่า ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ กล่าวให้คำมั่นว่า ทางการเกาหลีเหนือ "จะต้องชดใช้" ต่อการกระทำอันเป็นการยั่วยุใดๆก็ตามของตนเองที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หลังจากการโจมตีเกาหลีใต้ด้วยขีปนาวุธเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เพียงหนึ่งวันหลังจากที่ทางการจีนเร่งให้มีการเจรจาทางการทูตเพื่อยุติความขัดแย้งโดยเร็วที่สุด

"ผมคงไม่สามารถระงับความโกรธเคืองที่มีต่อการกระทำอันโหดร้ายของเกาหลีเหนือ โดยมิได้ละเว้นแม้แต่ชีวิตของเด็กๆ" นายลี เมียง-บัค กล่าว

"โรงเรียนตั้งอยู่ห่างจากจุดที่ขีปนาวุธถูกยิงลงมาเพียงไม่กี่เมตร และผมก็ไม่พอใจอย่างยิ่งต่อการกระทำอันโหดเหี้ยมของเกาหลีเหนือในครั้งนี้ ซึ่งไม่คำนึงแม้แต่ชีวิตของเด็กเล็กๆ"

โดยนี่ถือเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกของเขานับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์เมื่อวันที่ 23 พย.ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีพลเรือนเสียชีวิต 2 ราย นาวิกโยธิน 2 นาย และทำให้บ้านเรือนของประชาชนบนเกาะยอนเปียงได้รับความเสียหายอย่างมาก

"มั่นใจได้เลยว่า เกาหลีเหนือจะต้องชดใช้ในการกระทำของตน"

ในการกล่าวแถลงการณ์ความยาว 7 นาทีนี้ นายลีไม่ได้ระบุถึงข้อเสนอของทางการจีนที่เร่งให้มีการเจรจา 6 ฝ่ายเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่กล่าวว่า "มันเป็นการยากที่จะคาดหวังให้เกาหลีเหนือล้มเลิกโครงการอาวุธนิวเคลียร์ และการดำเนินนโยบายที่เสี่ยงต่อการเกิดสงคราม" และทางการเกาหลีใต้เห็นว่า ความอดกลั้นและอดทนรังแต่จะทำให้เกิดกระแสการยั่วยุที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ สหรัฐฯและเกาหลีใต้ยังคงทำการซ้อมรบทางทะเลร่วมกันเป็นวันที่ 2 เพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนให้เกาหลีเหนือตระหนักถึงการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ของตน และความผิดในการยิงเรือรบของเกาหลีใต้จมลงเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งทำให้นาวิกโยธินเสียชีวิตถึง 46 นาย

"การกระทำของเกาหลีเหนือครั้งนี้ แตกต่างจากการกระทำครั้งก่อน และการโจมตีของทหารต่อพลเรือนผู้บริสุทธิ์ เป็นการกระทำอันขาดมนุษยธรรมซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นแม้แต่ในช่วงเวลาที่เกิดสงคราม"

"ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เราควรจะกระทำอะไรบางอย่าง ดีกว่าที่จะมาพูดกันแค่ 100 คำ"นายลีกล่าว โดยไม่ได้กล่าวอธิบายเพิ่มเติมใดๆถึงรายละเอียดของการตอบโต้

ทางการเกาหลีเหนือกล่าวในวันนี้ และยังคงกล่าวยืนยันว่าการซ้อมรบของเกาหลีใต้และสหรัฐฯครั้งนี้ จะนำพาคาบสมุทรเกาหลีไปสู่ "ขอบเขตแห่งสงคราม" และเรียกการกระทำนี้ว่า "เป็นการท้าทายที่รุนแรง"

ขณะเดียวกัน ทางการเขตอองจิน ซึ่งดูแลเกาะยอนเปียง ประกาศให้พื้นที่เกาะเป็นเขตห้ามเข้า และจะมีการอพยพประชาชนที่เหลือ 300 คน ออกจากเกาะให้เร็วที่สุด หลังจากเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา กระทรวงกลาโหมประกาศให้ผู้สื่อข่าวทำการอพยพออกจากเกาะโดยเร็วที่สุด เนื่องจากไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยใดๆได้ หากมีการโจมตี.

BBC News: Thai court dismisses governing party funding case

Thai PM Abhisit Vejjajiva at the constitutional court, Bangkok 29 Nov 2010

The Constitutional Court in Thailand has dismissed a case against the governing Democrat Party after hearing closing arguments from both sides.

The Election Commission had accused the Democrats of misusing election funds in 2005.

If found guilty, the party could have faced dissolution and the prime minister could have lost his job.

But the court's decision to spare the Democrats may inflame the government's political opponents.

The judges in effect threw the case out on a legal technicality.

The petition, they said, was not filed by the prosecution properly within the specified time frame and therefore was not legal.

But if that is true, why did the court agree to hear the case at all and spend three months listening to arguments?

Protests

The court was already under scrutiny after videos were posted on the internet showing a court official and some judges meeting a member of the accused Democrat Party while proceedings were in progress.

Whatever the legal basis of today's decision, it will almost certainly be seized on by the opposition as evidence of double standards in the judicial system.

Two political parties allied to the former prime minister, Thaksin Shinawatra, have been forced to disband in recent years after being found guilty of electoral fraud.

Those decisions led, ultimately, to current Prime Minister Abhisit Vejjajiva coming to power via a parliamentary vote in 2008.

Anti-government protesters have tried ever since to force Mr Abhisit from power, leading to violence earlier this year in which more than 90 people were killed.

Thai court dismisses case against ruling party

BANGKOK - Thailand 's Constitutional Court on Monday dismissed a case against the ruling Democrats which had threatened the party's future, saying the complaint was not filed lawfully.

The decision saves the Democrat party, led by Prime Minister Abhisit Vejjajiva, from dissolution but is likely to anger opponents of the government who believe Thai politics is subject to legal double standards.

"The filing by the Electoral Commission is unconstitutional because the process was not done properly," said judge Udomsak Nitimontree, reading out the ruling at the court in Bangkok.

He said the six judges voted to drop the case four to two, after the closing remarks were made on Monday morning in the trial, which centred on charges of misuse of a 29-million-baht (960,000-dollar) state grant in 2005.

The court had the power to disband the ruling party and hand down five-year political bans for senior figures, including Prime Minister Abhisit Vejjajiva.

Thailand 's Election Commission (EC) in April called for the Democrats -- the country's oldest party -- to be abolished over the accusations, as well as a separate case alleging an undeclared political donation.

The call coincided with the country's worst political violence in decades, which ultimately left more than 90 people dead and almost 1,900 wounded in a series of street clashes between opposition protesters and troops.

"The decision was made when there was pressure, threats against the EC. Protesters carried coffins in front of the building," Democrats' adviser Chuan Leekpai told the court in his closing statement on behalf of the party.

The Democrats were accused of paying 23 million baht to advertising firms, despite having permission to spend only 19 million on billboard marketing.

Prosecutor Kitinan Thuchpramook insisted the EC's complaint was made "with legitimacy and care, with no bias against the party and not under any threat".

"It believes that the party misused the grant and failed to be open about the facts," he told the court in his final comments.

The prime minister was present for the verdict in court, where hundreds of policemen were on hand outside to ensure security.

His party had expressed confidence they would win the case, with Deputy Prime Minister Suthep Thaugsuban saying ahead of the verdict that there was "no contingency plan" in place for a ban.

"The Democrats have been in politics for more than 60 years, everybody is confident," he said.

The party's deputy leader at the time of the alleged grant misuse, Abhisit appeared as a witness for the defence during the trial, telling the court the election body had been informed about changes in campaign plans.

He has also had to defend the Democrats against accusations that a member of his party had attempted to influence the judiciary in the case.

Allegations that a Democrat lawmaker met an aide of a Constitutional Court judge ahead of a hearing in October -- and was captured doing so on video -- were splashed on the front pages of local newspapers.

Three out of the original nine judges later withdrew from the case to pursue legal action against the aide, whom they accuse of leaking the video.

Some observers question whether Abhisit's backers in the military and Bangkok-based elite would allow the Democrats to be toppled.

The party came to power in a parliamentary vote two years ago after court decisions ousted allies of fugitive ex-premier Thaksin Shinawatra, who was himself unseated in a 2006 military coup.

The judiciary forced two premiers from office in 2008 -- one of them, Samak Sundaravej, was removed for taking payments for hosting TV cooking shows.

- AFP /ls

นาธานสุดแสบ หลอก “แม่บุญธรรม” หมดตัว ทิ้ง กกน. ไว้ให้ดูต่างหน้า


“ครูแหม่ม พิสมัย ศรีกระบุตร” แม่บุญธรรมสุดที่รักของนาธาน ได้เข้าแจ้งความเมื่อเช้านี้เวลา 09.00 น. ที่สภ.เชียงคาน จังหวัดเลย โดยได้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า......

“วันนี้จะมาแจ้งความว่านาธานฉ้อโกง เขาบอกว่าจะพาไปทำทัวร์ต่างประเทศ เราก็เอาเงินสดใส่มือเขาเลยไม่มีหลักฐานอะไรเลย เขามีแต่บอกว่าเอาเงินมาให้และเขาจะเป็นคนทำ จะติดต่อประเทศนั้นประเทศนี้เอง จะเอาเงินไปเสียภาษี เราก็ทำอะไรไม่เป็นเขาก็เป็นคนดำเนินเรื่องหมด หนังสือเราก็เขียนไม่ค่อยได้ก็เลยไม่มีหลักฐานอะไร มีแต่โฉนดนี่แหละ เอาโฉนดเอาบ้านไปจำไว้ 2.4 แสน และก็ไปขายที่อุทัยธานี 1 แสนกว่าบาท แล้วก็ไปยืมประกันชีวิตของออมสิน 1.4 แสน เปียแชร์อีก 1 แสน เขาชวนว่าจะไปทำทัวร์ต่างประเทศเกือบ 20 ประเทศ เขาบอกว่าเรารวยกันสองคนนะ ไม่ต้องไปบอกลูกไม่ต้องไปบอกแม่แหม่ม เขาเอาไปตั้งแต่หลังสงกรานต์ และก็มาเรื่อยๆ”

“ระหว่างนั้นก็จะมีผู้หญิงบอกว่าชื่อคุณก้อยเป็นคนโทรมาประสานงาน เขาจะคอยโทรมาบอกว่า ตอนนี้มีทัวร์เข้าแล้วนะ 20 คนมาจากประเทศเนปาล ออสเตรเลีย 30 คนต้องใช้เงินเท่านั้นเท่านี้ เขาก็บอกว่าให้เอาเงินให้นาธานไปเลย นาธานจะเอาเงินไปจองตั๋วและดำเนินการทุกอย่าง เราก็หาเงินให้เขา”

“พอทำไปซักพักเราก็บอกว่า ไม่มีตังค์แล้วอยากจะหยุดทำแล้ว นาธานก็บอกว่า ถ้าไม่ปิดจ็อบทัวร์ก็จะไม่ได้งานที่ลงทุนไป สุดท้ายก็เลยตัดสินใจว่าจะเอาบ้านไปจำร้อยละ 4 เพราะเขาบอกว่าอีก 12 วันจะได้ตังค์คืนหมดเลย รวมแล้วเขาเอาเงินไปทั้งหมด 7 แสนกว่าบาท เราช่วยเหลือเขาตั้งแต่เรื่องของคุณเต็ม สร้อยคอก็ถอดไปจำนำให้ นี่ไม่รวมที่ให้ไปแบบเสน่หาให้ทีละ 500 ทีละ 1000 ไม่คิดเพราะตอนนั้นให้เขาด้วยความรัก ให้เขาเพราะตาบอด ยอมรับว่าตัวเองโง่เพราะอยากรวย พอเขาบอกว่า เราต้องรวยแน่ๆ น้ามด ทำทัวร์รวยเราก็ไม่รู้เรื่องหาเงินให้เขาอย่างเดียว”

“นอกจากนั้นแล้วเขาก็ยังเอาเงินในเอทีเอ็มไปอีก นาธานบอกว่าเงินเข้าแล้วนะ 340,000 เราก็บอกว่า เราก็บอกว่าเราทำไม่เป็นก็ให้เขาเอาเอทีเอ็มไปกดนะลูกนะ จะเอาเงินไปไถ่บ้าน เราบ้านนอกทำไม่เป็นปรากฏว่าเงินในบัญชีมี 3000 บาทเขายังกดเอาไปหมดเลย นอกจากนั้นแล้วเขาก็ยังหลอกให้เราไปค้ำประกันรถให้อีก บอกว่าจะไปเป็นพรีเซ็นเตอร์รถให้ไปเซ็นต์ค้ำให้”

“พึ่งจะมารู้ความจริงวันที่ 25 เดือนที่ผ่านมานี่แหละ เขาบอกทัวร์เจ๊งแล้วนะน้ามด เงินของเราก็เลยสูญหมด ตอนนี้ไม่มีเงินเลยต้องหาเงินไปไถ่บ้าน วันนี้ก็ครบวันที่จะต้องจ่ายหนี้บ้านที่ไปจำเดือนล่ะ 8000 บาท เขาก็บอกว่าเขาจะหาเงินมาใช้ให้แต่มันรอไม่ได้แล้ว เพราะเราเอาบ้านไปขายฝากมันจะหมดสัญญาวันที่ 29 ธันวาคมนี้ ก็ไม่รู้จะทำยังไงก็ต้องมาแจ้งความ”


“รู้สึกไม่ค่อยดีที่เคยปกป้องแต่วันนี้ต้องเป็นคนมาแจ้งความอีกเสียที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ทำให้ครอบครัวเราหายนะ อยากให้นาธานหยุดหลอกลวงคนอื่น อย่าหลอกลวงประชาชน อยากให้เขาตั้งใจทำมาหากิน อย่าไปลอกลวงคนอื่นเลย วาทศิลป์ของเขาอยากให้เอาไปใช้ในทางที่ดี รู้ว่าไม่มีใครสอนเขาได้ แต่อยากให้เอาใจเขามาใส่ใจเรา”


“ถามว่าจะอโหสิกรรมให้เขาไหม ก็อโหสิกรรมแน่ แต่คิดดูสิขนาดน้ามดไม่มีเงิน เขาก็ยังให้คุณก้อยโทรมาขอเงิน 1400 และพอเกิดเรื่องก็มาบอกว่า น้ามดอยากทำทัวร์เอง หนังสือเขายังอ่านไม่ออกเลยแล้วจะทำได้ยังไง อยากจะฝากบอกนาธานด้วยว่า นาธานไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์ ไม่ใช่ศิลปิน ไม่ใช่อะไรแล้ว เป็นคนธรรมดาสามัญนี่แหละ อยากให้ตั้งหน้าตั้งตาทำงานหยุดหลอกลวงคนอื่นได้แล้ว”

“สำหรับเรื่องหลักฐานที่เราไม่มี ไม่กลัวเรื่องเสียเปรียบหรอก ถึงบางคนจะบอกให้เราจบเพราะไม่อยากสาวไส้ให้กากิน แต่ไม่อยากให้เขาไปหลอกคนอื่น 1 เปอร์เซ็นต์ที่เชื่อเราก็ยังดีถือว่าเราได้ทำบุญก่อนตาย นาธานเขาไม่ได้หลอกแค่คนรวยคนจนเด็กก็หลอกหมด พ่อแม่ครูแหม่มก็มาหลอก หลอกให้ขายวัว 50000 เอาไปทำทัวร์ต่างประเทศ”

หลังจากให้สัมภาษณ์เสร็จผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านของครูแหม่ม เพื่อบันทึกภาพรีสอร์ทและบ้านของครูแหม่ม ซึ่งก็ได้รับการเปิดเผยสั้นๆ จากแม่ของครูแหม่มว่า นาธานหนีไปแล้วทิ้งสมบัติไว้ให้ดูต่างหน้าอย่างเดียวคือกางเกงใน !

แฉอายุความคดียุบพรรคเก่าๆ "เกิน 15 วัน ทุกคดี"


หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีความเห็นว่า คดีพรรค ปชป.ใช้เงินผิดวัตถุประสงค์นั้น เกิดอายุความโดยนับจากวันที่ กกต. มีคำสั่ง จนมาถึงวันที่ส่งเรื่องให้ศาล รัฐธรรมนูญ

เมื่อตรวจสอบย้อนหลัง ปรากฏว่า ทุกคดียุบพรรค ก่อนหน้าตั้งแต่ปี 49 จนถึงปัจจุบัน ล้วนเลยกำหนดอายุความ 15 วัน ทุกคดี จึงตั้งข้อสงสัยว่า แล้วคดีก่อนๆนั้น ตัดสินไปได้อย่างไร ทำไมศาลไม่ยกอายุความมาเพื่อยกคำร้องด้วย

ขอบคุณตารางจากมติชน

เปิดคำพิพากษา "ไม่ยุบ 4:2"

คำวินิจฉัยคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ที่อ่านโดยนายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเมื่อเวลา 14.10 น. ณ ศาลรัฐธรรมนูญ ดังนี้

ศาลธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคหรือไม่ มีประเด็นวินิจฉัย5ประเด็น

-กระบวนการยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคของผู้ถูกร้องชอบด้วยกฏหมายหรือไม่

-การกระทำของผู้ถูกร้องตามคำร้องอยู่ในบังคับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 หรือประราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพ.ศ.2550

-ผู้ถูกร้องใช้จ่ายเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อการพัฒนานักการเมืองในปีพ.ศ.2548 เป็นไปตามโครงการที่ได้รับอนุมัติหรือไม่

-ผู้ถูกร้องจัดทำรายงานการใช้จ่ายเงินสนับสนุนของพรรคการเมืองในปีพ.ศ. 2548ให้ถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่

-กรณีมีเหตุที่ให้ยุบพรรคผู้ที่ถูกร้องหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคจะต้องถูกตัดสิทธิหรือถูกทอดถอนสิทธิที่เลือกตั้ง ตามพระราชบัญญัติรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541หรือประกาศปฎิรูปการปกครองในระบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุขฉบับที่27

การกระทำของผู้ถูกร้องตามคำร้องอยู่ในบังคับพระราชบัญญัติรัฐธรรมนูญว่าด้วยประกาศ พ.ศ.2541 หรือพระราชบัญญัติว่าด้วยรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ผู้ร้องกล่าวหาว่าผู้ถูกร้องกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายอันเป็นเหตุให้ต้องถูกยุบพรรค ในช่วงเวลาพ.ศ.2547-2548 ในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ในบังคับแห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองพ.ศ.2541 แต่ในขณะที่ยื่นคำร้องได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 แทน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541 ในส่วนของสารบัญญัติเกี่ยวกับเหตุที่จะยุบพรรคการเมืองในคดีนี้ จะต้องใช้บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติประกอบพระราชธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองพ.ศ.2541 ซึ่งใช้ข้อบังคับอยู่ในขณะเกิดเหตุเป็นหลักในการพิจารณาวินิจฉัย

ในกรณีพรรคการเมืองกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตามมาตรา50/94นายทะเบียนมีความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจแจ้งต่ออัยการสูงสุดให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรามนูญ เพื่อมีคำสั่งยุบพรรคการเมือง93/2ผู้ร้องยื่นคดีขอให้พรรคประชาธิปัตย์ที่ถูกฟ้องตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองพ.ศ.2550 มาตรา93 โดยอ้างว่าผู้ถูกร้องกระทำการฝ่าฝืนมาตรา 82 ที่บัญญัติให้พรรคการเมืองต้องใช้จ่ายเงินสนับสนุนพรรคการเมืองให้เป็นไปตามกฎหมาย แต่ต้องจัดทำรายงานการใช้จ่ายเงินนั้นให้ถูกต้อง ยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งไม่ใช่กรณีร้องขอต่ออัยการสูงสุด ที่ยื่นตามมาตรา95/1

พรรคการเมืองใดมีการกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรา 82 หรือไม่ขึ้นอยู่กับอำนาจนายทะเบียนนั้น มาตรา 82 เป็นเรื่องของการกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินสนับสนุนพรรคการเมืองให้ถูกต้องรวมทั้งการปฎิบัติงานทางด้านเอกสาร การจัดทำเอกสารต้องจัดทำรายงานให้ถูกต้อง รายงานประจำตามปกติ ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่โดยตรงของนายทะเบียนพรรคการเมือง ที่จะต้องดุแลปฎิบัติให้พรรคการเมืองทำตามหมายกำหนด อันเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของนายทะเบียนตรวจสอบ มาตรา 93 จึงเป็นหน้าที่นายทะเบียนยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนุญได้โดยตรง ซึ่งต่างจากการกระทำตามมาตรา 94 ซึ่งเป็นการกระทำในเรื่องที่ร้ายแรงกว่ามาตรา 95 จึงบัญญัติให้นายทะเบียนพรรคการเมืองต้องส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้อัยการสุงสุดผู้มีความชำนาญด้านกฏหมายเป็นผู้ดำเนินการ ในการพิจารณาของนายทะเบียนกฎหมายไม่ได้บังคับว่าจะต้องพิจารณาด้วยตนเอง นายทะเบียนจึงมีอำนาจที่จะแต่งตั้งหรือขอความเห็นจากผู้หนึ่งผู้ใดได้ รวมถึงการขอความเห็นจากคณะกรรมการการเลือกตั้งก็สามารถทำได้ แต่การตัดสินใจในขึ้นนี้นั้น ยังคงเป็นอำนาจหน้าที่ของนายทะเบียนพรรคการเมืองที่จะต้องพิจารณาความเห็นก่อนว่ามีเหตุให้ยุบพรรคการเมืองหรือไม่ คณะกรรมการการเลือกตั้งไม่ได้มีอำนาจที่จะวินิจฉัยชี้ขาดในเบื้องต้นว่า มีเหตุที่จะต้องยุบพรรคการเมืองนั้น ตามมาตรา 82 หรือไม่ แต่มีอำนาจให้เพียงแต่ความเห็นชอบตามที่นายทะเบียนเสนอเท่านั้น จากคำร้องของของผู้ร้อง

คำชี้แจงและคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้น ในปัญหาข้อกฎหมายของผู้ถูกร้องประกอบกับคำร้องคัดค้านคำร้อง ขอวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายของ นายอภิชาติ สุคขัคคานนท์ นายทะเบียนพรรคการเมือง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.2552 กรมสอบสวนคดีพิเศษ นายเกียรติ์อุดม เมนะสวัสดิ์ ได้แจ้งนายทะเบียนพรรคการเมืองขอตรวจสอบว่า ผู้ถูกร้องกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืน ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 รวม 2 กรณีคือ 1.การที่ บริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน)จ่ายเงินค่าจ้างทำสื่อโฆษณาให้กับ บริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด เป็นการอำพรางการบริจาคเงินของบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน)ให้กับผู้ถูกร้อง และ

2.การใช้เงินสนับสนุนพรรคการเมืองของผู้ถูกร้อง ไม่เป็นไปตามกฎหมาย และรายงานการใช้เงินไม่ตรงตามความเป็นจริง หลังจากที่ได้รับแจ้งแล้ว นายอภิชาติ ได้นำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2552 คณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีมติให้แต่งตั้งคระกรรมการสืบสวนสอบสวนในเรื่องดังกล่าว เพื่อรายงานให้คณะกรรมการการเลือกตั้งทราบ โดยมีนายอิสระ หลิมศิริวงศ์ เป็นประธานคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน ทำการสืบสวนสอบสวนและตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้องแล้ว มีความเห็นว่า ผู้ถูกร้องมิได้กระทำผิดทั้งสองประเด็น โดยมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ในประเด็นที่สอง ซึ่งเป้นมูลคดีของคดีนี้ และได้รายงานผลการสืบสวนสอบสวนให้คณะกรรมการการเลือกตั้งทราบ

ต่อมาเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2552 คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประชุมพิจารณา รางงานของคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน แล้วมีมติด้วยเสียงข้างมาก ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองดำเนินการตามมาตรา 95 แห่งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 ที่ไม่เกี่ยวกับมูลคดีนี้ ซึ่งจะต้องดำเนินตามมาตรา 93 การลงมติดังกล่าวนายอภิชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เป็นเสียงข้างน้อยมีความเห็นและลงมติทั้งสองกรณีว่า

1.ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน)บริจาคเงินให้ผู้ถูกร้อง และ2.กรณีในการใช้เงินสนับสนุนพรรคการเมืองไม่เป็นไปตามกฎหมายและรายงานการใช้เงินไม่ตรงตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นคำร้องตามคดีนี้นั้น นายอภิชาติมีความเห็นว่า จากการตรวจสอบรายงานเอกสารการใช้จ่ายเงินของพรรคประชาธิปัตย์ ตามข้อมูลผู้ตรวจสอบบัญชี บริษัท สำนักสอบบัญชีทรัพย์อนันต์ จำกัด ไม่พบความผิดปกติในระบบเอกสารแต่อย่างใด จึงเชื่อตามเอกสารที่ผ่านการตรวจสอบตามระบบแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้ใช้จ่ายเงินที่ได้รับการสนับสนุนเป็นไปตามวัตถุประสงค์จริง ประกอบกับพยานหลักฐานในการสอบสวนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งได้ชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร คำให้การของนายประคอง สุนทรสุข แทนพล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธานกรรมการการเลือกตั้ง ประกอบกับพยานเอกสารที่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้นำเงินสนับสนุนการเมืองจำนวนดังกล่าว ใช้ตรงตามวัตถุประสงค์ของโครงการ โดยมีการขอปรับโครงการและได้รับการอนุมัติแล้ว

จึงเป็นการเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของผู้กล่าวหา จึงให้ยกคำร้องคัดค้าน ตามความเห็นของคณะกรรมการการสืบสวนสอบสวน หลังจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีมติดังกล่าวนายอภิชาติ ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2552 แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเพื่อดำเนินการ ตามพ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 ตามมติของคณะกรรมการการเลือกตั้งเสียงข้างมาก โดยมีม.ล.ประทีป จรูญโรจน์ เป็นประธานกรรมการ ซึ่งการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อประกอบการพิจารณาดำเนินตามอำนาจหน้าที่ที่มีอยู่ ตามกฎหมายนั้นนายทะเบียนย่อมมีอำนาจที่จะดำเนินการได้ ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 มาตรา 6 วรรค 1

ต่อมา วันที่ 12 เมษายน 2553 ประธานคณะกรรมาการได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงพร้อมกับความเห็นเสนอต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองในวันเดียวกันนั้น นายอภิชาติ ในฐานนะนายทะเบียนพรรคการเมือง ได้บันทึกความเห็นไว้ในท้ายหนังสือแจ้งผลพิจารณาของคณะกรรมการการตรวจสอบว่า พิจารณาแล้วเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่คณะทำงานของนายทะเบียนพรรคการเมืองได้รวบรวมเพิ่มเติมจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้เคยแต่งตั้ง คณะกรรมการสืบสวนสอบสวนได้รวบรวมไว้ในเบื้องต้นอาจมีการกระทำตามมาตรา 94 แห่งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 หรือไม่ก็ได้ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเห็นควรนำสู่การพิจารณามิติของคณะกรรมการการเลือกตั้ง จึงให้เสนอเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อพิจารณาเรื่องโดยด่วน โดยผ่านประธานกรรมการการเลือกตั้ง

นายอภิชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้เรียกประชุมคระกรรมการการเลือกตั้งในวันที่ 12 เมษายน 2553 โดยได้นำผลของการตรวจสอบของคณะกรรมการดังกล่าว จากประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณา ที่ประชุมคณะกรรกมการการเลือกตั้งมีมติสำหรับกรณีคำร้องกรณีนี้ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ยุบพรรคการเมืองผู้ถูกร้อง และมีมติเสียงข้างมากให้นายทะเบียนพรรคการเมืองแจ้งต่ออัยการสูงสุดพร้อมด้วยหลักฐาน เพื่อให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคของผู้ถูกร้อง ตามมาตรา 95 โดนนายอภิชาติในฐานะประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง มีความเห็นส่วนตนตามที่ลงมติว่าให้นายทะเบียนพรรคการเมืองตามความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 มาตรา 93 วรรค 2

ต่อมาวันที่ 21 เมษายน 2553 คณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้ประชุมกันอีกครั้งหนึ่ง โดยนายทะเบียนพรรคการเมืองในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้งมิได้เข้าประชุมด้วย ที่ประชุมได้มีมติเอกฉันท์เห็นนชอบให้นายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้ยุบพรรคผู้ถูกร้องตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 มาตรา 93 โดยถือว่าความเห็นส่วนตนของนายอภิชาติที่ลงมติไว้ในการประชุมของคณะกรรมการการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2553 เป็นความเห็นของนายทะเบียน

จึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า ความเห็นของประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่ลงมติไว้เป็นคำวินิจฉัยส่วนตน ในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2553 นั้น เป็นความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมืองหรือไม่ เห็นว่า ถึงแม้พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 มาตรา 6 วรรค 1 บัญญัติให้ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง แต่ พ.ร.บ.ดังกล่าวได้แบ่งแยกอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งและนายทะเบียนพรรคการเมืองไว้ต่างหากจากกัน และบางกรณีจะบัญญัติให้คระกรรมการการเลือกตั้งและนายทะเบียนพรรคการเมืองให้อำนาจหน้าที่ในลักษณะร่วมมือหรือถ่วงดุลกัน กรณีที่บัญญัติไม่เป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง เช่น ตามมารตรา 74 ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจและหน้าที่ ในการจัดสรรเงินสนับสนุนพรรคการเมือง ควบคุมดูแลการใช้จ่ายเงินหมุนเวียนและพัฒนาพรรคการเมือง กรณีตามมาตรา 81 คณะกรรมการการเลือกตั้งอาจกำหนดให้พรรคการเมืองได้รับการสนับสนุนด้านต่าง ๆ เป็นต้น


ส่วนกรณีที่บัญญัติให้เป็นอำนาจและหน้าที่ของนายทะเบียนพรรคการเมืองผู้เดียว เช่นตามมาตรา 42 และมาตรา 13 ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองมีอำนาจหน้าที่ในการนับจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมือง หรือมาตรา 41 ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองมีอำนาจหน้าที่พิจารณาหนังสือแจ้งเปลี่ยนแปลงนโยบายพรรคการเมืองและข้อบังคับพรรคการเมือง เป็นต้น สำหรับกรณีที่บัญญัติให้คณะกรรมการการเลือกตั้งและนายทะเบียนพรรคการเมืองมีอำนาจหน้าที่ในลักษณะร่วมกันหรือถ่วงดุลกัน เช่นตามมาตรา 92 ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีพรรคการเมืองมีเหตุต้องเลิก ถ้าเห็นว่ามีเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นกับพรรคการเมืองจริง ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง การเลิกพรรคการเมืองนั้น หรือมาตรา 93 วรรค 2 กรณีการยื่นดำเนินการคำร้องของให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมือง เนื่องจากพรรคการเมืองไม่ดำเนินการตามมาตรา 42 วรรค 2 หรือมาตรา 82 เป็นต้น

พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 ได้แบ่งแยกอำนาจหน้าที่ของนายทะเบียนพรรคการเมืองไว้ต่างหากจากประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง การดำรงตำแหน่งที่ต่างกัน ทำให้มีภาระหน้าที่แตกต่างกันกันด้วย ปัจจัยที่จะนำมาใช้เป็นหลักเกณฑ์พิจารณาวินิจฉัยปัญหาใด ๆ ย่อมขึ้นอยู่กับตำแหน่งหน้าที่ที่ดำรงอยู่ในขณะนั้นว่ามีภาระหน้าที่อย่างไร การที่กฎหมายบัญญัติให้นายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นผู้วินิจฉัยว่ามีการกระทำความผิดตามมาตรา 82 ตามพ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 หรือไม่ ก็เนื่องมาจากนายทะเบียนพรรคการเมืองมีหน้าที่ในดูแลการปฏิบัติของพรรคการเมืองให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด และเป็นผู้ที่ทราบรายละเอียดการปฏิบัติของพรรคการเมืองเป็นอย่างดี ส่วนประธานกรรมการการเลือกตั้งและคณะกรรมการการเลือกตั้ง มิได้มีหน้าที่ควบคุมดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของพรรคการเมือง คงมีอำนาจเพียงตรวจสอบว่าความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมืองมีเหตุสมควรหรือไม่ ประเด็นการวินิจฉัยจึงต่างกันในสาระสำคัญ

ถึงแม้ว่าวันที่ 12 เมษายน 2553 นายอภิชาติได้ทำความเห็นไว้สองความเห็น คือ ความเห็นที่ตัดสินสั่งให้ที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยระบุไว้ชัดเจนว่า เป็นความเห็นในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ส่วนความเห็นในการลงมติในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งนั้น เป็นการออกความเห็นในฐานะประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ข้อเท็จจริงย่อมแสดงให้เห็นว่าในวันที่ 12 เมษายน 2553 นายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นเพียงว่า อาจมีการกระทำตามมาตรา 94 ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 หรือไม่ก็ได้ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเห็นควรนำสู่การพิจารณาของมติคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับการกระทำตามมาตรา 82 และมาตรา 93 แต่อย่างใด

ส่วนนายอภิชาติ ได้ทำความเห็นส่วนตนในการลงมติเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2553 เป็นการกระทำในฐานะประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ความเห็นนายอภิชาติในการลงความเห็นดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของมติที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งนายทะเบียนพรรคการเมืองไม่มีอำนาจใด ๆ ที่จะร่วมลงมติในการประชุมของคณะกรรมการการเลือกตั้ง การลงมติดังกล่าวจึงแตกต่างจากความเห็นต่างที่นำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองที่ได้มีความเห็นเช่นนั้นก่อนแล้ว จึงเสนอความเห็นให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง พิจารณาให้ความเห็นชอบ ความเห็น

นายอภิชาติในการลงมติในฐานะประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2553 จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมือง เพราะหากจะถือเช่นนั้นก็ปรากฎข้อเท็จจริงว่า นายอภิชาติได้ไปลงมติในฐานะประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อนหน้านั้น แล้วในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2252 ว่า ผู้ถูกร้องได้นำเงินสนับสนุนพรรคการเมืองไปใช้ตามวัตถุประสงค์ของโครงการ โดยมีการขอปรับโครงการและได้รับการอนุมัติแล้ว ซึ่งหาได้มีการถือว่า ความเห็นในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้งดังกล่าว เป็นความของนายทะเบียนพรรคการเมืองแต่อย่างใด

อนึ่งการที่กฎหมายบัญญัติให้นายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นผู้ยื่นคำร้องในคดีนี้ต่อศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมหมายความว่าประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ไม่มีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเป็นคดีนี้ฉันใด การทำความเห็นส่วนตนของนายอภิชาติในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในฐานะประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2553 จึงมิใช่ความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมืองฉันนั้น นอกจากนี้การตัดสินใจของนายอภิชาติในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองตามที่ปรากฎในบันทึกข้อความ ในเอกสารหมาย ร13 นั้น ก็ไม่ได้เป็นการวินิจฉัยชี้ขาด หรือเป็นความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมืองว่า ผู้ถูกร้องได้กระทำการอันเป็นเหตุให้ผู้ถูกยุบพรรคหรือไม่ แต่เป็นการเสนอเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาว่า อาจมีการกระทำตามมาตรา 94 หรือไม่ ก็ได้ เท่านั้น และการกระทำตามมาตราที่ 94 เกี่ยวกับการใช้เงินสนับสนุนพรรคการเมืองผิดกฎหมายหรือการรายงานการใช้เงินไม่ตรงตามความเป็นจริง อันจะเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 82 ที่จะเป็นเหตุให้ยุบพรรคการเมืองในมาตรา 83 แต่อย่างใด

เมื่อนายทะเบียนพรรคการเมืองยังมิได้มีความเห็นเป็นเหตุให้ยุบพรรคผู้ถูกฟ้องตามมาตรา 93 แห่งพรรคการเมืองบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 การให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2553เป็นการกระทำที่ผิดขั้นตอนในส่วนที่เป็นสาระสำคัญจึงไม่มีผลทางกฎหมายที่ให้นายทะเบียนทางพรรคการเมือง ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคผู้ถูกฟ้องได้

อนึ่งมีเหตุผลในการวินิจฉัยอีกว่า เนื่องจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญพ.ศ.2550 ผู้ประสงค์ประกอบนายทะเบียนพรรคการเมือง ถูกตรวจสอบโดยคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นการตรวจสอบภายในองค์กรด้วยกันเองอันเป็นกฎหมายในวิธีพระราชบัญญัติที่กำหนดวิธีปฎิบัติ ยื่นคำร้องขอยุบพรรคการเมืองได้แล้วประกอบกับคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นองค์การที่มีอำนาจสืบสวนสอบสวนต่อข้อเท็จจริงและวินิจฉัยชี้ขาดข้อโต้แย้งที่เกิดจากการกระทำตามพระราชบัญญัติประกอบพรรคการเมืองตรงนี้เป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 236 คณะกรรมการเลือกตั้งมีอำนาจควบคุมและกำกับดูแล นายทะเบียนพรรคการเมืองจะต้องพัฒนาตามมติคณะกรรมการการเลือกตั้ง และนายทะเบียนพรรคการเมืองต้องยื่นคำร้องมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองในระยะเวลาที่กำหนดเป็นกระบวนการ

ในส่วนของกฎหมายพระราชบัญญัติที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ตามพระราชบัญญัติประกอบพรรคการเมืองพ.ศ.2550 มาตรา 93 วรรค 2 และมาตรา 95 นายทะเบียนต้องเสนอความเห็นด้วยว่าพรรคการเมืองใดมีความเห็นต่อการเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคการเมืองนั้นข้อกล่าวหาตามพระราชบัญญัติ พ.ศ.2550 มาตรา 94 ที่มาตรา 95 บัญญัติว่านายทะเบียนต้องตรวจสอบกรณีนั้นด้วยอำนาจหน้าที่ของนายทะเบียนแล้วเสนอคณะกรรมการการเลือกตั้งพร้อมความเห็นว่า พรรคการเมืองใดจะทำตามมาตรา 94 หรือไม่โดยไม่ต้องคำนึงว่าต้องเสนอว่าเป็นความเห้นที่ต้องให้ยุบพรรคการเมืองนั้นหรือไม่ สอดคล้องตามเจตนารมณ์ของกฏหมายใช้ดุจพินิจของพรรคการเมืองและได้รับการตรวจสองไตร่ตรองจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง

ในกรณที่ให้ยุบพรรคการเมือง นายทะเบียนเสนอความเห็นด้วยว่าพรรคผู้ถูกร้องมีเหตุผลในพระราชบัญญัติต่อรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง พ.ศ.2550 มาตรา 93 วรรค 1 ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือไม่ก็ได้ เมื่อผู้ร้องได้รับหนังสือขอตรวจสอบพรรคผู้ถูกฟ้องของกรมสอบสวนคดีพิเศษและนายเกียรติอุดม เมนะสวัสดิ์แล้ว ต่อมาวันที่ 30 เมษายน 2552 คณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 48/2552 ตามด้วยเหตุผลว่าการตรวจสอบคณะกรรมการการเลือกตั้งกรณีไม่ใช่การตรวจสอบจากนายทะเบียนพรรคการเมืองโดยมีเหตุอันสมควรว่ามีการกระทำใดอันเป็นการฝ่าฝืนให้ปฎิบัติตามกฎหมายดังกล่าวทั้งสองข้อกล่าวหามีมติคณะกรรมการชุดที่เป็นประธานสืบสวนสอบสวนเรื่องดังกล่าว

เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2552 ในการประชุมของคณะกรรมการการเลือกตั้งครั้งที่ 144/2552 ได้พิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ทั้ง 2 ข้อกล่าวหามีมติด้วยคะแนนเสียงข้างมากส่งให้ผู้ร้องพิจารณาดำเนินการ ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองพ.ศ.2550 มาตรา 95 ทั้ง 2 ข้อกล่าวหา โดยผู้ร้องในฐานะประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้ร่วมลงมติเป็นความเห็นเสียงข้างน้อยให้ยุบพรรคผู้ถูกร้องทั้ง 2 ข้อกล่าวหา โดยไม่พบว่ากระทำผิดนั้น ความเห็นของผู้ร้องไม่ผูกพันคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพราะผู้ร้องต้องปฏิบัติตามให้เป็นไปตามมติเสียงข้างมาก แต่โดยที่มติของคณะกรรมการการเลือกตั้งเสียงข้างมาก เป็นการพิจารณารวมกันไปทั้ง 2 ข้อกล่าวหา จึงต้องเป็นกรณีแยกพิจารณาแต่ละข้อกล่าวหาให้ชัดเจน เพราะมติกรณีข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 มาตรา 95 ถือได้ว่าเป็นมติเสียงข้างมากที่สั่งการให้ผู้ร้องพิจารณามีความเห็นก่อนแล้วจึงเสนอคณะกรรมการการเลือกตั้งเพื่อพิจารณาต่อไป เป็นข้อกล่าวหาที่นายทะเบียนเห็นชอบที่จะตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบก่อนเสนอความเห็นได้ ส่วนกรณีข้อกล่าวหา ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองพ.ศ.2550 มาตรา 93 วรรค 1 การที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติเสียงข้างมากสั่งการรวมกันไปว่าให้ผู้ร้องมีความเห็นก่อนแล้วจึงเสนอคณะกรรมการการเลือกตั้งนั้น เป็นความไม่ชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมายในองค์กรขณะนั้น

ต่อมาในการประชุมครั้งที่ 41/2553 วันที่ 12 เมษายน 2553 ความเห็นของเสียงข้างมากให้เหตุผลว่า ข้อเท็จจริงของทั้ง 2 ข้อกล่าวหาเกี่ยวพันกันจึงยังคงมีมติให้แจ้งผู้ร้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองพ.ศ.2550 มาตรา 95 เช่นเดิม โดยผู้ร้องและนายวิสุทธิ์ โพธิแท่น กรรมการการเลือกตั้ง มีความเห็นให้ผู้ร้อง ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองพ.ศ.2550 มาตรา 95 วรรค 2

และต่อมาในการประชุมครั้งที่ 43/2553 วันที่ 21 เมษายน 2553 คณะกรรมการการเลือกตั้งจึงมีมติเอกฉันท์ที่ชัดเจน ยืนยันเห็นชอบให้ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 มาตรา 93 วรรค 2 แสดงให้เห็นว่า มติเสียงข้างมากของคณะกรรมการการเลือกตั้งนั้นเห็นชอบให้ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 มาตรา 93 วรรค 2 ตั้งแต่ วันที่ 17 ธันวาคม 2552 แล้ว

โดยผู้ร้องไม่จำต้องเสนอความเห็นก่อนอย่างใดกรณีนี้ถือได้ว่า คดีนี้ความได้ปรากฏต่อนายทะเบียนว่า พรรคผู้ถูกร้องมีกรณีตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองพ.ศ.2550 มาตรา 93 วรรค 1 แล้ว และคณะกรรมการการเลือกตั้ง เห็นชอบให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ได้แล้ว และระยะเวลาที่ต้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน จึงต้องเริ่มนับตั้งแต่ วันที่ 17ธ.ค.2552 อันเป็นวันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติดังกล่าว

การทีผู้ร้องมีคำสั่งที่ 9 /2552 ลงวันที่ 29 ธันวาคม 2552 แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเพื่อตรวจสอบสำนวนของคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน ชุดนายอิสระ หลิมศิริวงศ์ เป็นประธานอีก แล้วผู้ร้องเสนอโดยไม่ได้มีความเห็นให้ยุบพรรคผู้ถูกร้องหรือไม่ประการใดเช่นเดิม และคณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติเสียงข้างมากในการประชุมครั้งที่ 47/2553 เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2553 เห็นชอบให้ผู้ร้องแจ้งอัยการสูงสุดเพื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้มีคำสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้อง ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองพ.ศ.2550 มาตรา 94(3)(4)และมาตรา 65 ทั้งสองข้อกล่าวหาอีกครั้งหนึ่ง

แม้ว่าต่อมาวันที่ 21 เมษายน 2553 คณะกรรมการการเลือกตั้งจะมีมติเป็นเอกฉันท์ ในการประชุมครั้งที่ 43/2553 เห็นชอบให้ผู้ร้องในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคผู้ถูกร้องตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองพ.ศ.2550 มาตรา 93 นั้น กระบวนการดังกล่าวข้างต้นเป็นการตรวจสอบภายในองค์กร และเป็นเพียงการยืนยันการปรับบทบังคับใช้กฎหมายให้ชัดเจนภายในองค์กร ที่ยังคงต้องอยู่ภายในบังคับตามระยะเวลาที่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองพ.ศ.2550 มาตรา 93 วรรค 2 กำหนด ว่าต้องยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2552 อันเป็นวันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติเสียงข้างมากในการพิจารณารายงานของคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนชุดที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติแต่งตั้ง นายอิสระ หลิมศิริวงศ์ เป็นประธานในครั้งแรก และถือว่าเป็นวันที่ความปรากฎต่อผู้ร้องในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองด้วย

เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องคดีนี้ในวันที่ 26 เมษายน 2553 จึงพ้นระยะเวลา 15 วัน ตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว กระบวนการยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคของผู้ถูกร้องจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่ชอบที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาวินิจฉัยคำร้องในประเด็นอื่นอีกต่อไป ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยโดยเสียงข้างมาก 4 ต่อ 2 ว่ากระบวนการยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคผู้ถูกร้องไม่ชอบด้วยกฎหมายกรณีนี้จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยในกรณีอื่นอีกต่อไปให้ยกคำร้อง