วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สลิ่มแหก! คลั่งด่า "ดารุณี" ไฮโซสาว เหตุเข้าใจผิดว่าเป็น "ดา ตอปิโด"



1 กันยายน 2555 - กองบรรณาธิการ go6TV ได้มีโอกาส สัมภาษณ์ คุณดารุณี กฤตบุญญาลัย ถึงกรณีคลิปผู้หญิงเสื้อสีดำคนหนึ่ง ยืนด่าใส่ร้ายว่า “ด่าในหลวง” กลางร้านอาหาร ศูนย์การค้า สยามพารากอนชั้น 5

คุณดารุณี ได้เล่าเหตุการณ์ดังกล่าวให้ฟังอย่างตื่นตระหนกว่า "เหตุการณ์ดังกล่าวเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อหัวค่ำของวันนี้ (วันที่ 31 สิงหาคม 2555 เวลาประมาณ 19.00 น.)  ตนได้ไปทานก๋วยเตี๋ยวเนื้อที่ห้างพารากอนชั้น 5 ระหว่างทานอยู่นั้น ปรากฏมีหญิงเสื้อดำคนหนึ่งอายุประมาณ 40 ปี ได้เดินเข้ามาแล้วถามว่า “นี่ใช่ ดาหรือเปล่า”   คุณดารุณีเงยหน้าตอบว่า “ใช่ค่ะ ดิฉันชื่อดา” (หมายถึงชื่อเล่นชื่อดา) พอคู่สนทนาสลิ่มเสื้อดำได้รับคำตอบว่า “ดา” เท่านั้น เธอเริ่มด่า “มึงด่าในหลวงทำไม อีห่า มึงใช่ไม๊ อีดา ที่ด่าในหลวงที่สนามหลวง” 

คุณดารุณี จึงตอบว่า “ไม่ใช่ค่ะ... “ดา” ที่สนามหลวงคนนั้น คือ “ดาร์ตอปิโด” แต่ดิฉัน “ดารุณี”

หญิงสลิ่มใจทรามไม่ยอมหยุดตอบว่า “มันคือคนเดียวกัน อีนี่แหละใช่เลย มึงนี่แหละ” และด่าอีกนานกว่า 3 นาที ขณะนั้น พนักงานในร้านมาขอร้องให้หยุดด่า และเชิญหญิงสลิ่มออกจากร้าน เธอตะคอกใส่ว่า “ฉันเป็นประชาชน ทำไมจะด่าไม่ได้”

หลังจากนั้น คนในร้านที่รักความยุติธรรมเริ่มลุกมาช่วย และกดดันสลิ่มเสื้อดำเลว โดยถ่ายคลิปไว้ 
คุณดารุณีจึงบอกว่า ให้ไปตามรักษาความปลอดภัยมา และจะไปโรงพักด้วยกัน หลังจากนั้น เมื่อทราบว่ามีกล้องวงจรปิดบันทึกภาพ และฝ่ายรักษาความปลอดภัยกำลังมา เธอคนนั้นก็รีบเดินหนีไปทันที

ล่าสุด คุณดารุณี กฤตบุญญาลัย กล่าวว่า จะไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันที่โรงพักในวันพรุ่งนี้

"ทักษิณ" ส่งสัญญาณจาก "ฮ่องกง" หากอยากปฏิวัติ...ก็ปฏิวัติสิ!

พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์ VoiceTV
go6TV (วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๕) - อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร  ให้สำภาษณ์พิเศษในรายการ Hot Topic กับธีระ รัตนเสวี  โดยท่านอดีตนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงโครงการต่างๆ ของรัฐบาลตลอด ๑ ปี ว่ามีมุมมองอย่างไร คิดอย่างไร และหากมีรัฐประหารอีก จะทำอย่างไร  ดังรายละเอียดดังนี้

“๑ ปี ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ”

โครงการจำนำข้าว
การจำนำข้าว  ชาวนาได้เต็ม  แต่การประกัน คือเอาเงินไปให้พ่อค้า  หากใครทุจริตฟ้องเลย ผิดให้ถึงที่สุด ชาวนาได้เงินเต็มที่ หมื่นห้าหรือน้อยกว่านิดหน่อย แต่ประกันจะได้แค่เจ็ดพัน แต่พ่อค้ารวย เราต้องคิดปรัชญาว่า อยากให้ไทยผลิตข้าวขายอันดับ๑ ไหม

วันนี้ ราคาข้าวกำลังแพง เพราะอินเดียวนาล่ม ราคาข้าว ๔๐๐เหรียญ แต่วันนี้ ๖๐๐  เราขายข้าวได้ลดลงแต่ได้ราคาแพงขึ้น  สมัยก่อนประกันข้าวนี้  ชาวนาจนแต่พ่อค้ารวย พ่อค้าจึงชอบ
วันนี้เรานิ่งเพราะเรารอขายในราคาดี วันนี้เราไม่ได้รังแกคนส่งออก แต่เราต้องการให้เกษตรกรได้ราคามากขึ้น ไม่ต้องการให้ได้ของถูก เราต้องการขายข้าวราคาแพง ให้เขาวิ่งมาหาเราเพื่อซื้อข้าวคุณภาพดีราคาแพง
เราต้องการยกระดับการเป็นอยู่ประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ยกแค่หัว แต่ชาวนาชาวไร่ เกษตรกร คนยากจนนั้นเป็นส่วนใหญ่ เราต้องยกพวกเขาให้ดีขึ้น พอคนยากจนเลี้ยงตนได้อยู่ได้ทั้งประเทศ ทั้งประเทศเราก็จะยกขึ้น อีกอย่าง การให้เขาสามารถเลี้ยงอาชีพเขา เป็นการ รักษาอาชีพเกษตรกร เราต้องกำหนดราคา ทิศทางราคา เราเป็นผู้ส่งออกอันดับ ๑ แต่กลับกลายเป็นปล่อยให้ประเทศอื่นมาชี้ราคาได้อย่างไร

OTPC แทบเล็ต
แทบเล็ตนั้น  พ่อแม่อายุประมาณ ๓๐-๔๐ ปี ซึ่งวัยเด็กและพ่อแม่จะเป็นวัยที่สามารถใช้แทบเล็ตร่วมกัน  การใช้แทบเลตฟรีไวไฟ สามารถเรียนรู้ โลกทั้งใบ ได้ผ่านแทบเล็ต เด็กสามารถเข้าเนต เข้าโปรแกรมร่วมกับพ่อแม่เพื่อส่งเสริมความรุ้ให้กับเด็ก  แต่ปัญหาวันนี้กลายเป็นคนอายุมากกับคุณครูที่ปรับตัวตามเด็ก ตามโลกไม่ทันที่ออกมาคัดค้าน  วันนี้ หนังสือทั้งหมดบนโลก ถูกทำขึ้นในอินเตอร์เนตหมดแล้ว  เราต้องเข้าไปหาตำราเหล่านี้ หรือ สมัยนี้ครูเก่งๆ ต่างอัดคลิปตัวเองในเนต เราก็ต้องวิ่งเข้าไปหาครูในเนต เราจะรอให้เด็กโง่ไปก่อนไม่ได้ ครูต้องปรับตัวให้ฉลาดพร้อมกับเด็ก เราต้องเอาสิ่งดีๆ ฉลาดๆที่ดีในโลกนี้ มารวมให้กับเด็ก หากจะรอครูให้ฉลาด รอครูให้พร้อม มันคงเป็นไปไม่ได้  ต้องให้ครูและเด็กพัฒนาควบคู่  เราไม่ทันเทคโนโลยี แต่อย่าขัดขวางเด็กไม่ให้เข้าถึงเทคโนโลยี

บ้านหลังแรก รถคันแรก 
วันนี้ คนเราไม่ได้อยู่ได้ด้วยปัจจัยสี่   เราต้องมีมือถือ มีสารพัดสิ่งอำนวยความสะดวก บิลเกตเคยบอกว่า เราเกิดมาจนไม่มีความผิด แต่หากตายแล้วยังจนมันคือความผิด เป็นหน้าที่ของ รัฐ มาช่วยเหลือประชาชนให้มีความกินอยุ่ที่ดีขึ้น   เราต้องให้โอกาสคนระดับล่าง ให้ได้รับการดูแล เพื่อให้เขาเลี้ยงตนได้ ฐานรากแข็งแรงแล้วประเทศจะเดินหน้าได้

OTOP โอท็อป
ปรัชญาของโอท็อปคือการต่อยอดโครงการศิลปาชีพในสมเด็จฯ ที่ได้ทำไว้ เอาคนเหล่านี้ที่มีฝีมืออยู่แล้วมาออกแบบ มาสร้างตลาด มาเสริมแหล่งทุน มาเป็นอาชีพเสริม จนกลายเป็นหลายๆครอบครัวงานเหล่านี้ปรับกลายเป็นอาชีพหลัก

การปรับคณะรัฐมนตรี
ท่านนายกฯ ท่านเป็นยุคใหม่ ผมเป็นยุคเก่า ผมพอบอกได้ว่าคนไหนประวัติเป็นอย่างไร ผมพอบอกได้  แล้วตัวนายกฯ ก็จะเป็นคนเลือกในการตัดสินใจสุดท้ายว่าจะเลือกใคร  ตอนแรกผมก็คาดหมายว่านายกฯทำงานได้ แต่ปรากฏว่าทำงานได้ดีกว่ามากกว่าที่คิด นายกฯ ทำงานบริหารองค์กรมาตั้งแต่เรียนจบ  วันนี้นายกฯ รู้จักคนมากขึ้น รู้จักกฎ กติกาการเมืองมากขึ้น วันนี้ นายกรัฐมนตรีมีภาวะผู้นำในตัว มีการมาปรึกษาอยู่บ้างเพราะในฐานะเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นปกติ แต่การบริหาร เป็นสิ่งที่นายกฯ มีอิสระของท่านเองที่ท่านทำได้ดีมากๆ 

บทบาทในสภาฯ
บทบาทของนายกฯนอกสภามีมาก ทั้งสังคม ต่างประเทศ สส.  ดังนั้นจึงไม่สามารถไปงานสภาได้ แต่ขณะเดียวกัน งานต่างๆ ได้ถูกแบ่งให้รองนายกฯ และรัฐมนตรีดูแล ได้ชัดเจน

พ.ร.บ.ปรองดอง
เป็นเรื่องของสภา  ผมทุกวันนี้ใช้เวลาเดินทางไปต่างประเทศ พบผู้นำประเทศ พบนักธุรกิจ แต่ผมไม่ใช่นักการเมืองวันนี้ ผมจึงพูดไม่ได้ แต่ก็เจอกันคุยกัน ทำไงที่จะเอาสินค้าเกษตร เอาสินค้าประเทศไปขายให้ทุกประเทศที่ไปพบ

สุขภาพ
ยังแข็งแรงดี เขาบอกผมเป็น “มะเร็ง” แต่ผมเป็น “มาเล็ง” คือ.. เอาอะไรมาเสริฟ ผมเล็งกินหมด ฮา
ประเทศทำงานยาก เพราะรัฐธรรมนูญที่ทำให้ทำงานยาก เพราะมันจ้องล้มทุกขั้นตอน  ส่วนราชการก็ซื้อขายตำแหน่ง แต่มันต้องใช้เวลาเปลี่ยน มันยาก... ยากมากนะสมัยนี้ทำงานได้ยากกว่าสมัยผมมาก  สมัยผมปี ๔๐ เป็น รธน.ที่รัฐบาลมีอำนาจ แต่รัฐธรรมนูญนี้ มีแต่กับระเบิดตลอดทาง หากบ้านเมืองเป็น ปชต.จริงๆ บ้านเมืองเราจะไปได้

๖ปี รัฐประหาร
มีคนบอกผมสมัยเป็นนายกฯ บอกผมว่า “ตราบใดที่สิบล้อยังกินยาบ้า ปฏิวัติก็ไม่พ้นจากประเทศไทย”  เค้ากำลังบอกผมว่า สิ่งบ้าๆ มันยังมีอยู่ในประเทศไทย ไม่คุ้ม  หากคิดจะปฏิวัติวันนี้  ไม่คุ้มกับ คนทำปฏิวัติ ไม่คุ้มกับคนสั่งปฏิวัติ ไม่คุ้มกับคนถูกปฏิวัติ และไม่คุ้มกับประชาชนเลย   หากอยากปฏิวัติก็ปฏิวัติสิ!

วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555

"หาญส์" แฉ "ธีรชน" ทิ้งทวน "รถขุดคันละร้อยล้าน-ถลุงร่วม 5000 ล้าน" แถมมี สส.ปชป.เป็นเจ้าของ

ภักดีหาญส์ หิมะทองคำ


ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า ในฐานะที่ตนเคยเป็นอดีตสมาชิกสภา กทม. และผู้สมัคร ส.ส.กทม. และเป็นคนกรุงเทพฯที่เสียภาษี เห็นว่าการใช้งบประมาณของกทม.เพื่อใช้ดำเนินการในโครงการต่างๆ มีความไม่ชอบมาพากลและส่อไปในทางทุจริต แต่เมื่อใกล้จะครบวาระ 4 ปี  กลับใช้จ่ายงบประมาณอย่างสุรุ่ยสุร่ายโดยเกินความจำเป็น

นายภักดีหาญส์ กล่าวต่อว่า ตนจึงต้องออกมาชี้แจงและเปิดเผยข้อมูลที่อาจไม่โปร่งใสของกทม.3 เรื่อง คือ  โครงการจัดหาเครื่องมือหนักสำหรับใช้ในการซ่อมบำรุง  3 รายการ คือรถบดสั่นสะเทือนล้อเหล็ก, รถขุดตีนตะขาบ แขนยาวพร้อมหัวคีบตัด และรถไสผิวถนนขนาดความกว้างหัวไสไม่น่อยกว่า 2 เมตร รวมทั้งหมด 10 ชุด โดยใช้งบประมาณ 1,000 ล้านบาท  แบ่งเป็นงบฯปี 55 จำนวน 100 ล้านบาท และงบฯผูกพันปี 56  กทม. จำนวน 900 ล้านบาท  ซึ่งไม่ระบุว่าจะนำไปซื้ออะไร

นายภักดีหาญส์ กล่าวต่อว่า ที่น่าสังเกตคือการที่นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่ากทม. ใช้เวลาพิจารณาเพียง 2วัน ก่อนโอนงบประมาณให้สำนักการโยธาดำเนินการ อีกทั้งยังไม่ระบุสเปกของสิ่งของที่จะจัดซื้อจัดจ้างและนำ 3 รายการมารวมกัน เพื่อให้บริษัทที่ยื่นประมูลได้แบบเหมารรวม โดยไม่มีราคากลาง โดยไม่แยกเปิดประมูล 3 รายการ ซึ่งไม่เคยมีการปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน   อีกทั้งข้อกำหนดในของบริษัทที่จะเข้ามาประมูลนั้นมีเงื่อนไขให้ผู้เสนอราคาต้องเป็นผู้ผลิตหรือผู้แทนจำหน่ายที่รับการแต่งตั้งโดยตรงจากผู้ผลิตคุรุภัณฑ์ และหนังสือต้องออกภายใน 180 วัน และจดหมายตอบกลับไปยังบริษัทที่เสนอไม่มีการลงวันที่แต่อย่างใด หมายถึงถ้ามีบริษัทที่เป็นผู้แทนจำหน่ายและดำเนินการมา 15 ปี เข้าประมูลไม่ได้ เพราะเกิน180 วัน ถามว่าเป็นการกีดกั้นตัวแทนจำหน่ายที่ตั้งมากว่า 10 ปี  ไม่ให้เข้ามาประมูลแข่ง และส่อพิรุธให้เห็นว่าเข้าข่ายแสวงหาผลประโยชน์ระหว่างหน่วยงานราชการและพ่อค้า หรือไม่ ตนเข้าใจว่าการดำเนินการเช่นนี้ของกทม.เป็นเพราะได้คุยกับบริษัทที่รับเหมาไว้เรียบร้อยแล้วใช้หรือไม่  นอกจากนั้นทราบว่ามีหลายบริษัทที่ไม่ได้รับการพิจารณาได้ส่งหนังสือเปิดผนึกสอบถามและร้องเรียนไปยังกทม.ถึงเรื่องนี้ว่ามีการฮั้วประมูลหรือไม่ และมี 2-3 บริษัทที่พบว่าเจ้าของเป็นส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ทั้งนี้ ตนจะยื่นเรื่องนี้ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ต่อไป  และจะส่งสำเนาเรื่องไปที่กระทรวงมหาดไทยพิจารณาต่อไปโดยที่บริษัทที่เป็นผู้เสียหายจากการผู้ขาดข้อสัญญาและข้อกำหนด               

รองโฆษกรัฐบาล กล่าวต่อว่า นอกจากนั้นยังมีโครงการที่น่าสังเกต อาทิ โครงการจัดซื้อรถดูดล้างท่อ ขนาด 3 ลูกบาศก์เมตร ยี่ห้ออีซูซุ จำนวน 42 คัน ซึ่งราคาเกินกว่าที่กำหนดไว้ถึง 1 เท่า จากที่กำหนด คันละ 4 ล้าน กลับคันละกว่า 8 ล้านบาท ทั้งที่สำนักงานเขตทั้ง 50 เขต ไม่ได้ร้องขอและไม่เคยได้รับการจัดสรร  แต่กลับให้สำนักงานเขตตรวจรับ สร้างภาระให้เขตในการสร้างลูกจ้างชั่วคราวเป็นพนักงานขับ แต่ปรากฎว่ารถที่ส่งไปให้เขตใช้การไม่ได้จริง ดูดน้ำไม่ได้จริง เพราะถ้าทำได้ต้องการันตีว่าน้ำจะไม่ท่วมกทม. และในข้อสัญญาซื้อขายระบุว่าหากรถเกิดความเสียหายสามารถส่งกลับซ่อมแซมภายใน 7 วัน ซึ่งกทม.ไม่ดำเนินการฟ้องร้อง

รองโฆษกรัฐบาล กล่าวต่อว่า นอกจากนั้นในข้อกำหนดเรื่องราคาระบุว่าให้จัดซื้อได้ไม่เกินคันละ 4 ล้านบาท แต่กลับซื้อมากถึงคันละกว่าละ 8 ล้าน ถามว่าทำไมกทม.ไม่ฟ้องร้องบริษัทที่จัดซื้อ จึงมีข้อสังเกตว่าสาเหตุที่กทม.ไม่ฟ้องร้องเพราะบริษัทที่จัดซื้อเป็นพวกเดียวกับข้าราชการระดับสูงและฝ่ายบริหารหรือไม่

นายภักดีหาญส์ กล่าวว่า  สำหรับโครงการเช่ารถเก็บขยะ 4 โครงการ เป็นเวลา 7 ปีมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท ที่ดำเนินการโดยสำนักสิ่งแวดล้อม ภายใต้การกำกับของนายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าฯกทม.ดูแลอยู่ ใช้วิธีประมูลด้วยวิธีอีออ๊อกชั่น ซึ่งบริษัทที่ประมูลงานได้ทั้ง 4 โครงการ เป็น 2 บริษัท คือ บ.อิทธิพร อิมพอร์ต จำกัด มีนายสมาน เตชะอิทธิพร เป็นเจ้าของ และห้างหุ้นส่วนจำกัด ทีไอพี ออโต้พาร์ท เป็นผู้ที่ได้งานทั้งหมด ซึ่งการใช้งบประมาณจะแยกย่อยในการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อใช้ดำเนินโครงการเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ แต่มีแค่ 2 บริษัทที่ชนะการประมูลแบบผูกขาด ซึ่งน่าสังเกตว่าเจ้าของบ.อิทธิพรนั้นมีบริษัทนอมินีอีกนับ10บริษัท ได้รับงานจากกทม. ซึ่งในตามกฎหมายที่ระบุนั้นผู้รับงานต้องไม่มีประโยช์ร่วมกันกับผู้เสนอราคารายอื่น คือไม่ว่าจะเป็นบริษัทใดชนะการประมูลต้องไม่ใช่เจ้าของเดียวกันหรือนอมินีเพื่อป้องกันการล็อกสเปก จึงเห็นว่าทั้ง 4 โครงการ มีการล็อกสเป็กเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามโครงการต่างๆที่พูดมา ตนอยากให้ผู้ที่เกี่ยวของเร่งตรวจสอบโดยเร็ว

เมพขิงๆๆ!? "อภิสิทธิ์" เบิกความศาล "กระชับพื้นที่ คือการไม่ใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม"

ภาพนายพัน คำกอง

ที่ห้องพิจารณา 909 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เมื่อเวลา 09.30 น. ศาลนัดไต่สวนคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญายื่นคำร้องขอให้ศาลชันสูตรสาเหตุการเสียชีวิตของนายพัน คำกอง ชาวจังหวัดยโสธร อาชีพขับรถแท็กซี่ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่เสียชีวิตหน้าคอนโดมิเนียม ใกล้สถานีรถไฟแอร์พอร์ลิงค์สถานีราชปรารภ เมื่อวันที่ 15 พ.ค.53ระหว่างเหตุการณ์ทหารกระชับพื้นที่ราชประสงค์
               
โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และพล.ต.อ.ปทีป  ตันประเสริฐ อดีตรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางมาศาลตามหมายเรียกในฐานะพยาน
               
ก่อนการเบิกความ นายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากภรรยาของนายพัน เปิดเผย ว่า ประเด็นคำถามในการไต่สวนพยานจะเน้นเรื่องการออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเหตุความรุนแรงทางการเมืองเมื่อปี 2553 ว่าเป็นไปตามหลักสากลหรือไม่
              
เมื่อถึงเวลานัด นายอภิสิทธิ์ แถลงต่อศาลว่า ขอเบิกความในช่วงบ่าย เนื่องจากในช่วงเช้าติดภารกิจ ศาลพิจารณาแล้วอนุญาต หลังจากนั้นนายอภิสิทธิ์ได้เดินทางกลับทันทีโดยไม่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน
               
ต่อมา พล.ต.อ.ปทีป ได้ขึ้นเบิกความเป็นปากแรกสรุปว่า ช่วงเกิดเหตุพยานมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือศอฉ. ซึ่งมีนายสุเทพ เป็นผู้อำนวยการ มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ควบคุมสถานการณ์และแก้ไขสถานการณ์ให้กลับสู่สภาวะปกติ และรักษาความสงบเรียบร้อย โดยหลักการปฏิบัติต่อผู้ชุมนุมของศอฉ. คือ 1.ไม่ใช้ความรุนแรง 2.ใช้การเจรจาเป็นหลัก 3. หากจำเป็นต้องใช้กำลังให้พิจารณาจากเบาไปหาหนักตามหลักสากล โดยจะเตือนให้ทราบก่อนทุกขั้นตอน ซึ่งการใช้กำลังที่หนักที่สุดคือการใช้กระสุนยางที่ยิงด้วยปืนลูกซอง เพื่อป้องกันตัว
               
ซึ่งในการสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่แยกคอกวัวและราชประสงค์ตามยุทธศาสตร์ได้วางกำลังปิดล้อมไว้  3 ชั้น มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเฉพาะชั้นที่ 2 และ3 โดยมีเพียงโล่และกระบองเป็นอาวุธ ซึ่งการสลายการชุมนุมในวันที่ 11 เม.ย.53 ที่แยกผ่านฟ้าเป็นการดำเนินการของฝ่ายทหาร แต่ตนจำไม่ได้ว่า ใครเป็นหัวหน้าที่ควบคุมดูแลสั่งการ ซึ่งไม่สามารถขอคืนพื้นที่ในส่วนสะพานผ่านฟ้าได้ โดยในรายละเอียดการปฏิบัตตนไม่ทราบ เพราะพยานมีหน้าที่ดูแลด้านนโยบาย และเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาทำงานร่วมกับ ศอฉ. เท่านั้น

นอกจากนี้ในการควบคุมดูแลการชุมนุมในพื้นที่ราชประสงค์ตนทราบว่า วันที่ 14 พ.ค.มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจพกอาวุธปืนพกได้ เนื่องจากช่วงนั้นมีเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกยิงเสียชีวิตบริเวณถนนสีลม 2 นาย และก่อนหน้านี้ก็ได้มีเหตุการณ์รุนแรง โดยมีการลอบวางระเบิดรอบๆ กรุงเทพฯ และยิงอาวุธปืนเอ็ม79 ที่แยกศาลาแดง
               
สำหรับการสลายการชุมนุมที่ถนนราชปรารภบริเวณที่นายพัน  คำกองถูกยิงเสียชีวิต ตนไม่เคยเห็นรายงานสรุปเหตุการณ์จากเจ้าหน้าที่ตำรวจเนื่องจากในรายงานดังกล่าวได้จัดทำหลังจากที่ตนได้เกษียณอายุไปแล้ว และแม้ว่าตามหลักการแล้วหากมีผู้เสียชีวิตเจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องเข้าไปตรวจสอบพื้นที่โดยเร็ว แต่กรณีดังกล่าวเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปยังที่เกิดเหตุได้ เนื่องจากมีการปะทะกันอยู่ตลอดเวลา
               
อย่างไรก็ตามใน ขณะที่ตนยังปฏิบัติหน้าที่ใน ศอฉ.ในส่วนของตำรวจไม่พบว่าเจ้าหน้าที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งในเรื่องของการใช้อาวุธปืน ถ้าตำรวจทำอะไรเกี่ยวกับการสลายการชุมนุมตนในฐานะรักษาการ ผบ.ตร. และผู้ช่วย ศอฉ. จะต้องทราบดังกล่าว
 
ต่อมา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต รองนายกรัฐมนตรีและ อดีตผอ.ศอฉ.กล่าว เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553  ศอฉ.ได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ขอคืนพื้นที่ของกลุ่มผู้ชุมนุม นปช.บริเวณแยกผ่านฟ้า และถนนราชดำเนินนอก เนื่องจากรัฐบาลต้องการเปิดเส้นทางการจราจรให้กับประชาชนที่ใช้เส้นทางมาจากสะพานพระปิ่นเกล้าฯ และ สะพานพระราม 8 โดยวิธีปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักสากลอย่างเคร่งครัด ใช้มาตรการจากเบาไปหาหนักตามลำดับ คือ ใช้ โล่และกระบอง รถฉีดน้ำ แก๊สน้ำตา  และปืนลูกซองกระสุนยาง ซึ่งเริ่มปฏิบัติการตั้งแต่เวลา 13.00 น.จนถึงเวลา 16.15 น.จึงสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่และกลับที่ตั้ง แต่ปรากฏว่าเมื่อเวลา 1 ทุ่ม มีกลุ่มชายชุดดำซึ่งปะปนอยู่กับกลุ่มผู้ชุมนุมนปช.ใช้อาวุธสงคราม ทั้งปืนเอ็ม 16 ระเบิดเอ็ม 79 และระเบิดขว้างเข้าใส่เจ้าหน้าที่ทหารที่บริเวณแยกคอกวัวและถนนดินสอ ซึ่งผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต มีทั้งผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ทหาร จากเหตุการณ์ดังกล่าวกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) รับผิดชอบสำนวนการสอบสวน กระทั่งได้จับกุมและดำเนินคดีกับผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายรวม 26 คน
 
นายสุเทพ กล่าวว่า หลังเกิดเหตุการณ์ชายชุดดำใช้อาวุธสงครามยิงใส่เจ้าหน้าที่ ศอฉ.จึงต้องมีมาตรการต่างๆ ให้รัดกุมยิ่งขึ้น เพื่อปกป้องชีวิตของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานและประชาชนทั่วไป  คือมีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ระดับผู้บังคับหมวดขึ้นไปสามารถมีอาวุธปืนประจำได้  ให้มีสิ่งกั้นขวางระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ และให้รักษาระยะห่างระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้ชุมนุม ประมาณ 150 เมตร  ต่อมาเมื่อผู้ชุมนุมย้ายไปที่แยกราชประสงค์ ศอฉ.ได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตั้งด่านสกัดตามจุดต่างๆ เช่น ถ.ราชปรารภ ถ.เพลินจิต เพื่อไม่ให้ประชาชนเข้าไปชุมนุมเพิ่มเติมที่บริเวณแยกราชประสงค์ ส่วนกรณีที่นายพัน คำกอง ถูกยิงเสียชีวิต ที่บริเวณราชปรารภนั้น ได้รับรายงานในภายหลัง จากเจ้าหน้าที่ว่าเมื่อคืนวันที่ 15 พ.ค.เวลา 01.00 น. มีรถตู้วิ่งผ่านเข้ามาขณะที่เจ้าหน้าที่ถูกคนร้ายเข้าโจมตีด้วยอาวุธสงคราม ซึ่งเป็นการยิงตอบโต้กันระหว่างเจ้าหน้าที่และคนร้าย หลังจากนั้นจึงพบนายพัน เสียชีวิตอยู่ใกล้บังเกอร์หรือที่กำบัง ซึ่งหลังเกิดเหตุดีเอสไอได้ทำสำนวนของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าวทั้งหมด และแม้จะส่งสำนวนกลับไปให้กองบัญชาการตำรวจนครบาลตรวจพิสูจน์สาเหตุตายอีกครั้ง โดยให้ผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์บาดแผลและตรวจสอบกระสุนปืน ก็ไม่ได้ข้อสรุปแน่ชัดว่านายพัน และผู้เสียชีวิตรายอื่นๆ เสียชีวิตจากการกระทำของฝ่ายใด
 
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นเบิกความ ว่า การเสียชีวิตจากการชุมนุมปี2553นั้นสาเหตุเกิดจากการที่ในกลุ่มผู้เข้าร่วมชุมนุมมีการใช้อาวุธปืนและวัตถุระเบิดในการก่อเหตุขึ้นมา แต่ทางรัฐบาลไม่มีนโยบายใดๆที่จะใช้กำลังเจ้าหน้าที่สลายการชุมนุมแต่ใช้วิธิการที่ได้รับการยอมรับจากสหประชาชาติ จะสังเกตุได้ว่าในช่วง2-3ปีหลังนี้ทางสหประชาชาติให้ความสนใจในเหตุการณ์ความรุนแรงหลายประเทศ แต่เหตุการณ์ในประเทศไทยทางสหประชาติก็ไม่ได้กล่าวหาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี53แต่อย่างใด ว่ามีการละเมิดสิทธิและใช้ความรุนแรง เหตุการณ์ในการชุมนุมปี2553นั้นตนได้ตั้ง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบสถานการณ์ และผอ. ศอฉ.ก่อนจะเปลี่ยนเป็นพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ในช่วงหลังแต่ระหว่างที่มีการตั้ง ศอฉ.ตนมีอำนาจในการกำกับดูแลบริหามรราชการแผ่นดินอยู่รวมถึงการสั่งการ ศอฉ.ด้วย ในฐานะ นายกรัฐมนตรี

"ส่วนสาเหตุที่ต้องมีการขอพื้นที่คืนจากกลุ่มผู้ชุมนุมนั้นเพราะว่าผู้ชุมนุมมีการชุมนุมแบ่งออกเป็น 2 พื้นที่ซึ่งไม่มีควาสมจำเป็น ทางรัฐบาลต้องการประชาชนรม2ฝั่งแม่น้ำสามารถเดินทางสัญจรผ่านสะพานพระราม8ได้ จึงต้องมี การขอคืนพื้นที่ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ผู้ชุมนุมปิดถนนอยู่ ส่วนมาตรการดำเนินการเป็นหน้าที่ของ ศอฉ.และวิธีการจะต้องปฏิบัติตามที่หลักสากลยอมรับ ละย้ำว่าการปฏิบัติไม่ได้มีเจตนาที่มีการสลายการชุมนุมและมีการระมัดระวังทางด้านยุทธวิธีที่จะก่อให้เกิดความรุนแรงเช่น จะมีการหยุดปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งก่อนช่วงเวลานั้นไม่มีการรายงานว่ามีผู้เสียชีวิต จนกระทั่งต่อมาได้รับรายงานว่าเจ้าหน้าที่ชุดที่ขอคืนพื้นที่โดนกองกำลังชุดดำปิดล้อมและยิงใส่ด้วยอาวุธสงครามถึงได้รับรายงานการเสียชีวิต" นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สำหรับการขอคืนพื้นที่ในเหตุกามรณ์ครั้งนั้นทางรัฐบาลได้ยื่นขอให้ศาลแพ่งมีคำสั่งให้อนุญาติให้รัฐบาลขอคืนพื้นที่การชุมนุมและศาลแพ่งได้มีคำสั่งอนุญาติให้มีการขอคืนพื้นที่เพราะผู้ชุมนุมโดยวิธีไม่ชอบด้วยกฎหมาย และสั่งว่าการขอพื้นที่ต้องเป็นไปตามหลักสากล ซึ่งรัฐบาลก็ปฏิบัติตาม ตนไม่ทราบว่าในเหตุการณ์ดังกล่าวใครเป็นผู้บังคับบัญชาการในพื้นที่ แต่มีการรายงานมาตลอดเป็นระยะเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งซึ่งเป็นหลักสากล และไม่มีรายงานว่ามีเหตุที่จะต้องไม่ปฏิบัติตามหลักของคำสั่ง ซึ่งการขอคืนพื้นที่ที่สะพานผ่านฟ้านั้นใช้เวลาประมาณ 3-4วันก่อนที่ผู้ร่วมชุมนุมจะย้ายไปรวมที่ราชประสงค์ ซึ่งในการชุมนุมที่ราชประสงค์นั้นตนได้รับรายงานมาว่าในกลุ่มผู้ร่วมชุมนุมมีผู้ติดอาวุธแฝงตัวอยู่และการสื่อสารกับผู้ร่วมชุมนุมเป็นไปด้วยความยากลำบากเพราะผู้ชุมนุมรับข่าวสารด้านเดียวจากแกนนำ รัฐบาลซึ่งมีนโยบายที่จะเจรจาได้มีการส่งบุคคลไปเจรจากับทางแกนนำอย่างต่อเนื่องหลายครั้งและข้อแม้การเจรจามีการเปลี่ยนแปลงตลอดทั้งที่สะพานผ่านฟ้า มีทั้งการเจรจาในหลายรูปแบบ ทั้งเรื่องการขอพื้นที่คืนที่หน้าลานพระบรมรูปรัชกาลที่6 ซึ่งตกลงกันและแกนนำรับปากแต่ก็ไม่ได้มีการปฏิบัติตามที่ตกลงกันไว้ รวมถึงเรื่องการยุบสภาตามข้อเรียกร้องของแกนนำซึ่งตนได้เจรจาและตกลงประกาศว่าถ้ายกเลิกการชุมนุมตนจะยุบสำภาในวันที่ 14 พ.ย.53 ซึ่งมีการรับปากตกลงกันได้แต่ภายหลังทางแกนนำก็ไม่ได้มีการปฏิบัติตาม ต่อมา จึงได้ประกาศว่าจะไม่มีการเจรจาเกิดขึ้นอีก

"ส่วนคำว่ากระชับพื้นที่นั้นไม่ใช่การใช้การกำลังเข้าสลายการชุมนุม แต่เป็นการกำหนดให้มีการกระชับวงล้อมเพื่อให้หยุดการชุมนุมโดยใช้วิธีกดดัน ซึ่งระหว่างนั้นมีการเจรจาขอให้ยกเลิกการปิดล้อมและให้ชุมนุมโดยอิสระซึ่งรัฐบาลไม่รับข้อเสนอเพราะไม่มีประโยชน์และจะทำให้การชุมนุมยืดเยื้อ" นายอภิสิทธิ์ กล่าว และว่า ซึ่งถ้ารัฐบาลใช้กำลังหรือมีคำสั่งสลายการชุมนุมจริงการชุมนุมต้องสลายไปทั้งหมดแต่ในความจริงพื้นที่หลายพื้นที่ยังมีการชุมนุมอยู่

อดีตนายกฯ กล่าวยืนยันว่าผู้เสียชีวิตที่เกิดจากระเบิด เอ็ม79 ทั้งหมดไม่ได้เกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐไม่มีการใช้ระเบิดชนิดนี้ ส่วนการเสียชีวิตโดยกระสุนปืนนั้นต้องสอบสวนให้ได้ข้อเท็จจริงเพราะระหว่างการชุมนุมมีรายงานว่ามีอาวุธของเจ้าหน้าที่ถูกปล้นและมีการแต่งกายเลียนแบบทหารซึ่งในเรื่องนี้มีการส่งสำนวนคดีให้กรมสอบสวนคดีพิเศา(ดีเอสไอ)และตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) แต่ก็ยังไม่ได้ข้อยุติ ในส่วนของดีเอสไอนั้นมีข้อสรุปแล้วว่าเป็นฝีมือของผู้ชุม12ราย

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนเรื่อง 6 ศพวัดปทุมนั้นตนได้ทราบจากสื่อมวลชนและรายงานทางด้านการข่าวทราบว่าในช่วงเกิดเหตุมีการต่อสู้กันของกองกำลังและเจ้าหน้าที่ สืบเนื่องมาจากการเผาเซ็นทรัลเวิลด์และสยามซึ่งระหว่างเกิดเหตุเพลิงไหม้จะมีเจ้าหน้าที่ดับเพลิง และพยาบาลซึ่งผู้ก่อการจะใช้โอกาศนี้ก่อเหตุกับบุคคลเหล่านี้อีกทั้งตนได้รับรายงานว่ามีชายชุดดำอยู่ที่วัดปทุมวนารามอีกด้วย

หลังจากไต่สวนพยานทั้ง3ปากเสร็จสิ้น ทางทนายญาติผู้ตายแถลงหมดพยานศาลจึงนัดฟังคำสั่งวันที่ 17 มิ.ย.นี้ เวลา 09.00  น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าคดีนี้เป็นคดีแรกในสำนวนไต่สวนชันสูตรศพที่ศาลจะมีคำสั่ง
               
ภายหลัง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า วันนี้ตนมาเบิกความในฐานะพยาน และไม่ห่วงว่าจะถูกมองเป็นจำเลยของสังคม ซึ่งตนได้เบิกความข้อเท็จจจริงไปในชั้นศาลแล้ว

"ปลอดฯ" สวน "ปราโมทย์" หากไม่รู้ก็ไปหาหนังสืออ่าน



วันนี้ (27 ส.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล  นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แถลงถึงการที่นายปราโมทย์ ไม้กลัด กรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ(กยน.) ที่วิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลบริหารจัดการน้ำผิดพลาด ส่งผลให้เกิดปัญหาภัยแล้งในขณะนี้ว่า รัฐบาลจำเป็นที่ต้องทำให้เห็นว่าในปีนี้หรือช่วงหลายปีจากนี้ ต้องมีการป้องกันประเทศไทยให้มีความปลอดภัย ไม่เกิดน้ำท่วมอีกเหมือนปีที่แล้ว ซึ่งสร้างความเสียหายส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ ภูมิภาค และของโลก  การกล่าวหาว่ารัฐบาลกลัวน้ำท่วมอย่างเดียวไม่ใส่ใจเรื่องฝนแล้งถือว่าไม่เป็นธรรม เพราะรัฐบาลใส่ใจกับปัญหาฝนแล้งที่ส่งผลกระทบต่อคนจำนวนมากด้วย แต่ปัญหาน้ำท่วมสร้างความเสียหายมากกว่า รัฐบาลจึงต้องยอมกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งการไม่ให้น้ำท่วมนั้นต้องมองโจทย์น้ำท่วมเป็นหลัก จึงต้องลดปริมาณยอดของน้ำ หาที่ให้น้ำอยู่ และระบายลงทะลโดยเร็วที่สุด

นอกจากนี้การที่นายปราโมทย์ระบุว่าเสียดายน้ำที่ถูกระบายทิ้งนั้น ที่จริงแล้วไม่ใช่ คณะกรรมการระบายน้ำที่นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้ตั้งขึ้นมา ซึ่งมีนายรอยล จิตรดอน ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร เป็นประธานนั้น มีหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องน้ำ 14 หน่วยงาน มีประชุมทุกสัปดาห์ แลกเปลี่ยนข้อมูลทุกวินาที ทุกวัน และรายงานมาถึงตนตลอด รวมถึงคณะกรรมการนี้เป็นผู้ตัดสินใจ จึงไม่ควรกล่าวหาว่าตนบริหารหรือตัดสินใจผิด นอกจากนี้ รัฐบาลมีการบริหารจัดการน้ำแบบสมดุลคือการระบายน้ำและส่งน้ำเพื่อชลประทาน เราเห็นคุณค่าน้ำทุกหยด ไม่ได้กลัวน้ำเหมือนกับเห็นหมาบ้า

รมว.วิทยาศาสตร์ฯ กล่าวต่อว่า นายปราโมทย์ยังพูดแบบคลุมเครือถึงภัยแล้ง ตนไม่รู้ว่าเป็นความจงใจหรือไม่ เพราะคนที่มีความรู้จะไม่พูดเรื่องภัยแล้งในช่วงนี้ที่อยู่กลางฤดูฝน และเดือน ส.ค.เกิดกรณีฝนทิ้งช่วงตามปกติ อีกทั้งการพิจารณาเรื่องภัยแล้งนั้นมีเกณฑ์ต่างๆที่เกี่ยวข้อง เช่น ความชื้นในอากาศ ปริมาณน้ำในลำน้ำ ความเสียหายด้านการเกษตร เป็นต้น แต่ตอนนี้ไม่ใช่ภัยแล้ง ซึ่งอธิบดีกรมชลประทาน บอกแล้วว่าการระบุว่าเป็นภัยแล้งหรือไม่นั้นต้องรอดูในเดือน ม.ค.-ก.พ. นายปราโมทย์จึงอย่าพูดแบบนี้ที่ทำให้คนตกใจและเข้าใจรัฐบาลผิด

นอกจากนี้ การบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลในตอนนี้ ทำเรื่องการระบายน้ำเฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา แต่ยังไม่ไปแตะต้องลุ่มน้ำในภาคอีสาน ขณะที่ภาคอีสานตอนล่างมีปริมาณฝนน้อยกว่าปกติ จึงสร้างความเสียหายในจ.สุรินทร์ และบุรีรัมย์ ซึ่งเราหวังว่าใน 1-2 เดือนจากนี้ เมื่อร่องความกดอากาศต่ำที่กำลังพาดในภาคเหนือและอีสานตอนบน จะแก้ไขวิกฤตนี้ได้ อีกทั้งภาคอีสานส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เกษตรน้ำฝน ซึ่งทำการเกษตรได้ด้วยน้ำฝนเท่านั้น และมีพื้นที่ชลประทานร้อยละ 6 ซึ่งรัฐบาลยืนยันว่าในปีนี้เกษตรกรสามารถทำการเกษตรได้ตามปกติ

นายปลอดประสพ กล่าวอีกว่า ปีนี้น้ำไม่ท่วมเหมือนปีที่แล้วแน่นอน สามาถฟันธงแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ และเมื่อขึ้นต้นฤดูหนาวไปถึงฤดูแล้ง จะมีน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาอยู่ในเกณฑ์พอเพียงสำหรับการทำการเกษตรตามปกติ ขณะที่ปริมาณน้ำในเขื่อนใหญ่ 2 แห่ง และเขื่อนอื่นๆจะอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง แต่ไม่อยู่ในภาวะขาดแคลน ส่วนภาคอีสานถ้ายังมีฝนตกน้อยกว่าปกติ รัฐบาลจะช่วยเหลือด้วยการสูบน้ำจากลำน้ำต่างๆขึ้นมาหรือใช้ระบบน้ำใต้ดิน เพื่อบรรเทาปัญหาของเกษตรกร

การเกิดฝนทิ้งช่วงหรือน้ำน้อยในภาคอีสานเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่กลับมากล่าวหาว่าเราระบายน้ำจนเกิดฝนแล้ง นี่เป็นความโง่เขลาของท่านที่ไม่มีข้อมูล หรืออาจเป็นการจงใจมาหาเรื่อง ผมกับคุณปราโมทย์เป็นข้าราชการรุ่นเดียวกัน ผมให้ความเคารพในสติปัญญาความรู้ของคุณปราโมทย์เสมอมา ก็อยากให้คุณปราโมทย์เคารพคนอื่น คุณปราโมทย์พูดโดยไม่มีข้อมูลหรือดึงข้อมูลจากอากาศมาพูด ดังนั้นก่อนที่จะมาพูดอะไร ขอให้ไปหาหนังสือใหม่ๆมาอ่าน เอาข้อมูลจากกรมที่ท่านเคยเป็นอธิบดี ไปวิเคราะห์ ทั้งนี้ เมื่อปีที่แล้วที่เกิดน้ำท่วม เขาเคยเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าฯกทม.ที่สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ หรือคงเป็นเพราะเขาจะลงสมัครการเมืองหรืออยากลงสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ครั้งนี้ก็ได้นายปลอดประสพ กล่าว

วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

กำแพงป้องกันน้ำท่วมนิคมอุตฯ นวนคร ความยาว 21 ก.ม. สร้างเสร็จแล้ว



go6TV (29 สิงหาคม) ภายในระยะเวลาแค่ 5 เดือน กำแพงป้องกันน้ำท่วมถาวร เขตอุตสาหกรรมนวนคร ความสูง 5.50 เมตร ได้ถูกเนรมิตรขึ้นตามแผนบริหารจัดการน้ำของรัฐบาล พร้อมทดสอบผ่านทุกขั้นตอนแล้ว

ชาวนวนครมั่นใจหลังจากรัฐบาลได้ร่วมกับนิคมอุตสาหกรรมนวนคร ร่วมกันสร้างกำแพงป้องกันน้ำท่วม ซึ่งสามารถรับรองความดันน้ำได้ 3 ตัน ซึ่งกำแพงดังกล่าวเป็นคอนกรีตหนา 25 ซม. พร้อมยึดเหล็กเส้นถาวร ปีก่อนน้ำท่วมประมาณ 4.70 เมตร ซึ่งปีนี้สร้างเพิ่มขึ้นอีกให้เป็น 5.5 เมตร และยาว 21  กิโลเมตร ซึ่งเป็นความสูงและความหนามากกว่าระดับมาตรฐานที่ไจก้าแนะนำ

นายกรัฐมนตรีได้มาเยี่ยมชมการทดสอบแรงดันน้ำและได้ชื่นชมการสร้างกำแพงดังกล่าว และนำแบบดังกล่าวไปเป็นตัวอย่างให้โรงงานและนิคมอุตสาหกรรมอื่นใช้ได้

โรงงานปัจจุบันมี 215 โรงงาน เดินเครื่องไปแล้ว 176 โรงงาน และหลังน้ำท่วม มีโรงงานมาลงทุนเพิ่มเติมมากขึ้นถึงอีก 4 โรงงาน

ขอขอบคุณคลิปจาก พชรปพน พุ่มประพันธ์
http://www.youtube.com/watch?v=hSiEjIh9Z0Q&feature=youtu.be

เจ้ากรมเสมียนตรานำดอกไม้ธูปเทียนขอขมา รมว.กลาโหม สำนึกผิดนำเอกสารลับทางราชการเผยแพร่

วันนี้ (29 ส.ค. 55) เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ผ่านมา ที่กระทรวงกลาโหม หัวหน้าสำนักงาน รมว.กลาโหม ได้รับการติดต่อจาก พล.อ.พิณภาษณ์ สริวัฒน์ เจ้ากรมเสมียนตรา ซึ่งถูกคำสั่งสำนักงานรัฐมนตรี (เฉพาะ) ที่ 188/55 เรื่อง ให้นายทหารปฏิบัติหน้าที่ราชการ พร้อมกับ พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.ชาตรี ทัตติ รองปลัดกระทรวงกลาโหม เข้าประจำสำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมว่า จะขอเข้าพบ พล.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม เพื่อจะนำดอกไม้ ธูป เทียน เข้ากราบขมา เพื่อขอโทษ กรณีที่ได้ล่วงเกินในการกระทำหนังสือร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาไปยังนายกรัฐมนตรี และนำเอกสารลับทางราชการไปเผยแพร่ ซึ่งทาง พล.อ.สุกำพล นั้นได้ให้หัวหน้าสำนักงาน รมว.กลาโหม แจ้งกลับไปว่า ไม่มีปัญหาพี่น้อง ซึ่งอาจจะเข้าใจผิด และกระทำด้วยการพลการ จึงอนุญาตให้ พล.อ.พิณภาษณ์ เข้ามาพบ เพื่อกราบขอขมาต่อ พล.อ.อ.สุกำพล ที่สำนักงานรัฐมนตรี 

โดยการเข้าพบครั้งนี้ของ พล.อ.พิณภาษณ์ เป็นการกระทำส่วนตัวหลังจากที่มีคำสั่งถูกเข้าประจำสำนักงานรัฐมนตรีตั้งแต่วันจันทร์ที่ 27 ส.ค. โดยไม่ได้หารือกับ พล.อ.เสถียร และพล.อ.ชาตรี 

พล.อ.พิณภาษณ์ กล่าวว่า การเข้าขอขมาครั้งนี้เนื่องจากตนเองสำนึกผิดและขอยอมรับผิดอย่างชายชาติทหารโดยยืนยันว่าสิ่งที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมดำเนินการนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว 

มือสไนเปอร์แถ! ยิงจริงแต่เป็น "กระสุนยาง"




go6TV เวลา 10.00 น. วันที่ 29 สิงหาคม พ.ท.บุศริน ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญ นำส.อ.ศฤงคาร ทวีชีพ และส.อ.คชารัตน์ เนียมรอด เจ้าหน้าที่ทหารที่ประจำการในฐานะพลทหารซุ่มยิง ที่ปฏิบัติหน้าที่ในช่วงระหว่างเหตุสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 มาชี้แจงในฐานพยานกับพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ

พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีกรมสอบสวนคดี หรือดีเอสไอ  ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนการเสียชีวิตของกลุ่มผู้ชุมนุม 91 ศพ จากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองเมื่อปี 2553 ระบุว่า  พนักงานสอบสวนจะสอบถามในประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของนายทหารทั้ง 2 พร้อมนำภาพเหตุการณ์ในช่วงดังกล่าวมาเปิด ประกอบการสอบถามด้วย

ขณะที่ในช่วงบ่ายนางพะเยาว์ อัคฮาด  มารดา น.ส.กมนเกด  พยาบาลอาสาสมัครที่ถูกยิงเสียชีวิตภายในวัดปทุมวนารามพร้อมมวลชนกว่า 20 คน นำกระเช้าดอกไม้มามอบให้กำลังใจ พ.ต.อ.ประเวศ และขอให้ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาและถูกต้อง ไม่ต้องเกรงกลัวอิทธิพลใดๆ

หลังการให้ปากคำผ่านไปกว่า 6 ชั่วโมง พ.ต.อ.ประเวศน์ เปิดเผยว่าการเข้าชี้แจงของ ส.อ.ศฤงคาร  และส.อ.คชารัตน์ ในฐานะพลทหารซุ่มยิง ในวันนี้เน้น สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้อาวุธตามภาพที่ปรากฎ โดยอาวุธที่ใช้เป็นปืนเอ็ม 16 ไม่ใช่สไนเปอร์อย่างที่เข้าใจ ส่วนลำกล้องเป็นลำกล้องของปืนบีบีกันที่นำมาติดภายหลัง

พ.ต.อ.ประเวศน์ กล่าวว่า ขณะเดียวกันทหารทั้งสองให้การยอมรับว่าการปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 15 พฤษภาคม ตั้งแต่เวลา 15 นาฬิกา ถึง 18 นาฬิกา เป็นการปฏิบัติหน้าที่บริเวณบ่อนไก่ เพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับหน่วย พร้อมแจ้งเตือน และในวันนั้นได้มีการลั้นไกปืนยิงขู่กลุ่มผู้ชุมนุม โดยกระสุนที่ใช้เป็นกระสุนยาง  ซึ่งหลังจากนี้ทางพนักงานสอบสวนอาจทำเรื่องขอปืนกระบอกดังกล่าวเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง

"ยืนยันเร่งทำสำนวนการสอบสวนคดีนี้ให้เสร็จโดยเร็ว และจะส่งสำนวนดังไปยังกองบัญชาการตำรวจนครบาลเพื่อประกอบสำนวนการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมบริเวณบ่อนไก่และงามดูพลี"รองอธิบดีดีเอสไอระบุ

สองมือฆ่า "พฤษภา 53" แยกสอบเดี่ยวเครียด



(ภาพจากคุณสุรพล พรหมสาขา ณ สกลนคร)

go6TV (วันที่ 29 ส.ค. 2555 พ.ท.บุรินทร์ ทองประไพนายทหารพระธรรมนูญ นำตัว ส.อ.ศฤงคาร ทวีชีพ (เสื้อขาว)และ ส.อ.คชารัตน์ เนียมรอด(ชุดทหาร) พลซุ่ม ยิง 2 นาย ให้การคดีการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และประชาชน จำนวน91 ศพ จากเหตุการณ์ความรุนแรง เมื่อปี2553 กับพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แล้วในฐานะพยาน โดยระหว่างการเดินทาง เจ้าหน้าที่ทั้ง2 มีสีหน้าที่เคร่งเครียด และไม่ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชน เมื่อเดินทางถึง ทั้งสองคนได้โดนแยกห้องสอบกันทันที

ด้าน พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนจำนวน91 ศพ จากเหตุรุนแรงทางการเมืองเมื่อปี2553 เปิดเผยว่า พนักงานสอบสวน จะเรียกบุคคลที่ถูกนายสุเทพ  เทือกสุบรรณให้การพาดพิงที่เป็นกรรมการ ศอฉ.ซึ่งมีส่วนร่วมลงมติใน ศอฉ.เข้าให้การ เช่น นายถวิล เปลี่ยนศรี อดีต เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) เลขานุการ ศอฉ. และหากมีความจำเป็นอาจต้องเรียก นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ในฐานะกรรมการ ศอฉ.เข้าให้การด้วย เนื่องจากนายสุเทพ ระบุว่า นายธาริต เสนอความเห็นใน ศอฉ.ว่า ถ้าสถานการณ์รุนแรงอาจจำเป็นต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน รวมถึงฝ่ายยุทธการของ ศอฉ.ที่ถูกพาดพิงทุกคน และเจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติในพื้นที่เข้าให้การด้วย



วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อธิบดีสรรพากร ขู่ฟัน "พลอย-เฌอมาลย์" โกงภาษี



ที่กระทรวงการคลัง นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรณีมีข่าวการเสียภาษีของดารานักแสดง น.ส.ไลลา บุญยศักดิ์ อาจมีการเสียภาษีคลาดเลื่อนจากความเป็นจริงนั้น การเสียภาษีของดารานักแสดงต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 5% ของเงินที่ได้รับ

และเมื่อหักแล้วก็ต้องนำส่งกรมสรรพากรภายใน 7 วัน นับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินได้ เมื่อสิ้นปี ดารานักแสดงก็ต้องนำเงินได้ทั้งหมดไปรวมคำนวณภาษีปลายปีโดยนำภาษีที่ถูกหักไว้มาเครดิตออกจากภาษีสิ้นปีได้

“การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเมื่อสิ้นปีนั้น ก็คำนวณโดยนำเงินได้ทั้งหมดหักด้วยค่าใช้จ่าย กฎหมายกำหนดให้หักได้ตามจริงหรือในอัตราเหมาที่กฎหมายกำหนดและหักค่าลดหย่อน ก่อนจะนำเงินได้สุทธิไปคำนวณอัตราภาษีเงินได้อัตราก้าวหน้า เมื่อได้ภาษีที่ต้องชำระแล้ว ก็นำภาษีที่ถูกหักไว้แล้วมาเครดิตได้” นายสาธิต กล่าว

และว่า สำหรับที่มีการหลีกเลี่ยงภาษีโดยการใช้บุคคลอื่นเป็นผู้รับเงินแทนและทำให้การหักภาษี ณ ที่จ่ายผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงนั้น ผู้จ่ายและผู้รับเงินมีความรับผิดร่วม

หากดาราได้รับเงินได้ในเดือนส.ค. บริษัทผู้จ่ายเงินได้ก็ต้องนำส่งภาษีหัก ณ ที่จ่ายภายในวันที่ 7 ก.ย.นี้ กรมสรรพากรจะตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายในทันที และหากสิ้นปียังยื่นแบบเสียภาษีประจำปีไม่ถูกต้องอีก ทั้งผู้จ่ายและผู้รับเงิน ต่างก็มีความผิด

อย่างไรก็ตาม กรมสรรพากรจะดำเนินการตามกฎหมายอีกครั้งต่อไป การนำบุคคลอื่นมารับเงินแทนเพื่อให้การเสียภาษี ไม่ถูกต้องครบถ้วน ผู้รับเงินที่แท้จริงต้องรับผิดชอบต่อกรมสรรพากร และหากผู้จ่ายเงินร่วมมือกับผู้รับเงินก็มีความผิดด้วยเช่นเดียวกัน

เจียะป้าบ่อสื่อ! สำนักผู้ตรวจฯ ว่างงานแนะให้ฟ้อง "กิตติรัตน์" บอกตัวเลขส่งออกพลาด

นายรักษ์ เกชา แฉฉาย รองเลขาฯ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน

เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม นายรักษเกชา แฉ่ฉาย รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ในฐานะโฆษกสำนักงาน กล่าวถึงกรณีที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกมายอมรับว่าเจตนาแจ้งข้อมูลการส่งออกคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ว่ายังไม่มีผู้ร้องเรียนเข้ามาให้ผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบ แต่หากมีการร้องเรียนก็ต้องเป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พ.ศ.2551 ในข้อ 25 ที่ระบุว่า ข้าราชการการเมืองต้องไม่ใช้ หรือบิดเบือนข้อมูลข่าวสารของราชการเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิด หรือเพื่อผลประโยชน์สำหรับตนเอง หรือผู้อื่น หากมีการร้องเรียนเข้ามาทางผู้ตรวจการแผ่นดินก็จะให้นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้บังคับบัญชาทำหนังสือชี้แจง และตรวจสอบ 

"บื๊กโอ๋" รมว.กห.คำรามลั่น "ไม่ยืนยันมีย้ายแบบนี้อีกหรือไม่"


รูปภาพ : เชือด..พล.อ.อ.สุกำพลรมว.กห.บอกย้าย3พลเอกเหมือนทีมฟุตบอล ต้องเปลี่ยนโค้ช ให้การทำงานมีประสิทธิภาพ ผมเป็นผู้ร้าย2วัน หาว่าผมก้าวก่าย บอกเป็นเรื่องน่าอายของกห. ผมแถลงครั้งเดียวพอจะไม่ตอบอีก เผยเหตุปูดความลับถกโผทหารพี่น้องคุยกันได้ไม่แอบทำอะไร ทหารต้องเด็ดขาดไม่งั้นปกครองไม่ได้ รอบคอบ มีคนให้กำลังใจ แต่ไม่ดีใจเรื่องน่าอาย เชื่อจะไม่ต้องทำแบบนี้อีก หากใครซ้ำรอยพิจารณาcase by case ผบ.เหล่าทัพน่ารักไม่มีปัญหา ทำงานกันได้พร้อมเคลียร์ใจ พล.อ.เสถียร พล.อ.ชาตรี พล.อ.พิณภาษณ์ หากขอพบพูดคุยเชื่อฟ้องไม่ได้เเป็นทหารที่ดี

พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงว่า การโยกย้ายข้าราชการให้ไปช่วยราชการ เป็นสิทธิที่รัฐมนตรีทำได้ โดยมีกฎหมายให้อำนาจชัดเจน เพื่อให้การดำเนินงานในกระทรวงมีประสิทธิภาพ เนื่องจากการทำงานเปรียบเหมือนการเล่นฟุตบอลที่ต้องมีโคช มีผู้เล่น จึงต้องปรับเปลี่ยนตำแหน่งต่างๆ เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพที่สุด สำหรับตำแหน่งปลัดกระทรวง จะมาจากตำแหน่งพลเอกหรือจอมพล ก็ได้


ส่วนประเด็นการโยกย้ายข้าราชการในกระทรวงถือว่ายังไม่แล้วเสร็จ ซึ่งการแต่งตั้งโยกย้าย ตนเป็นเพียง 1 เสียง จากทั้งหมด 6 เสียง เรื่องนี้ ควรเป็นเรื่องภายในกระทรวงไม่ควรหลุดไปข้างนอก ถ้ามีปัญหาอะไร คนที่เกี่ยวข้อง ต้องพูดคุยกัน ไม่ควรไปพูดผ่านสื่ออื่นๆ เรื่องนี้ ถือเป็นเรื่องที่น่าอายเป็นอย่างยิ่งและจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะออกมาชี้แจง


รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันว่า เรื่องทั้งหมด ไม่มีการเมืองแทรกแซง และการลงนามโยกย้าย เป็นการตัดสินใจของตนเพียงผู้เดียว ไม่เกี่ยวกับ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ส่วนที่หลายฝ่ายกังวลว่า อาจจะทำให้เกิดการโยกย้ายตามใจชอบ ตนยืนยันว่าต้องพิจารณา เป็นกรณีไป ทั้งนี้ พร้อมเคลียร์ใจกับทุกฝ่าย 

"สุกำพล" แจกงาน "ปลัดกลาโหม" ให้ไปดูยุทธศาสตร์ใต้ ดูภัยพิบัติ


รูปภาพ : พล.อ.อ.สุกำพล รมว.กห.เรียกประชุมหน่วยขึ้นตรงสำนักรมว.กห.และสำนักปลัดแจงคำสั่ง และมอบหมายงานและประกาศตั้ง พล.อ.วิทวัส รรก.ปลัดฯ
go6TV (28 สิงหาคม 2555) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีคำสั่งสำนักงานรัฐมนตรี (เฉพาะ) ที่ 188/55 เรื่องให้นายทหารปฏิบัติหน้าที่ราชการ ตามคำสั่งกห.(เฉพาะ) ที่ 383/55 ลงวันที่ 27 ส.ค. 55 เรื่อง

ให้นายทหารช่วยปฏิบัติราชการ โดยให้นายทหารสัญญาบัตรสังกัด สป.ช่วยปฏิบัติราชการที่ สร. และให้ส่งมอบหน้าที่ราชการประจำและรายงานตัวเพื่อปฏิบัติราชการ ณ สำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงกลาโหม ถ.แจ้งวัฒนะ จ.นนทบุรี จำนวน 3 นายนั้น ฉะนั้น จึงให้นายทหารสัญญาบัตร สังกัด สป. ช่วยปฏิบัติราชการที่ สร.ปฏิบัติหน้าที่ดังนี้

1.พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปล.กห. รับหน้าที่ให้คำปรึกษาและข้อพิจารณาเสนอแนะเกี่ยวกับนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของชาติ และการใช้ทหารพัฒนาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

2. พล.อ.ชาตรี ทัตติ รอง ปล.กห. ปฏิบัติหน้าที่ให้คำปรึกษาและข้อพิจารณาเสนอแนะเกี่ยวกับนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันและช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ

3. พล.อ.พิณภาษณ์ สริวัฒน์ จก.สม. ให้คำปรึกษาและข้อพิจารณาเสนอแนะเกี่ยวกันโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการบริหารจัดการเพื่อแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้

สั่ง ณ วันที่ 28 ส.ค. 2555

พล.อ.วรวิทย์ ชินะนาวิน
เลขานุการรมว.กลาโหม

ป.ป.ช.มติเอกฉันท์ 7 เสียง "ยกฟ้อง" ทุจริตซีทีเอ็กซ์ 9000

CTX 9000
go6TV (28 ส.ค. 55) ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเอกฉันท์ 7 เสียง ยกฟ้องข้อกล่าวหาการทุจริตจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด ซีทีเอ็กซ์ 9000 จำนวน 26 เครื่อง ซึ่งมีผู้เกี่ยวข้อง 28 คน รวม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

นอกจากนี้ที่ประชุมฯมีมติให้ไต่สวนต่ออดีตกรรมการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอีก 6 คน ซึ่งพบหลักฐานว่ามีส่วนเกี่ยวพันกัน ได้แก่ นายศรีสุข จันทรางศุ ,พล.อ.สมชัย สมประสงค์ ,นายชัยเกษม นิติสิริ ,นายเทิดศักดิ์ เศรษฐมานพ ,นายศุภเดช พูนพิพัฒน์ และ พล.อ.อ.ณรงค์ศักดิ์ สังขพงศ์

สำหรับโครงการจัดซื้อและติดตั้งเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดแบบซีทีเอ็กซ์ 9000 และการก่อสร้างระบบสายพานลำเลียงกระเป๋า ในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ คดีดังกล่าวสืบเนื่องมาจากคณะทำงานร่วมระหว่างอัยการสูงสุดและ ป.ป.ช. มีความเห็นไม่ตรงกันว่าสมควรสั่งฟ้องคดีต่อศาลหรือไม่ ซึ่งอัยการสูงสุดมีดุลยพินิจว่าไม่สั่งฟ้อง เพราะพยานหลักฐานไม่เพียงพอ ทำให้ป.ป.ช.ต้องขอดึงสำนวนกลับมา เพื่อพิจารณาว่าจะดำเนินการฟ้องคดีเอง หรือจะยุติการฟ้องคดีตามความเห็นของอัยการสูงสุด

เคาะแล้ว! ลุยแก้ รัฐธรรมนูญฉบับรัฐประหาร กันยายนนี้

นายโภคิน พลกุล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (วันที่ 27 ส.ค.) ที่พรรคเพื่อไทย มีการประชุมคณะทำงานพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มี นายโภคิน พลกุล เป็นประธานการประชุม ภายหลังการประชุมนายโภคินกล่าวว่า คณะทำงานจะทำหนังสือเชิญคณะนักวิชาการ 5 คณะที่เคยแสดงความเห็นและศึกษาเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50 ได้แก่ 1.สถาบันพระปกเกล้า 2.ศูนย์ศึกษาสันติวิธีและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล ที่มีนายโคทม อารียา เป็นประธาน 3.นายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี ในฐานะอดีตประธานคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อปฏิรูปการเมืองและแก้ไขรัฐธรรมนูญ 4.นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิบการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ในฐานะประธานพิจารณาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของคณะกรรมการ สมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ 5.กลุ่มมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน มาให้ความเห็นและข้อเสนอแนะเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนการรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ขณะนี้นายวราเทพ รัตนากร คณะทำงานพรรคร่วมรัฐบาลฯกำลังวางแนวทางรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่ โดยให้เปรียบเทียบกับการณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญปี 40

นายโภคินกล่าวว่า ขั้นตอนขณะนี้ต้องรณรงค์ให้ประชาชนเห็นพ้องก่อนว่า ต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50 เมื่อสังคมเห็นด้วยแล้ว จากนั้นจึงค่อยหาวิธีการว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50 ด้วยวิธีการใดเช่น การทำประชามติ หรือการแก้ไขเป็นรายมาตรา

นายวราเทพ คณะทำงานพรรคร่วมรัฐบาลฯ กล่าวว่า สาเหตุที่ต้องรณรงค์ทำความเข้าใจกับประชาชนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50 เนื่องจากสถานการณ์การรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญปี 40 ต่างจากสถานการณ์ ในขณะนี้ จึงต้องรณรงค์เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง คาดว่าจะใช้เวลา 2 สัปดาห์ในการวางแผนการรณรงค์ จากนั้นกลางเดือน ก.ย.จะเริ่มการรณรงค์แก้รัฐธรรมนูญปี 50 ได้

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

โผรายชื่อการปรับย้ายและแต่งตั้งนายทหารประจำปี 2555

27 สิงหาคม 2555 go6TV -  ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าการจัดทำบัญชีรายชื่อปรับย้ายนายทหารประจำปี 2555 ภายหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ก่อนออกเดินทางไปประเทศสิงคโปร์ โดยระบุว่า การปรับย้ายของกองทัพบกผ่านขั้นตอนของคณะกรรมการเรียบร้อยแล้ว โดยจะนำสู่กระบวนการของคณะกรรมการของกระทรวงกลาโหม ซึ่งจะประชุมเร็วๆ นี้ โดยในส่วนของกองทัพบกไม่มีปัญหานั้น

ล่าสุดมีรายงานเกี่ยวกับโผการจัดทำบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชุดล่าสุด ซึ่งมีตำแหน่งที่น่าสนใจหลายตำแหน่ง อาทิ ในส่วนสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม มีรายงานว่าเตรียมที่จะให้ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก จาก ผอ.สนผ.กห.(ตท.14) เป็น รองปลัดฯกลาโหม พล.ร.อ.อมรเทพ ณ บางช้าง ผช.ผบ.ทร. (ตท.13) เป็น รองปลัดฯกลาโหม และ พล.อ.อ.วินัย เปล่งวิทยา ผช.ผบ.ทอ.(ตท.12) เป็น รองปลัดฯกลาโหม

ขณะที่ในส่วนของ 3 เหล่าทัพนั้น มีตำแหน่งที่น่าสนใจ อาทิ กองทัพบก พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 (ตทม.14) เป็น ผช.ผบ.ทบ. พล.ต.ปรีชา จันทร์โอชา รองแม่ทัพภาคที่ 3 (ตท.15) เป็น แม่ทัพน้อยที่ 3 พล.ต.ไพบูลย์ คุมฉายา รองแม่ทัพภาคที่ 1 (ตท.15) เป็น แม่ทัพภาคที่ 1 พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 (ตท.13) เป็น ที่ปรึกษาพิเศษ ทบ.(อัตราพลเอก) กองทัพเรือ พล.ร.อ.ดำรงศักดิ์ ห้าวเจริญ เสธ.ทร.(ตท.13) เป็น รองผบ.ทร. กองทัพอากาศ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผช.ผบ.ทอ.(ตท.13) เป็น ผบ.ทอ. พล.อ.อ.เพิ่มเกียรติ ลวณะมาลย์ เสธ.ทอ.(ตท.13) เป็น รองผบ.ทอ.

โผรายชื่อการปรับย้ายและแต่งตั้งนายทหารประจำปี 2555

สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม

พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ผอ.สนผ.กห.(ตท.14) เป็น รองปลัดฯกลาโหม พล.ร.อ.อมรเทพ ณ บางช้าง ผช.ผบ.ทร. (ตท.13) เป็น รองปลัดฯกลาโหม พล.อ.อ.วินัย เปล่งวิทยา ผช.ผบ.ทอ.(ตท.12) เป็น รองปลัดฯกลาโหม พล.อ.ไพชยนต์ ค้าทันเจริญ ผทค.พิเศษ สป. (ตท.14) เป็น ผอ.สนผ.กห. พล.ท.รัตนพันธ์ โรจนะภิรมย์ รองจก.พระธรรมนูญ เป็น เจ้ากรมพระธรรมนูญ, พล.ท.ชัยวัฒน์ สะท้อนดี รอง ผู้อำนวยการศูนย์อุตสาหกรรมและพลังงานทหาร(ศอพท.)(ตท.13) เป็น ผอ.ศอพท. พล.ท.วิภาต วิภาตะศิลปิน รองผอ.สำนักงบประมาณ กห.(ตท.14) เป็น ผอ.สำนักงาบประมาณ กห. พล.ท.ชาญ โกมลหิรัญ รองจก.เสมียนตรา (ตท.14)เป็น ที่ปรึกษาพิเศษ สป. พล.ท.วุฒิชัย ศิริสัมพันธ์ หน.สน.ปล.กห.(ตท.13) เป็น ที่ปรึกษาพิเศษ สป.

บก.กองทัพไทย

พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร เสธ.ทหาร(ตท.12) เป็น รอง ผบ.ทหารสูงสุด, พล.อ.เผด็จการณ์ จันทร์เสวก ผบ.สปท.(ตท.12) เป็น เสธ.ทหาร พล.อ.วุฒินันท์ ลีลายุทธ รองเสธ.ทหาร(ตท.13) เป็น ปธ.คณะที่ปรึกษา บก.ทท. พล.อ.สมหมาย เกาฏีระ หน.ฝสธ.ผบ.สส. (ตท.15) เป็น ผบ.นทพ. พล.ท.สุรพงษ์ สุวรรณอัตถ์ จก.ยุทธการทหาร(ตท.15)เป็น รอง เสธ.ทหาร พล.อ.ธงชัย แฉล้มเขต รองเสธ.ทอ.(ตท.13) เป็น รองเสธ.ทหาร พล.ท.มารุต ปัชโชตะสิงห์ รองผบ.สปท. เป็น ผบ.สปท. พล.ท.ธารไชยยันต์ ศรีสุวรรณ ผช.หน.ฝสธ.ผบ.สส. เป็น จก.ยุทธการทหาร พล.ต.สีหนาท วงศาโรจน์ รองผบ.ศรภ. (ตท.16) เป็น ผบ.ศรภ.

กองทัพบก

พล.อ.ชลวิชญ์ เพิ่มทรัพย์ หน.คณะฝสธ.ประจำ ผบช.(ตท.12) เป็น ประธานคณะที่ปรึกษา ทบ. (ปธ.คปษ.ทบ.) พล.ท.จิระเดช โมกขะสมิต รองเสธ.ทบ.(1)(ตท.13) เป็น ผช.ผบ.ทบ. พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1 (ตทม.14)เป็น ผช.ผบ.ทบ. พล.ท.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รองเสธ.ทบ.(2)(ตท.12) เป็น หน.คณะ ฝสธ.ประจำ ผบช. พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 (ตท.13) เป็น ที่ปรึกษาพิเศษ ทบ.(อัตราพลเอก) พล.อ.ยอดยุทธ บุญญาธิการ ผบ.นปอ.(ตท.12 ) เป็นที่ปรึกษาพิเศษ ทบ.(อัตราพลเอก) พล.ท.วิลาศ อรุณศรี ผช.เสธ.ทบ.ฝ่ายข่าว (ตท.12) เป็น ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ.(อัตราพลเอก) พล.ท.ศุภรัตน์ พัฒนาวิสุทธ์ ผบ.นศส.(ตท.12) เป็น ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ.(อัตราพลเอก) พล.ท.อุทิศ สุนทร แม่ทัพน้อยที่ 1 (ตท.14) เป็น รองเสธ.ทบ. พล.ท.อัษรา เกิดผล ผช.เสธ.ทบ.ฝยก.(ตท.14) เป็น รองเสธ.ทบ. พล.ท.สุรเชษฐ ชัยวงศ์ แม่ทัพน้อยที่ 3 (ตท.14) เป็น ผช.เสธ.ทบ.กพ. พล.ต.สินธุ์ชัย เจ้ากรมข่าวทหารบก(ตท.13) เป็น ผช.เสธ.ทบ.ฝ่ายข่าว พล.ต.ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข จก.ยุทธการทหารบก(ตท.15) เป็น ผช.เสธ.ทบ.ฝ่ายยุทธการ พล.ต.ไพบูลย์ คุมฉายา รองแม่ทัพภาคที่ 1 (ตท.15) เป็น แม่ทัพภาคที่ 1 พล.ต.วลิต โรจนภักดี รองแม่ทัพภาคที่ 1 (ตท.15) เป็น แม่ทัพน้อยที่ 1 พล.ต.ปรีชา จันทร์โอชา รองแม่ทัพภาคที่ 3 (ตท.15) เป็น แม่ทัพน้อยที่ 3 พล.ต.กิตติ อินทสร รองแม่ทัพภาคที่ 4 (ตท.14) เป็น แม่ทัพภาคที่ 4 พล.ต.เชิดชัย จันทร์เทศ รองผบ.นศส.(ตท.13) เป็น ผบ.นศส. พล.ต.วีรัณ ฉันทศาสตร์โกศล รองผบ.นปอ.(ตท.14) เป็น ผบ.นปอ. พล.ต.ภาณุมาศ โกสินทรเสนีย์ รองจก.สื่อสารทหารบก(ตท.12) เป็น เจ้ากรมสื่อสารทหารบก พล.ต.สมชาย ลิ้นประเสริฐ รองจก.พลาธิการทหารบก(ตท.14) เป็น จก.พลาธิการทหารบก พล.ท.ภาณุวิชญ์ พุ่มหิรัญ ผอ.ศพม.(ตท.11) เป็น จก.แพทย์ทหารบก พล.ต.ประสงค์ ฟักสังข์ ผบ.มทบ.12(ตท.14) เป็น รองแม่ทัพภาคที่ 1 พล.ต.ภาณุวัชร นาควงษม์ ผบ.พล.ร.9(ตท.17) เป็น รองแม่ทัพภาคที่ 1 พล.ต.ถกลเกียรติ นวลยง ผบ.จทบ.สระแก้ว(ตท.16) เป็น ผบ.มทบ.12 พล.ต.ธวัช สุกปลั่ง ผบ.พล.ร.3(ตท.14) เป็น รองแม่ทัพภาคที่ 2 พล.ต.วิชัย แชจอหอ ผบ.พล.พัฒนา2(ตท.17) เป็น ผบ.พล.ร.3 พล.ต.กฤษณ์ กิจสุวรรณ ผบ.พล.ร.7 (ตท.14) เป็นรองแม่ทัพภาคที่ 3 พล.ต.ยอดชัย ยั่งยืน ผบ.บชร.4 (ตท.15) เป็น รองแม่ทัพภาคที่ 4 พล.ต.สำเริง สามดาว ผบ.พล.ปตอ.(ตท.13) เป็น รองผบ.นปอ. พ.อ.วราห์ บุญญะสิทธิ์ รองผบ.พล.1 รอ.(ตท.18) เป็น ผบ.พล.ร.9 พ.อ.นันทพล จำรัสโรมรัน รองผบ.พล.ม.2 รอ.(ตท.15) เป็น ผบ.พล.ม.2 รอ. พ.อ.ชีวิต พินทุวัฒนะ รองผบ.พล.พัฒนา2(ตท.17) เป็น ผบ.พล.พัฒนา 2 พ.อ.สุทัศน์ จารุมณี รองผบงพล.ร.7 (ตท.18) เป็น ผบ.พล.ร.7 พล.ต.สาธิต พิธรัตน์ เสธ.ทภ.3 (ตท.16) เป็น ผบ.พล.พัฒนา3 พล.ต.ธันยวัตร ปัญญา ผบ.จทบ.เชียงราย(ตท.13) เป็น ผบ.มทบ.33 พ.อ.สัณห์ชัย จารุวรรณ รองผบ.มทบ.33(ตท.14) เป็น ผบ.จทบ.เชียงราย พล.ต.เลอชัย มาลีเลิศ ผบ.จทบ.ชุมพร(ตท.16) เป็น ผบ.บชร.4 พ.อ.ปณต แสงเทียน รอง.จก.ข่าวทหารบก(ตท.18) เป็น จก.ข่าวทหารบก พ.อ.สสิน ทองภักดี รองจก.ยุทธการทหารบก (ตท.17) เป็น จก.ยุทธการทหารบก พล.ต.สิโรจน์ ชูศักดิ์ ผทค.ทบ. (ตท.15) เป็น จก.สห.ทบ. พ.อ.สุทธิชัย วงษ์บุบผา รองจก.ขส.ทบ. (ตท.15) เป็น จก.ขส.ทบ. พ.อ.โชติอนันต์ปรีชา ทรัพย์หิรัญ รองผบ.พล.ปตอ.(ตท.17) เป็น ผบ.พล.ปตอ.

กองทัพเรือ

พล.ร.อ.ดำรงศักดิ์ ห้าวเจริญ เสธ.ทร.(ตท.13) เป็น รองผบ.ทร. พล.ร.อ.ชัยวัฒน์ เอี่ยมสมุทร หน.ฝสธ.ประจำ ผบช.(ตท.12) เป็น ปธ.คณะที่ปรึกษา ทร. พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ที่ปรึกษาพิเศษ ทร.(ตท.13) เป็น ผช.ผบ.ทร. พล.ร.อ.จักรชัย ภู่เจริญยศ รองเสธ.ทร. เป็น เสธ.ทร. พล.ร.ท.ไกรสรณ์ จันทรสุวานิชย์ ผบ.รร.นายเรือ(ตท.13) เป็น ที่ปรึกษาพิเศษ ทร. พล.ร.ท.ณรงค์พล ณ บางช้าง รอง เสธ.ทร.(ตท.14) เป็นที่ปรึกษาพิเศษ ทร. พล.ร.ท.ชัยรัตน์ เจริญรักษ์ (ตท.15) ผบ.ฐานทัพเรือสัตหีบ หน.ฝสธ.ประจำ ผบช.(อัตราพลเรือเอก)

กองทัพอากาศ

พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผช.ผบ.ทอ.(ตท.13) เป็น ผบ.ทอ. พล.อ.อ.เพิ่มเกียรติ ลวณะมาลย์ เสธ.ทอ.(ตท.13) เป็น รองผบ.ทอ. พล.อ.อ.ดิเรก พรหประยูร ที่ปรึกษาพิเศษ ทอ.(ตท.12) เป็น ประธานคณะที่ปรึกษา ทอ. พล.อ.อ.ชนะ อยู่สถาพร ผทค.พิเศษ ทอ.(ตท.13) เป็น ผช.ผบ.ทอ. พล.อ.อ.ทรงธรรม โชติคณาพิทักษ์ ผบ.คปอ.(ตท.14) เป็น ผช.ผบ.ทอ. พล.อ.ท.อารยะ งามประมวญ รองเสธ.ทอ.(ตท.13) เป็น เสธ.ทอ. พล.อ.ท.สฤษดิ์พงษ์ โกมุทานนท์ ผบ.รร.นายเรืออากาศ (ตท.13) เป็น ผบ.คปอ. พล.อ.ท.ตรีทศ สนแจ้ง ผช.เสธ.ทอ.ฝยบ.(ตท.14) เป็น รองเสธ.ทอ. พล.อ.ท.กฤษณะ นิ่มวัฒนา ผช.เสธ.ทอ.ฝกพ. (ตท.14) เป็น รองเสธ.ทอ. พล.อ.ท.วรฉัตร ธารีฉัตร ผบ.วิทยาลัยเสนาธิการทหาร (ตท.15) เป็น รองเสธ.ทอ. พล.อ.ต.จอม รุ่งสว่าง จก.ยก.ทอ.(ตท.16) เป็น ผช.เสธ.ทอ.ฝยก. พล.อ.ต.อดิศักดิ์ เจิมวมวรรธนะ จก.กบ.ทอ.(ตท.16) เป็น ผช.เสธ.ทอ.ฝยบ. พล.อ.ต.ศิวเกียรติ์ ชเยมะ ผบ.รร.การบิน (ตท.16) เป็น ผช.เสธ.ทอ.ฝกพ. พล.อ.ต.อนันตศักดิ์ อะดุงเดชจรูญ เลขาฯทอ.(ตท.16) เป็น ผช.เสธ.ทอ.ฝกร. พล.อ.ท.อานนท์ จารยะพันธ์ ผบ.หน่วยบัญชาการอากาศโยธิน (ผบ.อย.(ตท.15) เป็น ผบ.รร.นายเรืออากาศ พล.อ.ท.ยุทธนา ผทค.พิเศษ ทอ.(ตท.13) เป็น ผบ.อย. พล.อ.ต.สุรจิต สุวรรณทัต ผทค.ทอ.(ตท.15) เป็น รองผบ.อย. พล.อ.ต.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน จก.ข่าวทหารอากาศ(ตท.18) เป็น จก.ยุทธการทหารอากาศ พล.อ.ต.ชาญฤทธ์ พลิกานนท์ เสธ.รร.นายเรืออากาศ(ตท.18) เป็น ผบ.รร.การบิน น.อ.สุรทัต สุวรรณทัต (ตท.18) เป็น จก.กิจการพลเรือนทหารอากาศ.

ประหลาด! "หมอตุลย์" อ้างมือดีแขวนถุงระเบิดปลอมห้อยประตูรถที่จุฬาฯ



วันนี้ (27 ส.ค.) ร.ต.อ.หญิงคนึงนุช ทศไพรินทร์ พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.ปทุมวัน รับแจ้งเหตุพบวัตถุต้องสงสัยภายในโรงพยาบาลจุฬาฯ ถนนพระรามที่ 4 แขวงและเขตปทุมวัน ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อม พ.ต.อ.เทียนชัย คามะปะโส ผกก.สน.ปทุมวัน พ.ต.ท.พนม เชื้อทอง รอง ผกก.(สส.) พ.ต.ท.สรกานต์ ดำกระบี่ สว.สส. และเจ้าหน้าที่หน่วยเก็บกู้และตรวจพิสูจน์ บก.สปพ.บช.น. ที่เกิดเหตุอยู่บนลานจอดรถชั้น 4 เอ ล็อค 23 ของโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่พบถุงกระดาษยี่ห้อบิวตี้ฮอลล์ 1 ใบ ตกอยู่ที่พื้นลานจอดรถ ตรวจสอบภายในพบระเบิดสังหารชนิด เอ็มเคทู (น้อยหน่า) สภาพพร้อมใช้งาน 1 ลูก มีสายไฟต่อระโยงรยางค์กับถ่านไฟฉายขนาดกลาง เอเวอร์เรดี้ 2 ก้อน บรรจุไว้ในกระบอกกระดาษทรงกลมสีน้ำตาล 1 อัน จึงทำการเก็บกู้ ก่อนนำไปตรวจสอบหาลายนิ้วมือแฝงต่อไป

จากการสอบสวน นายสมพิศ ลีจาด รปภ.ของโรงพยาบาลให้การว่า ก่อนเกิดเหตุ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงษ์ ได้ขับรถเก๋งส่วนตัวลงมาจากลานจอดรถของโรงพยาบาล ก่อนจะแจ้งว่ามีคนนำระเบิดปลอมใส่ถุงมาแขวนไว้ที่กระจกมองข้างรถฝั่งคนขับแต่ได้โยนทิ้งไปแล้ว พร้อมทั้งให้ขึ้นไปตรวจสอบจึงเดินขึ้นไปตรวจสอบที่ลานจอดรถชั้นที่ 4 ก็พบถุงใบดังกล่าวตกอยู่ที่พื้น และมีถ่านกระเด็นออกมาจึงเข้าไปตรวจดูใกล้ๆ ก็พบระเบิดกับถ่ายไฟฉาย จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาตรวจสอบพบว่าเป็นระเบิดพร้อมใช้แต่ต่อวงจรไม่ครบถ้วน

ต่อมาเวลา 20.30 น.นพ.ตุลย์ เดินทางเข้าให้ปากคำกับ ร.ต.อ.(หญิง) คนึงนุช อีกครั้ง โดยมี พล.ต.ต.วัลลภ ประทุมเมือง ผบก.น.6 พ.ต.อ.เทียนชัย พ.ต.ท.พนม ร่วมทำการสอบปากคำ โดยเบื้องต้น นพ.ตุลย์ ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุเวลาประมาณ 15.30 น.กำลังจะขับรถไปรับลูก แต่เมื่อเดินมาถึงที่จอดรถก็พบถุงใบดังกล่าวแขวนอยู่ที่กระจกมองข้างฝั่งคนขับ เมื่อเปิดออกดูก็พบว่าเป็นระเบิดบรรจุอยู่ในกระบอกทรงกลม แต่ไม่น่าจะใช่ระเบิดของจริง เพราะดูเหมือนสายไฟจะต่อวงจรไม่สมบูรณ์จึงโยนทิ้งไป ก่อนจะขับรถลงมาแจ้งให้รปภ.ทราบ ทั้งนี้โดยส่วนตัวแล้วรู้สึกเฉยๆ ไม่ได้กังวลหรือเกรงกลัวอะไร และก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยมีใครข่มขู่ลักษณะนี้มาก่อน และหลังจากเจอระเบิดแล้วก็ไม่มีใครโทรมาข่มขู่ด้วย อย่างไรก็ตามสำหรับกรณีนี้ได้ปรึกษากับผู้บังคับบัญชาแล้วก็ไม่อยากเป็นข่าวมากนัก.

อ้างอิง  

"พล.อ.เสถียร" เปรยแกมขู่ "ให้อีกฝ่ายเป็นผู้ร้ายไปฝ่ายเดียวดีกว่า!"

27 สิงหาคม 2555 go6TV - พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม เปิดเผยถึงกรณีที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกคำสั่งให้ พล.อ.เสถียร ไปช่วยปฏิบัติราชการที่สำนักงานรัฐมนตรี (สร.) กระทรวงกลาโหม ว่า "ตนยอมรับคำสั่งไปช่วยราชการสำนักงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมกันนี้ยังกล่าวว่า ตนไม่เสียใจ ยืนยันว่าทำทุกอย่างตามกฎหมาย และดำเนินการในสิ่งที่ถูกต้อง และเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนนั้น น่าจะเป็นแบบอย่างที่ผู้บัญชาการเหล่าทัพอาจจะต้องเจอเช่นกัน"

พล.อ.ชาตรี ทัตติ รองปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า "ได้ทราบข่าวแล้วว่ามีคำสั่งจาก พล.อ.อ.สุกำพล ให้โยกย้ายตนเองออกจากตำแหน่งรองปลัดกระทรวงกลาโหม แต่ยังไม่เห็นเอกสารเป็นลายลักษณ์อักษร และยังไม่ทราบเหตุผลที่ถูกย้ายในครั้งนี้ แต่ยืนยันว่า ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับบัญชีโยกย้ายนายทหารประจำปี 2556 เพราะเป็นแค่คนหนึ่งที่เป็นแคนดิเดตถูกเสนอให้เป็นปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่เท่านั้น จึงไม่เข้าใจว่าโดนโยกย้ายเพราะเหตุใด"

"ส่วนช่องทางที่จะสามารถยื่นร้องเรียน หากเห็นว่าการโยกย้ายไม่เป็นธรรมนั้น จะต้องหารือกับผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายก่อน ซึ่งมีช่องทางอยู่ แต่ตอนนี้ยังไม่ขอพูดอะไรมาก เพราะยังไม่เห็นเอกสาร จึงไม่อยากเป็นผู้ร้าย ขอให้อีกฝ่ายเป็นผู้ร้ายไปฝ่ายเดียวดีกว่า ทั้งนี้ ยังขอให้สังคมพิจารณาเอาเอง เนื่องจากบางเรื่องไม่ใช่ปัญหาเรื่องกฎหมาย แต่เป็นปัญหาเรื่องจริยธรรม โดยไม่ขอตอบว่าถูกกลั่นแกล้งทางการเมืองหรือไม่ แต่เชื่อว่าสื่อคงมองออกว่าเป็นอย่างไร เพราะปัญหาคือ เมื่อไม่ได้ดั่งใจก็ทำแบบนี้ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาทำงานตามเส้นทางปกติ ซึ่งยอมรับว่าสนิทสนมกับ พล.อ.เสถียร เพราะเป็นปลัดและรองปลัดที่งานร่วมกันตลอด และ พล.อ.เสถียร ก็สนิทกับรองปลัดทุกคน แต่ทั้งนี้ขณะนี้ยังไม่ได้หารือกัน"

ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ลงนามในคำสั่งกระทรวงกลาโหม(เฉพาะ) ที่ 383/55 เรื่องให้นายทหารช่วยปฏิบัติราชการเพื่อให้การบริหารราชการในกระทรวงกลาโหมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 มาตรา 9 และมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 จึงให้นายทหารสัญญาบัตรสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมช่วยปฏิบัติราชการที่สำนักรมว.กลาโหม และให้ส่งมอบหน้าที่ราชการ และรายงานตัวเพื่อปฏิบัติราชการตามคำสั่งนี้ ณ สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ถนนแจ้งวัฒนะ จ.นนทบุรี ดังนี้ พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ชาตรี ทัตติ รองปลัดกระทรวงกลาโหม และพล.อ.พิณภาษณ์ สริวัฒน์ เจ้ากรมเสมียนตรา โดยให้พล.อ.เสถียร รายงานตัวตั้งแต่ 27 สิงหาคม 30 กันยายน 2555 ส่วนพล.อ.ชาตรี และพล.อ.พิณภาษณ์ รายงานตัวตั้งแต่ 27 สิงหาคม 2555 เป็นต้นไป สั่ง ณ วันที่ 27 สิงหาคม 2555


เอกสารยืนยันการสั่งให้ปฏิบัติราชการ มิใช่การสั่งย้าย

"อภิสิทธิ์" เครียดจัด หลังให้การ DSI นาน 7 ชั่วโมง

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
27 สิงหาคม 2555 go6TV - นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนดีเอสไอคดีการเสียชีวิต 91 ศพ ซึ่งใช้เวลานานเกือบ 7 ชั่วโมงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ว่า "ตนได้ชี้แจงข้อมูลตามข้อเท็จจริงทั้งหมดเบื้องต้นยังไม่ทราบว่าจะต้องเข้าให้ข้อมูลอีกหรือไม่ แต่พนักงานสอบสวนไม่ได้ติดใจในประเด็นใดๆอีก หลังจากนี้ตนจะอาจจะกลับไปตรวจดูเอกสารต่าง ๆ ว่า จำเป็นต้องส่งข้อมูลใดเข้าเป็นพยานเอกสารเพิ่มเติมหรือไม่"

แหล่งข่าวจากดีเอสไอ เปิดเผยว่า นายอภิสิทธิ์ได้เข้าให้การอธิบายตามลำดับเหตุการณ์ในเดือนเม.ย.ถึงพ.ค. 53 โดยเป็นการเข้าให้การในฐานะพยานและได้ให้การตั้งแต่เวลาประมาณ 10.00-14.00 น. หลังจากนั้นนายอภิสิทธิ์ได้ตรวจสอบคำให้การทั้งหมดอย่างละเอียด และลงลายมือชื่อรับรองสำเนาเอกสารทั้งหมดกว่า 500 หน้ากระดาษ ทำให้ใช้เวลาในกระบวนการทั้งหมดนานเกือบ 7 ชั่วโมงเต็ม