วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

"คมชัดลึก" แถลง "โดนสนธิ (ลิ้ม) ใส่ร้ายรับเงินเพื่อไทย"


หมายเหตุ หน้า 1 'คม ชัด ลึก'
เราพร้อมให้ตรวจสอบ กรณีถูกพาดพิงการทำหน้าที่สื่อฯ

ตามที่มีข่าวระบุในเว็บไซต์ผู้จัดการว่า มีผู้ส่งข้อความในอีเมลส่วนตัว 2 ฉบับ ในหัวข้อ “จดหมายถึงท่านพงษ์ศักดิ์” และ “ข้อเสนอ วิม” ไปยังสื่อมวลชนฉบับต่าง ๆ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ที่ผ่านมา โดยใช้ชื่อว่า “วิม” (wim Rungwattanajinda) อีเมล wim108@live.com ส่วนผู้รับชื่อพงษ์ศักดิ์ ใช้อีเมล rukta_ladawan@yahoo.com และ rukta.pong@yahoo.com เนื้อหาระบุถึงการดำเนินงานด้านการประชาสัมพันธ์ข่าวเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยต่อสื่อมวลชนไทย พร้อมทั้งข้อความทำให้เข้าใจว่า มีการจ่ายเงินให้แก่ "โจ้-ปรีชา" นักข่าว 2 คนของหนังสือพิมพ์ "คม ชัด ลึก" จำนวน 2 หมื่นบาทด้วยนั้น

ในเรื่องนี้ ทางบรรณาธิการอาวุโสเครือเนชั่น ได้สอบสวนบุคคลทั้งสองที่ถูกพาดพิง ตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2554 จากการสอบสวนบุคคลทั้งสอง ได้ชี้แจงว่า ความสัมพันธ์กับนายวิม และนายพงษ์ศักดิ์ เป็นไปตามความสัมพันธ์ ระหว่างผู้สื่อข่าวกับแหล่งข่าวอย่างเคร่งครัด โดยไม่ได้มีผลประโยชน์โดยตรงหรือแอบแฝง และไม่เคยพยายามผลักดันข่าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้อยู่หน้า 1 หรือหน้าใด ๆ ของหนังสือพิมพ์ "คม ชัด ลึก"
อนึ่ง ทั้ง นางฐานิตะญาณ์ ธนพิศุทธิ์กุล บรรณาธิการข่าวการเมือง สำนักข่าวเนชั่น และ นายปรีชา สอาดสอน บรรณาธิการข่าวอาชญากรรม สำนักข่าวเนชั่น ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง กับการทำงานของกองบรรณาธิการ "คม ชัด ลึก" และไม่มีบทบาทในการเลือกภาพ หรือชี้นำประเด็นข่าว อย่างที่มีการระบุ หน้าที่ของบรรณาธิการทั้ง 2 คน คือทำงานในส่วนกลาง เพื่อป้อนข่าวให้สื่อในเครือเดอะเนชั่น ทั้งในส่วนของหนังสือพิมพ์ "คม ชัด ลึก", กรุงเทพธุรกิจ, เดอะเนชั่น, เนชั่นสุดสัปดาห์ และเนชั่น แชนแนล เท่านั้น โดยไม่สามารถชี้นำการทำงาน ของกองบรรณาธิการสื่ออื่น ๆ ในเครือเนชั่นได้
จากการตรวจสอบ นางฐานิตะญาณ์ ได้ชี้แจงโดยละเอียดว่า มีการพบกับนายวิม และนายพงษ์ศักดิ์กี่ครั้ง พร้อมกับยืนยันว่า ในทุกครั้งมีเพื่อนร่วมงานมาด้วยเสมอ และเป็นการพบปะเพื่อสัมภาษณ์โดยไม่ได้มีวาระซ่อนเร้น ส่วนนายปรีชา ยืนยันว่า ไม่เคยได้พบกับนายพงษ์ศักดิ์ แม้แต่ครั้งเดียว และแม้จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายวิม แต่ก็เป็นเฉพาะเพื่อนเล่นกอล์ฟในก๊วนเดียวกัน โดยไม่ได้มีการเลี้ยงดูหรือรับผลประโยชน์ใด ๆ จากนายวิม ทั้งสิ้น
ทั้งนี้ นางฐานิตะญาณ์ และนายปรีชา พร้อมที่จะชี้แจงข้อเท็จจริง และตอบทุกคำถาม ทุกประเด็นข้อสงสัย จากเพื่อนร่วมงานในเครือเนชั่น เวลา 16.00 น. ของวันที่ 1 ก.ค.นี้
อนึ่ง กองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ "คม ชัด ลึก" ขอเรียกร้องให้สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้ โดยหนังสือพิมพ์ "คม ชัด ลึก" และผู้ที่เกี่ยวข้อง พร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ และสำหรับพรรคเพื่อไทย ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและถูกพาดพิงในกรณีนี้ ทางกองบรรณาธิการ "คม ชัด ลึก" ขอเรียกร้องให้ออกมาทำความกระจ่างชัดต่อสาธารณะ เนื่องจากเป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรง และมีผลกระทบต่อสถาบันการเมือง และสถาบันวิชาชีพสื่อมวลชน
กองบรรณาธิการ "คม ชัด ลึก" ขอยืนยันว่า การรายงานข่าวการเมืองในช่วงที่ผ่านมา เราได้ทำหน้าที่อย่างมีจรรยาบรรณ ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ และวิชาชีพ โดยไม่ได้ดูดายต่อข้อกล่าวหา และพร้อมที่จะให้ข้อมูลเพิ่มเติมแก่ผู้อ่านทันทีที่เราได้รับทราบมา

ศาลมีคำพิพากษา ให้บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป ฯ ล้มละลาย




ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 30 มิถุนายน 2554 ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เรื่อง คำพิพากษาให้ บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป ฯ ล้มละลาย ตาม คดีหมายเลขแดงที่ ลฟ. 5 / 2541 กองบังคับคดีล้มละลาย 5 ศาลแพ่ง กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม


ด้วยคดีเรื่องนี้ ศาลแพ่ง ได้พิพากษาเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2553 ให้ บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ลูกหนี้ ล้มละลาย ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ผู้ล้มละลายมีอาชีพประกอบกิจการออกหนังสือพิมพ์ ตั้งอยู่เลขที่ 98/3-10 ถนนพระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร

ประกาศ ณ วันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2554 ลงนามประกาศ โดย ภัทราวรรณ ชมภูแสง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์

บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จดทะเบียน เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2536 ทุนจดทะเบียน 424,238,880 บาท สถานะปัจจุบัน ล้มละลาย

( เปิดดูได้ที่ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2554/D/093/1.PDF )

บริษัทที่เกี่ยวข้องบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ปฯ มีจำนวน 138 บริษัท แต่ส่วนใหญ่ ประสบปัญหา

สำหรับ รายชื่อผู้ถือหุ้น บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ปฯ เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2548 ประกอบด้วย
1.บริษัทธนาคาร กสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
2 บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด
3 บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย
4 บริษัทธนาคาร กรุงไทย จำกัด (มหาชน)
5 บริษัทธนาคาร ทหารไทย จำกัด (มหาชน)
6 บริษัทเงินทุน สินเอเซีย จำกัด (มหาชน)
7 บริษัทโรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน)
8 กองทุนรวมแกมม่า แคปปิตอล
9 บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ เอ็ม.ซี.ซี จำกัด (มหาชน)
10 บริษัทธนาคาร ไทยธนาคาร จำกัด (มหาชน)
11 บริษัทเดอะ เอ็ม.กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
12 Tvc Management Limited
13 บริษัทปรีชากร จำกัด
14 บริษัทเสริมมิตร เอ็กซ์เซคคิวทีฟ จำกัด
15 บริษัทแพลนโปรดัคชั่น จำกัด
16 น.ส. วรรณา แสงศิริทองไทย
17 บริษัทบริหารสินทรัพย์เพทาย จำกัด
18 นาย สนธิ ลิ้มทองกุล
19 บริษัทคาร์โก วิลเล็จ จำกัด
20 นาย พูลศักดิ์ วิริยะปรีชา
21 นาย ชำนิ ภิรมย์เมือง
22 นาย โชคชัย คลศรีชัย
23 นาย วุฒิชัย รักษ์บริสุทธิ์ศรี

เปิดเครือข่ายนายทุน "เปรม ติณสูลานนท์" ก่อนวันหย่อนบัตร




การปรากฏชื่อ นายคะแนน สุภา ผู้รับเหมาใหญ่ จ.เชียงใหม่ ลงขันธุรกิจกับ นายทองไทร บูรพชัยศรี ผู้ประกอบการค้าเครื่องจักรกลœและœอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ แม้เป็นคอนเนกชั่นปกติทางธุรกิจ หากมองในลักษณะเครือข่าย ก็นับว่าน่าสนใจ
เพราะประการหนึ่ง นายคะแนน จ.เชียงใหม่ นอกจากเป็นเจ้าของ บริษัท เชียงใหม่คอนสตรัคชั่น จำกัดยังเป็นพ่อ พ่อตา นายเนวิน ชิดชอบ คีย์แมนพรรคภูมิใจไทย
ประการที่สองนายทองไทร บูรพชัยศรี เป็นเครือญาติœนายอนุชาบูรพœชัยศรีœอดีต ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์
ประการที่สาม นายทองไทร เป็นกรรมการมูลนิธิพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ซึ่งมูลนิธิแห่งนี้มี “ลูกป๋า” พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีเป็นประธานกรรมการ
และเมื่อกล่าวถึงมูลนิธิพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ก็ขอให้ไปย้อนไปดูการออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดงในช่วงเดือนมีนาคม 2553 ที่มูลนิธิพิทักษ์อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ถูกโยงเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
วันที่œ7 มีนาคมœ2553 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ปูดข้อมูลว่าœพล.อ.นพ พิณสายแก้วœกรรมการมูลนิธิรัฐบุรุษใกล้ชิดœพล.อ.เปรมœและมีสถานะเป็นที่ปรึกษา บริษัทไทยเบฟเวอเรจœ เป็นโซ่ข้อกลางเชื่อมการดำเนินธุรกรรมระหว่างบริษัทไทยœเบฟฯ กับรัฐบุรุษ มูลนิธิรัฐบุรุษได้นำที่ดินในœต.โนนหมากเค็งœอ.วัฒนานครœจ.สระแก้วœจำนวน 247 ไร่œจาก 1,550 ไร่œที่ได้รับบริจาคจากœบริษัท เอ็มเอ็มซีœสิทธิผลœไปขายให้ นายอภิเชษฐ์ œพิณสายแก้ว บุตรชาย พล.อ.นพ ถือว่าเป็นการขายให้คนกันเองœและประธานองคมนตรีได้รับผลประโยชน์จากการซื้อขายที่ดินด้วยหรือไม่?œ
ครั้งนั้น พล.อ.พงษ์เทพœเทศประทีปœเลขาธิการมูลนิธิรัฐบุรุษออกมายอมรับว่า มูลนิธิขายที่ดินที่ได้รับบริจาคจากนางกัลยาณีœพรรณเชษฐ์ ประธานบริษัท เอ็มเอ็มซี สิทธิผล (นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ปัจจุบันเป็นผู้สมัครบัญชีรายชื่อ อันดับ 9 พรรคเพื่อไทย บอกว่า นางกัลยาณีเป็น 1 ในกลุ่มทุนที่ใช้นามว่า “คณะ 11) จำนวนœ247 ไร่œจากœ1,550 ไร่œในราคาไร่ละœ12,000 บาทœให้แก่œพล.อ.นพœเมื่อปี2549 และได้นำเงินรายได้นำเข้ามูลนิธิรัฐบุรุษทั้งหมดœ
แต่พล.อ.พงษ์ เทพปฏิเสธว่า “ป๋าเปรม”œไม่ได้เป็นคณะกรรมการในมูลนิธิรัฐบุรุษเพียงแต่ยังมีชื่อพล.อ.เปรม เป็นเจ้าของ เพราะฉะนั้น พล.เปรมœจึงไม่มีส่วนได้เสีย การออกมาเปิดโปงของนายณัฐวุฒิเป็นการโจมตีแบบไร้เหตุผลœเพื่อทำให้ พล.อ.เปรมเสียหายœ
ถ้าจำกันได้ ในช่วงเวลาใก้ลเคียงกัน นอกจากประเด็นที่ดินมูลนิธิรัฐบุรุษพล.อ.เปรมยังถูกโจมตีกรณีการรับเช็คจากนางกัลยาณี พรรณเชษฐ์ ประธานบริษัท เอ็มเอ็มซี สิทธิผล และกรณีการนั่งเป็นประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ให้กับธนาคารกรุงเทพของคนตระกูลโสภณพนิช เจ้าของสนามกอล์ฟสอยดาวไฮแลนด์ อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ซึ่งมีปัญหาถูกกล่าวหาว่าบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ
ถ้ามองในลักษณะเครือข่ายก็จะพบว่า ผู้บริจาคเงินให้พรรคภูมิใจไทย คือ บริษัท เชียงใหม่ คอนสตรัคชั่น จำกัด
ผู้บริจาคเงินรายใหญ่ให้พรรคประชาธิปัตย์ เมื่อเดือนเมษายน 2554 ที่ผ่านมา คือ ตระกูลโสภณพนิช ธนาคารกรุงเทพ และบริษัทในเครือข่ายไทยเบฟเวอเรจ
สถานการณ์แย่งชิงอำนาจรัฐระหว่าง 2 ขั้วที่สุดเข้มข้นในขณะนี้จนถึงหลังเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 หากมีการกล่าวหาว่าเกี่ยวพันกับ“มือที่มองไม่เห็น”
ไม่มีใครการันตีว่า “ป๋า”จะโดนถล่มน่วมอีกหรือไม่
หลังจากเพิ่งเดินทางไปใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าที่บ้านเกิด จ.สงขลาเมื่อ 26 มิถุนายนที่ผ่านมา

ขอขอบคุณ คม ชัด ลึก

เลือกตั้งโคตรพ่อโคตรแม่?? "มีชัย" เสนอคิดคะแนน "โหวตโน+โนโหวต" สกัดเพื่อไทย




เผย “มีชัย ฤชุพันธุ์” เสนอในเวทีสัมมนาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว.ให้นำโหวตโนมาคำนวณด้วย ชี้ เป็นเจตนารมณ์ของผู้ใช้สิทธิ ระบุจะทำให้สังคมมีทางออกมากขึ้น

กรณีที่มีการระบุถึงคะแนนของผู้ประสงค์ไม่เลือกใคร หรือ โหวตโน ในมาตรา 88 และ 89 ของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว.พ.ศ.2550 นั้น เมื่อมีการตรวจสอบข่าวย้อนหลัง พบว่า นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นผู้เสนอในการสัมมนาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว. ว่า ควรแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการกำหนดฐานคะแนนเสียงของ ส.ส.เพื่อให้คะแนนโนโหวตมีผลทางกฎหมาย โดยเฉพาะช่องไม่ลงคะแนน เพราะการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว คะแนนโนโหวตสูงมาก แต่ไม่มีผลทางกฎหมาย กลายเป็นเพียงแค่บัตรเสียเท่านั้น เป็นไปได้หรือไม่ว่า จะต้องแก้กฎหมายให้ ส.ส.ที่ได้รับการเลือกตั้งต้องได้คะแนนสูงกว่าคะแนนโนโหวต หากไม่ผ่านต้องมีการเลือกตั้งใหม่ เพื่อให้ได้ตัวแทนที่ประชาชนยอมรับมากที่สุด

“ถ้าได้คะแนนน้อยกว่าคะแนนโนโหวต จะเป็นตัวแทนของประชาชนได้อย่างไร เพราะคะแนนดังกล่าวเป็นเจตนารมณ์ของประชาชนที่ใช้สิทธิแสดงความไม่เห็นด้วยกับตัวผู้สมัคร โดยส่วนตัวเชื่อว่า การเขียนไว้จะทำให้สังคมมีทางออกมากขึ้น” นายมีชัย กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อเสนอของ นายมีชัย ทำให้สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) อภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยส่วนใหญ่สนับสนุน อย่างไรก็ตาม นายวิริยะ นามศิริพงศ์พันธุ์ แสดงความกังวลว่า หากบัญญัติไว้เช่นนั้น อาจจะเป็นการเปิดช่องทาง ให้มีการรณรงค์โนโหวต จนทำให้ได้ ส.ส.ไม่ครบ 400 คน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสาน และภาคเหนือ เราจะแก้ปัญหาอย่างไร ขณะที่ นายสำราญ รอดเพชร เสนอว่า ถ้าจะให้คะแนนโนโหวตมีผลทางกฎหมาย ต้องนำคะแนนโนโหวตทั้งหมดมาเปรียบเทียบกับคะแนน ส.ส.ทั้งหมดของประเทศ หากมีคะแนนน้อยกว่าคะแนนโนโหวต ต้องมีการเลือกตั้งใหม่

ด้าน นายณรงค์ โชควัฒนา กล่าวว่า เห็นด้วยที่ให้คะแนนโนโหวตมีผลทางกฎหมาย และจะเป็นการเปิดโอกาสให้พรรคเล็กมีโอกาสในการแข่งขันมากขึ้น และขอเสนอว่า ผู้สมัครคนใดที่ได้คะแนนเสียงน้อยกว่าคะแนนโนโหวต ควรตัดสิทธิ์ผู้สมัครคนดังกล่าวออกจากพื้นที่ไปเลย เพราะถือว่าประชาชนไม่ยอมรับแล้ว และยังเสนอในส่วนของการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งว่า หากนักการเมืองคนใดถูกเพิกถอนสิทธิ ด้วยข้อหาการทุจริต ไม่ควรถูกจำกัดสิทธิเพียง 5 ปี แต่ควรเพิกถอนสิทธิตลอดชีวิต เพราะการจับคนโกงไม่ใช่เรื่องง่าย จึงควรลงโทษให้หนักให้หมดอาชีพนักการเมืองไปเลย

"นาเดียร์" ลั่นระฆังแต่ง "หล่อเล็ก" 18 ก.ค. กลบข่าว "เบนโล"





‘นาเดีย’เผยฤกษ์วิวาห์ 18 ก.ค. โต้ท้องก่อนแต่ง

ซุ่มเตรียมงานแต่งมาพักใหญ่ ล่าสุดนักแสดงสาว ‘นาเดีย นิมิตรวานิช’ ที่มาร่วมงานเปิดตัว บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า พระราม 4 ได้เผยถึงฤกษ์งานแต่งกับแฟนหนุ่ม ม.ล.อภิมงคล โสณกุล หรือ ‘หล่อจิ๋ว’ พร้อมกับโต้ท้องก่อนแต่ง ชี้เป็นเรื่องไร้สาระ
โดยพิธีกรสาวเผยว่า ช่วงนี้เป็นช่วงแจกการ์ด ได้วันที่แน่นอนแล้ว คือ 18 ก.ค. ที่ รร.โอเรียนเต็ล เรื่องการเตรียมการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเหลือแค่บางคนที่ยังตกหล่นไม่ได้การ์ดบ้าง สำหรับธีมงานไม่มี ง่ายๆ สบายๆ ส่วนตัวไม่ค่อยได้เชิญใครเกรงใจ ไม่กล้าชวนเยอะ เชิญแค่คนที่เคยทำงานด้วยกัน เรื่องความพร้อมก็พร้อมแล้วเพราะใกล้เต็มที

แว่วว่าแต่งแล้วเตรียมปั๊มทายาทเลย นักแสดงสาวหัวเราะก่อนกล่าวว่า “วัยขนาดนี้แล้วรอไปก็ไม่รู้ว่าจะง่ายมั้ย เพราะเห็นทุกคนมีลูกยาก ถ้ามีก็ต้องมี ส่วนเรื่องฮันนีมูนกำลังเถียงกันอยู่ว่าจะไปไหนดี เดียอยากไปยุโรป แต่คุณภิเขาอยากไปอเมริกา”

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่ากลัวคนมองไหมว่าแต่งงานเร็วอาจท้องก่อนแต่ง ดาราสาวตอบ “มันเป็นกระแสปกติ เดียไม่ได้ตกใจ ใครยินดีด้วยก็ขอบคุณ ส่วนใครจะพูดคิดอะไรในทางลบเดียห้ามไม่ได้แล้วแต่เขา เราไม่ท้านับเดือนค่ะ เป็นเรื่องที่ได้ยินมาแล้วทุกคน เดียว่าไร้สาระเห็นดาราทุกคนถูกพูดแบบนี้หมดแทนที่จะยินดีด้วย”
“สำหรับเรือนหอเป็นคอนโดเล็กๆ อยู่กัน 2 คน ที่เลือกคอนโดเพราะสะดวกทำเลในเมือง คุณภิปกติก็อยู่คอนโดอยู่แล้ว เลยมีอีกที่หนึ่งที่ขยายให้ใหญ่ขึ้นเท่านั้น”

ถามว่าฝ่ายชายจะเปลี่ยนศาสนาเป็นอิสลามตามหรือเปล่านั้น ดาราสาวปัดให้ถามฝ่ายชายเอง พร้อมแจงหลังแต่งยังทำงานเหมือนเดิมเพราะชอบทำงาน แต่ต้องให้เวลากับครอบครัวด้วย

คลิป "คันหู" ระบาด วธ.กรี๊ดเต้น



วิจารณ์กระหึ่มเว็บ! คลิปวิดีโอแสดงสดเพลง "คันหู" ของวงเทอร์โบมิวสิค เข้าข่ายอนาจาร ทั้งเนื้อเพลงสองแง่สองง่าม ส่วนนักร้องสาวเต้นยั่วเซ็กซี่เกินเหตุ เอามือลูบคลำ-เกาเป้ากางเกงจนหนุ่มๆ ครางฮือ ยื้อแย่งเบียดเสียดเข้ามาหน้าเวทีขอจับเนื้อตัว ปลัดวัฒนธรรมระบุได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนและตั้งรองปลัดวธ. ตรวจสอบคลิปดังกล่าวแล้ว ด้านหัวหน้าวงเทอร์โบมิวสิคแจงไม่ใช่เรื่องเสียหาย เป็นแค่การแสดงเพื่อความบันเทิงเท่านั้น อีกทั้งยังแสดงตามงานจ้าง ไม่ได้เปิดวิกตามสถานที่สาธารณะ ที่ผ่านมาคนดูไม่เคยติง แถมยังชมว่าฮามาก โวยทำไมกลุ่ม "พริตตี้-โคโยตี้" โป๊กว่านี้ยังแสดงได้ แต่ถ้าวธ.สั่งห้ามก็พร้อมปรับปรุง

เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้มีคลิปวิดีโอบันทึกภาพการแสดงคอนเสิร์ต เพลง "คันหู" โดยวงเทอร์โบมิวสิค เผยแพร่อยู่ในเว็บไซต์ยูทูบ และได้รับความสนใจมีนักท่องอินเตอร์เน็ตทั่วประเทศไทยคลิกเข้าไปชมจำนวนมากเกือบ 3 แสนครั้ง ภายในเวลา 3 สัปดาห์ อีกทั้งตามเว็บบอร์ดและเว็บไซต์ชื่อดังต่างๆ อาทิ สนุก ดอตคอม และเอ็มไทย ต่างนำเอาคลิปชุดเดียวกันนี้มาเผยแพร่ต่อ ปลุกกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมของทั้งเนื้อเพลงซึ่งมีเนื้อหาสองแง่สองง่าม รวมถึงตัวนักร้องสาวที่แสดงท่าทางส่อไปในทางอนาจาร แต่งกายนุ่งน้อยห่มน้อย สวมกางเกงยีนส์สั้นไม่ถึงคืบ ใช้มือลูบและเกาบริเวณเป้ากางเกงหลายครั้ง ขณะที่ฝ่ายหนุ่มๆ คนดูข้างล่างเวทีพยายามยื้อแย่งกันเข้าไปขอจับเนื้อตัวของนักร้องสาว บางคนถึงขั้นชูโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายภาพเป้ากางเกงนักร้องสาว ส่งผลให้มีประชาชนโทรศัพท์เข้าไปร้องเรียนกับกระทรวงวัฒนธรรมขอให้ช่วยตรวจสอบ

นายสมชาย เสียงหลาย ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวถึงคลิปเพลงคันหูดังกล่าวว่า ยังไม่เห็นคลิปคลิปนี้ อย่างไรก็ตาม หากเนื้อเพลงไม่เหมาะสมต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยจะเชิญผู้เกี่ยวข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้เพื่อพิจารณาถึงความเหมาะสมต่อไป แต่ต้องคำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพด้วย หากพบว่าไม่เหมาะสมจะใช้มาตรการเช่น หากคลิปที่เผยแพร่ผ่านเว็บยูทูบมีภาพและเนื้อหาไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรมอันดี เป็นอันตรายเพราะสามารถเข้าถึงเด็กและเยาวชน จะประสานกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เพื่อให้ประสานติดต่อนำภาพออกจากเว็บไซต์

"เบื้องต้นตนมอบหมายให้น.ส.จันทร์สุดา รักษ์พลเมือง รองปลัดวธ. ที่ดูแลศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรมเป็นผู้รับผิดชอบ หากตรวจสอบพบว่ามีความไม่เหมาะสมจะใช้มาตรการขอความร่วมมือกับผู้ประกอบการ" นายสมชาย กล่าว

ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ระบุด้วยว่า ส่วนกรณีมีผู้เปิดการแสดงไม่เหมาะสมตามต่างจังหวัด ในแต่ละจังหวัดจะมีศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม ทำหน้าที่ช่วยกันตรวจสอบและเฝ้าระวังเป็นรายพื้นที่อยู่แล้ว ถ้าพบว่ามีการแสดงไม่เหมาะสม หากเป็นพื้นที่สาธารณะหรือกลางแจ้งจะประสานไปยังเจ้าของพื้นที่เพื่อไม่ให้อนุญาตจัดแสดง

ด้านนายไผ่ เทอร์โบ หัวหน้าวงเทอร์โบมิวสิค ให้สัมภาษณ์ "ข่าวสด" ว่า ยังไม่ทราบข่าวว่ามีผู้ร้องเรียนไปยังกระทรวงวัฒนธรรม และยังไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดติดต่อมา เรื่องนี้เป็นเรื่องนานาจิตตัง มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ ส่วนตัวมองว่าการแสดงของวงไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพราะแสดงตามงานจ้าง ไม่ได้แสดงตามสถานที่สาธารณะอย่างตลาดสด วงเทอร์โบมิวสิคก่อตั้งมากว่า 20 ปี มีตนเป็นคนสานต่อ และปรับเปลี่ยนการแสดงไปเรื่อยๆ ตามยุคสมัย จากเมื่อก่อนที่นักร้องร้องเพลงอย่างเดียว ก็เปลี่ยนมาเป็นวาไรตี้คอนเสิร์ต นักร้องแต่งตัวมีสีสันมากขึ้น และมีการแสดงสอดแทรกเพื่อให้แข่งขันกับวงอื่นๆ ได้

"ทุกครั้งที่แสดงจะย้ำเสมอว่า ทั้งคำพูดและการแสดงเป็นไปเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ส่วนที่วิจารณ์ว่านักร้องแต่งตัวไม่เหมาะสม อยากให้ดูว่านักร้องของวงใส่กางเกงขาสั้น และแต่งตัวมิดชิดกว่าพวกพริตตี้หรือโคโยตี้ด้วยซ้ำ ทำไมคนกลุ่มนั้นถึงยังเปิดแสดงได้" นายไผ่ กล่าว

นายไผ่ เปิดเผยว่า วงเทอร์โบมิวสิค มีสมาชิกประมาณ 10 คน แสดงดนตรีทุกแนวที่ได้รับความนิยมในขณะนั้น และรับงานแสดงทั่วไปตามแต่จะมีคนจ้าง ทั้งงานบวช งานแต่ง และงานเลี้ยงของบริษัทต่างๆ ที่ผ่านมาทางวงเคยทำซีดีเสนองาน แต่ไม่ได้เผยแพร่ หรือวางจำหน่ายทั่วไป ทั้งนี้ตนเป็นคนเผยแพร่คลิป วิดีโอดังกล่าวในเว็บไซต์ยูทูบเอง โดยหลังจากเผยแพร่ออกไปมีคนสนใจติดต่อไปแสดงเพิ่มขึ้น ถ้ากระทรวงวัฒนธรรมจะห้ามวงแสดงโชว์ที่อ้างว่าอนาจาร ทางวงคงต้องหยุดและปรับเปลี่ยนรูปแบบการแสดงใหม่ อย่างไรก็ ตาม ที่ผ่านมาไม่เคยมีคนมาติติง มีแต่คนบอกว่าฮาทุกงาน

สำหรับเพลงคันหู ต้นฉบับขับร้องโดยนักร้องลูกทุ่ง "หลิว วาริสสรา" เนื้อเพลงบางท่อน อาทิ "อู๊ยคันหู ไม่รู้เป็นอะไร เอาสำลี มาปั่น ก็ไม่หาย คันจริ๊ง มันคันอยู่ข้างใน คันหูทีไร ขนลุก ทุกที อาบน้ำ สระหัว น้ำคงเข้า หนูก็เอา สำลีปั่น อย่างดี ปั่นจนแห้ง ก็ยังคันอยู่ดี จะหลับจะนอน มันจี๊ดจ๊าดเหลือที คันหูทุกที ขนลุกขนชัน แม่จ๋า หายา ให้หนูหน่อย ไม่งั้น ต้องคอย คันอยู่ อย่างนี้ ตอนเด็กๆ ไม่เคยคันซักที พอเริ่มเป็นสาวได้แค่สองสามปี หูก็เริ่มมี อาการ คันคัน หากใคร รักษา ให้หายได้ จะเอาอะไร จะยกให้ ทันที จะกินจะฉีด ขอให้เป็นยาดี จะลองให้ฉีด ยาสักทีสองที ถ้ายาเค้าดี หูคงหายคัน"

วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

แฉจะๆ !! จับทหารปราบยาเสพติด พกปืนขู่หัวคะแนน อ้างพกปืนไปเที่ยว


จับ4 ทหารกับ 1 พลเรือน เดินสายขู่หัวคะแนนเพื่อไทยโคราช พบรายชื่อผู้เกี่ยวข้องมีนายพลนามสกุลดังรวมอยู่ด้วย

เมื่อเวลา 12.30 น.วันที่ 28 มิ.ย. พ.ต.ท.สืบตระกูล เทพปิยวงศ์ สาวัตรเวร สภ.โนนไทย จ.นครราชสีมา รับแจ้งจาก นายพร แก้วเขียน กำนันตำบล ด่านจาก อ.โนนไทย ว่า มีบุคคลต้อสงสัยขับรถกระบะฟอร์ดสีบรอนซ์ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ตระเวน ข่มขู่ชาวบ้านที่เป็นหัวคะแนนให้กับ นางทัศนียา รัตนเศรฐ ผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา เขต 4 พรรคเพื่อไทย ใน ต.ด่านจาก หลายคน โดยมีพฤติกรรมคล้ายกันคือเข้าไปข่มขู่พร้อมอาวุธปืนห้ามไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองโดยเด็ดขาด

ต่อมา พ.ต.ท.สนอง บุญเกิด รอง ผกก.ป. สภ.โนนไทย พร้อมกำลังตำรวจติดตามสกัดจับกุมได้ที่ตู้ยาม ต.มะค่า อ.โนนไทย มีชายฉกรรจ์อยู่ในรถ 5 คน ทราบชื่อว่า ร.ต.มนตรี เบี้ยวทุ่งน้อย อายุ 49 ปี จ.ส.ต.จรินทร์ หาญธัญกรรม อายุ 40 ปี จ.ส.อ.สุจินต์ พันชนะ จ.ส.อ.จรัส ริตา อายุ 52 ปี ทั้งหมดสังกัด กองทัพบก และนายชยธร สาริกะวณิช อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 177 ซอยลาดพร้าว 191 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร พร้อมของกลางอาวุธปืนขนาด 9 มม. 2 กระบอก คาดว่าเป็นอาวุธปืนของทางราชการ มีกระสุนในแม็กกาซีนกระบอกแรก 7 นัด และอาวุธปืนอีก 1 กระบอก มีกระสุนในแม็กกาซีน 3 นัด ยังไม่มีใครรับว่าเป็นเจ้าของ

นอกจากนี้ยังพบกระสุนขนาด 9 มม.อีก 15 นัด กล้องส่องทางไกล 1 ตัว วิทยุสื่อสาร 1 เครื่อง ตะปูเรือใบ 1 ถุง ตะปูสังกะสี 1 ถุง โทรศัพท์มือถือ 5 เครื่อง และยังพบทะเบียนรถคันดังกล่าวซุกซ่อนอยู่ภายในรถ พบว่าเป็นรถ หมายเลขทะเบียน ผค 5453 นครราชสีมา จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน จากการตรวจค้นอย่างละเอียดยังพล แผ่นกระดาษมีรายชื่อ ระบุ ส่วนผู้บังคับบัญชานายทหารระดับนายพล 4 คน พร้อมหมายเลขโทรศัพท์ ซึ่งในจำนวนนี้มีนายทหารนามสกุลดังรวมอยู่ด้วย ส่วนรายชื่อที่เหลือเป็นรายชื่อส่วนปฏิบัติการอำเภอต่าง ๆ ใน จ.นครราชสีมา ซึ่งมีทั้ง ทหาร และพลเรือน พร้อมหมายเลขโทรศัพท์ อีก กว่า 50 คน โดยในจำนวนนี้มีรายชื่ออดีตรัฐมนตรีคนหนึ่งรวมอยู่ด้วย จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน

จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมดให้การอ้างว่า จะเดินทางไปท่องเที่ยวที่ จ.ขอนแก่น ส่วนอาวุธปืนและกระสุนปืนที่พบเป็นของราชการไม่ได้เอาไปข่มขู่หรือทำร้ายใคร ตำรวจจึงควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดดำเนินคดีในข้อหา ร่วมกันมีอาวุธปืน และกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย

ด้าน นายวุฒิพล พนมรัตนศักดิ์ อดีตนายก อบต.กระทุ่มลาย อ.ประทาย จ.นครราชสีมา ผู้ที่เคยถูกผู้ต้องหากลุ่มนี้ข่มขู่ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ตนถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ 5 คน ขับรถกระบะ ไม่ทราบรุ่น และหมายเลขทะเบียน มาหาที่บ้านพัก อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล มาขอให้ตนซึ่งสนับสนุนผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทยให้หันมาสนับสนุนผู้สมัครอีกพรรคหนึ่ง หรือหากไม่ช่วยก็ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับการเลือกตั้งครั้งนี้ซึ่งหลังข่มขู่เสร็จ ทั้งหมดก็ขับรถหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว ตนเกรงว่าจะเกิดอันตรายจึงแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.ประทายไว้เป็นหลักฐาน จนตำรวจโนนไทยสามารถสกัดจับกุมผู้ต้องหาได้ จึงเดินทางมาชี้ตัวและยืนยันว่า กลุ่มชายที่ถูกจับกุมเป็นกลุ่มเดียวกับที่ข่มขู่ตนแน่นอน.

ฉาวโฉ่! จับจ้างฟังปราศัย "ชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน" โคราช


ฉาว! ตร.ชุดเฉพาะกิจป้องกันปราบปรามการทุจริตการเลือกตั้งโคราชบุกบ้านรวบหัวคะแนนผู้สมัคร ส.ส.เขต 9 โคราช ได้เจ้าของบ้านพร้อมหลักฐานโพยรายชื่อและรายการจ่ายค่าน้ำมันรถเดินทางฟังปราศรัย เผยเรียกสอบชาวบ้านในโพยรายชื่อ 4 รายสารภาพรับเงินมาจริงแต่นำไปใช้หมดแล้ว ด้านผอ.กกต.โคราชระบุรับเรื่องไว้แล้ว เตรียมส่งให้ กกต.กลางพิจารณาเชือดต่อไป


วันนี้ (28 มิ.ย.) ที่ สภ.ห้วยแถลง อ.ห้วยแถลง จ.นครราชสีมา พ.ต.อ.วชิรวิชญ์ กฤษณ์ฤทธิศักย์รอง ผบก.ภ.จว.นครราชสีมา เดินทางไปตรวจสอบการดำเนินการสอบสวนผู้กระทำกฎหมายเลือกตั้งเพิ่มเติม หลังชุดเฉพาะกิจป้องกันและปราบปรามการทุจริตเลือกตั้ง ตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา ได้ทำการจับกุมนางสัมฤทธิ์ (นามสมมติ) ชาวบ้านหมู่ 6 ต.งิ้วอ.ห้วยแถลง จ.นครราชสีมา พร้อมหลักฐานเป็นแผ่นกระดาษระบุรายชื่อชาวบ้านรวม 13 คนพร้อมตัวเลขเงินคนละ 100 บาท และระบุค่าน้ำมัน 200 บาทเชื่อว่าเป็นโพยรายชื่อชาวบ้านที่ไปรับฟังการปราศรัยหาเสียงของผู้สมัครส.ส.รายหนึ่งในพื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 9 จ.นครราชสีมา ก่อนควบคุมตัวมาสอบสวนและบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่ สภ.ห้วยแถลง

ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมาเบื้องต้นได้สอบปากคำชาวบ้านที่มีรายชื่ออยู่ในโพยดังกล่าวแล้ว 3 คน ทุกคนรับสารภาพว่าได้รับเงินคนละ 100 บาท จากนางสัมฤทธิ์ เป็นค่าจ้างให้ไปฟังการปราศรัยหาเสียงของ นายพลพีร์ สุวรรณฉวี ผู้สมัครส.ส. เขต 9 พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน (ชพน.) ที่เปิดเวทีปราศรัยที่วัดบ้านหนองม่วงหวาน ต.งิ้ว อ.ห้วยแถลง เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.แต่เงินจำนวนดังกล่าวได้นำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวันจนหมดแล้วโดยตำรวจได้บันทึกวิดีโอการสอบปากคำไว้เป็นหลักฐานด้วย

ล่าสุดพนักงานสอบสวน สภ.ห้วยแถลง ได้ติดตามชาวบ้านที่ปรากฏชื่อในกระดาษมาสอบสวนเพิ่มเติมอีก 9 คน แต่ปรากฏว่าทุกคนไม่มาให้ปากคำตามนัด จึงส่งเอกสารเบื้องต้นให้กกต.นครราชสีมา รับทราบ

พ.ต.ท.สันติสุข สุวรรณรัตน์ พนักงานสอบสวน สภ.ห้วยแถลง เจ้าของคดี เปิดเผยว่า เรื่องนี้ทางตำรวจชุดเฉพาะกิจเลือกตั้งของภูธร จังหวัดนครราชสีมาบุกตรวจค้นบ้านเป้าหมายที่มีพฤติกรรมส่อว่าจะทุจริตการเลือกตั้ง ก่อนค้นเจอหลักฐานดังกล่าว จากนั้นได้นำมาบันทึกประจำวันที่ สภ.ห้วยแถลงแล้วทำการสอบสวนผู้กระทำผิด เบื้องต้นสอบสวนไปแล้ว 4 ราย ยังเหลืออีก 9 ราย ซึ่งนัดมาสอบปากคำในวันนี้ แต่ทุกคนอ้างว่าต้องไปทำไร่ทำนาจึงไม่มาตามนัด ส่วนการสอบในเบื้องต้นได้ส่งบันทึกปากคำเป็นลายลักษณ์อักษรไปให้ กกต.จังหวัดแล้ว ตอนนี้ถือว่าตำรวจได้รับเรื่องนี้เป็นคดีอาญาแล้วและทำตามอำนาจหน้าที่ของตำรวจเท่านั้น

ด้าน พ.ต.ท.แดนไพร แก้วเวหล หัวหน้าชุดเฉพาะกิจป้องกันและปราบปรามการทุจริตเลือกตั้งภูธร จ.นครราชสีมา กล่าวว่า เมื่อวันที่ 26มิ.ย.ที่ผ่านมาซึ่งเป็นวันเลือกตั้งล่วงหน้า ได้นำกำลังตำรวจ 10 นาย ลงพื้นที่ตรวจสอบการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งโดยได้บุกตรวจค้นที่บ้านเลขที่ 54 หมู่ 6 บ้านนาตะคุ ต.งิ้ว อ.ห้วยแถลง พบชาวบ้านรวมกลุ่มกันอยู่ประมาณ 30 คน มีพฤติกรรม ที่เรียกกันว่าประชุมระดับแกนนำ มีนักการเมืองท้องถิ่นในพื้นที่ซึ่งเป็นหัวคะแนนของผู้สมัครส.ส.รายหนึ่งรวมอยู่ด้วย

เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่ละคนต่างวิ่งหนีแตกกระเจิงไปคนละทิศละทางเหลือเพียงหลักฐานเป็นกระดาษโพยรายชื่อชาวบ้าน 1 แผ่น ระบุชื่อชาวบ้านรวม13 คน ตัวเลขจ่ายเงินคนละ 100 บาท และจ่าหัวว่าค่าน้ำมัน 200 บาท จึงเรียก นางสัมฤทธิ์ เจ้าของบ้านพร้อมกับชาวบ้านที่มีชื่อในแผ่นกระดาษอีก3 คน มาสอบสวน ทุกคนรับสารภาพว่าเป็นค่าจ้างไปฟังการปราศรัยของผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดินซึ่งในขั้นตอนการสอบสวนได้มีการบันทึกภาพวิดีโอไว้เป็นหลักฐานอย่างหนาแน่นพร้อมกับส่งเป็นหนังสือประสานงานให้ กกต.นครราชสีมา

ด้าน พ.อ.สันธิรัตน์ มหัทธนชาติ ผอ.กต.นครราชสีมา กล่าวว่า เรื่องนี้กกต.นครราชสีมา ได้รับหนังสือแจ้งจากทางตำรวจแล้ว เมื่อช่วงเช้าวันนี้ซึ่งตนได้เซ็นรับเรื่องไว้ จากนั้นได้ส่งให้กกต.ฝ่ายสืบสวนสอบสวนรับไปดำเนินการตามขั้นตอนโดยอำนาจหน้าที่แล้ว กกต.จะพิจารณาการกระทำผิดในแต่ละเรื่องแต่ละกรณีเพื่อนำไปสู่การแจกใบเหลือง-ใบแดง

มัดมือชกนิหว่า!! ศาลฯไม่ให้ประกัน กกต.เตรียมตัดสิทธิ "ตู่-จตุพร"


นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยว่า หากนายจตุพร พรหมพันธุ์ ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ไม่ได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวเพื่อไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ ก็มีความเป็นไปได้ที่ กกต.จะพิจารณาไม่ประกาศรับรองให้นายจตุพรเป็น ส.ส. เพราะหน้าที่ตรวจสอบคุณสมบัติก็เป็นหน้าที่ของ กกต. ทันทีที่นายจตุพรไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ก็ถือว่าขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส.ทันทีเช่นกัน


"เรื่องนี้เป็นเรื่องของการขาดคุณสมบัติ มิใช่การกระทำความผิดกฎหมายเลือกตั้ง จึงไม่ใช่เรื่องการแจกใบเหลือง ใบแดง หรือการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง" นางสดศรีกล่าวและว่า อย่างไรก็ตาม หากนายจตุพรไม่เห็นด้วย ก็ต้องยื่นเรื่องต่อศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเพื่อให้พิจารณา เพราะเรื่องนี้ถือเป็นกรณีใหม่และไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


นางสดศรีกล่าวว่า นายจตุพรอาจทำหนังสือแจ้งเหตุไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง แต่จะเป็นเหตุผลที่รับฟังหรือเข้าต่อข้อกฎหมายหรือไม่ ก็คงต้องพิจารณากันอีกครั้ง และอาจจะต้องยื่นต่อศาลเพื่อให้เป็นผู้พิจารณา แต่ กกต.คงจะพิจารณาประกาศไม่รับรองให้เป็น ส.ส.ไปก่อน


อนึ่ง รัฐธรรมนูญมาตรา 100 กำหนดว่า ผู้ที่ถูกคุมขังโดยหมายของศาลหรือคำสั่งที่ชอบโดยกฎหมาย เป็นผู้ต้องห้ามไม่ให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง ขณะที่มาตรา 26 ของ พ.ร.บ.เลือกตั้งกำหนดว่า ผู้ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ต้องเสียสิทธิการสมัครรับเลือกตั้ง

"พรรคเพื่อไทย" โต้ "อาทิตย์" เคยเป็นถึงประธานสภาฯ แต่พูดจาน่าละอาย

ที่พรรคเพื่อไทย นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย อ่านแถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทยว่า ตามที่มีกลุ่มบุคคลและพรรคการเมืองบางพรรคโจมตีใส่ร้ายพรรคเพื่อไทยอย่างเป็นขบวนการ แม้จะมีการจับกุมขบวนการดังกล่าวได้บางส่วน แต่บุคคลที่อยู่เบื้องหลังยังอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ โดยมีจุดมุ่งหมายที่ต้องการสร้างความเข้าใจผิดให้กับประชาชนไม่ให้เลือกพรรคเพื่อไทยและผู้สมัครของพรรคนั้น พรรคจึงขอออกแถลงการณ์ดังนี้


1.พรรคขอปฏิเสธและขอตำหนินายอาทิตย์ อุไรรัตน์ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่กล่าวหาพรรคเพื่อไทยในรายการมองรัฐสภาไทย ซึ่งถ่ายทอดทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที เมื่อช่วงเช้าวันที่ 28 มิถุนายน ซึ่งระบุว่า หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล จะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อยกเลิกหมวดที่ว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์และนิรโทษกรรมเพื่อคืนเงินให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ พรรคเสียใจอย่างยิ่งที่บุคคลที่เคยเป็นถึงประธานสภา จะพูดจาไร้เหตุผล ไร้วุฒิภาวะและน่าละอายแบบนี้ เพราะพรรคไม่เคยมีนโยบายดังกล่าวและการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ไม่อาจทำได้อยู่แล้ว


2.สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือความขัดแย้งและการช่วงชิงอำนาจทางการเมือง ไม่สมควรนำมากล่าวอ้างเพื่อประโยชน์ทางการเมือง


3.พรรคขอให้ประชาชนหนักแน่นและมีความคิดที่เป็นอิสระของตนเอง ในการที่จะใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ 3 กรกฎาคม และ


4.พรรคมีจุดยืนทางการเมืองที่จะแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและความทุกข์ยากของประชาชน และได้รับการปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน

ลาออกจากมรดกโลก: บนความสูญเสียของใคร?

โดย พวงทอง ภวัครพันธุ์


การประกาศแบบฟ้าผ่าของนายสุวิทย์ คุณกิตติ ว่าประเทศไทยขอถอนตัวจากการเป็นภาคีของอนุสัญญามรดกโลกนับเป็นชัยชนะอีกครั้งหนึ่งของกลุ่มชาตินิยม โดยที่ไม่มีความชัดเจนว่าอะไรคือเหตุผลร้ายแรงที่ทำให้นายสุวิทย์ตัดสินใจเช่นนั้น ในขณะที่นายสุวิทย์ บอกว่าสาเหตุมาจากการที่ไทยไม่เห็นด้วยกับการที่กัมพูชาจะใช้คำว่า "urgent repair" (ซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน) และ "restoration" (ฟื้นฟู, บูรณะ) แต่ต้องการให้ใช้คำว่า "protection" (ปกป้อง) และ "conservation" (อนุรักษ์) และแผนบริหารจัดการฉบับใหม่ของกัมพูชาสุ่มเสี่ยงให้ไทยเสียดินแดน แต่ข้อมูลที่ปรากฏกลับตรงกันข้ามกับสิ่งที่นายสุวิทย์แถลงโดยสิ้นเชิง กล่าวคือ


1. ร่างมติที่ 35COM7B.62 ของกก.มรดกโลก ชี้ว่ากัมพูชาตกลงใช้คำว่า "protection" และ "conservation" โดยมีข้อความ: 6 [Proposed by Cambodia. Decides to review the progress towards the protection and conservation of the property at its 36th session:]


2. คำแถลงของมาดามโบโควา ผอ.ยูเนสโกระบุว่า ไม่มีการพิจารณาเรื่องแผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารเลย


เราจึงควรตรวจสอบการตัดสินใจที่ไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนนี้ และไม่แน่ชัดว่าได้ผ่านที่ประชุมครม.จริงหรือไม่ อีกทั้งก็เป็นแค่รัฐบาลรักษาการณ์ สมควรตัดสินใจเรื่องสำคัญที่จะกระทบผลประโยชน์ของประเทศในระยะยาวหรือไม่

เป็นไปได้หรือไม่ว่าเหตุผลสำคัญที่นำไปสู่การประกาศถอนตัวจากอนุสัญญามรดกโลก มาจากข้อเท็จจริงที่ว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์และนายสุวิทย์ตระหนักว่าไทยไม่สามารถยับยั้งการบริหารจัดการปราสาทพระวิหารได้อีกต่อไป แต่ไม่รู้จะชี้แจงกับสังคมอย่างไร เพราะที่ผ่านมาได้ให้ข้อมูลและความเข้าใจที่มีปัญหากับสังคมมาโดยตลอด จึงใช้วิธีถอนตัว สร้างความสะใจ แถมยังได้คะแนนชาตินิยมเพิ่มขึ้นอีก บทความชิ้นนี้จึงต้องการชี้แจงให้เห็นว่าข้อมูลและความเข้าใจที่มีปัญหานั้นคืออะไร


1. แผนบริหารจัดการปราสาทพระวิหารเป็นข้อตกลงทวิภาคีระหว่างคณะกรรมการมรดกโลกกับ รัฐบาลกัมพูชา ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจอธิปไตยเหนือมรดกโลกชิ้นนี้เท่านั้นไทยไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงนี้ ฉะนั้น โดยหลักการ เขาไม่จำเป็นต้องรับฟังประเทศไทยเลยก็ได้ โดยเฉพาะหลังจากรัฐบาลสมัครถูกบีบให้ถอนแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาที่สนับสนุนการขึ้นทะเบียนพระวิหารมรดกโลก ก็ทำให้ไทยไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับมรดกโลกชิ้นนี้อีกต่อไป


2. รัฐบาลอภิสิทธิ์และกลุ่มชาตินิยมกล่าวว่าการขึ้นทะเบียนพระวิหารเป็นมรดกโลกอาจทำให้ไทยเสียอธิปไตยเหนือพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตร.กม. แต่รัฐบาลก็ไม่เคยชี้แจงอย่างชัดเจนว่าแผนที่หรือแผนผังที่กัมพูชาแนบไปกับการขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกมีส่วนไหนที่รุกล้ำเข้ามาใน 4.6 ตร.กม.


อนุสัญญามรดกโลกระบุไว้ชัดเจนว่าการขึ้นทะเบียนทรัพย์สินใดที่ตั้งอยู่ในอาณาเขตที่มีการอ้างสิทธิมากกว่าหนึ่งรัฐ ย่อมไม่ทำให้สิทธินั้นเสียไปแต่อย่างใด นอกจากนี้ มติคณะกรรมการมรดกโลกที่ WHC-09/33.COM/7B.Add, p.90 ยืนยันว่าพื้นที่บริหารจัดการของพระวิหารหมายรวมเฉพาะตัวทรัพย์สินที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกและพื้นที่กันชนเท่าที่ระบุไว้ในแผนผังที่ได้รับการปรับปรุงแล้วเท่านั้น


โดยกัมพูชาได้ระบุไว้ชัดเจนว่า ทรัพย์สินที่ขอขึ้นทะเบียนคือตัวปราสาท (หมายเลข 1) และพื้นที่กันชนคือ (หมายเลข 2 หรือพื้นที่สีเขียว) ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันออกและด้านใต้ของกัมพูชาเท่านั้น พื้นที่ทับซ้อนคือพื้นที่สีเหลืองไม่ได้ถูกผนวกไว้ในทรัพย์สินที่ขอขึ้นทะเบียนเลย (ดูแผนผังประกอบ)

แผนผังแนบการขึ้นทะเบียนพระวิหารเป็นมรดกโลกระบุว่ามีเฉพาะตัวปราสาท (เลข 1) และพื้นที่ด้านใต้กับด้านตะวันออกของปราสาท (เลข 2) ที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก


อนึ่ง แผนผังฉบับที่กัมพูชายื่นขอขึ้นทะเบียนพระวิหารในปี 2550 แต่ถูกฝ่ายไทยคัดค้านจนต้องเลื่อนไปอีกหนึ่งปี ได้รวมเอาพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ไว้เป็นเขตกันชนด้วย แต่กระทรวงการต่างประเทศของไทยในยุครัฐบาลสมัครสามารถเจรจาจนทำให้กัมพูชาตัด 4.6 ตร.กม.ออกจากแผนผังที่แนบเพื่อขึ้นทะเบียนในที่สุด


3. คำอธิบายประการหนึ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ใช้เพื่อคัดค้านแผนบริหารจัดการพระวิหารก็คือ การบริหารจัดการได้รุกล้ำเข้ามาในเขตแดนของไทย แต่รัฐบาลไทยก็ไม่เคยมีแม้แต่ภาพถ่ายแสดงให้ประชาชนไทยและเทศได้เห็นว่าการพัฒนาพระวิหารได้รุกล้ำเขตแดนของไทยแค่ไหน อย่างไร สื่อมวลชนไทยก็ไม่เคยทวงถามขอดูหลักฐานอะไรเลย เป็นไปได้หรือไม่ว่า ทีมงานนายสุวิทย์ก็ไม่มีหลักฐานหนักแน่นเพียงพอไปแสดงต่อคณะกรรมการมรดกโลกเช่นกัน เขาจึงไม่สนใจคำคัดค้านของไทยจดหมายแจ้งเรื่องการถอนตัวที่นายสุวิทย์มีถึงมาดามโบโควา ผอ.ยูเนสโก ก็ไม่มีรายละเอียดเรื่องนี้


4. เป็นความเข้าใจผิดว่าถ้าแผนบริหารจัดการไม่ผ่าน กัมพูชาก็ไม่สามารถเดินหน้าพัฒนาพระวิหารได้ เมื่อพัฒนาไม่ได้ก็อาจจะถูกถอดออกจากมรดกโลกในที่สุด


ความเป็นจริงก็คือ ทันทีที่พระวิหารได้เป็นมรดกโลกในเดือนกรกฎาคม 2551 กัมพูชาได้เดินหน้าพัฒนาพระวิหารและพื้นที่โดยรอบไปอย่างมากมาย โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากหลายประเทศและจากคณะกรรมการมรดกโลกทำงานร่วมอยู่ด้วย


ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ทำหน้าที่สำรวจ แนะนำ ติดตามความก้าวหน้าในการทำงาน และเขียนรายงานแผนบริหารจัดการ โดยรัฐบาลกัมพูชาสามารถลงมือปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญได้เลย ฉะนั้น ในแผนที่ที่เสนอต่อคณะกรรมการมรดกโลกก็จะต้องรายงานว่าผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ทำอะไรบ้าง กัมพูชาได้ลงมือทำอะไรไปแล้วบ้าง และจะทำอะไรต่อไป


รายงานที่กัมพูชาพิมพ์เผยแพร่ในเดือน พ.ค.2553 แสดงภาพให้เห็นว่าได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์ตัวปราสาท, การก่อสร้างสะพานไม้ยาว 1,450 เมตร, หมู่บ้านนิเวศ (Eco-village), สถานพยาบาล, พิพิธภัณฑ์, โรงเรียน ฯลฯ แต่ขอย้ำว่าการก่อสร้างเหล่านี้อยู่ในพื้นที่ราบทางฝั่งกัมพูชา ส่วนสะพานไม้ก็เชื่อมระหว่างพื้นที่ราบกับด้านตะวันออกของตัวปราสาท (กรุณาดูภาพประกอบ)


5. ในขณะที่ ในช่วงกว่าสองปีที่ผ่านมา รัฐบาลอภิสิทธิ์มักทำท่าแข็งขันคัดค้านแผนบริหารจัดการพระวิหารทุกครั้งที่มีการประชุมมรดกโลก แล้วก็ประกาศว่าไทยคัดค้านสำเร็จ แต่ผู้เขียนอยากบอกว่าเป็นการคัดค้านผิดที่ผิดเวลาทุกครั้ง และก็ค้านไม่สำเร็จด้วย


กล่าวคือ ในการประชุมกก.มรดกโลกที่บราซิลเดือนก.ค. 2553 นายสุวิทย์ให้สัมภาษณ์ว่าการขึ้นทะเบียนพระวิหารเป็นมรดกโลกยังไม่สมบูรณ์ เพราะกัมพูชายื่นแผนฯ ช้ากว่ากำหนด ฝ่ายไทยยังไม่ได้เห็นเอกสาร ฉะนั้น กก.มรดกโลกจึงให้เลื่อนการพิจารณาออกไปเป็นปี 2554 สื่อไทยต่างไชโยโห่ร้องกับชัยชนะครั้งนี้


แต่ฝ่ายกัมพูชาออกมาตอบโต้อย่างทันทีทันใดว่า ตนได้ยื่นแผนฯ ให้ศูนย์มรดกโลก (World Heritage Centre) ตั้งแต่วันที่ 28 ม.ค.2553 (ก่อน deadline วันที่ 10 ก.พ.2553) และย้ำว่าศูนย์มรดกโลกไม่มีหน้าที่ต้องส่งแผนฯให้ไทยพิจารณาก่อน เพราะไทยไม่มีสิทธิ์อะไรในปราสาทพระวิหาร แผนบริหารจัดการเป็นเรื่องระหว่างกัมพูชากับคณะ กก.มรดกโลกเท่านั้น


กัมพูชายังอ้างคำพูดของกก.มรดกโลกที่ไม่เพียงรับแผนฯ แต่ยังแสดงความชื่นชมวิสัยทัศน์ที่ปรากฏในแผนอีกด้วย แถมกัมพูชายังเยาะเย้ยว่าฝ่ายไทยทำเหมือนไม่รู้ขั้นตอนการดำเนินงานของกก.มรดกโลก กล่าวคือ หน่วยงานที่ทำหน้าที่พิจารณาแผนฯ คือ ศูนย์มรดกโลก ซึ่งมีฐานะเป็นกองเลขาธิการและประสานงานระหว่างประเทศสมาชิกกับคณะกก.มรดกโลก (World Heritage Committee) ศูนย์มรดกโลกยังทำหน้าที่ติดตาม-ให้คำแนะนำแก่ประเทศสมาชิกด้วย ข้อมูลของกัมพูชาไม่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนไทยเลย ทั้ง ๆ ที่มีข้อมูลที่ควรถูกนำมาใช้ตรวจสอบข้อมูลของนายอภิสิทธิ์และนายสุวิทย์


ในแง่นี้ หมายความว่าการประชุมคณะกก.ชุดใหญ่ที่ไทยไปคอยเฝ้าคัดค้านนั้น ทำหน้าที่เสมือนขั้นตอนสุดท้ายในการรับรองแผนบริหารจัดการอย่างเป็นทางการเท่านั้น โดยเขาจะต้องพิจารณา-ตัดสินใจกันเรียบร้อยกันมาก่อนหน้านั้นแล้วว่า จะรับหรือไม่รับอย่างไร เพราะในแต่ละวันคณะกก.ชุดใหญ่ มีเรื่องให้พิจารณาหลายวาระ จะให้นั่งวิเคราะห์แต่ละวาระ ที่ประกอบด้วยเอกสารเป็นร้อยหน้าในเวลาสั้น ๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้ อีกทั้ง การพิจารณาแผนฯ ต้องส่งคนไปดูในพื้นที่ด้วย ดูแต่กระดาษที่เสนอมาย่อมไม่สามารถบอกได้ว่ามีการปั้นน้ำเป็นตัวหรือไม่


ฉะนั้น ในปีนี้ เมื่อรัฐบาลไทยบอกว่าส่งนายสุวิทย์ไปคัดค้านแผนบริหารจัดการอีก จึงเป็นปัญหาว่ายังจะค้านได้อยู่อีกหรือ


ปัญหาของมรดกโลกในไทย

ในขณะที่นักวิชาการบางส่วนบอกว่า ไม่เป็นไร ถอนตัวออกมาก็ดีแล้ว เราดูแลสมบัติของเราเองได้ แต่ผู้เขียนอยากเตือนให้ตระหนักถึงความเป็นจริงประการหนึ่ง คือ ความไร้ประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายในไทย กรณีอุทยานประวัติศาสตร์อยุธยาเป็นตัวอย่างที่ดี การที่เราตื่นตัวกับสภาพเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมรอบตัวอุทยาน เพราะเราถูกเตือนจากกก.มรดกโลก ว่าอยุธยาอาจถูกถอดจากมรดกโลกได้ ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องหาทางจัดระเบียบกับร้านค้าโดยรอบอุทยานฯ สถานะมรดกโลกจึงเป็นเสมือนเครื่องมือคอยกำกับดูแลในกรณีที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นขาดประสิทธิภาพในการดูแลสิ่งที่มีคุณค่านั้น ๆ


แต่การดูแลรักษาอุทยานประวัติศาสตร์ก็ยังไม่น่ากังวลเท่ากับดูแลรักษามรดกทางธรรมชาติอีกสองแห่งคือ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร-ห้วยขาแข้ง และอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เพราะเป็นที่รู้กันดีถึงความสามารถของคนไทยในการทำลายพื้นที่ป่า ที่ผ่านมาเราต้องยอมรับว่าสถานะมรดกโลกทำให้พื้นที่ป่าทั้งสองได้รับการปกป้องอย่างเข้มแข็งมากขึ้น


นอกจากนี้ สถานะมรดกโลก 7 แห่งในประเทศไทยเป็นสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าสู่ประเทศไทยจำนวนมาก ถ้าเราไม่ได้เป็นภาคีของอนุสัญญามรดกโลก เราก็ต้องทำใจที่จะต้องเลิกใช้คำว่ามรดกโลกกับสถานที่ทั้งหลายด้วย และหมายความต่อว่าความคิดที่จะขึ้นทะเบียนทรัพย์สินใหม่ ๆ ก็ต้องยกเลิกไปเลย เพราะมีแต่ประเทศภาคีเท่านั้นที่จะยื่นขอจดทรัพย์สินเป็นมรดกโลกได้ เมื่อไทยไม่ได้เป็นภาคี พันธะสัญญาที่มีต่อกันก็ต้องยุติลง สถานะมรดกโลกไม่ใช่สิ่งที่ได้แล้วได้เลย


ในช่วงสามปีที่เรามีปัญหากับกัมพูชาเรื่องพระวิหาร ภาพพจน์ของไทยในสายตานานาชาติตกต่ำลงไปอย่างมาก เราเหมือนประเทศที่ "มวยแพ้ แต่คนไม่แพ้" มาวันนี้ เราก็ประกาศถอนตัวจากอนุสัญญามรดกโลก ด้วยเหตุผลที่กำกวม และไม่สนใจว่าเรายังมีประโยชน์อื่นๆที่ต้องรักษาไว้อีก ไม่น่าเชื่อว่าการต่างประเทศของไทยจะตกต่ำได้ถึงเพียงนี้


อย่างไรก็ตาม การประกาศถอนตัวจากการเป็นภาคียังไม่มีผลบังคับใช้ในทันที แต่ต้องรอถึง 12 เดือนหลังจากที่รบ.ไทยยื่นจดหมายอย่างเป็นทางการกับผู้อำนวยการยูเนสโกแล้วเท่านั้น ก็หวังว่ารัฐบาลใหม่ที่เข้ามาจะกล้าทบทวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง

"นพดล" โต้เดือด !! อย่าปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ ความจริง กรณีปัญหาไทย – กัมพูชา

อย่าปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ : ความจริง กรณีปัญหาไทย – กัมพูชา

นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เขียนบทความเรื่อง " อย่าปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ :ความจริง ที่นายอภิสิทธิ์ ไม่อาจบิดเบือน กรณีปัญหาไทย – กัมพูชา " เพื่อตอบโต้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยไล่เรียงปัญหาข้อพิพาทไทย - กัมพูชาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีเนื้อหาดังนี้

" จากการที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รักษาการนายกฯ ได้เขียนจดหมายฉบับที่ 8ในเฟซบุ๊ก กรณีปัญหาไทย – กัมพูชา ซึ่งมีข้อความหลายตอนที่กล่าวหา พาดพิงถึงตัวผมเป็นการส่วนตัว ซึ่งการกล่าวหาที่เป็นเท็จดังกล่าวนั้น ถ้าปล่อยทิ้งไว้ก็จะทำให้พี่น้องที่อ่านความเท็จเข้าใจผิด

ผมไม่นึกไม่ฝันเลยว่านายอภิสิทธิ์จะกล้าใช้ความเท็จใส่ร้ายป้ายสีผมขนาดนี้ ทั้งๆที่ผมไม่เคยทำร้ายท่าน ท่านจะหาเสียงของท่านก็ว่าไป เพราะผมเป็นผู้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ไม่สามารถใช้สิทธิ์เลือกตั้งหรือลงสมัครเลือกตั้งได้

ผมไม่อยากตอบโต้ท่าน แต่ผมขอใช้สิทธิ์ชี้แจงเพื่อปกป้องตนเอง แต่สิ่งที่สำคัญกว่าเกียรติยศและชื่อเสียงของผมก็คือ ความจริง พี่น้องคนไทยมีสิทธิ์ที่จะรู้ความจริง ว่าในอดีตและปัจจุบันใครปกป้องดินแดน โดยผมขอชี้แจงในนามส่วนตัวผม ในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ การชี้แจงของผมไม่เกี่ยวกับพรรคการเมืองใด ๆ ทั้งสิ้น และไม่เกี่ยวกับตำแหน่งที่ปรึกษา พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผมขอชี้แจงเป็นลำดับดังนี้

1. ผมรู้ว่าเรื่องกรณีปัญหาปราสาทพระวิหารมีที่มา ที่ไป และซับซ้อน จึงขอสรุบให้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้ครับ

1.1 ในปี 2505ไทยแพ้คดีในศาลโลก ในคดีที่หม่อมเสนีย์ ปราโมช ว่าความ รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์จึงจำใจ และจำยอมยกปราสาทพระวิหารให้กัมพูชาตามคำตัดสินของศาลโลกเมื่อ 46ปีที่แล้ว นายสมัครหรือนายนพดล ไม่ใช่คนยกปราสาทพระวิหารให้กัมพูชา

1.2 ปี 2549 กัมพูชาไปยื่นคำขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยแผนที่ที่ยื่นนั้น มันรุกล้ำและผนวกเอาพื้นที่ทับซ้อน 4.6ตารางกิโลเมตร ที่ไทยอ้างสิทธิเข้าไปด้วย กล่าวคือกัมพูชายื่นขอขึ้นทะเบียน ก) ตัวปราสาท และ ข) พื้นที่ทับซ้อน

1.3 ปี 2550 ในสมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ไทยคัดค้านไม่ให้เขาเอา ข) พื้นที่ทับซ้อน ไปขึ้นทะเบียน จนคณะกรรมการมรดกโลกเลื่อนการพิจารณาการขึ้นทะเบียนปราสาทจากปี 2550 ไปเป็น ก.ค. 2551

1.4 เดือน ก.พ. 2551 รัฐบาล คมช. หมดวาระลง รัฐบาลสมัครเข้ามาจึงต้องรับช่วงแก้ปัญหา และรัฐบาลเสมือนถูกไฟลนก้น เพราะเหลือเวลาเพียง 5เดือนก่อนประชุมมรดกโลกในเดือน ก.ค. 2551 และต้องเร่งเจรจาให้กัมพูชาตัดพื้นที่ทับซ้อนออกก่อนให้ได้ เพราะแผนที่ที่กัมพูชายื่นคาไว้ตั้งแต่ปี 2549 มันผนวกเอาพื้นที่ทับซ้อนเราไปขึ้นทะเบียนไว้

1.5 พื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรนี้ ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ ไทยก็อ้างเป็นเจ้าของ กัมพูชาก็อ้างว่าเป็นเจ้าของ

1.6 รัฐบาลสมัคร และนายนพดล จึงพยายามเจรจาให้กัมพูชาตัดพื้นที่ทับซ้อนออก และห้ามนำไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เพราะหากกัมพูชาขึ้นทะเบียนพื้นที่ทับซ้อนเป็นมรดกโลกสำเร็จ ไทยจะสุ่มเสี่ยงเสียอธิปไตยในพื้นที่ทับซ้อน

1.7. การดำเนินการที่รัฐบาลสมัครและนายนพดลทำไปนั้น ดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอน หน่วยงานของรัฐและข้าราชการประจำทุกฝ่ายร่วมกันทำ และเห็นด้วย เช่นกระทรวงการต่างประเทศ กองทัพไทย สภาความมั่นคงแห่งชาติ กรมแผนที่ทหาร ครม พล.อ. อนุพงษ์ ผบทบ. พล.อ. วินัย ภัทยกุล เห็นด้วย

1.8 หากรัฐบาลสมัครและนายนพดลปัทมะไม่คัดค้านอย่างแข็งขันและเจรจาจนสำเร็จ กัมพูชาจะผนวกเอาพื้นที่ทับซ้อนไปขึ้นทะเบียนด้วย เราจะแย่กว่านี้ พวกผมเป็นผู้ปกป้องดินแดนไทย

1.9 คำแถลงการณ์ร่วมที่ครม.สมัคร อนุมัติให้นายนพดลไปเซ็นนั้น ขณะนี้สิ้นผลไปแล้วตามหนังสือยืนยันของ รมต. ต่างประเทศกัมพูชา และตอนที่กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทเป็นมรดกโลกในเดือน กค. 2551นั้น คณะกรรมการมรดกโลกก็ห้ามไม่ให้นำคำแถลงการณ์ร่วมเข้าประกอบการพิจารณาตามที่ไทยขอระงับผลตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลปกครอง แสดงว่าไทยจะสนับสนุนการขึ้นทะเบียนตัวปราสาทหรือไม่ ก็ไม่ได้มีความสำคัญเลย กัมพูชาก็ขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทได้อยู่ดี

1.10 คำแถลงการณ์ร่วมทำให้กัมพูชายอมรับเป็นครั้งแรกว่ามีพื้นที่ทับซ้อน ทั้งๆที่ปฏิเสธมาโดยตลอด และโชคดีที่ในการประชุมที่แคนาดาในปี 2551 กัมพูชาขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร โดยไม่เอาพื้นที่ทับซ้อนขึ้นทะเบียนด้วย โชคดีที่เขาทำตามแนวทางของแถลงการณ์ร่วม แม้ว่ามันไม่ผูกพันเขา เพราะไทยระงับผลไว้ก็ตาม

2. ในเรื่องปราสาทพระวิหารนี้ พันธมิตรเคยกล่าวหานายอภิสิทธิ์ว่าขายชาติ ผมเป็นคนพูดเองว่า นายอภิสิทธิ์ไม่ได้เป็นคนขายชาติ ไม่มีนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีต่างประเทศคนไหนจะทำอย่างนั้นแน่

3. นายอภิสิทธิ์กล่าวในจดหมายว่า “ นายนพดลไม่มีสิทธิ์ที่จะมาตำหนิรัฐบาลของผมเพราะเขาเป็นผู้สร้างความเสี่ยงให้ไทยต้องอยู่ในภาวะอันตรายต่ออธิปไตยของชาติ ...." เนื่องจากเป็นผู้ไปลงนามสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เเพียงฝ่ายเดียวในปี 2551 สิ่งที่เขาควรทำคือการนั่งนิ่ง ๆ แล้วถามตัวเองว่าพวกเขาได้ทำอะไรลงไปกับประเทศชาติ จนทำให้ผมต้องต่อสู้เพื่อรักษาสิทธิและอธิปไตยของไทยที่นายนพดลกับพวกเกือบจะยกใส่พานให้กัมพูชาไปแล้ว หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเสียก่อน”

โถ โถ โถ คุณอภิสิทธิ์ คุณช่างไม่รู้จริงๆ หรือ แกล้งไม่รู้ คุณอภิสิทธิ์น่าจะมีวุฒิภาวะและละอายแก่ใจบ้างว่า สิ่งที่รัฐบาลสมัครได้ทำไปนั้น เพื่อปกป้องดินแดนและพื้นที่ทับซ้อน 4.6ตารางกิโลเมตร ไม่ให้กัมพูชาเอาไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก และเจรจาสำเร็จ จนกัมพูชายอมตัดพื้นที่ทับซ้อนออกไป รัฐบาลสมัครและผมจึงเป็นผู้ปกป้องดินแดน ไม่ได้เป็นผู้ทำให้เสียดินแดนหรือสร้างปัญหาเอาไว้ คุณอภิสิทธิ์อุตส่าห์ไปประดิษฐ์ประดอยถ้อยคำว่า “เขาเป็นผู้สร้างความเสี่ยงให้ไทยต้องอยู่ในภาวะอันตรายต่ออธิปไตยของชาติ” ซึ่งเป็นความเท็จ และเป็นการใส่ร้ายทั้งสิ้น รัฐบาลสมัครและผมไม่เคยยกอธิปไตยใส่พานให้กัมพูชา เพราะข้อเท็จจริงตามข้อ 1ข้างต้น พวกผมเป็นคนปกป้องอธิปไตยในพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรอย่างชัดเจน

4. ที่นายอภิสิทธิ์กล่าวหาว่า รัฐบาลสมัครและผม ไปสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียวในปี2551นั้น

โดยความเคารพ ผมขอกราบเรียนว่าคุณอภิสิทธิ์พูดความจริงครึ่งเดียวครับ ท่านพูดถูกที่ว่าผมได้ลงนามในคำแถลงการณ์ร่วม แต่ท่านพูดเท็จตรงที่ว่าคำแถลงการณ์ร่วมมีผลเป็นการสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้ จะเห็นได้ว่าการพิจารณาและในข้อมติของที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกในปี 2551 มีการระบุอย่างชัดเจนถึงการไม่อ้างอิง ไม่พิจารณา ไม่คำนึงถึง และห้ามนำแถลงการณ์ร่วมฉบับวันที่ 18 มิถุนายน 2551 มาใช้ประกอบการพิจารณา ตามการตัดสินใจของรัฐบาลไทยที่จะระงับแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวตามคำสั่งศาลปกครองกลาง

ดังนั้นจึงสรุปได้ชัดเจนจากเอกสารว่า คณะกรรมการมรดกโลกมีมติขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยพิจารณาจากคุณค่าสากลอันโดดเด่นของตัวปราสาทเอง ไม่เกี่ยวกับแถลงการณ์ร่วม หรือร่างแถลงการณ์ร่วม หรือการสนับสนุนของไทยทั้งสิ้น คนที่กล่าวหาว่ากัมพูชาสามารถขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกได้ เพราะไทยไปเซ็นแถลงการณ์ร่วมนั้น จึงไม่ถูกต้องและไม่เป็นความจริง

โปรดดูข้อ 5 ของข้อมติคณะกรรมการมรดกโลกในการประชุมสมัยที่ 32 ที่ควิเบก แคนาดา ตามเอกสารภาคผนวกหมายเลข 7 ที่ว่า "....5. Recognizing that the Joint Communique signed on 18 June 2008 by the representatives of the Governments of Cambodia and Thailand, as well as by UNESCO, including its draft which was erroneously referred to as having been signed on 22 and 23 May 2008 in the document WHC-08/32.COM/INF.8B1.Add.2, must be disregarded, following the decision of the Government of Thailand to suspend the effect of the Joint Communique, pursuant to the Thai Administrative Court's interim injunction on this issue...." พี่น้องคนไทยสามารถเข้าไปในเวปไซท์ของคณะกรรมการมรดกโลกตรวจสอบเอกสารนี้ได้ครับ

คุณอภิสิทธิ์เรียนกฎหมายมา น่าจะเข้าใจถึงหลักกฎหมายพื้นฐานในข้อนี้ดีว่า เอกสารที่ห้ามใช้หรือเป็นโมฆะนั้น ย่อมไร้ผลทางกฎหมาย ดังนั้น คำแถลงการณ์ร่วมที่คณะรัฐมนตรีนายสมัครอนุมัติให้ผมไปเซ็น จึงไม่มีผลใดๆ ทางกฎหมายเลย เอกสารคำแถลงการณ์ร่วมจึงไร้ผลทางกฎหมาย ซึ่งแม้แต่ทางกัมพูชาเองก็ยอมรับว่ามันไม่มีผลทางกฎหมายใดๆ เลย เพราะฉะนั้น การกล่าวหาว่าผมไปเซ็นเอกสารและสร้างความเสียหาย จึงเป็นการกล่าวหาที่เป็นเท็จโดยสิ้นเชิง

5. คุณอภิสิทธิ์ กล่าวในหน้าที่ 2 ของจดหมายว่า “ บอกตรง ๆ ว่า ผมรู้สึกละอายใจแทนคุณนพดล ที่จนถึงวันนี้ยังไม่ได้สำนึกเลยว่า ต้นตอปัญหาที่รัฐบาลคุณสร้างขึ้นกำลังส่งผลร้ายแรง คุกคามชีวิตพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดนอย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย” ผมดีใจครับ ที่ท่านก็เป็นคนที่รู้สึกละอายใจได้เหมือนคนทั่วไป แต่แปลกใจว่าตอนมีคนตาย 91 คน และบาดเจ็บ เกือบสองพัน ไม่เห็นท่านรู้สึกเช่นนั้น ไม่เห็นท่านแสดงความรับผิดชอบอะไรเลย ท่านไม่รู้สึกอะไรเลยหรือครับ

คุณอภิสิทธิ์ไม่ต้องละอายใจแทนผมหรอกครับ เพราะรัฐบาลสมัครและผมเป็นผู้เจรจาปกป้องดินแดนพื้นที่ทับซ้อน และรัฐบาลสมัครและผมไม่ได้สร้างปัญหาไว้อย่างที่คุณอภิสิทธิ์กล่าวหา และไม่มีการเสียดินแดนหรือผลร้ายแรงใดๆ คุณอภิสิทธิ์เคยออกทีวีช่อง11ดีเบทกับพันธมิตร ก็เคยพูดไว้นะครับว่า กัมพูชาขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาท และไม่มีการเสียดินแดน ลองไปเปิดเทปดูจะช่วยเตือนความจำท่านได้ครับ

6. ในหน้าที่ 2 ของจดหมายคุณอภิสิทธิ์ ได้กล่าวหาด้วยความเท็จว่า “ รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช โดย นพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ ในขณะนั้น ออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ลงวันที่ 18 มิถุนายน 2551 มีเนื้อหาสนับสนุนให้กัมพูชา ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียว และยอมรับแผนที่ 1ต่อ 200,000 หรือแผนที่ฝรั่งเศส ให้ใช้เป็นแผนการพัฒนาบริหารจัดการพื้นที่อนุรักษ์รอบปราสาทพระวิหาร”

ผมขอเรียนว่าข้อความนี้เป็นเท็จโดยสิ้นเชิงครับ ไม่มีความตอนใดของคำแถลงการณ์ร่วมที่มีการยอมรับแผนที่ 1:200,000 หรือแผนที่ฝรั่งเศสเลย เพราะทุกคนในกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีต่างประเทศรู้ว่าเราไม่ยอมรับแผนที่ระวางนี้ ที่เป็นสาเหตุให้ไทยแพ้คดี จะมีการเขียนถึงก็คือใน บันทึกความตกลง ปี 2543ที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ไปเซ็นกับกัมพูชาเท่านั้น

7 ในความตอนล่างของหน้าที่ 2ของจดหมายคุณอภิสิทธิ์ฉบับที่ 8 มีการระบุว่า “.แต่ก็มิอาจยับยั้งการใช้แถลงการณ์ดังกล่าวเป็นใบเบิกทางให้กัมพูชา ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารแต่เพียงฝ่ายเดียวได้ เพราะคณะกรรมการมรดกโลก ได้มีมติขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียวในวันที่ 8ก.ค. 2551เช่นเดียวกัน.”

คุณอภิสิทธิ์เขียนให้คนเข้าใจผิดว่า เป็นเพราะคำแถลงการณ์ร่วม จึงทำให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทเป็นมรดกโลกได้ ซึ่งเป็นความเท็จอีกเช่นกันครับ เพราะเอกสารนี้ไร้ผลทางกฎหมาย และคณะกรรมการมรดกโลกตัดเอกสารนี้ ไม่ให้นำเข้าพิจารณาครับ ดังที่ผมกราบเรียนไว้ใน ข้อ 4 ข้างต้น และเอกสารที่ผมใช้อ้างอิงเป็นเอกสารมหาชนที่มีที่มาที่ไปตรวจสอบได้ จาก เวปไซท์ของคณะกรรมการมรดกโลกครับ การเขียนของคุณอภิสิทธิ์จึงเป็นการเขียนความเท็จที่คิดเอาเอง ไม่มีแหล่งอ้างอิง และเป็นการใส่ร้ายป้ายสีอย่างน่าละอาย

ความจริง ยังมีอีกหลายประเด็นที่มีการบิดเบือนในจดหมายฉบับที่ 8 ในเฟซบุ๊ค กรณีปัญหาไทย – กัมพูชา ซึ่งผมขอสงวนสิทธิ์ชี้แจงในภายหลัง แต่ในเบื้องต้น ผมขอชี้แจงประเด็นสำคัญและข้อกล่าวหาที่เป็นเท็จที่ต้องรีบชี้แจงเพื่อขจัดความสับสน

อย่างที่ผมกราบเรียนไปแล้ว แม้ผมไม่มีสิทธิ์เลือกตั้ง แต่ผมก็อยากเห็นการรณรงค์หาเสียงกันอย่างสร้างสรรค์ ผมอยากเห็นนักการเมืองและนักการเมืองแต่ละพรรคนำนโยบายและเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาให้ประเทศ ถ้านโยบายพรรคประชาธิปัตย์ดีกว่า ประชาชนก็จะสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ถ้านโยบายพรรคเพื่อไทยดีกว่า ประชาชนก็จะสนับสนุนพรรคเพื่อไทย ประชาชนคิดเป็นและเลือกเป็น แต่การที่นักการเมืองเอาความเท็จมาใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นโดยไม่ละอายและไร้ซึ่งวุฒิภาวะ ผมไม่เชื่อว่าการทำเช่นนี้จะทำให้ท่านได้คะแนน เพราะเป็นการดูถูกสติปัญญาคนไทย คนไทยต้องการนักการเมืองที่พูดความจริงทั้งหมด ไม่ใช่พูดความจริงเพียงครึ่งเดียว หรือแย่ยิ่งกว่านั้นคือการเอาความเท็จมาพูด

สิ่งที่คุณอภิสิทธิ์เขียนในเฟซบุ๊กเป็นความพยายามที่จะใส่ร้ายป้ายสีผม นายอภิสิทธิ์อาจจะพยายามทำลายเกียรติยศและศักดิ์ศรีของผม ซึ่งผมอดทนได้และผมอโหสิกรรมให้ คุณอภิสิทธิ์อาจจะพยายามเหยีบย่ำผมได้ แต่ผมจะไม่ยอมให้นายอภิสิทธิ์เหยียบย่ำทำลายความจริง และผมจะปกป้องความจริงจนสุดกำลัง

ในเรื่องนี้ ถ้าหากมองในเนื้อหาการเขียนจดหมายฉบับที่ 8 นั้น ถ้ามองเรื่องนี้ในทางที่ดี จะแสดงให้เห็นว่านายอภิสิทธิ์อาจเป็นผู้นำที่ไม่ได้ศึกษาหาความรู้และดูความเป็นมาของกรณีปราสาทเขาพระวิหารจากข้อเท็จจริงและเอกสารของราชการ ทั้งๆที่บริหารประเทศมาเกือบสามปี แต่ถ้ามองในทางที่แย่ แสดงว่าคุณอภิสิทธิ์ ไร้วุฒิภาวะและความเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ทำทุกอย่างเพื่อหวังผลทางการเมือง ใช้แม้กระทั่งความเท็จกล่าวหาผู้อื่น อย่างไร้จริยธรรมของผู้นำ

ผมขอกราบขอบพระคุณพี่น้องที่มีจิตใจเป็นธรรมและรักความจริง ที่ได้อ่านจดหมายฉบับนี้ และผมสัญญาครับว่าผมจะต่อสู้กับความเท็จและการใส่ร้ายป้ายสีอย่างไม่ย่อท้อ และขอบคุณสำหรับกำลังใจครับ ความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ The truth will set you free.

ด้วยจิตคารวะ

" นพดล ปัทมะ "