วันศุกร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2554

สัญญาณพิเศษ "คายเพชรซาอุ???"


ท่ามกลางกระแส 7 คนไทยที่เชี่ยวกรากในศาลเขมร แต่ข่าวเล็กๆ ที่ปล่อยแบบจงใจในสื่อฯ สะกิดสัญญาณแปลกๆทันที ที่กรมสอบสวนพิเศษ (4 ม.ค.) พ.ต.อ.ณรัชย์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยกรณีการติดตามเครื่องเพชรของประเทศซาอุฯที่ถูกขโมยไปว่า ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้รับความไว้วางใจจากประเทศซาอุฯและรัฐบาลให้ดูแลรับผิดชอบคดีเพชรหายนี้เป็นคดีพิเศษ เนื่องจากยังได้ของกลางไม่ครบถ้วน ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับซาอุฯ ล่าสุดพบของกลางอีกเป็นจำนวน 5 ชิ้น เช่น สร้อยข้อมือทอง 18 เค ลักษณะสายสร้อยทับกัน สร้อยคอถักทรงกลม ตรงกลางมีจี้เป็นรูปตราสัญลักษณ์คล้ายตราแผ่นดินของซาอุฯ และเครื่องประดับที่ทำจากมรกต ทั้งนี้ได้ส่งมอบให้ทางการเอกอัคราชทูตซาอุฯได้ดูแล้ว ท่านบอกเพียงแต่ว่า มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นทรัพย์สินที่สูญหายไปจากซาอุดีอาระเบีย ต้องให้ทาง DSI ตรวจสอบอีกครั้ง

เพชรของกลางส่งคืนมาลอยๆ แบบไม่มีที่มาที่ไป ยังไม่จบ ปรากฏว่าตำรวจได้บอกหน้าตาเฉยว่า

ขณะที่อายุความเพชรฯ 20 ปีได้หมดลง เจ้าหน้าที่ตำรวจก็แถลงเปิดช่องทางส่งคืนเพชร โดยไม่มีความผิดดังนี้

" ใครที่ครอบครองเพชรซาอุฯหรือมีส่วนเกี่ยวข้อง หากต้องการจะส่งเพชรคืนสามารถส่งพัสดุมาได้ที่ DSI และไม่ต้องกังวลว่าเจ้าหน้าที่จะทำการใดๆ เพราะคดีขาดอายุความแล้ว ถึงแม้ว่าท่านครอบครองไว้ก็ไม่สามารถทำให้รวยเพิ่มขึ้น ตรงกันข้ามหากเรานำไปคืนแก่เจ้าของเขา ทางซาอุฯอาจจะอนุญาตให้คนไทยเข้าไปทำงาน นำเงินกลับเข้าประเทศ หรือปล่อยวีซ่าให้คนซาอุฯ มาเที่ยวประเทศไทย เป็นการสร้างรายได้ให้กับการท่องเที่ยวเป็นจำนวนมหาศาล แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือศักดิ์ศรีของคนไทย ที่จะไม่ให้ใครต่อว่าเราได้ว่าเป็นคนขี้โกง"


มิหนำซ้ำ ท่าทีของนายนาบิล แอชรี (Mr.Nabil H.N. Ashri) อุปทูตซาอุดิอาระเบีย ประจำประเทศไทย ได้กล่าว "อย่างมีนัยยะสำคัญ" ว่า

"เป็นเรื่องที่ดีที่จะได้เพชรกลับคืนสู่ประเทศ แต่ก็ไม่อยากจะเรียกร้องอะไร ส่วนรายละเอียดอื่นๆสอบถาม DSI"

ทั้งท่าทีที่สอดรับกันทั้งตำรวจ ดีเอสไอ ว่าให้ผู้ที่ "อมเพชร" ส่งเพชรคืนทางไปรษณีย์ได้ และอุปทูตซาอุฯ ก็พูดเหมือนรู้และยินดีล่วงหน้า ว่ายินดีที่จะได้เพชรซาอุคืนสู่แผ่นดินแม่

การคืนเพชรซาอุ เป็นสิ่งที่สมควรกระทำอย่างยิ่ง แต่ที่สมควรยิ่งกว่านั้นคือ "ใครอม เพชรซาอุ"


ไม่มีความคิดเห็น: