ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต ให้สัมภาษณ์ทาง FM 101 Radio Report One ถึงมองสถานการณ์การเมือง แก้รัฐธรรมนูญ และแนวโน้มอนาคตทางการเมืองของประเทศไทยว่า บรรยากาศทางการเมืองโดยรวมในตอนนี้ ไม่ได้ไปในแนวทางที่สร้างสรรค์ในสิ่งที่ดีกว่า เพราะยังมีการทำลายซึ่งกันละกัน ไม่ว่าจะเป็นการโยกย้ายข้าราชการ เหมือนมีอะไรแอบแฝงที่ไม่ตรงไปตรงมา และไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่
“การแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 112 (ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี) เป็นการจ้องที่จะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมว่ามันเป็นการทำร้ายประเทศไทย เราไม่รู้หรือว่าสถาบันคือสิ่งดีงามที่มีมาตั้งแต่ในอดีต แล้วจะมาลบล้างกันเพื่ออะไร เพื่อใคร ผมคิดว่าหากจะปรับแก้รัฐธรรมนูญกันจริงๆ ก็ต้องทำตามกระบวนการที่โปรงใส คือ ประชาชนต้องมีส่วนร่วม และควรตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) แบบไม่หมกเม็ด ไม่ปิดกั้น เปิดกว้างให้ทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วมกันคิดเพื่อความเป็นธรรม แต่ตอนนี้ยังไม่ต้องเร่งรีบที่จะให้เสร็จภายใน 3-4เดือน เพราะหากจะทำจริงๆ ก็ควรจะทำให้ดี ปฏิรูปกันทุกภาคส่วนให้ดีเหมือนกัน” ดร.อาทิตย์ กล่าว
เมื่อถามว่า ดูเหมือนการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้จะเป็นการแก้ไขแบบเจาะรายมาตรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่าตอนแรกดูเหมือนตั้งธงจะแก้ไขตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ แต่อาจเกรงว่าหากใช้อำนาจหรือเสียงในสภาฯ ก็จะไม่ได้รับการยอมรับ ฉะนั้นอย่าทำเพียงเพื่อสร้างภาพสร้างฉากที่สวยเท่านั้น เพราะมันไม่ใช่ประชาธิปไตยในฝันที่อยากจะเห็น การแก้รัฐธรรมนูญก็ไม่ควรเร่งรีบจนเกินไป จะรีบทำไม รีบเพื่ออะไร รัฐบาลจะทำอะไร อย่าข่มขืนประชาชนมากนักเพราะการข่มขืนอาจจะมีปฏิกิริยาตอบโต้ก็ได้ ซึ่งมันไม่ใช่ความสงบสุข ที่จะเป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน
เมื่อถามว่ามีคำแนะนำที่จะทำให้ประเทศหลุดพ้นเรื่องการเมืองหรือไม่ ดร.อาทิตย์ กล่าวว่า หากฝ่ายการเมืองพยายามสร้างความกดดัน ใช้เล่ห์เหลี่ยมใช้อำนาจที่จะส่งเสริมใครก็ตาม มันก็ไม่ใช่แนวทางที่จะนำไปสู่ความปรองดอง เพราะหากต้องการที่จะปรองดองทำให้ชาติสงบจริงๆ มันก็ควรจะสร้างสรรค์ ผมว่าเรารู้กันว่าวิธีใดจะเป็นวิธีสร้างสรรค์ ไม่ใช่ข่มขืนกันอย่างนี้ เราเจริญแล้วไม่ควรจะนำวิธีการแห่งความไม่เจริญมาใช้และทำให้ถูกต้องตามกฎหมายที่กำหนดเอาไว้ อย่าพยายามแสดงแบบศรีธนญชัย หากจะแก้รัฐธรรมนูญจริงๆ ต้องทำเป็นแบบอย่าง เป็นต้นแบบให้ทุกภาคส่วนว่า วิธีการแก้รัฐธรรมนูญที่อารยะควรเป็นอย่างไร และที่สำคัญควรจะมีทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมกัน เอาส่วนรวมเป็นตัวตั้ง เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดเอาไว้ว่า ต้องใช้วิธีการประชามติ ซึ่งควรทำทุกอย่างให้เป็นอย่างนั้น อย่าฝืนกติกา แล้ว ส.ส.ร.จะมาด้วยวิธีการใด ก็บอกกันว่ามาด้วยการเลือกตั้ง สมมติว่าทุกขั้นตอนอ้างกระบวนการประชาธิปไตย แต่ใช้วิธีการซื้อเสียงหรือควบคุมเสียงมา ถ้าตราบใดที่ยังทำอยู่อย่างนี้ ผมเชื่อว่าประเทศไทยจะไม่มีวันเป็นประชาธิปไตยขึ้นมาได้
เมื่อถามว่าหากสมมติว่า ส.ส.ร. ที่ตั้งมาเกิดปัญหาพวกมากลากไป เลือกตั้งมาก็ไม่รู้เป็นตัวแทนใครกันแน่ เราใช้โครงของกรรมาธิการของชุด พลเอกสนธิ บุญยรัตกลินที่สามารถจะฟังความเห็นคนโน้นคนนี้ และประชาชนมีส่วนร่วมมาเป็นกรอบเค้าโครงขึ้นมาดีหรือไม่ ดร.อาทิตย์ กล่าวว่า ในเรื่องของวิธีการมันใช้อะไรก็ได้ ไม่ต้องเป็นวิธีการเดียวแต่มันก็ควรจะเป็นวิธีการที่มีเจตนาดี และมีกระบวนการที่เปิดกว้าง โปร่งใส เคารพความเห็นของทุกๆฝ่าย
“ทุกวันนี้ การเมืองมันรุนแรง ยิงกันไปยิงกันมา น่าหดหู่ นี่หรืออนาคตของประชาธิปไตย ความเป็นประชาธิปไตยต้องอยู่ในจิตวิญญาณของคน ไม่ได้อยู่ที่ตัวหนังสือ มาตรา 112 ในเชิงรัฐศาสตร์ไม่ได้มีอะไรเลย เรามีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ จึงต้องมีมาตราที่จะปกป้อง เพราะขนาดคนธรรมดายังละเมิดไม่ได้เลย ใครไปหมิ่นประมาท เขายังฟ้อง นี่เป็นถึงสถาบันสูงสุดของประเทศ มีเพียงมาตรา 112เขียนเอาไว้กว้างๆ ว่าอย่าละเมิดซึ่งก็ไม่ควรที่จะละเมิด แต่ผมว่าวิจารณ์ได้ ถ้าวิจารณ์โดยบริสุทธิ์ใจซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ตรัสแล้วว่า วิจารณ์ได้“พระมหากษัตริย์ทำผิดไม่ได้” ไม่ใช่ว่าจะหมายถึง “ทำอะไรต้องไม่ผิด” การทำผิดไม่ได้กับ การทำอะไรต้องไม่ผิด คนละความหมายกัน และหากจะวิจารณ์ก็ต้องวิจารณ์ถูกด้วย หากวิจารณ์แบบมีอคติ มีเจตนาร้ายอย่างนี้ถือว่าผิด และเพื่อความมั่นคงของประเทศชาติ เราก็ยอมไม่ได้เพราะจะทำให้ประเทศชาติปั่นป่วน พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ ประมุขไม่ใช่ตัวบุคคล เป็นประมุขที่เราต้องสร้างความศักดิ์สิทธิ์ ที่คนจะเหยียบย่ำไม่ได้ ผมเคยยกตัวอย่างว่า ประเทศไทยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจะแบ่งแยกไม่ได้ หากใครคิดจะแบ่งแยก ละเมิดหรือว่าล้มล้างระบบประเทศไทยก็ถือว่ามีความผิด ฉะนั้นต้องมีอะไรเป็นเกราะกำบังและสร้างความเป็นสถาบันมีความสำคัญสูง” ดร.อาทิตย์ กล่าว
เมื่อถามว่า ความพยายามแก้ไขกันอยู่ตอนนี้คือการเปิดโอกาสให้ใครก็ฟ้องได้ ดูจะเป็นการเปิดกว้างไปหรือไม่ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวต่อไปกระบวนการอาจจะใช่การเปิดโอกาสให้คนเข้ามาลบหลู่ทางเว็บไซต์มันเป็นสิ่งที่ละเมิดมากมายอยู่แล้วแต่ก็ยังไม่มีการทำอะไรเลยนี่ขนาดมีมาตรา 112ก็ยังไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ หรือไม่อยากจะทำ ทุกวันนี้ขอแต่เพียงว่ากระบวนการทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ อัยการ หรือศาล ต้องพิจารณาให้ดีๆ อย่าใช้ความเป็นศรีธนญชัย ต้องดูเจตนาแท้จริงด้วย
เมื่อถามว่าภาพรวมทางการเมืองสถานการณ์ ในปี 2555 จะเป็นอย่างไร ดร.อาทิตย์ กล่าวว่า การเมืองจะยังไม่สดใส หากสมมติว่าฝ่ายการเมืองตั้งเป้าเป็นศรีธนญชัย ยังมีการทำลายล้างอย่างที่เป็นอยู่ คงจะไม่สร้างสรรค์ เพราะไม่รู้ว่าเป้าหมายคืออะไร หากเป็นอยู่อย่างนี้บ้านเมืองไม่สงบ ประชาชนก็ไม่มีความสุข ในฐานะประชาชนผมคิดว่าเราควรแสดงให้เห็นว่าเราไม่พอใจอย่างไร เช่น การโยกย้ายข้าราชการก็ไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน งานหลักๆ อย่างตำรวจ มหาดไทย เป็นการย้ายเพื่อจะทำลายล้างจนทำให้เกิดความปั่นป่วน เป็นการเปลี่ยนยุค เปลี่ยนสี หรือเปลี่ยนอะไรกันแน่ แต่เดิมระบบราชการของเราเป็นระบบคุณธรรม ต้องยึดถือความต่อเนื่อง ควรจะทำเพื่อส่วนรวม ไม่ใช่ฝักใฝ่เอนเอียงฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเพื่อการเมือง เมื่อเขาย้ายพวกเก่าออก ระบบก็ถูกทำลายหมด นี่ถือเป็นการกระทำที่อันตรายทำให้ประเทศไทยไม่เหลือความเป็นประเทศ
เมื่อถามว่า ดร.อาทิตย์ คิดจะกลับมาในแวดวงการเมืองหรือไม่ ดร.อาทิตย์ กล่าวว่า ผมอายุมากแล้ว แต่ก็อยากให้แนวคิดของเราเป็นแบบอย่าง และที่สำคัญควรเปิดโอกาสให้คนเก่งๆ วัยหนุ่มสาวที่ทำงานให้ชาติบ้านเมืองทำงานบ้าง เพราะความคิดของเรามันอาจล้าสมัยไปแล้ว อย่าไปฝืนทำจนกระทั่งประเทศชาติเสียหายเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น