วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554

น้องชาย "นายกฯตุ่น" ยื่นหนังสือสภาฯ คัดค้านให้เอกสิทธิ์คุ้มครอง "สส.ครรชิต"


เมื่อเวลา 11.00 น. นายอุดม ไกรวัตนุสสรณ์ อดีตส.ส.สมุทรสาคร พรรคเพื่อไทย น้องชายนายอุดรหรือนายกตุ่นที่ถูกสังหาร เข้ายื่นหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนฯ ผ่านนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ รองประธานสภาผู้แทนฯ ขอคัดค้านการอนุญาตให้เอกสิทธิ์นายครรชิต ทับสุวรรณ ส.ส.สมุทร สาคร พรรคประชาธิปัตย์ ผู้ต้องหาสังหารนายอุดร เพราะผู้ต้องหาและครอบครัวมีพฤติการณ์ ยุ่งเหยิงกับพยาน ซึ่งการใช้เอกสิทธิ์ของส.ส.ควรใช้เฉพาะในการปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติเพื่อช่วยเหลือประชาชน ไม่ใช่ใช้เอกสิทธิ์ในคดีอาญาร้ายแรง เพราะจะกระทบต่อภาพลักษณ์ของสภาผู้แทนฯในการอำนวยความยุติธรรมต่อประชาชน

ด้านนายวิสุทธิ์กล่าวว่า การจะให้เอกสิทธิ์คุ้ม ครองหรือไม่ เป็นดุลพินิจของสภา เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีคดีอุกฉกรรจ์อย่างนี้มาก่อน จึงไม่ทราบว่าส.ส.แต่ละคนมีความเห็นอย่างไร ไม่รู้ว่าส.ส.จะลงมติให้ใช้เอกสิทธิ์หรือไม่

จากนั้น นายอุดมให้สัมภาษณ์ว่า อาจจะพูดคุยกับส.ส.พรรคเพื่อไทยเพื่อไม่ให้เอกสิทธิ์นายครรชิต แต่เชื่อว่าส.ส.ได้ติดตามข่าวสารพอสมควร แทบจะไม่ต้องพูดคุยอะไรกันมาก เพราะกรณีนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่ผ่านมามีแต่กรณีถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้จ้างวาน ไม่เกี่ยวข้องโดยตรง แต่คดีนี้เป็นคดีอุกฉกรรจ์หลังจากศาลพิจารณาหลักฐานก็อนุมัติหมายจับทันที ส่วนที่คนของพรรคประชาธิปัตย์ระบุว่ามีการรวบรวมหลักฐานเร็วผิดปกตินั้น ก็เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นตอนกลางวัน ในสถานที่ไม่เปลี่ยว ไม่ได้มีการจ้างวาน ทำให้รวบรวมหลักฐานได้รวดเร็วกว่าคดีอื่นๆ

นายอุดมกล่าวอีกว่า ทั้งนี้ การอนุญาตให้ใช้เอกสิทธิ์หรือไม่ต้องดูจากความมุ่งหมายว่าเป็นการให้เอกสิทธิ์ส.ส.เพื่อการทำหน้าที่หรือไม่ ถ้าเป็นการทำหน้าที่ส.ส.ต้องได้รับการคุ้มครอง แต่กรณีนี้ถือเป็นการทำหน้าที่ของส.ส.หรือไม่ ตนเชื่อในจริยธรรมและดุลพินิจของส.ส.ในการทำหน้าที่ แม้ที่ผ่านมาสภาจะให้เอกสิทธิ์คุ้มครอง ส.ส.ทุกครั้ง แต่พฤติกรรมของส.ส.บางคนขณะนี้ไม่เหมือนในอดีต ฉะนั้นอะไรที่ไม่เคยเกิดก็อาจจะเกิดขึ้นได้

นายอุดมกล่าวต่อว่า ขณะนี้ตนเป็นห่วงพยาน เพราะเมื่อวันที่ 28 ธ.ค. เวลา 11.00 น. นายเอนก ทับสุวรรณ บิดานายครรชิต ได้ไปสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งเจ้าของสถานที่มีความสนิทสนมส่วนตัวกับผู้ต้องหา ทำให้พยานจำนวนมากที่รู้เห็นเหตุการณ์มีความหวาดกลัวไม่กล้าเป็นพยาน ดังนั้นจะร้องขอตำรวจกองปราบปรามมาช่วยคุ้มครองพยาน เพราะผู้ต้องหาเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ และยังมีเครือข่ายในกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการทำสำนวนสอบสวนด้วย

นายอุดมกล่าวว่า คดีนี้ไม่ต้องกลัวว่าจะมีการเมืองเข้ามาแทรกแซงการดำเนินคดี เพราะตำรวจที่ทำคดีนี้แต่งตั้งสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ดังนั้นคนของพรรคประชาธิปัตย์อย่ามากลัวจุดนี้ แต่เป็นพวกตนต่างหากที่ต้องกลัว อย่างไรก็ตามหากนายครรชิตได้เอกสิทธิ์คุ้มครองการดำเนินคดีก็ยืดยาวออกไป เกรงว่าพยานหลักฐานต่างๆ จะสูญหายไปด้วย เพราะขณะนี้ผู้ถูกกล่าวหาไม่ยอมส่งอาวุธปืน และรถที่ก่อเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบ หากบริสุทธิ์จริงจะกลัวอะไร

ไม่มีความคิดเห็น: