วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555
ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลประเมินวิกฤตยุโรปไม่มีผลกระทบรุนแรงต่อไทย
ในรายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชนวันนี้ ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลได้พูดถึงแนวทางเตรียมความพร้อมรับมือผลกระทบจากวิกฤตยุโรป โดยประเมินว่าจะไม่มีผลกระทบรุนแรงต่อไทย และคาดว่าเป้าการส่งออกจากเติบโตร้อยละ 15 นอกจากนี้ ยังมีการติดตามเรื่องการแก้ปัญหายาเสพติดที่มีแนวทางประสานกันกับหลายประเทศ เพื่อสกัดยาเสพติดจากชายแดน
ในรายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชนวันนี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กล่าวถึงแนวทางแก้ปัญหาว่าต้องประสานงานกับจีน และพม่า เพื่อสกัดกั้นยาเสพติดไม่ให้เข้ามาในประเทศ และจะเน้นการสกัดในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือ
โดยที่ผ่านมาเริ่มใช้มาตรการตั้งด่านกองบังคับการสกัดกั้นยาเสพติดที่ช่วยหารถต้องสงสัยตามจุดต่างๆ และใช้กล้องวงจรปิด ช่วยติดตามความเคลื่อนไหว มาตรการหลังจากนี้ จะมีการแก้ไขกฎหมายให้มีโทษรุนแรงขึ้น
ขณะที่เรื่องการเตรียมรับมือวิกฤตเศรษฐกิจในยุโรป นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า ไทยยังมีสภาพคล่องที่สูง และวิกฤตในยุโรปไม่น่าจะมีผลกระทบรุนแรงต่อไทย แต่เตรียมแผนรับมือ หากการสั่งซื้อสินค้าจากประเทศอื่นลดลง โดยตั้งเป้าการส่งออกว่าจะเติบโตร้อยละ 15 และจีดีพีเป้าหมายที่ร้อยละ 7
กระทรวงการต่างประเทศยืนยันสัมพันธ์ไทย - สหรัฐฯแน่นแฟ้น
นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ |
นายกรัฐมนตรียืนยันที่จะนำกรณีที่องค์การนาซ่าขอใช้สนามบินอู่ตะเภาเข้าหารือในที่ประชุมร่วมรัฐสภา ขณะที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศปฏิเสธข่าวลือจากฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลว่าสหรัฐอเมริกาจะลดระดับความสัมพันธ์ของไทย
30 มิถุนายน 2555 go6TV - นายธานี ทองภักดี อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศปฏิเสธการยกเลิกกำหนดการเยือนไทยของนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดยระบุว่าคงเป็นการเข้าใจผิด และเป็นการรายงานที่คลาดเคลื่อน ซึ่งการเยือนไทยของนายโอบามานั้นอยู่ระหว่างการประสานงานในช่วงเวลาที่เหมาะสม
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างไทย และสหรัฐอเมริกายังคงแน่นแฟ้นเหมือนเดิม เนื่องจากสหรัฐฯเคารพ และเข้าใจการตัดสินใจของรัฐบาล และทั้ง 2 ฝ่าย ก็มีความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือในด้านต่างๆ กันต่อไป
ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าแม้องค์การนาซ่ายกเลิกการขอใช้ สนามบินอู่ตะเภาในการสำรวจชั้นบรรยากาศ แต่รัฐบาลจะนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมร่วมรัฐสภาตามมาตรา 179 เพื่อรับฟังความเห็นของ ส.ส. และ ส.ว.
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ยอมรับว่าไทยเสียประโยชน์จากการที่องค์การนาซ่ายกเลิกโครงการ พร้อมย้ำว่าฝ่ายความมั่นคงไม่ได้เป็นคู่ขัดแย้งกับใคร และได้เสนอข้อห่วงใยต่างๆ ไปแล้ว
ประชาชนตะเพิดพ้นปทุมฯ "อภิสิทธิ์" ผวาหนัก เผ่นหนีทิ้งสาวก
ประชาชนชาวปทุมธานีกว่า 300 คนสุดทน บุกตะเพิดอภิสิทธิ์ กลางเวทีประชาธิปัตย์ ตะโกนสาปแช่งฆาตกรสั่งฆ่าประชาชน ก่อนลุกฮือเหตุมีมือมืดภายในงานแกล้งปาสิ่งของเข้าใส่ประชาชน โชคดีไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ตำรวจหิ้ว "มาร์ค" ออกหลังงานแบบหมดสภาพ ชาวปทุมฯสั่งสอน หากมาเหยียบถิ่นอีกเจอกันแน่
(29 มิถุนายน 2555 go6TV) เมื่อเวลาประมาณ 21.00 น. ที่งาน “ราตรีสีฟ้า พรรคประชาธิปัตย์พบประชาชนคนปทุมธานี” ณ โรงเรียนชุมชนประชาธิปัตย์วิทยาคาร ริมคลองเทศบาลนครรังสิต ระหว่างการปราศรัยของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้มีประชาชนชาวจังหวัดปทุมธานีและพื้นที่ใกล้เคียงจำนวนประมาณ 300 คน นำโดยนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ และนายศรรัก มาลัยทอง ดีเจวิทยุชื่อดังของจังหวัดปทุมธานี สุดทนพฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พร้อมสาปแช่งและชูป้ายขับไล่ว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แห่งพรรคประชาธิปัตย์เป็นฆาตกร สั่งฆ่าประชาชน ระหว่างนั้น ได้มี "มือมืด" ปาขวดน้ำเข้าไปยังกลุ่มประชาชนชาวปทุมธานี ทำให้ประชาชนบางส่วนไม่พอใจและโยนขวดน้ำกลับคืนไปในงาน
ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจากสภอ.ประตูน้ำ จุฬาลงกรณ์ ได้นำกำลังเข้าดูแลพื้นที่ทั้งในและนอกโรงเรียนและปิดประตูโรงเรียน พร้อมนำกระดานดำ มากั้นไม่ให้เกิดเหตุการณ์บานปลาย ล่าสุดหลังจากนายอภิสิทธิ์ เห็นเหตุการณ์ดังกล่าว ได้ยุติการปราศรัย โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ลากตัวออกทางประตูด้านหลังโรงเรียน เพื่อไม่ให้เกิดการเผชิญหน้า
ด้านประชาชนชาวปทุมธานีเมื่อทราบว่านายอภิสิทธิ์กลับไปแล้ว จึงประกาศให้มวลชนสลายตัว ทำให้กลุ่มคนที่มารอฟังนายอภิสิทธิ์รู้สึกมึนงง และพากันจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆนาๆ ขณะที่ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตจำนวนมากระบุ กรณีชาวปทุมธานีไล่ตะเพิดอภิสิทธิ์ เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ พร้อมทั้งแนะว่าคนไทยต้องไม่ยอมรับฆาตกรที่สั่งฆ่าประชาชน
ภาพชาวปทุมธานี ไล่ตะเพิดอภิสิทธิ์ สาปแช่งฆาตกร |
ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจากสภอ.ประตูน้ำ จุฬาลงกรณ์ ได้นำกำลังเข้าดูแลพื้นที่ทั้งในและนอกโรงเรียนและปิดประตูโรงเรียน พร้อมนำกระดานดำ มากั้นไม่ให้เกิดเหตุการณ์บานปลาย ล่าสุดหลังจากนายอภิสิทธิ์ เห็นเหตุการณ์ดังกล่าว ได้ยุติการปราศรัย โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ลากตัวออกทางประตูด้านหลังโรงเรียน เพื่อไม่ให้เกิดการเผชิญหน้า
ด้านประชาชนชาวปทุมธานีเมื่อทราบว่านายอภิสิทธิ์กลับไปแล้ว จึงประกาศให้มวลชนสลายตัว ทำให้กลุ่มคนที่มารอฟังนายอภิสิทธิ์รู้สึกมึนงง และพากันจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆนาๆ ขณะที่ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตจำนวนมากระบุ กรณีชาวปทุมธานีไล่ตะเพิดอภิสิทธิ์ เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ พร้อมทั้งแนะว่าคนไทยต้องไม่ยอมรับฆาตกรที่สั่งฆ่าประชาชน
ภาพชาวปทุมธานีร่วมใจสามัคคีตะเพิดอภิสิทธิ์ |
วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555
ประชาธิปัตย์สะดุ้ง!!! "พานทองแท้" ถาม "ปลาบู่กลับชาติมาเกิด?"
(29 มิถุนายน 2555 go6TV) - เมื่อช่วงดึกของวันที่ 29 มิถุนายนที่ผ่านมา นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือ "โอ๊ค" บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟชบุ๊คส่วนตัวล่าสุด ระบุว่า
"ฟังหูไว้หู"เป็นสุภาษิตที่เหมาะกับคนไทยในยุคไซเบอร์ครับ
ตัวอย่างแรกคือ เหตุการณ์ "คำทำนายของเด็กชาย ปลาบู่" ใครที่จำไม่ได้ก็ตามลิ๊งค์นี้เลยครับ
http://news.mthai.com/headline-news/144420.html
ข่าวลือที่เกิดขึ้นในโลกไซเบอร์ก็คือ ลุงทองใบ คำสี ผู้เป็นพ่อของเด็กชายปลาบู่ ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกโดยจ่าหน้าถึง "ผู้ที่รักผืนแผ่นดินไทย ทุกท่าน" และได้ระบุว่า "เด็กชายปลาบู่ได้พูดไว้เมื่อวันที่ 23-25 มิ.ย. 2517" ก่อนเสียชีวิต15วัน ถึงหลายๆเหตุการณ์ แต่ที่เป็นประเด็นได้แก่เรื่องที่ทำนายว่า ปลาบู่จะชนเขื่อน เอ๊ย... เขื่อนจะแตก ในวันปีใหม่ปี2555 จนตื่นตระหนกกันทั้งประเทศโดยเฉพาะจังหวัดตาก แจ้งว่ารายได้ช่วงปีใหม่หายไปร่วม4-500ล้านบาทเลยนะครับ
ตัวอย่างที่2นั้น ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเป็นอย่างยิ่งที่38ปีผ่านมา ในช่วงที่คาบเกี่ยวกัน(ไม่ทราบว่าจะเรียกว่าพอดีเป๊ะเลยได้หรือเปล่า) คือในช่วงวันที่เดียวกันคือ 23-25 มิ.ย.2555ก็เกิดเหตุการณ์ ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายที่ประเมินเป็นมูลค่ามิได้ ก็คือมีการให้ข่าวว่าโครงการสำรวจภูมิอากาศขององค์การนาซ่านั้น อาจมีการจารกรรมสอดแนมของกองทัพสหรัฐฯ จนกระทั่งเป็น "ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์"ไปทั่วประเทศ ทำให้การอนุมัติโครงการฯนี้ต้องล่าช้าไปจนทำให้ ในที่สุด องค์การนาซ่าต้องยกเลิกโครงการไปเมื่อวันที่ 26มิ.ย.2555
แน่นอนครับว่าในครั้งนี้ย่อมไม่ใช่ "เด็กชายปลาบู่" ที่ออกมาทำนาย แต่บังเอิญว่าชื่อและสมญานามพ้องกัน และผู้ที่ให้สัมภาษณ์ถึงข่าวนี้ ก็ไม่ใช่ลุงทองใบ คำสี ที่เขียนถึง "ผู้ที่รักผืนแผ่นดินไทย ทุกท่าน" แต่เป็นหัวหน้าพรรค ปชป.ที่ให้เหตุผลคล้ายกับ ลุงทองใบ ในการคัดค้านตอบโต้ รมว.กห.ว่า "รักประเทศต้องยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก" ส่วนความเสียหายนั้น ก็ไม่ใช่4-500ล้าน เหมือนที่จ.ตากนะครับ ถ้าหากการสำรวจครั้งนี้สามารถ "แก้ปัญหา" หรือ "ผ่อนหนักเป็นเบา" หรือแม้แต่เพียง "แจ้งเตือนได้อย่างแม่นยำ" ในเรื่องของภัยพิบัติที่เกิดในบ้านเราถี่ขึ้นทุกวันๆได้จริง ผมว่า"โอกาสที่เราเสียไปนั้นประเมินเป็นมูลค่ามิได้ครับ"
กำลังทำข้อมูลเรื่องนี้อยู่ดีๆ ทีมงานเฟสบุ๊คผมนี่ก็ช่าง ขุดคุ้ย สืบค้น กันเหลือเกินครับ โดยทีมงานได้เอาข้อความในจดหมายของลุงทองใบ ตอนหนึ่งที่ระบุว่า "เขียนถึงตรงนี้เด็ก(ชายปลาบู่)อายุเพียง 5 ขวบ 8 เดือน 15วัน บ่นว่า เขื่อนที่สร้างเสร็จแล้วยังไม่สมบูรณ์...ฯลฯ" มาคำนวณกับวันที่เด็กชายปลาบู่พูด คือวันที่23-25 มิ.ย.17 หรือว่า 38ปีที่แล้ว เมื่อหักลบ 8เดือน15วัน จะพบว่าใกล้เคียงกับวันที่10 ต.ค. ซึ่งก็ไปหามาอีกว่า ใกล้เคียงวันเกิดของโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เจ้าของสมญานาม "ปลาบู่ชนเขื่อน" ซึ่งเกิดหลังจากที่ด.ช.ปลาบู่เสียชีวิตไปเพียง 3เดือนเศษเท่านั้น อะไรมันจะช่างบังเอิญขนาดนั้นครับ ทั้งวันที่พูด, เหตุการณ์, ปี พ.ศ. ฯลฯ ทำให้วันนี้ทั้งวันในออฟฟิตไม่เป็นอันทำอะไรมัวแต่ถกเถียงกันอยู่นั่นแหละว่า "เด็กชายปลาบู่กลับชาติมาเกิดหรือไม่" อะไรมันจะเชื่อกันไปขนาดนั้น !!!!
ในรูปที่ผมแนบมานี้ เป็นบทความจาก สำนักข่าวพระพยอมครับ ท่านบอกว่า คำทำนายของ "เด็กชายปลาบู่" ฟังได้แต่ต้องพิจารณา ความเชื่อเรื่อง"ปลาบู่กลับชาติมาเกิด" รวมถึงเรื่อง "นาซ่ามาไทยเพื่อสอดแนม" นี่ก็ "ฟังได้แต่ต้องพิจารณา" เช่นเดียวกันครับ
ผมถึงว่าไว้ไงครับว่า ต้องฟังหูไว้หูครับ สมัยนี้ต้องฟังหูไว้หู
ทั้งนี้ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตจำนวนมากต่างสังเกตว่าในระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา ผู้บริหารและผู้มีตำแหน่งทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี จะมีปฏิกริยาต่อข้อความของนายพานทองแท้ ชินวัตร ทุกครั้ง และเมื่อไม่สามารถตอบโต้เหตุผลของนายพานทองแท้ได้ พรรคประชาธิปัตย์จะส่งผู้อื่นมาทำการตีรวนและเบี่ยงประเด็นแทน ขณะที่ผลสำรวจของเว็บไซท์ go6TV ล่าสุด ระบุว่า ประชาชนร้อยละ 90 ไม่เชื่อพรรคประชาธิปัตย์กรณีองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ นาซา ขอใช้สนามบินอู่ตะเภา
"ฟังหูไว้หู"เป็นสุภาษิตที่เหมาะกับคนไทยในยุคไซเบอร์ครับ
ตัวอย่างแรกคือ เหตุการณ์ "คำทำนายของเด็กชาย ปลาบู่" ใครที่จำไม่ได้ก็ตามลิ๊งค์นี้เลยครับ
http://news.mthai.com/headline-news/144420.html
ข่าวลือที่เกิดขึ้นในโลกไซเบอร์ก็คือ ลุงทองใบ คำสี ผู้เป็นพ่อของเด็กชายปลาบู่ ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกโดยจ่าหน้าถึง "ผู้ที่รักผืนแผ่นดินไทย ทุกท่าน" และได้ระบุว่า "เด็กชายปลาบู่ได้พูดไว้เมื่อวันที่ 23-25 มิ.ย. 2517" ก่อนเสียชีวิต15วัน ถึงหลายๆเหตุการณ์ แต่ที่เป็นประเด็นได้แก่เรื่องที่ทำนายว่า ปลาบู่จะชนเขื่อน เอ๊ย... เขื่อนจะแตก ในวันปีใหม่ปี2555 จนตื่นตระหนกกันทั้งประเทศโดยเฉพาะจังหวัดตาก แจ้งว่ารายได้ช่วงปีใหม่หายไปร่วม4-500ล้านบาทเลยนะครับ
ตัวอย่างที่2นั้น ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเป็นอย่างยิ่งที่38ปีผ่านมา ในช่วงที่คาบเกี่ยวกัน(ไม่ทราบว่าจะเรียกว่าพอดีเป๊ะเลยได้หรือเปล่า) คือในช่วงวันที่เดียวกันคือ 23-25 มิ.ย.2555ก็เกิดเหตุการณ์ ที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายที่ประเมินเป็นมูลค่ามิได้ ก็คือมีการให้ข่าวว่าโครงการสำรวจภูมิอากาศขององค์การนาซ่านั้น อาจมีการจารกรรมสอดแนมของกองทัพสหรัฐฯ จนกระทั่งเป็น "ทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์"ไปทั่วประเทศ ทำให้การอนุมัติโครงการฯนี้ต้องล่าช้าไปจนทำให้ ในที่สุด องค์การนาซ่าต้องยกเลิกโครงการไปเมื่อวันที่ 26มิ.ย.2555
แน่นอนครับว่าในครั้งนี้ย่อมไม่ใช่ "เด็กชายปลาบู่" ที่ออกมาทำนาย แต่บังเอิญว่าชื่อและสมญานามพ้องกัน และผู้ที่ให้สัมภาษณ์ถึงข่าวนี้ ก็ไม่ใช่ลุงทองใบ คำสี ที่เขียนถึง "ผู้ที่รักผืนแผ่นดินไทย ทุกท่าน" แต่เป็นหัวหน้าพรรค ปชป.ที่ให้เหตุผลคล้ายกับ ลุงทองใบ ในการคัดค้านตอบโต้ รมว.กห.ว่า "รักประเทศต้องยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก" ส่วนความเสียหายนั้น ก็ไม่ใช่4-500ล้าน เหมือนที่จ.ตากนะครับ ถ้าหากการสำรวจครั้งนี้สามารถ "แก้ปัญหา" หรือ "ผ่อนหนักเป็นเบา" หรือแม้แต่เพียง "แจ้งเตือนได้อย่างแม่นยำ" ในเรื่องของภัยพิบัติที่เกิดในบ้านเราถี่ขึ้นทุกวันๆได้จริง ผมว่า"โอกาสที่เราเสียไปนั้นประเมินเป็นมูลค่ามิได้ครับ"
กำลังทำข้อมูลเรื่องนี้อยู่ดีๆ ทีมงานเฟสบุ๊คผมนี่ก็ช่าง ขุดคุ้ย สืบค้น กันเหลือเกินครับ โดยทีมงานได้เอาข้อความในจดหมายของลุงทองใบ ตอนหนึ่งที่ระบุว่า "เขียนถึงตรงนี้เด็ก(ชายปลาบู่)อายุเพียง 5 ขวบ 8 เดือน 15วัน บ่นว่า เขื่อนที่สร้างเสร็จแล้วยังไม่สมบูรณ์...ฯลฯ" มาคำนวณกับวันที่เด็กชายปลาบู่พูด คือวันที่23-25 มิ.ย.17 หรือว่า 38ปีที่แล้ว เมื่อหักลบ 8เดือน15วัน จะพบว่าใกล้เคียงกับวันที่10 ต.ค. ซึ่งก็ไปหามาอีกว่า ใกล้เคียงวันเกิดของโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เจ้าของสมญานาม "ปลาบู่ชนเขื่อน" ซึ่งเกิดหลังจากที่ด.ช.ปลาบู่เสียชีวิตไปเพียง 3เดือนเศษเท่านั้น อะไรมันจะช่างบังเอิญขนาดนั้นครับ ทั้งวันที่พูด, เหตุการณ์, ปี พ.ศ. ฯลฯ ทำให้วันนี้ทั้งวันในออฟฟิตไม่เป็นอันทำอะไรมัวแต่ถกเถียงกันอยู่นั่นแหละว่า "เด็กชายปลาบู่กลับชาติมาเกิดหรือไม่" อะไรมันจะเชื่อกันไปขนาดนั้น !!!!
ในรูปที่ผมแนบมานี้ เป็นบทความจาก สำนักข่าวพระพยอมครับ ท่านบอกว่า คำทำนายของ "เด็กชายปลาบู่" ฟังได้แต่ต้องพิจารณา ความเชื่อเรื่อง"ปลาบู่กลับชาติมาเกิด" รวมถึงเรื่อง "นาซ่ามาไทยเพื่อสอดแนม" นี่ก็ "ฟังได้แต่ต้องพิจารณา" เช่นเดียวกันครับ
ผมถึงว่าไว้ไงครับว่า ต้องฟังหูไว้หูครับ สมัยนี้ต้องฟังหูไว้หู
ทั้งนี้ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตจำนวนมากต่างสังเกตว่าในระยะเวลา 2 เดือนที่ผ่านมา ผู้บริหารและผู้มีตำแหน่งทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี จะมีปฏิกริยาต่อข้อความของนายพานทองแท้ ชินวัตร ทุกครั้ง และเมื่อไม่สามารถตอบโต้เหตุผลของนายพานทองแท้ได้ พรรคประชาธิปัตย์จะส่งผู้อื่นมาทำการตีรวนและเบี่ยงประเด็นแทน ขณะที่ผลสำรวจของเว็บไซท์ go6TV ล่าสุด ระบุว่า ประชาชนร้อยละ 90 ไม่เชื่อพรรคประชาธิปัตย์กรณีองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ นาซา ขอใช้สนามบินอู่ตะเภา
วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555
ด่วน! "สลิ่ม" ส่งคนป่วนเวทีเสื้อแดงวงเวียนใหญ่
เมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. ที่เวทีปราศัยพรรคเพื่อไทยวงเวียนใหญ่ มีเหตุการณ์สลิ่มกลุ่มหนึ่งประมาณ 30 คน ใส่เสื้อสีเหลือง ชมพู ฟ้า ส้ม พร้อมป้ายแสดงชื่อกลุ่มเข้ามาฝั่งประตูชุมนุม
เมื่อกลุ่มคนเหล่านี้เข้ามาในงาน ได้เเดินอยู่ประมาณ 1 นาที พร้อมกับแจกเอกสารตามในภาพ และรีบเดินออกไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น
กลุ่มเสื้อแดงภายในงานได้เห็นเหตุการณ์ ได้เข้าไปสอบถามว่าเกิดอะไร ผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มได้ตอบว่า กลุ่มของตน ได้รับการว่าจ้างจากหัวคะแนนพรรคหนึ่ง ในเขต สมุทรปราการ เพื่อไปร่วมงานรวมพลังแห่งหนึ่ง โดยสัญญาว่าจะได้ค่าจ้างราคา 500 บาทต่อ 1 วัน พร้อมรถรับส่ง
เมื่อเสร็จงานแล้ว คนพามางานได้บอกว่า "ให้ไปรับเงินที่วงเวียนใหญ่" โดยที่กลุ่มที่มาดังกล่าวบอกว่า ไม่รู้ว่าหมายถึงเวทีเสื้อแดง พอมาถึงก็ "ตกใจ และ งง" แต่พอรู้ว่า น่าจะโดนหลอกมา จึงรีบทิ้งเอกสารที่เค้าแจกมาให้ และรีบออกไปจากงานโดยทันที
แต่ก็ยังมีบางคนที่ชื่นชอบเสื้อแดงบอกว่า ขออยู่ฟังปราศัยก่อน
เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุการณ์ร้ายใดๆเกิดขึ้น และเสื้อแดงที่มาฟังปราศัย และเสื้อหลากสีกลุ่มดังกล่าว ได้หัวเราะกันอย่างขบขัน และเล่ากันฟังอย่างสนุกสนานเมื่อทราบความจริงว่า "โดนหลอกมา"
ด่วน! หญิงบุกประชิดตัว "ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ" สารภาพรับจ้างมา 5000 บาท
ด่วน! ผู้หญิงบุกป่วนเวทีเสื้อแดงวงเวียนใหญ่ บุกประชิดตัวด่าณํฐวุฒิ ใสยเกื้อ
เบื้องต้นสอบสวนแล้วให้การรับสารภาพว่า รับจ้างมาในราคา 5000 บาท และยอมรับว่ามีพฤติกรรมดูสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมบลูสกาย แล้วมีจิตใจเคียดแค้นคนเสื้อแดงมาก
รายละเอียดจะแจ้งให้ทราบต่อไป
ภาพ : โอฬาร เลิศรัตนดำรงกุล...สำนักข่าวเนชั่
"นาซ่า" ประกาศ "ยกเลิก" แผนงานวิจัยสำรวจบรรยากาศในไทยแล้ว!
NASA Planning Major Airborne Scientific Study in Southeast Asia
Editor's Note – On June 26, 2012, NASA cancelled the SEAC4RS mission, which was scheduled to begin in August 2012, due to the absence of necessary approvals by regional authorities in the timeframe necessary to support the mission's planned deployment and scientific observation window.
More than 150 scientists, technicians and airborne research specialists gathered in Boulder, Colo., last month to develop strategies for doing something that has never been done before: probing a vast expanse of the Southeast Asian atmosphere from top to bottom at the critical time of year when strong weather systems and prolific regional air pollution pump chemicals and particles high into the atmosphere with potentially global consequences for Earth's climate.
The daunting effort this group is crafting will be NASA's most complex and ambitious airborne science campaign of the year: the Southeast Asia Composition, Cloud, Climate Coupling Regional Study, or SEAC4RS. With support from the National Science Foundation and the Naval Research Laboratory, the campaign will draw together coordinated observations from NASA satellites, several research aircraft, and an array of sites on the ground and at sea. The campaign is sponsored by the Earth Science Division in the Science Mission Directorate at NASA Headquarters in Washington.
Pending approval of NASA's plans by the government of Thailand, where the flights would originate, SEAC4RS will take to the field in August. The campaign is being lead by Brian Toon, chair of the University of Colorado's Department of Atmospheric and Oceanic Sciences. Toon is a veteran of NASA airborne campaigns, including flights to study the Antarctic ozone hole and atmospheric effects of volcanic eruptions.
"Southeast Asia is a really important part of the world. A large fraction of the world's population lives there," said Toon. "There are emissions from big seasonal fires and megacities that are moved around the region by a complex meteorological system. When these chemicals get into the stratosphere they can affect the whole Earth. They may also influence how the seasonal monsoon system behaves. With SEAC4RS we hope to better understand how all these things interact."
Some scientists believe that Southeast Asia is the primary place where new air is transported into the stratosphere. SEAC4RS will investigate that hypothesis and provide new insights into exactly what the effects are of the pollution vapors and tiny particles called aerosols that reach the stratosphere. Do the particles reflect incoming solar energy and produce a net cooling of our planet? Do the gases alter the chemical balance of the upper atmosphere and features like our protective ozone layer? SEAC4RS will address these issues of global concern.
Jeffrey Reid of the Naval Research Laboratory's Marine Meteorological Division in Monterey, Calif., the SEAC4RS lead for aerosol and radiation activities, is working on other environmental issues much closer to where people live. "Many scientists in Southeast Asia and the United States want to improve air quality forecasting in the region. This requires that we understand how pollution and the weather interrelate. Nowhere on Earth compares to Southeast Asia’s complex meteorology. It may be the most difficult place on the planet to forecast. Because the region hosts both severe air pollution episodes and some of the cleanest areas on Earth, it is an excellent natural laboratory to understand how pollution, weather and climate interact."
Reid's research is focused on developing methods to monitor the lifecycle of air pollution particles in Southeast Asia and to what extent aerosol pollution can change clouds. From a global climate perspective, clouds act both to keep energy rising from Earth's surface in the atmosphere and to reflect incoming solar energy back into space. Aerosols can change the blanket-like and mirror-like properties of clouds to change this energy balance. On a local level, the tiny pollution particles are thought to influence weather conditions by changing the timing and amount of rain falling from clouds.
SEAC4RS planners will be using a suite of scientific instruments in orbit, in the air, and on the ground to paint a detailed view of these intertwined atmospheric processes. As NASA's A-Train fleet of formation-flying satellites passes over the region every day, sensors will detect different features of the scene below.
NASA's ER-2 high-altitude aircraft will fly into the stratosphere to the edge of space while the National Science Foundation's G-V and NASA's DC-8 aircraft sample the atmosphere below it. An array of sensors spread across the region at locations on the ground and in the South China Sea will observe the atmosphere from the bottom up.
Another benefit of this thorough examination of the region's atmosphere will be more accurate satellite data. "Southeast Asia is an incredibly difficult place to do satellite remote sensing because clouds so often get in the way," said Hal Maring of the Earth Science Division at NASA Headquarters. "By using aircraft to collect data from inside the atmosphere rather than above it, we can compare those measurements with what our satellites see and improve the quality of the data from space."
NASA has proposed to base the SEAC4RS aircraft in Thailand so that the planes can sample the two big meteorological drivers of the region's atmospheric circulation: the summertime monsoon circulation to the west and marine convection to the east and south that can loft emissions into the stratosphere.
There is a lot of tricky coordination involved in planning a major field campaign like SEAC4RS, especially in a region made up of so many different countries. The Boulder meeting was the first time that everyone involved in the project got together to discuss detailed flight plans, logistics, and schedules.
"This is certainly one of the largest airborne campaigns NASA has undertaken," said Toon. "We have a diverse fleet of aircraft, a lot of different scientific communities involved, and we are flying over a new region for us. But it's exciting to see all these different people come together to tackle a big scientific problem," Toon said.
Related Links
SEAC4RS Mission Page
NASA's Airborne Science Program
"พานทองแท้" โพสต์เว็บนาซ่ามัดประชาธิปัตย์ "มีฝ่ายนึงโกหก"
(28 มิถุนายน 2555 go6TV) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โพสต์ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว Oak Panthongtae Shinawatra ระบุว่า
"ฝ่ายค้านท้าโปร่งใสเอาไปถกในสภา"
คือคำท้าของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตามพาดหัวข่าวย่อย ในหนังสือพิมพ์ ตามรูปที่ผมได้แสดงให้ดูในโพสต์นี้ครับ และ ตามด้วยการกล่าวหารัฐบาลว่า
"ใช้การข่มขู่ว่า หาก ครม.ไม่อนุมัติให้ทันภายในวันที่ 26 มิ.ย.นี้ นาซ่าจะถอนความร่วมมือ"
พารากร๊าฟถัดไปในหนังสือพิมพ์ฉบับเดิม เป็นคำให้สัมภาษณ์ของโฆษกพรรคเดียวกันพาดหัวว่า "ขู่ฟ้องดะอาญาตั้งแต่หัวยันท้าย" ตามด้วยประโยคนี้ครับ "เรื่องนี้หากมีการดำเนินการจริง พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่าจะใช้สิทธิตามกฎหมาย..... จะฟ้องร้องต่อศาลปกครองให้คุ้มครองชั่วคราว..... ดำเนินการฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทางการเมืองว่ามีผู้ใดเกี่ยวข้อง.... รัฐมนตรี, ข้าราชการ, หน่วยงานของรัฐ ฯลฯ"
ทั้ง2พารากร๊าฟนี้ยืนยันจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ได้หรือไม่ครับว่า คัดค้านการอนุมัติให้นาซ่าเข้ามาใช้อู่ตะเภาในการสำรวจครั้งนี้ ถ้าใครตอบว่าได้แปลว่าพรรคประชาธิปัตย์ชนะแล้วครับ ในเวปของนาซ่าได้ระบุว่า นาซ่าเขายกเลิกภารกิจแล้วครับ ตามลิ๊งค์นี้เลยครับ
http://www.nasa.gov/topics/earth/features/seac4rs.html
เมื่อเข้าไปดูจะเจอประโยคแรกๆเลยครับว่า
Editor's Note – On June 26, 2012, NASA cancelled the SEAC4RS mission, ........
แปลง่ายๆว่า "เมื่อ26มิ.ย.2012 นาซ่ายกเลิกภารกิจสำรวจ ลมฟ้าอากาศในภาคพื้นเอเซียตะวันออกเฉียงใต้"ครับ ตามด้วยเหตุผล ซึ่งถ้าผู้ใดอยากรู้กดลิ๊งค์ดูเอาเลยครับ
ก็ไม่ทราบว่าจะเป็นที่ถูกอกถูกใจพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ ผมขออย่างเดียวอย่าบอกว่าไม่ใช่ความผิดของประชาธิปัตย์ แต่เป็นความผิดของรัฐบาลนะครับ ผมว่ามันดูไม่สง่างามทางการเมืองเลยครับ
เดี๋ยวในโพสต์หน้า ผมจะชี้ให้เห็นข้อมูลเชิงลึกของพรรคประชาธิปัตย์ เปรียบเทียบกับ ข้อมูลเชิงลึกของนาซ่าเกี่ยวกับโครงการนี้นะครับ
ฝ่ายหนึ่งบอกว่าเข้ามาจารกรรมสอดแนมเอาผลประโยชน์ อีกฝ่ายบอกว่าการสำรวจครั้งนี้เป็นประโยชน์มหาศาลต่อมวลมนุษยชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเป็นข้อมูลในการป้องกันภัยพิบัติที่เกิดถี่ขึ้นทุกวันๆ
ใครจะเชื่อใครแล้วแต่วิจารณญานของแต่ละท่าน ผมไม่ก้าวล่วง ผมทราบแต่เพียงว่า
"พรรคประชาธิปัตย์ กับ องค์การนาซ่า มีฝ่ายนึงโกหกครับ"
"ฝ่ายค้านท้าโปร่งใสเอาไปถกในสภา"
คือคำท้าของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตามพาดหัวข่าวย่อย ในหนังสือพิมพ์ ตามรูปที่ผมได้แสดงให้ดูในโพสต์นี้ครับ และ ตามด้วยการกล่าวหารัฐบาลว่า
"ใช้การข่มขู่ว่า หาก ครม.ไม่อนุมัติให้ทันภายในวันที่ 26 มิ.ย.นี้ นาซ่าจะถอนความร่วมมือ"
พารากร๊าฟถัดไปในหนังสือพิมพ์ฉบับเดิม เป็นคำให้สัมภาษณ์ของโฆษกพรรคเดียวกันพาดหัวว่า "ขู่ฟ้องดะอาญาตั้งแต่หัวยันท้าย" ตามด้วยประโยคนี้ครับ "เรื่องนี้หากมีการดำเนินการจริง พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่าจะใช้สิทธิตามกฎหมาย..... จะฟ้องร้องต่อศาลปกครองให้คุ้มครองชั่วคราว..... ดำเนินการฟ้องศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทางการเมืองว่ามีผู้ใดเกี่ยวข้อง.... รัฐมนตรี, ข้าราชการ, หน่วยงานของรัฐ ฯลฯ"
ทั้ง2พารากร๊าฟนี้ยืนยันจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ได้หรือไม่ครับว่า คัดค้านการอนุมัติให้นาซ่าเข้ามาใช้อู่ตะเภาในการสำรวจครั้งนี้ ถ้าใครตอบว่าได้แปลว่าพรรคประชาธิปัตย์ชนะแล้วครับ ในเวปของนาซ่าได้ระบุว่า นาซ่าเขายกเลิกภารกิจแล้วครับ ตามลิ๊งค์นี้เลยครับ
http://www.nasa.gov/topics/earth/features/seac4rs.html
เมื่อเข้าไปดูจะเจอประโยคแรกๆเลยครับว่า
Editor's Note – On June 26, 2012, NASA cancelled the SEAC4RS mission, ........
แปลง่ายๆว่า "เมื่อ26มิ.ย.2012 นาซ่ายกเลิกภารกิจสำรวจ ลมฟ้าอากาศในภาคพื้นเอเซียตะวันออกเฉียงใต้"ครับ ตามด้วยเหตุผล ซึ่งถ้าผู้ใดอยากรู้กดลิ๊งค์ดูเอาเลยครับ
ก็ไม่ทราบว่าจะเป็นที่ถูกอกถูกใจพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ ผมขออย่างเดียวอย่าบอกว่าไม่ใช่ความผิดของประชาธิปัตย์ แต่เป็นความผิดของรัฐบาลนะครับ ผมว่ามันดูไม่สง่างามทางการเมืองเลยครับ
เดี๋ยวในโพสต์หน้า ผมจะชี้ให้เห็นข้อมูลเชิงลึกของพรรคประชาธิปัตย์ เปรียบเทียบกับ ข้อมูลเชิงลึกของนาซ่าเกี่ยวกับโครงการนี้นะครับ
ฝ่ายหนึ่งบอกว่าเข้ามาจารกรรมสอดแนมเอาผลประโยชน์ อีกฝ่ายบอกว่าการสำรวจครั้งนี้เป็นประโยชน์มหาศาลต่อมวลมนุษยชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเป็นข้อมูลในการป้องกันภัยพิบัติที่เกิดถี่ขึ้นทุกวันๆ
ใครจะเชื่อใครแล้วแต่วิจารณญานของแต่ละท่าน ผมไม่ก้าวล่วง ผมทราบแต่เพียงว่า
"พรรคประชาธิปัตย์ กับ องค์การนาซ่า มีฝ่ายนึงโกหกครับ"
วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555
แถลงการณ์ "พระเจสัน ยัง" ขออยู่ในผ้าเหลืองตลอดชีวิต
วันที่ 26 มิ.ย. หลังจากที่มีรายงานว่า นักแสดงหนุ่ม เจสัน ยัง ซึ่งขณะนี้บวชเป็นพระ แถลงถอนหมั้นอย่างเป็นทางการ กับ ดาริกา จาร์โกต้า คู่หมั้นสาว เชื้อสายอินเดีย ซึ่งสาเหตุการถอนหมั้นครั้งนี้นั้น เกิดจากความเต็มใจของฝ่ายหญิงที่อยากให้พระเจสันได้ศึกษาพระธรรม ซึ่งพระเจสันมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะขออยู่ในผ้าเหลืองตลอดชีวิต โดยก่อนหน้านี้ เจสัน ยัง และดาริกา จาร์โกต้า จัดงานหมั้นตามแบบประเพณีไทยเมื่อวันที่ 25 มี.ค. ที่ผ่านมา
สำหรับเส้นทางความรักของทั้งคู่พบกันในสถานที่ปฏิบัติธรรม และวางแผนจะมีงานวิวาห์ในสิ้นปี 2555 แต่ เจสัน ยัง ขอบวชเพื่ออุทิศบุญให้กับบิดามารดาก่อน เมื่อวันที่ 1 เม.ย. แล้วเดินทางไปปฎิบัติธรรมกับพระอาจารย์ยุทธนา ธีรธมฺโม ณ วัดป่าห้วยส้มสุก ต.สะลวง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าว "ข่าวสด" เดินทางไปยังวัดป่าห้วยส้มสุก ได้พบกับ แม่ชีทองหยด กล้าหาญ ซึ่งพาผู้สื่อข่าวดูกุฏิที่จำพรรษา ของพระเจสัน ยัง และจุดเดินจงกรมที่พระเจสัน ยัง เมื่อมาจำพรรษาที่วัดแห่งนี้จะใช้เวลาในการเดินจงกรม เป็นเวลาถึง 9 ชั่วโมง
แม่ชีทองหยด เผยว่า พระเจสัน ยัง เดินทางไปยังกรุงเทพได้เกือบเดือนแล้ว เห็นบอกว่า จะไปปรึกษากับพระหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล กรณีเรื่องที่จะแถลงข่าวเรื่องการขอบวชตลอดชีวิต และการถอนหมั้นกับแฟนสาว และพระเจสัน ยัง ได้บอกกับพ่อขาว ผู้ดูแลวัดแห่งนี้ว่า อาจจะเดินทางไปต่างประเทศทันทีหลังแถลงข่าวเสร็จ
และว่า พระเจสัน ยัง มาอยู่ที่วัดป่าห้วยส้มสุก ท่านจะจำพรรษาที่กุฏิด้านในในป่า และมักจะเดินจงกรมเป็นเวลานานประมาณ 9 ชั่วโมง และท่านได้เปรยว่า ท่านมาอยู่ที่วัดแห่งนี้แล้วมีความสุข สงบเงียบเป็นธรรมชาติที่สุด และอยากอยู่นานๆ ท่านเป็นพระที่มีสมาธิแน่วแน่มาก เดินจงกรมในช่วงกลางคืนโดยจุดเทียนเดินอย่างสงบ และทำกิจวัตรของสงฆ์อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เป็นพระดีปฏิบัติดี
วันเดียวกัน พระเจสัน ยัง ออกแถลงการณ์มีใจความว่า
"อาตมา พระเจสัน ปิยาจาโร (ยัง) ขอประกาศแจ้งให้ทราบโดยทั่วกันว่า หลังจากที่อาตมาได้เข้ามาสู่ร่มกาสาวพัสตร์เพื่อทดแทนคุณบิดา-มารดา ที่ได้ล่วงลับไปแล้วเมื่อวันที่ 1 เม.ย. อาตมาได้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติข้อข้อวัตรและรักษาพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด อยู่มาได้เกิดความซาบซึ้ง เลื่อมใส และศรัทธาอย่างแรงกล้า จึงมีความประสงค์ที่จะอยู่ในสมณเพศต่อไปอย่างไม่มีกำหนดเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา
อาตมาจึงขอโอกาสนี้ยกย่องสรรเสริญความเสียสละอันยิ่งใหญ่และจิตใจอันประเสริฐยิ่งของโยมดาริกาและครอบครัวจาโกต้าที่ไม่ขัดข้อง แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากทางโลกอยู่บ้าง แต่ทางโยมดาริกาก็พร้อมที่จะฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ เพื่อรักษาธรรมที่ยิ่งใหญ่กว่า และร่วมอนุโมทนาบุญกับอาตมา
ขณะนี้อาตมา กำลังศึกษาวิชาสมาธิชั้นสูง รุ่นที่ 1 ร่วมกับพระสงฆ์ครูสมาธิ นักวิชาการจากทั่วประเทศ และผู้ทรงคุณวุฒิทางการเมืองรวมกว่า 1,500 ชีวิต ณ วัดธรรมมงคล โดยมีพระธรรมมงคลญาณ หรือหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร เป็นอาจารย์ผู้สอนหลักสูตรด้วยตัวท่านเอง และหลังจากจบหลักสูตรประมาณต้นเดือนส.ค.นี้ อาตมาจะเดินทางไปพำนักอยู่ที่วัดราชธรรมวิริยาราม 3 เมืองแอดแมนตั้น ประเทศแคนาดา
สุดท้ายนี้ อาตมาขอขอบคุณโยมดาริกาและครอบครัวจาโกต้าทุกท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณนพพล โกมารชุน คุณปรียานุช ปานประดับ ครอบครัวเหลืองสวัสดิ์ ครอบครัวพุทธินันทน์ ครอบครัวพวงมาลา ครอบครัวสารกิจปรีชา ตลอดจนครูบาอาจารย์ วงการบันเทิงไทย ผู้ใหญ่ทุกท่าน พี่น้องและเพื่อนทุกคน รวมถึงแฟนเพลงและละคร หากมีสิ่งใดเคยล่วงเกินท่านทั้งหลายด้วยกาย วาจา ใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ตั้งใจและไม่ตั้งใจก็ดี ขอได้โปรดอโหสิกรรมและอนุโมทนาบุญในเส้นทางธรรมของอาตมาด้วย"
"ส.ส.ร.40" ยัน "ศาล รธน." ล้มล้างและบัญญัติ รธน.ใหม่เสียเอง
ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. กลุ่มสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ
40 (ส.ส.ร.40) ประมาณ 20 คน นำโดย นายคณิน บุญสุวรรณ พล.ต.อ.สวัสดิ์ อมรวิวัฒน์
นายบุญเลิศ คชายุทธเดช นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง
ได้หารือร่วมกันถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68
วรรคแรก พร้อมกับมีคำสั่งให้รัฐสภาชะลอการลงมติในวาระสามของร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
แก้ไขเพิ่มเติม จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย
ภายหลังการหารือกลุ่มส.ส.ร.40
ได้ออกจดหมายเปิดผนึกในนามของกลุ่มส.ส.ร.40 โดยนายคณินกล่าวว่า
เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญปี 50 ส่วนใหญ่ลอกมาจากรัฐธรรมนูญปี 40 โดยเฉพาะมาตรา 68 ซึ่งเป็นประเด็นปัญหาขณะนี้
ก็ลอกมาจากมาตรา 63 ของปี 40 เพียงแต่มีการเพิ่มเติมบทลงโทษไว้ในวรรคสี่
คือยุบพรรคและตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี
ถือเป็นการจงใจเบี่ยงเบนเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญปี 40
ในการสัมมนาภายหลังการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2543 ได้กำหนดกรอบปฏิบัติของศาลรัฐธรรมนูญเป็นบรรทัดฐานมาเกือบ
9 ปี
ว่าทุกเรื่องผู้ร้องจะต้องเสนอเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนที่อัยการสูงสุดจะยื่นหรือไม่ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
นายคณินกล่าวว่า ที่ผ่านมาส.ส.พรรคไทยรักไทย
เคยยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ กรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ขณะนั้นเรียกร้องขอนายกฯพระราชทานตามมาตรา 7
ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 25 พ.ค.2549 ยังปฏิเสธไม่รับคำร้อง โดยให้ไปยื่นผ่านอัยการสูงสุดก่อน
การอ้างว่ารัฐธรรมนูญปี 40 ถูกยกเลิกไป
ศาลรัฐธรรมนูญชุดใหม่ไม่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของชุดเดิม ถือว่าไม่ถูกต้อง
ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีบรรทัดฐานอะไรเลย ขณะที่เจตนารมณ์ดั้งเดิมของรัฐธรรมนูญ 40
คือการบัญญัติการกระทำผิดตามมาตรา 63 ว่าการกระทำอันเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
คือการใช้กำลังทหารเข้ายึดอำนาจเท่านั้น
“ดังนั้นการกระทำของศาลรัฐธรรมนูญ
ถือเป็นการล้มล้างบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเสียเอง
ถึงขั้นบัญญัติรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่โดยพลการ ไม่ว่าผลการตัดสินจะเป็นอย่างไรย่อมก่อให้เกิดความเสียหายทั้งขึ้นทั้งล่อง
เท่ากับว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว จากนี้ไปไม่ว่าคณะรัฐมนตรี
(ครม.) ส.ส. ส.ว. หรือแม้แต่ประชาชนที่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า
50,000 คน ก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวแตะต้อง
หรือแม้แต่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกต่อไป
หมายความว่านอกจากศาลรัฐธรรมนูญจะมีอำนาจตีความแล้ว ยังมีอำนาจในการควบคุมรัฐสภา
ควบคุมครม. และควบคุมประชาชนอีกด้วย ซึ่งจะเป็นชนวนนำไปสู่ความขัดแย้ง
และเกิดวิกฤติครั้งร้ายแรงที่สุดจนมิอาจพยากรณ์ได้ว่าสุดท้ายจะเกิดหายนะต่อบ้านเมืองอย่างไร” นายคณิน
กล่าว
เด็กจมน้ำตายขณะ "ชูรูปผู้นำ" ผ่ากระแสน้ำท่วม
เอเอฟพี - รัฐบาลเกาหลีเหนือมอบรางวัลอันทรงเกียรติแก่เด็กหญิงวัย 14 ปี
ซึ่งพยายามปกป้องรูปถ่ายอดีตผู้นำประเทศจนตัวเองเสียชีวิตในเหตุน้ำท่วมฉับพลันเมื่อ
2 สัปดาห์ก่อน สื่อทางการเกาหลีเหนือรายงาน
รัฐบาลเปียงยางมอบรางวัลเยาวชนผู้ทรงเกียรติ คิม จอง อิล (Kim Jong-Il
Youth Honour Award) เพื่อยกย่องวีรกรรมความกล้าหาญของ ด.ญ.ฮัน
ฮยอน-กยอง
และโรงเรียนที่เธอเคยศึกษาอยู่จะถูกเปลี่ยนชื่อใหม่ตามนามของเด็กหญิงด้วย
หนังสือพิมพ์โรดอง ซินมุน รายงานเมื่อวานนี้
ผู้ปกครอง, ครู และบุคคลอื่นๆ อีก 4 คน
รวมถึงผู้นำสหพันธ์เยาวชนที่ฮันเป็นสมาชิกอยู่ก็ได้รับรางวัลด้วยเช่นกัน
ฮัน เสียชีวิตเมื่อวันที่ 11
มิถุนายนที่ผ่านมา ขณะพยายามนำรูปถ่ายของอดีตผู้นำคิม อิล ซุง และคิม จอง อิล
ออกมาจากบ้านที่ถูกน้ำท่วมในมณฑลซินฮุง จังหวัดฮัมคยองใต้
รายงานระบุว่า ขณะที่ร่างของเธอถูกกระแสน้ำพัดจนจมมิดศีรษะ
เธอยังอุตส่าห์ชูรูปของผู้นำทั้ง 2
คนซึ่งห่อพลาสติกไว้อย่างมิดชิดให้พ้นน้ำ โรดองเขียนชื่นชมระบบการปลูกฝังเลี้ยงดู
“ซึ่งบ่มเพาะเยาวชนได้เช่นนี้”
ตระกูลคิมซึ่งปกครองเกาหลีเหนือมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งประเทศเมื่อปี 1948
ถือเป็นสถาบันสูงสุดที่ชาวเกาหลีเหนือต้องยกย่องบูชาประหนึ่งเทพเจ้า
ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยมีรายงานข่าวในทำนองว่าชาวบ้านยอมเสี่ยงตาย
หรือสละชีวิตเพื่อปกป้องรูปของผู้นำเกาหลีเหนือมาแล้วหลายกรณี
เมื่อปี 2007
สำนักข่าวเกาหลีเหนือเผยเรื่องราวของชาวนาที่สูญเสียทั้งลูกและเมียในภัยพิบัติดินถล่ม
แต่ตัวเขากลับปกป้องรูปถ่ายสองอดีตผู้นำไว้ได้
ส่วนอีกกรณีเป็นหนุ่มโรงงานที่ยอมสละชีวิตลูกสาววัย 5
ขวบ เพื่อรักษารูปถ่ายท่านผู้นำไว้
รูปถ่ายของอดีตประธานาธิบดีคิม อิล ซุง ผู้สถาปนาชาติเกาหลีเหนือ และคิม
จอง อิล บุตรชายของเขาสามารถพบเห็นได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นบ้านพักอาศัย, สำนักงาน
หรือสถานที่สาธารณะ โดยรูปถ่ายเหล่านี้จะต้องแขวนไว้กึ่งกลางผนังในฐานะ “ไอดอล” ของลัทธิคอมมิวนิสต์
โดยห้ามมีเครื่องตบแต่งหรือรูปภาพอื่นๆมาเทียบเคียงเด็ดขาด คิม จอง อิล
ถึงแก่อสัญกรรมด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวเมื่อกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
ส่งผลให้อำนาจปกครองสูงสุดตกแก่บุตรชายคนเล็ก คิม จอง อึน
"ถาวร เสนเนียม" ตายสนิท! "นักวิจัยนาซ่า" ด่าอย่าเอาการเมืองมายุ่งวิทยาศาสตร์
คลิปบันทึกรายการ คม ชัด ลึก ตอน “นาซ่า...ฝ่าหมอกควันการเมือง?”
ผู้ร่วมรายการ ถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์, รศ.ดร.เสริม จันทร์ฉาย ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, ผศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักกฎหมายอิสระ
วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555
คุก "เจิมสาก" 4 เดือน รอลงอาญา 2 ปี คดีใส่ร้ายรับสินบน
ศาลอาญาพิพากษาจำคุก “เจิมศักดิ์” 4 เดือนปรับ 1 แสนบาท ฐานหมิ่นประมาทในคดีภรรยาที่ปรึกษา “สนิท วรปัญญา” ประธานวุฒิสภา ฟ้องผู้ดำเนินรายการ “มุมมองเจิมศักดิ์” ชี้จำเลยพูดถึงนายอภิพล คงชนะกุล ผู้ตายว่าเป็นผู้ที่เรียกรับสินบนคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) จนถึงกับถูกให้ออกหรือปลดออกจากตำแหน่งที่ปรึกษา ไม่เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรม แต่ให้รอลงอาญา 2 ปี
วันนี้ (26 มิ.ย.) ที่ศาลอาญา รัชดาฯ ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ ที่ อ.237/2554 ที่ นางอภิวรรณ คงชนะกุล ภรรยานายอภิพล คงชนะกุล อดีตที่ปรึกษาประธานวุฒิสภา ซึ่งเสียชีวิตแล้ว เป็นโจทก์ฟ้องนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตสมาชิกวุฒิสภาและผู้ดำเนินรายการชื่อดัง เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา โดยจำเลยให้การปฏิเสธ
โจทก์ฟ้องสรุปว่า จำเลยได้พูดในรายการ “มุมมองเจิมศักดิ์” และรายการพูดตรงใจกับ “ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง” ออกอากาศทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม ว่าในสมัยที่นายอภิพล คงชนะกุล ผู้ตายเป็นที่ปรึกษาของนายสนิท วรปัญญา ประธานวุฒิสภานั้นมีปัญหาเรื่องสินบนในการแต่งตั้งคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทช.) โดยจำเลยได้พูดเปิดเผยในที่ประชุมลับของวุฒิสภา ว่าผู้ตายเป็นคนเรียกรับสินบน ชอบอ้างว่ามีความสัมพันธ์ทางการเมืองกับบุคคลต่างๆ และชอบอ้างว่าจบดอกเตอร์ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ ต่อมาถูกนายสนิท วรปัญญาปลดออกจากตำแหน่งที่ปรึกษา ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง อันเป็นการกระทำผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91, 327 และ 328
ศาลพิเคราะห์หลักฐานโจทก์และจำเลยแล้วเห็นว่า ข้อความที่จำเลยพูดถึงนายอภิพล ผู้ตายว่า เป็นผู้ที่กระทำการเรียกรับสินบนคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) จนถึงกับถูกให้ออกหรือปลดออกจากตำแหน่งที่ปรึกษา และเป็นผู้ที่ไม่ได้จบการศึกษาระดับปริญญาเอก แต่แอบอ้างว่าจบการศึกษาดังกล่าว ไม่ใช่การแสดงความเห็นหรือข้อความโดยสุจริต หรือติชมด้วยความเป็นธรรม และยังรับฟังไม่ได้แน่ชัดว่าเป็นความจริง ข้อความที่พูดดังกล่าวเป็นการทำให้ผู้ฟังเข้าใจว่าผู้ตายเป็นคนไม่ดีแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบโดยเรียกสินบนหากบุคคลอื่น อันมีลักษณะเป็นการกระทำผิดกฎหมายและแอบอ้างว่าจบการศึกษาระดับปริญญาเอก เป็นบุคคลที่ไม่สมควรคบหา เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงของผู้ตายและส่งผลกระทบต่อโจทก์และครอบครัว ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นภริยาของผู้ตายถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ถือเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท และการที่จำเลยพูดข้อความผ่านทางวิทยุกระจายเสียง โดยเผยแพร่ออกอากาศไปทั่วประเทศ นั้นเป็นการหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา
พิพากษาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ให้จำคุกกระทงละ 2 เดือน และปรับกระทงละ 50,000 บาท รวมสองกระทง เป็นจำคุก 4 เดือน และปรับ 1 แสนบาท แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนค่าปรับและให้ลงโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์รายวัน 2 ฉบับ เป็นเวลา 2 วัน โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา
นายกฯ แจง ครม.อนุญาตนาซาใช้อู่ตะเภา แต่ต้องผ่านกระบวนสภา
ทำเนียบรัฐบาล 26 มิ.ย.-นายกรัฐมนตรีแถลงผลประชุม ครม. ระบุ ครม.อนุญาตให้นาซาใช้สนามบินอู่ตะเภาได้ แต่ต้องผ่านกระบวนการสภา เพื่อให้ฝ่ายค้านได้ตรวจสอบตามกลไก ยอมรับเสียใจที่ไทยอาจต้องเสียโอกาส หากการพิจารณาล่าช้าและนาซายกเลิกโครงการ
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือนาซา ใช้สนามบินอู่ตะเภาในการวิจัยสภาพชั้นบรรยากาศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก แต่ขอให้ผ่านกระบวนการของสภา ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 179 ก่อน เพราะแม้ว่าคณะกรรมการกฤษฎีกายืนยันว่า เรื่องดังกล่าวไม่เข้าข่ายรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 (2) แต่เมื่อมีความเห็นต่าง โดยเฉพาะฝ่ายค้านที่กล่าวหาและทักท้วงรัฐบาลอย่างรุนแรง จึงต้องใช้กลไกของสภาในการตรวจสอบเพื่อให้เกิดความโปร่งใส ว่าเป็นไปตามข้อกล่าวหาของฝ่ายค้านหรือไม่
ทั้งนี้ เรื่องการขอใช้พื้นที่ของนาซาเป็นการดำเนินการมาจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมา และจนถึงขณะนี้รัฐบาลกับกองทัพยังไม่เคยดำเนินการใดๆ ที่เป็นผลผูกพันทางข้อกฎหมาย ซึ่งผ่านความเห็นชอบจาก ครม.
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า การใช้กลไกของสภาตรวจสอบกรณีนาซาอาจทำให้เกิดความล่าช้า และอาจทำให้นาซายกเลิกโครงการวิจัยในปีนี้ เพราะหากจะทำวิจัยจะต้องอยู่ในช่วงมรสุม ซึ่งเหมาะสมกับสภาพอากาศที่จะตรวจสอบ ดังนั้น จึงถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายต่อโอกาสในการพัฒนาเทคโนโลยีของไทย อย่างไรก็ตาม รัฐบาลพร้อมที่จะสนับสนุนให้ความร่วมมือในการค้นหาเทคโนโลยีต่างๆ มาวิเคราะห์คำนวณภัยธรรมชาติ ส่วนหากตรวจสอบแล้วไม่พบการดำเนินการที่ผิดปกติ ฝ่ายค้านจะต้องรับผิดชอบหรือไม่นั้น อยู่ที่ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐว่า มอบหมายให้รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศไปชี้แจง เชื่อว่าสหรัฐจะเข้าใจ และเคารพการตัดสินใจของไทย ขณะเดียวกัน หากมีงานวิจัยจากต่างประเทศเข้ามาดำเนินการในไทย ก็จะไม่ใช้บรรทัดฐานเดียวกับองค์การนาซา แต่จะดูขอบข่ายของรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เป็นหลัก.
NASA เซ็ง! ครม.ให้เอาเข้าสภาถก ให้ประชาชนตัดสินเอง
นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี( 26 มิถุนายน) มีมติให้เปิดประชุมสภาฯ สมัยวิสามัญ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 179 เพื่อเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วม โดยไม่มีการลงมติในปัญหาที่อภิปราย ทั้งนี้ เพื่อให้ที่ประชุมร่วมรัฐสภา ได้อภิปรายแสดงความคิดความเห็นกรณีนาซาขอใช้สนามบินอู่ตะเภา
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญ มาตรา 179 บัญญัติว่า ในกรณีที่มีปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินที่คณะรัฐมนตรีเห็นสมควรจะฟังความคิดเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา นายกรัฐมนตรีจะแจ้งไปยังประธานรัฐสภาขอให้มีการเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาก็ได้ ในกรณีเช่นว่านี้ รัฐสภาจะลงมติในปัญหาที่อภิปรายมิได้
สัญญาณให้ "รัฐประหารเงียบ" จาก "อำนาจพิเศษ"
ตอน 1
ตอน 2
คลิปบันทึกรายการ "เจาะลึกทั่วไทย อินไซต์ไทยแลนด์" เจาะลึกประเด็น สัญญาณให้รัฐประหารเงียบจาก "อำนาจพิเศษ" กับอาจารย์ ผศ.ดร.ทวี สุรฤทธิกุล คณะรัฐศาสตร์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)