วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

"เขาคือสิ่งที่น่าอับอายสำหรับประเทศและสถาบันของคุณ"








แม้ว่า นายสันติพงษ์ อินจันทร์ หรือ "เบิร์ด" ผู้ได้รับบาดเจ็บสูญเสียดวงตาข้างขวาจากการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 จะได้รับเชิญจากสภาสูงของอังกฤษให้ไปชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553


ทว่าเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นายสันติพงษ์ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่สถานทูตอังกฤษว่าทางสถานทูตไม่สามารถอนุมัติการออกวีซ่าให้เขาเดินทางเข้าประเทศอังกฤษได้เนื่องจากมีเงินในบัญชีเงินฝากน้อยเกินไป


อย่างไรก็ตาม นายสันติพงษ์ได้เตรียมคำแถลงเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว โดยเขาได้ร่างจดหมายดังกล่าวด้วยตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ ขณะเดียวกัน น.ส.ขวัญระวี วังอุดมจากศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม (ศปช.) ได้เดินทางล่วงหน้าไปยังประเทศอังกฤษแล้ว และจะทำหน้าที่เป็นตัวแทนของผู้อยู่ในเหตุการณ์ทำหน้าที่เสนอข้อมูลของผู้ได้รับผลกระทบแทนญาติและผู้บาดเจ็บที่ไม่ได้รับวีซ่าเข้าประเทศอังกฤษ


เนื้อหาของคำแถลงของนายสันติพงษ์ (ฉบับแปลเป็นภาษาไทย) มีดังต่อไปนี้


สวัสดีครับ


ผมชื่อสันติพงษ์ อินจันทร์ ผมปรากฏตัวต่อหน้าท่าน สมาชิกสภาสูงทั้งหลาย ร่วมกับแขกผู้มีเกียรติท่านอื่นๆ ในฐานะเหยื่อของเหตุการณ์สังหารหมู่ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยเมื่อปี 2553 ซึ่งมีคนตายกว่า 90 คน และผู้บาดเจ็บเช่นเดียวกับผมกว่า 3,000 คน


เป้าหมายร่วมกันของเราก็คือ การกลาวหาต่อรัฐบาลไทยว่าเป็นอาชญากร ติดตามเอาประชาธิปไตยที่ถูกปล้นไปในการรัฐประหารในปี 2549


ความโหดเหี้ยมจากการปราบปรามประชาชนโดยรัฐบาลส่งผลให้ผมเสียดวงตาข้างหนึ่ง และยังคงเผชิญความเสี่ยงที่จะสูญเสียดวงตาอีกข้าง ผมมาที่นี่ด้วยความหวังถึงประเทศไทยที่มีความเป็นธรรม มีความเป็นประชาธิปไตยและมีความเป็นมิตรกับพลเมืองมากขึ้น


สำหรับผม ประเทศไทยเมื่อปี 2544 เป็นการเริ่มต้นที่ดีของประชาธิปไตย พวกเราซึ่งเป็นประชาชนได้ใช้สิทธิเลือกตั้งรัฐบาลและนโยบายซึ่งนำพาสิ่งที่ดีกว่ามาสู่ชีวิต


การเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มคนเสื้อเหลืองและเสื้อสีชมพูเป็นความพยายามที่จะทำลายรัฐบาลของเรา


ผมตัดสินใจเข้าร่วมการเคลื่อนไหวกับคนเสื้อแดงเพื่อต่อต้านสิ่งเหล่านั้น ผมเข้าร่วมการเคลื่อนไหวไม่ใช่เพราะรักใครคนใดคนหนึ่ง หรือเพื่อผลประโยชน์อื่นใด แต่ผมเข้าร่วมการต่อสู้เพราะผมถูกพรากสิทธิของตัวเองไปอันเป็นผลจากการสมรู้ร่วมคิดทางการเมืองในการรัฐประหารปี 2549


การต่อสู้ของพวกเราเป็นไปอย่างสันติและปราศจากอาวุธ


อย่างไรก็ตาม ระบอบการปกครองของไทยยุคปัจจุบัน รัฐบาลและเหล่าชนชั้นนำ เห็นว่าประชาชนอย่างพวกเราเป็นศัตรูของรัฐ ผมไม่เชื่อว่าพวกเขาจะกล้าฆ่าประชาชนของตัวเองอย่างเลือดเย็น แต่พวกเขาก็ทำ และทำลงไปโดยไม่รีรอ ผมถูกกระสุนยางยิงเข้าที่ตาขวาส่งผลให้ตาบอดทันที พวกเขาคงฆ่าผมได้หากพวกเขามีโอกาสอีกครั้ง


ทุกวันนี้ผมถามตัวเองว่า ทำไมผู้อาวุโสในเมืองไทยซึ่งผมเคยเชื่อว่ารักผมมากถึงกระทำการเช่นนั้นได้ ในความเป็นจริง คำตอบนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง ว่าไม่มีนักบุญในชนชั้นปกครองอย่างที่เราเคยถูกทำให้เชื่อ และผลประโยชน์ทางการเมืองของพวกเขาย่อมสำคัญกว่าชีวิตอันไร้ค่าของพวกเรา ไม่เพียงแต่ประชาชนชาวไทยเท่านั้นที่ต้องเผชิญกับความทุกข์ แต่ผู้สังเกตการณ์ชาวต่างชาติก็เช่นเดียวกัน นายโปลันกี ซึ่งเป็นผู้สื่อข่าวจากอิตาลีก็ถูกยิงเข้าที่หน้าอกและเสียชีวิต อีกครั้ง...คำถามคือ เพราะอะไร


สิ่งที่ผมต้องการจะเห็นในเมืองไทยมีดังต่อไปนี้


1. ความยุติธรรมสำหรับผู้เสียชีวิต และครอบครัวของพวกเขา รวมถึงผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ


2.การเคารพในกฎหมายและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ทั้งนี้ศาลในประเทศไทยมิได้มีความเชื่อถือในหลักการดังกล่าว


3. ความรับผิดชอบโดยจิตสำนึกจากรัฐบาล


นายกรัฐมนตรีของไทย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งคำสั่งการของเขามีส่วนสังหารและทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิ์ เป็นผลผลิตของระบบการศึกษาจากประเทศอังกฤษ ผมหวังใจว่าเพื่อนนักเรียนและเพื่อนร่วมงานของเขาจะใช้โศกนาฏกรรมในครั้งนี้ พินิจพิจารณาเกี่ยวกับตัวเขาอีกครั้งและปฏิบัติอย่างเหมาะสม ผมคิดว่าเขาเป็นสิ่งที่น่าอับอายสำหรับประเทศและสถาบันของคุณ


ท้ายที่สุด ผมขอแสดงความซาบซึ้งอย่างจริงใจที่ท่านได้สละเวลา และแสดงความเอาใจใส่ การกดดันจากนานาชาติเป็นเพียงความหวังเดียวของพวกเรา


ขอบคุณ


(ที่มา เว็บไซต์ประชาไท)

ไม่มีความคิดเห็น: