วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

"เจิมศักดิ์" ตอบ "สนธิลิ้ม"?

ตอบ สนธิ ลิ้มทองกุล (เจิมศักดิ์ขอคิดด้วยฅน)
จากหนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉบับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2554

ถาม : คุณสนธิ ลิ้มทองกุล และแนวร่วมพันธมิตรบางคน กล่าวหาอาจารย์หลายเรื่อง อาจารย์จะอธิบายสังคมอย่างไร?

ตอบ : ขอบคุณครับ... ถ้าจะให้อธิบายว่าอะไรคือความจริง ก็ต้องตอบทีละเรื่อง ซึ่งผมจะอธิบาย "ความจริง" ตามที่ผมรู้ ผมคิด ไม่ให้ข้อมูลเพียงบางส่วน หรือบิดเบือน คุณอยากรู้เรื่องอะไรล่ะ?

ถาม : คุณสนธิบอกว่า เขาให้เสรีภาพและอิสระกับทีมงานของอาจารย์ในการทำรายการที่ ASTV จริงไหม?

ตอบ : ผมถูกชวนให้มาทำรายการที่ ASTV มาประมาณ 5 ปีกว่า ที่ผ่านมา ผมยืนยันว่าได้รับเสรีภาพ และมีความเป็นอิสระจริงครับ คุณสนธิและผู้บริหาร ASTV ไม่เคยเข้ามาก้าวก่าย แทรกแซง สั่งการในเนื้อหารายการเลยแม้แต่น้อย

ถาม : คุณสนธิบอกว่า เขาให้อาจารย์ทำรายการ โดยที่อาจารย์ไม่ได้จ่ายเงินให้สถานี ASTV และเมื่อทางอาจารย์ขายโฆษณาได้ ก็ไม่ได้แบ่งให้ทางสถานี ASTV เลย จริงไหม?

ตอบ : จริงครับ แต่เป็นความจริงเพียงบางส่วน

ความจริงที่เป็นสาระสำคัญ คือ ASTV ชวนให้บริษัทว็อชด็อก จำกัด เข้ามาร่วมผลิตรายการ โดยขณะนั้น คุณเถกิง สมทรัพย์ เป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทว็อชด็อก และผมเป็นผู้ดำเนินรายการหลัก

ในการเจรจาครั้งแรก (เมื่อประมาณ 5 ปีกว่ามาแล้ว) ผมอยู่ในที่เจรจาด้วย ทางผมต้องการจะทำรายการเพียงสัปดาห์ละ 1 วัน (วันละ 1 ชั่วโมงครึ่ง) แต่ทางสถานี ASTV อยากให้ทำทุกวัน ทางฝ่ายผมบอกว่า ถ้าจะให้มาทำ ก็ขอ "รับจ้างผลิตรายการ" เพราะพวกผมทำรายการเป็น แต่หาโฆษณาไม่ค่อยเก่ง

ทาง ASTV ก็ตกลงจ่ายค่าจ้างเดือนละ 50,000 บาท ให้พวกเราผลิตรายการวันละ 1 ชั่วโมง 30 นาที (ค่าจ้างเฉลี่ยตอนละพันกว่าบาท) และก็ให้เวลาโฆษณาอีกจำนวนหนึ่งเป็นค่าตอบแทนในการทำรายการ

ถ้าหาโฆษณาได้ก็ได้เงินเป็นค่าใช้จ่าย หาไม่ได้ก็เสี่ยงขาดทุนเอาเอง

พูดง่ายๆ ว่า แบ่งเวลาโฆษณาในรายการบางส่วน เพื่อให้เราไปหาสปอนเซอร์เอาเอง ขณะเดียวกัน ทางสถานี ASTV ก็จะหาสปอนเซอร์โฆษณาเป็นรายได้ของทางฝ่ายตนเช่นกัน และเมื่อใครได้รายได้เท่าไหร่ ก็นำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายของตน ไม่ต้องเกี่ยวข้องกัน

ถาม : ทางบริษัทว็อชด็อก เข้ามาทำรายการต้องทำอะไรบ้าง? ค่าจ้างคุ้มกับรายจ่ายหรือเปล่า? และต้องทำกันอย่างไร?

ตอบ : เราตกลงกันว่า ทีมของว็อชด็อกต้องรับผิดชอบด้านเนื้อหาของรายการ หมายความว่า หาผู้ดำเนินรายการ หาวิทยากรผู้ร่วมรายการ ค้นคว้าหาข้อมูลที่จะมานำเสนอในรายการ จัดเตรียมและจัดทำภาพและเสียงประกอบรายการ เพื่อทำให้คนดูได้อรรถรสและได้รับประโยชน์จากการชมรายการมากที่สุด นอกจากนี้ ก็ต้องมีทีมงานคอยประสานงาน ควบคุมการผลิตรายการ รับโทรศัพท์ รับ SMS และนำเทปรายการของแต่ละวันส่งให้สถานีเพื่อแพร่ภาพออกอากาศซ้ำตอนดึกๆ (เผื่อคนดูที่อยู่ต่างประเทศ)

แน่นอนครับ การดำเนินงานต้องมีค่าใช้จ่าย ค่าตอบแทนคนทำงานทั้งหมด ค่ารถ ค่าเดินทาง ค่าโทรศัพท์ ค่าติดต่อประสานงาน

และแน่นอนครับ ค่าจ้างที่ ASTV ให้วันละพันกว่าบาท ไม่มีทางพออยู่แล้ว ทางเราก็จะมีรายได้จากค่าโฆษณาบ้าง แต่ไม่มากนัก เพราะเราหาโฆษณาไม่เก่ง และนักธุรกิจส่วนใหญ่เขาก็กลัวๆ กล้าๆ

บางราย ถึงชอบรายการ แต่ก็ไม่ค่อยกล้าจะลงโฆษณาก็มี ก็ต้องยอมรับ เพราะในความชัดเจนของ ASTV ขณะนั้น คนที่ชอบก็รักไปเลย แต่คนที่ไม่ชอบและเกลียดไปเลยก็มีอยู่ไม่น้อย

โดยสรุป ทางฝ่ายเราก็พอจะมีรายได้จากโฆษณาบ้างเล็กน้อย แต่ส่วนมาก ก็อาศัยประชาสัมพันธ์หนังสือของบริษัทว็อชด็อกครับ

ถาม : ทาง ASTV เขาได้อะไร และต้องทำอะไรในรายการที่เขาจ้างทางฝ่ายว็อชด็อก?

ตอบ : แน่นอนครับ ASTV ก็มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการออกอากาศทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือ ห้องส่ง ก็เหมือนสถานีโทรทัศน์ทั่วไป และเขาก็จะมีรายได้จากการโฆษณาในส่วนที่ทางสถานีจะหาสปอนเซอร์เข้ามาได้ทั้งหมด

ถาม : ถ้าอย่างนั้น คุณสนธิก็พูดไม่ผิด แต่พูดไม่หมด หรือพูดความจริงเพียงบางส่วน?

ตอบ : แกอาจจะจำและพูด เฉพาะส่วนที่แกอยากจะจำและอยากจะพูดก็ได้

คนเราก็เป็นอย่างนี้แหละครับ อย่าอะไรมากเลย แต่คนดูคนฟังเราก็ควรต้องระมัดระวัง

ถือเป็นภาระหน้าที่ของคนฟังหรือคนรับข้อมูลก็แล้วกัน จะต้องพยายามแสวงหาข้อมูลที่ครบถ้วนเอาเอง อย่างที่คุณฟังแล้วเกิดข้อสงสัย ก็ซักถาม หาข้อมูลต่อด้วยตนเอง นี่ก็เป็นประโยชน์

ถาม : แล้วที่สถานีโทรทัศน์อื่นๆ ที่อาจารย์เคยร่วมงานมา มีรูปแบบการจ้างผลิต หรือการแบ่งเวลาโฆษณาให้ เหมือน ASTV ไหม? หรือมีรูปแบบอื่นๆ อีกไหม?

ตอบ : มีครับ... รูปแบบที่สถานีโทรทัศน์จ้างบริษัทอื่นเข้ามาผลิตเนื้อหารายการ (soft ware) โดยแบ่งเวลาโฆษณาให้ไปหาสปอนเซอร์กันเอาเองนั้น ก็เป็นรูปแบบหนึ่ง ที่นิยมทำกันในช่อง 3 และบางครั้งก็ในช่อง 9 อสมท.

อีกรูปแบบหนึ่ง คือ ฝ่ายบริษัทผู้ผลิตรายการไปขอเช่าเวลาออกอากาศจากทางสถานี โดยจ่ายเงินค่าเช่าเวลาให้ทางสถานี แบบนี้ ฝ่ายผู้ผลิตรายการก็จะได้เวลาโฆษณาทั้งหมดมาหาสปอนเซอร์เอง

จะเห็นว่าในวงการทีวีมันมีทั้ง 2 แบบ ผมจึงมองในแง่ดีว่า คุณสนธิแกอาจจะสับสน 2 รูปแบบนี้ เลยพูดแต่ประเด็นที่เป็นคุณประโยชน์แก่ ASTV ว่าทางฝ่ายผม หรือทางบริษัทว็อชด็อก ไม่จ่ายค่าเวลา และเอารายได้จากสปอนเซอร์ไปโดยไม่แบ่งให้ ASTV ซึ่งก็ไม่ผิด แต่พูดไม่หมดครับ

ถาม : แล้วที่บางคนบนเวทีพันธมิตร กล่าวหาว่า อาจารย์เจิมศักดิ์ไม่ยอมวิพากษ์วิจารณ์ โจมตีรัฐบาลกรณีเขตแดนไทย-กัมพูชา ล่ะครับ?

ตอบ : ผมยอมรับครับ ว่าผมไม่อยากจะแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ เพราะภรรยาผมเป็นรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ไม่ว่าผมจะพูดเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลในเรื่องนี้ ผมและภรรยาก็ย่อมจะถูกโจมตี ถูกกล่าวหาได้ทั้งสิ้น

คุณดูง่ายๆ... ถ้าผมโจมตีรัฐบาลเหมือนพันธมิตร ภรรยาผมก็คงถูกกล่าวหาว่านำข้อมูลมาให้เล่นงานรัฐบาล เหมือนเมื่อปี 2525 ในสมัยรัฐบาลเปรม ผมร่วมกับ ดร.อัมมาร สยามวาลา และ ดร.สุรเกียรติ เสถียรไทย วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลขณะนั้นที่ไปทำสัญญาอาสาสมัครจำกัดตนเองในการส่งมันสำปะหลังไปประชาคมยุโรป ขณะนั้น ภรรยาผมอยู่กระทรวงการต่างประเทศ ก็ถูกเล่นงานว่าเอาข้อมูลมาให้ผม

อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ เมื่อครั้งที่ผมวิพากษ์วิจารณ์ทักษิณ เพื่อทำให้คน "รู้ทันทักษิณ" ภรรยาผมก็ถูกโยกย้ายไปเป็นเอกอัคราชทูตที่ประเทศเหนือสุดของยุโรป ติดขั้วโลกเหนือ โดยที่เขาไม่สมัครใจ

ตรงกันข้าม ถ้าครั้งนี้ "ในเรื่องนี้" ผมแสดงความเห็นด้วยกับรัฐบาล ก็คงถูกกล่าวหาว่าจงใจโต้แย้งสวนทางกับพันธมิตรที่เคยร่วมแนวทางกันมา และคงถูกกล่าวหาใส่ร้ายว่า คงอยากให้ภรรยาได้เป็นปลัดกระทรวงการต่างประเทศจึงเอาใจรัฐบาล

ตกลงผมสงสารและเห็นใจภรรยาผม ซึ่งที่ผ่านมา มีแต่ผมที่เป็นฝ่ายสร้างผลกระทบให้กับเขาทั้งสิ้น

ถาม : ครั้งนี้ อาจารย์ก็ถูกกล่าวหาว่าต้องการให้ภรรยาได้ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงการต่างประเทศ?

ตอบ : ขอบคุณที่ให้โอกาสผมได้ชี้แจงครับ พิจารณาดูดีๆ นะครับ "กรรมจะเป็นเครื่องชี้เจตนา"

ภรรยาผมกำลังจะเกษียณราชการในเดือนกันยายนนี้แล้ว มันจะเป็นไปได้ยังไงล่ะครับ

ยืนยันว่า ไม่จริงครับ เราไม่ได้คิด ไม่เคยคิด และไม่เคยมีสันดานอย่างที่มีคนจินตนาการเอาเอง

ที่ผมเสียใจ คือ เป็นการไปพูดอย่างนี้บนเวทีพันธมิตร และ ASTV ซึ่งผมมีความรู้สึกดีด้วยมาโดยตลอด

ถาม : สุดท้าย ถ้าจะขอให้อาจารย์ออกความเห็นกรณีปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา และเรื่องที่วุ่นๆ อยู่ในขณะนี้ อาจารย์จะว่าอย่างไร?

ตอบ : ถ้าจะให้ตอบตรงๆ ผมก็เคยวิพากษ์วิจารณ์คนที่บอกว่า "เป็นกลาง" คือ ไม่ยอมพูด ไม่ยอมแสดงออกว่ามีความคิดเห็นอย่างไร แต่อยู่เฉยๆ ทำไม่รู้ไม่ชี้

แล้วที่ผ่านมา ที่เห็นว่าผมไม่จัดรายการ "รู้ทันประเทศไทย" ที่ ASTV ในเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชา หรือไม่วิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้ ในขณะที่ ASTV ทุกรายการเขาเล่นเรื่องนี้กันโครมๆ ผมก็ไม่เคยบอกว่าจะทำตัวเป็นกลางนะครับ แต่เป็นเพราะเหตุผลที่ผมได้บอกไว้แล้วข้างต้น

ผมอยากจะบอกว่า ถ้าให้ผมแสดงความเห็นในครั้งนี้ก็ได้ แต่พันธมิตรคงไม่ชอบใจ หรือขัดใจ

คือ ผมมีบางอย่างที่เห็นด้วยกับพันธมิตร แต่ครั้งนี้ส่วนมากไม่เห็นด้วยครับ โดยเฉพาะข้อเรียกร้องและวิธีการแก้ปัญหา

ด้วยเหตุนี้ จึงไม่อยากจะแสดงความเห็นสวนทางกับพันธมิตรที่ผมเคยเป็นมิตร และยังคงมีความเป็นมิตรให้อยู่ตลอดเวลา ก็เหมือนที่เราเคยทำเรื่อง "พันธะแห่งมิตร" นั่นแหละครับ

ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต

ไม่มีความคิดเห็น: