เกษม เพ็ญภินันท์ อาจารย์ประจำคณะอักษรศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความเห็นกรณีคณะรัฐบุคคลเสนอให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พูดคุยกับองค์กรต่างๆ ทั้งตุลาการและทหาร
และผู้นำทางสังคม เพื่อร่างพระบรมราชโองการทูลเกล้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย แก้วิกฤตการเมือง
“จากข้อเสนอของ พล.อ.สายหยุด เกิดผล
อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะคณะรัฐบุคคลนั้น มองว่าถ้ากระทำการได้สำเร็จจริงๆ
จะถือเป็นการทำรัฐประหารเงียบชนิดหนึ่ง
เพราะว่าสุดท้ายเป้าประสงค์ของข้อเสนอนี้คือการได้มาซึ่งนายกฯมาตรา 7
อันเท่ากับการเปลี่ยนผู้ถือครองอำนาจรัฐ พร้อมทั้งใช้ช่องทางมาตรา 7
เป็นการกำหนดการได้ผู้นำรัฐไปในตัวอีกด้วย
ส่วนกรณี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์
ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
ที่จะเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการแต่งตั้งนายกฯนั้น
คิดว่ายิ่งเป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่ามาตรา 7
นี้ไม่ได้ให้อำนาจพระมหากษัตริย์ที่จะแต่งตั้งใครเป็นนายกฯ
แต่ทว่ากลับมีการตีความมาตรา 7
ให้เหมารวมว่าเป็นการให้อำนาจของพระมหากษัตริย์มีการแต่งตั้งนายกฯ
ซึ่งในความเป็นจริงพระองค์ไม่สามารถจะกระทำเช่นนั้นได้
เพราะข้อความดังกล่าวมีความชัดเจนว่า ในเมื่อไม่มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญนี้บังคับแต่กรณีใด
ให้วินิจฉัยกรณีนั้นเป็นไปตามประเพณีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ตามประเพณีนี้มีช่องทางคลี่คลายปัญหาได้ คือ
แก้ไขไปตามกระบวนการปกติ คือ การเลือกตั้ง แต่ก็มีสิ่งที่เกิดขึ้นคือ การจงใจให้กระบวนการเลือกตั้งกลายเป็นวิกฤตภายในตัวระบอบประชาธิปไตย
ประเด็นถัดมาตามรัฐธรรมนูญ 2550
ก็ได้บล็อกไว้อีกว่า การได้มาซึ่งนายกฯ จำเป็นต้องเป็น ส.ส. และที่สำคัญขอย้ำว่า
ประธานองคมนตรี
ไม่ได้มีหน้าที่รับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งใครเป็นนายกฯแต่อย่างใด
หากแต่เป็นหน้าที่ของประธานรัฐสภา ดังนั้น มันจึงมีปัญหาที่เกิดขึ้นคือไม่มี ส.ส.
และประธานรัฐสภา ในขณะนี้ ดังนั้น อยากจะเสนอ คือ
ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่สาระหลักที่จะเป็นต้องเดินมาที่นายกฯมาตรา 7
แต่จะทำอย่างไรให้กระบวนการตามปกติสำเร็จลุล่วงไปได้
ดังนั้น ข้อเสนอดังกล่าวจึงเป็นไปไม่ได้
และไม่มีความชอบธรรมใดๆ
อย่างยิ่งที่จะมีบุคคลหนึ่งบุคคลใดที่ไม่มีตำแหน่งจะสามารถทูลเกล้าฯยื่นนายกฯมาตรา
7 ได้
แต่ยังมีกระบวนการประชาธิปไตยที่พอมีช่องทางปกติแก้ไขได้
โดยจัดการเลือกตั้งให้สมบูรณ์
ข้อเสนอดังกล่าวจะเป็นการดึงเอาสถาบันเชิงประเพณีมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองของกลุ่มอำนาจเก่ามาโดยตลอดและการใช้สถาบันมาแทรกแซงกระบวนการประชาธิปไตยนี้ไม่ใช่ครรลองที่ถูกต้องชอบธรรมซึ่งประเทศไทยอยู่ในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
พระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญจะทำอะไรต้องอยู่ใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
เพราะฉะนั้นพระมหากษัตริย์ไม่สามารถทำอะไรที่เหนือไปจากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญได้
ดังนั้น ข้อเสนอต่างๆ
ที่ออกมาในเชิงผ่านสถาบันพระมหากษัตริย์นี้ นอกจากไม่ไปเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแล้วยังไม่เป็นประชาธิปไตยอีกด้วย
หากแต่ใช้สถาบันเป็นเครื่องมือเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของกลุ่มตนเองมากกว่าที่จะจรรโลงสถาบันพระมหากษัตริย์ควบคู่ไปกับระบอบประชาธิปไตยที่สำคัญเป็นการกระทำที่ไม่สมควรอย่างยิ่งเพราะจะระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทและจะเป็นการเพิ่มพูนปัญหาให้มากขึ้นไปอีก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น