วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2557

คลิปดัง "ซิ่งเฟอร์รารีบนถนนหลวงอวดรวย" สื่อต่างชาติเกาะติดชีวิต "นัท-วิคเตอร์" 2 หนุ่มเซเลบ ม็อบกปปส.

ป็นหนึ่งสกู๊ปที่ถูกแชร์ในโซเชียลมีเดีย ของสำนักข่าวไวซ์นิวส์ Vice News ซึ่งได้ติดตามการทำข่าวความขัดแย้งในประเทศไทยตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ โดยมีสกู๊ปข่าวเกี่ยวข้องกับการชุมนุมออกมาก่อนหน้านี้แล้ว ขณะที่มีสกู๊ปข่าวล่าสุดออกมาอีกครั้ง โดยผู้สื่อข่าว "ทิม พูล" ของไวซ์นิวส์ ได้ติดตามรายงานข่าวชีวิตของ 2 เซเลบหนุ่มของ กลุ่มกปปส. คือ "ธนัตถ์ ธนากิจอำนวย" ทายาทบริษัทโนเบิลฯ หรือในสกู๊ปของไวซ์ นิวส์ เรียกว่า "นัท" และหนุ่มอีกคนคือ "วิคเตอร์ กฤษณะเศรณี" ที่มีทั้งสถานการณ์ตึงเครียดที่ทั้งสองเข้าร่วมการชุมนุม กปปส. ในฐานะแกนนำ ช่วงก่อนเลือกตั้ง จนมาถึงหลังวันเลือกตั้ง ทั้งยังตามติดชีวิตไลฟ์สไตล์ของทั้งสองหนุ่ม ทั้งความชอบในการขับรถเฟอร์รารี หรือกระทั่งช่วงผ่อนคลายและเที่ยวคลับยามค่ำคืน

 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ได้ถอดความที่น่าสนใจของสกู๊ปข่าวชิ้นนี้มานำเสนอ (ทั้งนี้เป็นความเห็นและรายงานข่าวของสื่อต่างชาติที่มีมุมมองต่อประเทศไทย ไม่เกี่ยวข้องกับผู้เรียบเรียงแต่อย่างใด)

 สกู๊ปข่าวของไวซ์นิวส์เริ่มต้น ระบุว่า เมืองไทยกำลังอยู่ในช่วงเวลาของความขัดแย้ง เนื่องจากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การเมืองไทยเกิดความรุนแรงและไม่มีเสถียรภาพ   ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากการรัฐประหารในปี 2549 ที่ส่งผลให้อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ต้องออกนอกประเทศ  จากนั้นไทยก็ก้าวเข้าสู่ช่วงวิกฤตอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ประกอบกับก่อนหน้านั้นไทยเกิดกลุ่มคนเสื้อเหลือง และกลุ่มคนเสื้อแดงที่ต่างออกมาประท้วงบนถนน และต้องปะทะทางความคิด โดยไวซ์นิวส์ มองว่าการปะทะของคนสองกลุ่มส่งผลให้ประเทศไทยเข้าใกล้ที่อาจเกิดภาวะสงครามกลางเมืองมากขึ้นทุกขณะ โดยทั้งสองฟากความคิดต่างต่อสู้เพื่อครองอำนาจทางการเมืองที่ขณะนี้ยังไม่รู้อนาคต 

สกู๊ปข่าวไวซ์นิวส์ สัมภาษณ์ "นัท" และ "วิคเตอร์" ในฐานะหนึ่งในผู้ขับเคลื่อนของกลุ่ม กปปส. 

โดยมีหลายประเด็นที่พวกเขาเรียกร้องการปฏิรูปในสังคมไทย มีประเด็นหนึ่งที่ วิคเตอร์ ขยายความให้สัมภาษณ์ว่า "สำหรับคนไทยแล้ว หากคุณมีคอนเน็กชั่นกับคนจำนวนมาก ไม่เว้นแม้แต่คนเฝ้าประตู หรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย คุณก็จะได้สิทธิพิเศษ ที่จอดรถที่ดี คุณจะได้ลดราคาสินค้า คุณจะได้เข้าโรงเรียนที่ดี"

"เหมือนตัวผม เวลาผมมีปัญหาที่โรงเรียน บ้านผมจะส่งผมไปอยู่โรงเรียนที่ดีกว่า มีปัญหาอีกก็ย้ายไปโรงเรียนที่ดีกว่าอีก มีปัญหาอีกครั้งก็ส่งไปโรงเรียนระดับท็อป คอนเน็กชั่นก็จะสะสมไปเรื่อยๆ ในชีวิต เพิ่มมากขึ้นทุกวันๆ และนี่คือสาเหตุที่ทำให้ประเทศเราล่มสลาย"  วิคเตอร์กล่าว

สำนักข่าวไวซ์นิวส์ ได้ตามติดถ่ายทอดชีวิตของทั้งนัท และวิคเตอร์ โดยภาพในสกู๊ปนำเสนอให้เห็น ระหว่างช่วงขณะพักการชุมนุม นัทได้ตรงไปยังห้างสรรพสินค้า เพื่อไปสัก คำว่า "สู้เข้าไป อย่าได้ถอย" ลงบนแขนของเขา ซึ่งเขาบอกกับสื่อต่างชาติว่า เป็นคำขวัญของ กปปส. พร้อมทั้งบอกว่า เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะเข้าไปมีบทบาทใน กปปส.มากขนาดนี้ 


ลังจากนั้น ไวซ์ นิวส์ ติดตามนัทและวิคเตอร์ในด้านชีวิตส่วนตัว โดยนัทสนใจการสะสมรถหรู รถซุปเปอร์คาร์ และชื่นชอบการขับรถอย่างมาก ส่วนวิคเตอร์มีรสนิยมพักผ่อนด้วยการไปเที่ยวคลับหรูในยามค่ำคืน

โดยนัทสะสมรถ 4 คัน และ 1 ใน 4 เป็นรถพอร์ช ที่เขาเคยขับเข้าไปในที่ชุมนุมคนเสื้อแดง เขาเล่าถึงเหตุการณ์ที่เขาขับพอร์ช 911 พุ่งไปปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง (เหตุการณ์ปี 2553 ) ว่า ผมเคยขับรถกลับบ้าน และต้องผ่านจุดที่กลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงที่มาขวางถนน กลุ่มคนเสื้อแดงเหล่านี้รวมตัวเรียกร้องว่าคนรวยในเมืองเอาเปรียบคนจนที่อยู่ในชนบท ฉะนั้น ถึงผมขับ พอร์ช 911 ก็ไม่ช่วยอะไรเลยในเหตุการณ์นี้ คนเข้ามาทุบรถ กระทั่งพวกเขาพยายามมาดึงพวงมาลัย ผมคิดว่า เอาละ ยังไงก็ต้องไป ต้องเหยียบรถ

นัท เล่าถึงรถเฟอร์รารีคันแรกที่เขาครอบครองว่าเป็นสีเหลือง ส่วนคันปัจจุบัน (คันที่ขับในสกู๊ป) เป็นสีน้ำเงิน และคิดว่า ถึงแม้ย้อนกลับไปได้ก็คงไม่ซื้อรถเฟอร์รารีสีแดงแน่นอน แม้ว่าใครๆ ก็ต่างซื้อเฟอร์รารีสีแดงขับ

ภาพของวิคเตอร์และนัทปรากฎขึ้นในสกู๊ปข่าว โดยทั้งคู่แลกเปลี่ยนบทสนทนาร่วมกัน โดยวิคเตอร์กล่าวกับนัทขณะนั่งรถพอร์ชที่นัทขับว่า เขาชื่นชมนัทที่ไม่ยอมซื้อรถเฟอร์รารีสีแดง เพราะต้องใช้ความกล้ามาก

นัทได้เล่าถึงความหลงใหลในการขับเฟอร์รารีว่า "เราไม่เคยผิดหวังถ้าขับเฟอร์รารี ขับรถไปรอบๆ กรุงเทพฯ ก็เหมือนขี่ม้าโพนี่ตัวเล็กสบายๆ ไม่มีอะไรจะดีเท่านี้แล้ว เป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ"

ด้านวิคเตอร์ หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการเข้าไปมีส่วนร่วมกับ กปปส. สกู๊ปข่าวได้ตามติดชีวิตของวิคเตอร์ที่แบ่งเวลาผ่อนคลายจากการชุมนุม ด้วยการไปคลับไฮโซที่ชื่อ "แม็กกี้ ชู" 

วิคเตอร์ บอกกับนักข่าวไวซ์นิวส์ว่า นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือนที่เขามาที่นี่ และคิดว่า คนที่นั่น (คลับ) น่าจะตื่นเต้นที่เจอเขาในคืนนี้ ซึ่งที่นี่ต้องจองล่วงหน้า 1 เดือนเพื่อจะจองได้โต๊ะเล็กๆ สักโต๊ะ และคืนนี้เขาจองห้องชื่อว่า "Chinese Tea Room" โดยบรรยากาศในสกู๊ปนำเสนอให้เห็นภาพคลับหรูหรา มีสาวสวยสวมกี่เพ้า มีการเล่นไพ่...

สำหรับบทบาทของนัทและวิคเตอร์ ใน กปปส. รายงานข่าวชิ้นนี้ นำเสนอให้เห็นว่า นัทได้ตัดสินใจซื้อรถบรรทุกเครื่องขยายเสียงไว้ใช้ในการเคลื่อนไหว กปปส. โดยรถคันดังกล่าวเป็นคันที่นายสุทิน ธราทิน แกนนำกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) ถูกยิงเสียชีวิตขณะเดินขบวนคัดค้านการเลือกตั้งล่วงหน้า ที่วัดศรีเอี่ยม ย่านบางนา และรถคันดังกล่าวยังมีคราบเลือดบนพื้นรถ 

นัทกล่าวว่า เขาจะไม่ลบคราบเลือดนั้น เพราะนอกจากทำความสะอาดยากแล้ว เขาก็อยากเก็บมันไว้อย่างนั้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้

ด้านวิคเตอร์ เล่าว่า เขามีบอดี้การ์ดติดตามตลอดเวลา และบอดี้การ์ดของเขาเป็นทหารที่ภาคใต้ ทำหน้าที่ปกป้องประเทศ และอดีตเคยเป็นมือสังหารที่ติดคุกในข้อหาฆาตกรรมมาก่อน ซึ่งออกจากเรือนจำมาเมื่อปีที่แล้ว 

รายงานข่าวของไวซ์นิวส์ ซึ่งเกาะติดช่วงเวลาตั้งแต่ก่อนวันเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 จนถึงหลังวันเลือกตั้ง ได้นำเสนอให้เห็นภาพการชุมนุมของ กปปส.ที่วางแผนจะปิดคูหาเลือกตั้งทั่วกรุงเทพฯ เพื่อกันไม่ให้ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลชนะด้วยการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เพราะมีแนวโน้มสูงที่ฝ่ายรัฐบาลจะชนะเลือกตั้ง 

นัท กล่าวถึงการเลือกตั้งว่า "ไม่มีอะไรจริงสักอย่างสำหรับประชาธิปไตยที่เรามีภายใต้ระบอบทักษิณ ไม่มีอะไรจริงสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ หรือแม้แต่การเลือกตั้งครั้งก่อนหน้า" 

นัทกล่าวกับไวซ์นิวส์ว่า การเลือกตั้งแต่ละครั้งมีราคาต้องจ่าย และทุกคนต้องรู้ว่าต้องเสียอะไรไปบ้าง การเลือกตั้งควรคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติ ไม่ใช่รับเงินจากคนๆ เดียวที่เป็นอาชญากร ดังนั้น เมื่อเราไม่มีประชาธิปไตยที่แท้จริง  เราถึงเรียกร้องให้ปฏิรูป ไม่ใช่เลือกตั้ง เราจึงเตรียมเผชิญความรุนแรงในวันเลือกตั้ง



วซ์นิวส์ยังได้นำเสนอภาพของวิคเตอร์ที่เมื่อขึ้นเวทีกปปส.ก็พบเหตุการณ์ที่มีคนถูกยิงด้วย M79 หลังเวทีเขาบอกว่า "เราโดน M79 ใกล้เวที ไม่ห่างมากจากจุดที่ผมยืนอยู่ เราเข้าใกล้สงครามกลางเมืองขึ้นทุกที สองสามวันที่ผ่านมา มีคนถูกฆ่า 10 คนแล้ว เป็นแกนนำอย่างน้อย 2 คนซึ่งไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ และพอเรื่องเช่นนี้เข้าไปสู่กระบวนการตำรวจก็ไม่มีใครที่เป็นเสื้อแดงถูกจับเลย" 

"อย่างในกรณีของผม มีคนเสื้อแดงเข้ามาโจมตีผมด้วยอาวุธสงคราม แต่ก็ไม่มีใครถูกจับ ถ้าถามว่าผมรู้สึกยังไง ผมกลัวนะ ออกไปข้างนอกนั่น เอาตัวเองไปเสี่ยง ผมกลัว แต่ผมมีสิ่งที่ใหญ่กว่าความกลัวของผม คือการล่มสลายของประเทศ ประเทศที่กำลังจมลงทุกทีๆ"

ด้านนัทยืนยันความคิดของเขาส่งท้ายรายงานข่าวชิ้นนี้ว่า "ผมภูมิใจที่เป็นคนไทย และไม่อยากทำให้ความรู้สึกนี้หายไป ที่นี่เป็นประเทศที่เรารัก ดังนั้น ประเทศไทยและกรุงเทพจึงต้องสู้จนตาย"

"ผมเคยสัมผัสขอบฟ้ามาหลายเมืองใหญ่ ทั้งลอนดอน ปารีส เจนีวา โรม โตเกียว ฮ่องกง แต่เมื่อมองมาที่ขอบฟ้ากรุงเทพฯ ผมรู้สึกว่าที่นี่เป็นบ้าน" 

"มันคงเป็นเหมือน ถ้าเราไปอยู่บนพระจันทร์และมองลงมาที่โลก เราจะเห็นบ้านของเรา เห็นประเทศที่เราอยู่ ประเทศของพระมหากษัตริย์ของเรา ซึ่งเป็นมุมที่ทักษิณคงไม่มีวันมองเห็น"  นัทกล่าวสรุป

ไม่มีความคิดเห็น: