นายอุกฤษ มงคลนาวิน ประธานกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ
(คอ.นธ.) ได้ส่งจดหมายเปิดผนึก ฉบับที่ 1 เรื่อง “เมื่อศาลรัฐธรรมนูญเป็นฝ่ายที่ฝ่าฝืนหลักนิติธรรมเสียเอง
ศาลรัฐธรรมนูญก็ควรที่จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่” ต่อผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภา
โดยเรียกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญได้ตรวจสอบการใช้อำนาจของตนเอง
ก่อนการตีความขยายอำนาจของตนเองไปก้าวก่าย แทรกแซง หรือตรวจสอบการใช้อำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ
ฝ่ายบริหาร หรือองค์กรอื่นของรัฐ รวมถึงการออกคำสั่งให้บุคคล
หรือคณะบุคคลพ้นจากตำแหน่งหรือหยุดปฏิบัติหน้าที่เพราะกระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้การใช้อำนาจพิจารณาหรือวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต่อคดีที่ผ่านมา
ไม่มีกฎหมายใดให้อำนาจหรือมีบทบัญญัติรองรับทำให้สังคมมีข้อวิพากษ์วิจารณ์ต่อการทำหน้าที่ได้ถูกต้องตามหลักยุติธรรม
ทั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้มีบทบาทสำคัญในการที่จะคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
โดยเหตุผลสำคัญ คือ ตลอดการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ 7 ปี ยังไม่มีการออกกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความของศาลรัฐธรรมนูญเพื่อรองรับการพิจารณาคดีต่างๆ
และเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 216 วรรคหก ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
โดยบทเฉพาะกาล มาตรา 300 วรรคห้าระบุว่า
ระหว่างที่ยังมิได้มีการตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจออกข้อกำหนดเกี่ยวกับวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัยได้
แต่ทั้งนี้ ต้องตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี
นับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้” คือ วันที่ 24 ส.ค. 2550 และปัจจุบันศาลรัฐธรรมนูญได้ใช้ข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญ
ว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย พ.ศ.2550
ที่ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้กำหนดเพียงฝ่ายเดียวมาใช้ในการพิจารณาและทำคำวินิจฉัยเรื่อยมาทั้งที่รัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าวกำหนดให้ใช้ภายในระยะเวลาไม่เกิน
1 ปี เท่านั้น
นายอุกฤษ ระบุด้วยว่า การกำหนดวิธีพิจารณาคดีเพื่อควบคุมการใช้อำนาจของศาล
ถือมีความสำคัญต่อการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับประชาชน
แต่เมื่อไม่มีวิธีพิจารณาคดีกำกับไว้ส่งผลให้คำวินิจฉัยของศาลที่ได้ดำเนินการมากว่า
350 เรื่อง แบ่งเป็นรูปของคำวินิจฉัย 92 เรื่องและรูปคำสั่ง 258 เรื่องนั้นบิดเบี้ยว
ขาดความชัดเจนในกระบวนการพิจารณา อาทิ
ไม่มีกำหนดระยะเวลาพิจารณาคดีแต่ละประเภทที่ชัดเจน
ทำให้กระบวนการพิจารณาและการวินิจฉัยบางคดีทำไปด้วยความเร่งรีบผิดปกติ
และไม่มีการรับฟังความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง , การทำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
ไม่มีความชัดเจนว่าองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ทำความเห็นในการวินิจฉัยส่วนตนพร้อมแถลงด้วยวาจาต่อที่ประชุมก่อนการลงมติ
ตามที่รัฐธรรมนูญ 216 วรรคสอง กำหนดไว้ หรือไม่ , ไม่มีกำหนดระยะที่ชัดเจนต่อการเผยแพร่คำวินิฉัยกลางและคำวินิจฉัยส่วนตน
"ระหว่างที่ยังมิได้มีการดำเนินการให้เป็นไปโดยถูกต้องและครบถ้วนตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
กฎหมาย หรือตามหลักนิติธรรม
หรือในระหว่างที่ยังไม่มีกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย
ศาลรัฐธรรมนูญก็ควรที่จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ของตนไว้ก่อน
จนกว่าจะได้ดำเนินการให้เป็นไปโดยถูกต้องและครบถ้วนตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
กฎหมาย หรือตามหลักนิติธรรม เพราะศาลรัฐธรรมนูญเองก็อยู่ภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ
มาตรา 3 วรรคสอง
ที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามหลักนิติธรรมอันมีสาระสำคัญประการหนึ่งคือ
การยึดมั่นและเคารพกฎหมาย ในเมื่อไม่มีกฎหมาย องค์กรที่ใช้อำนาจรัฐไม่มีอำนาจกระทำการใด
ๆ ทั้งสิ้น เพราะถ้าดำเนินการไปแล้วอาจจะกระทบกระเทือนสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
และเมื่อกฎหมายกำหนดขอบเขตไว้เช่นใด
องค์กรที่ใช้อำนาจรัฐจะต้องใช้กฎหมายไปตามขอบเขตนั้น
จะใช้อำนาจเกินกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้ไม่ได้"นายอุกฤษ ระบุ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น