แถลงการณ์ศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหาร
เรียน ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก
ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
จากสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันที่กำลังจะเดินหน้าเข้าสู่วิกฤตที่อาจจะทำให้เกิดการเสียเลือดเสียเนื้อครั้งใหญ่ของพี่น้องประชาชนชาวไทย
เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในหลายๆประเทศ
กลุ่มศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหาร
หรือที่ประชาชนรู้จักกันดีในนามของนักเรียนเตรียมทหารรุ่นต่างๆ
ซึ่งได้ผ่านการศึกษาจาก โรงเรียนนายร้อย จปร. โรงเรียนนายเรือ
โรงเรียนนายเรืออากาศ และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ และได้เข้ารับราชการในกระทรวงกลาโหม
และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งที่เกษียณอายุไปแล้วและยังคงรับราชการอยู่ในปัจจุบัน
ต่างต้องการให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกท่าน
ระลึกและยึดมั่นในคำพูดที่ทุกท่านได้เคยปฏิญานต่อหน้าพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 ว่า
“ข้าพเจ้าจักรักษามรดกของพระองค์ท่าน..ไว้ด้วยชีวิต”
ซึ่งที่ผ่านมา พวกเราทุกคน
เห็นด้วยกับการประกาศอย่างแข็งกร้าวของผู้บัญชาการทหารบกในการสั่งการให้แม่ทัพภาคที่
3
จัดการกับกิจกรรมเคลื่อนไหวของมวลชนบางกลุ่ม ที่แสดงออกถึงการแบ่งแยกดินแดน
ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้บัญชาการทหารบก ได้ดำเนินการอย่างถูกต้องเพราะรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 1 ได้เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้” ดังนั้นการดำเนินการของผู้บัญชาการทหารบก จึงเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 77 และ พรบ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม มาตรา 19
อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2557 ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.
ได้ประกาศว่าจะยึดอำนาจประเทศไทย โดยอ้างว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย
และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ มีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะประกาศให้ตนเองเป็นรัฏฐาธิปัตย์
และคนที่เป็นรัฏฐาธิปัตย์มีคำสั่งที่ถือว่าเป็นกฎหมาย
ที่จะดำเนินการออกคำสั่งแต่งตั้ง นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี โดยที่นาย สุเทพ
เทือกสุบรรณ จะได้นำรายชื่อนายกรัฐมนตรีและ คณะรัฐมนตรี
ขึ้นทูลเกล้าฯถวายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ
เพื่อให้พระองค์ท่านทรงลงพระปรมาภิไธยโปรดเกล้าฯ โดยนาย สุเทพ เทือกสุบรรณ
จะเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ในฐานะเป็นร่างทรงของประชาชน
จากนั้นจะได้ตั้งสภานิติบัญญัติของประชาชนเพื่อทำการปฏิรูปการเมืองต่อไป
จากการประกาศเจตนารมย์ ด้วยคำพูดและการแสดงออกบนเวทีของนายสุเทพ
เทือกสุบรรณในวันนั้น จักเห็นเป็นที่ประจักษ์อย่างชัดแจ้ง
ถึงการแสดงออกในการเป็นกบฏต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
และเป็นการล้มล้างการปกครองที่ไม่เป็นไปตามแนวทางที่กำหนดไว้รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 68
นอกจากนั้นแล้วการกระทำที่นาย สุเทพ เทือกสุบรรณ
ประกาศว่าจะเข้าเฝ้าเพื่อให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ
ทรงลงพระปรมาภิไธยโปรดเกล้าฯ
คำสั่งแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาตามวิถีทางประชาธิปไตยนั้น
ยังถือว่าเป็นการบีบบังคับให้พระองค์ท่านมีพระบรมราชวินิจฉัย
จึงถือเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแห่งองค์พระมหากษัตริย์อีกด้วยเนื่องจากสิ่งที่นาย
สุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศจะดำเนินการนั้นเข้าข่ายการกระทำที่ผิด รัฐธรรมนูญ 2550 ในมาตรา 8 ที่กำหนดให้ “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ
ผู้ใดจะละเมิดมิได้”
ซึ่งการที่นาย สุเทพ เทือกสุบรรณ
คิดว่าจะให้พระองค์ท่านทรงลงพระปรมาภิไธยนั้น
จึงถือเป็นการบังคับและล่วงละเมิดให้พระองค์ท่านทำในสิ่งที่พระองค์มิได้ต้องการทำ
ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เคยมีพระราชดำรัสไว้เมื่อ 25 เมษายน 2549 ความว่า
“ขอยืนยันว่า มาตรา 7 นั้น
ไม่ได้หมายถึงมอบให้พระมหากษัตริย์มีอำนาจที่จะทำอะไรตามใจ ไม่ใช่ มาตรา 7 นั้น พูดถึงการปกครองแบบมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ไม่ได้บอกว่าให้พระมหากษัตริย์ตัดสินทำได้ทุกอย่าง ถ้าทำเขา จะนึกว่าพระมหากษัตริย์ทำเกินหน้าที่
ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยพูด ไม่เคยทำเกินหน้าที่ ถ้าทำเกินหน้าที่ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย”และ “เขาอยากจะได้นายกฯ พระราชทานกัน ขอนายกฯ
พระราชทาน ไม่ใช่เป็นเรื่องของนายกฯ ที่เป็นประชาธิปไตย เป็นการปกครองแบบ ขอโทษ
แบบมั่ว คือแบบไม่มีเหตุมีผล”
ซึ่งเจตนาการกระทำของนาย สุเทพ เทือกสุบรรณ
ในเรื่องนี้เท่ากับการประทุษร้ายต่อเสรีภาพของพระองค์
ซึ่งถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 108 ที่กำหนดว่า “ผู้ใดกระทำการประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพ ของพระมหากษัตริย์
ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต”
ดังนั้นพวกเราซึ่งเป็นตัวแทนของนักเรียนเตรียมทหารรุ่นต่าง ๆ
ที่มารวมตัวแถลงการณ์จดหมายเปิดผนึกในวันนี้
ต้องการให้อดีตนักเรียนเตรียมทหารซึ่งในปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้บังคับบัญชาสูงสุดของเหล่าทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ไม่ว่าจะเป็น ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก
ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ได้ออกมาปฏิบัติหน้าที่แทนพวกเราทุกคน
ให้สมกับที่พวกเราได้เคยปฏิญาณต่อหน้าพระพักตร์พระองค์ท่านในหลายๆ วาระว่า
“ข้าพเจ้าฯ จักเทิดทูนและรักษาไว้ ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า”
และ “ข้าพเจ้าฯ
จักรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
ดังนั้น “ศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหารทุกคน
ขอเรียกร้องให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ได้โปรดแสดงท่าทีที่ชัดเจนและปฏิบัติในเรื่องนี้อย่างถูกต้องและเป็นไปตามกฎหมาย
เหมือนกับกรณีที่ผู้บัญชาการทหารบกได้เคยปฏิบัติต่อเรื่องการมีมวลชนบางกลุ่มที่แสดงออกถึงการแบ่งแยกดินแดน
เพราะการกระทำของทุกท่านในเรื่องนี้ถือเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีของอดีตนักเรียนเตรียมทหารต่อจอมทัพไทย
ซึ่ง รัฐธรรมนูญ มาตรา 10 ได้กำหนดให้
พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย
นอกจากนี้แล้วยังเป็นการทำให้ประชาชนลดความคลางแคลงใจและหันกลับมาให้ความเชื่อมั่นในทหารและตำรวจว่า
ทุกเหล่าทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะปฏิบัติตามกฎหมายโดยทำทุกวิถีทางที่ถูกต้อง
เพื่อรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ซึ่งจะเป็นการแสดงให้เห็นว่า ทหารและตำรวจ พร้อมร่วมมือกับประชาชน
เพื่อปฏิบัติตามที่รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 70 กำหนดไว้ว่า “บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญนี้”
ตัวแทนของนักเรียนเตรียมทหารรุ่นต่าง ๆ
ที่มารวมตัวแถลงการณ์จดหมายเปิดผนึกในวันนี้
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าอดีตนักเรียนเตรียมทหารซึ่งในปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้บังคับบัญชาสูงสุดของเหล่าทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
คงจะได้ออกมาปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
เพื่อให้พี่น้องประชาชนชาวไทยเห็นว่า
ทุกเหล่าทัพและสำนักงานตำรวจแห่งชาติพร้อมจะปฏิบัติทุกอย่างตามที่รัฐธรรมนูญ 2550 และ กฎหมายต่าง
ๆได้กำหนดเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองให้สมกับคำปฏิญาณที่เคยกล่าวไว้ว่า
“ข้าพเจ้าฯ จักยอมตาย เพื่ออิสรภาพ และความสงบสุขแห่งประเทศชาติ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น