วันพุธที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2557

ลุงกำนันออกลาย!!! ชวนบริจาคเงินเข้าบัญชี "ธีราภา พร้อมพันธุ์" ลูกสาวลูกติดเมียศรีสกุล-พรเทพ

เมื่อเวลา 20.15 น. ในช่วงท้ายของการปราศรัยของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. หลังจากนายสุเทพ กำหนดนัดหมายการชุมนุมใหญ่ ในวันที่ 14 พ.ค.  นายสุเทพ ได้ขอให้แนวร่วมกปปส.ร่วมกันบริจาคเงินเข้าบัญชี ธีราภา พร้อมพันธุ์ กระแสรายวัน เลขที่บัญชี 876 -300-2758

ทั้งนี้ ธีราภา หรือ เข็ม  คือ ลูกสาวบุญธรรมคนเล็ก ของนายสุเทพ ( เกิดจาก พรเทพ เตชะไพบูลย์ กับ ศรีสกุล พร้อมพันธุ์) เป็นน้องสาวของนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ หรือ ขิง อย่างไรก็ตาม ธีราภา เรียกนายสุเทพว่า ลุง ไม่ได้เรียกว่า พ่อ
  
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้นคือ ส่วนใหญ่แล้ว การทำกิจกรรมเพื่อสังคม หรือ การเคลื่อนไหวเพื่อส่วนรวม มักจะรับบริจาคเงินเข้าบัญชีกองทุนหรือคณะบุคคล เพื่อความโปร่งใสและตรวจสอบได้ แต่ครั้งนี้กปปส. กลับประกาศให้ผู้สนับสนุนหรือผู้ร่วมเคลื่อนไหวบริจาคเงินเข้าบัญชีส่วนตัว

นักดนตรีพัทยา เขียนเฟสบุ้ค "ลาตาย" ก่อนกรอกยาฆ่าแมลงลาโลก

พ.ต.ท.เสน่ห์ ยศรุ่งเรือง พนักงานสอบสวน สภ.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ได้รับแจ้งมีคนกินยาฆ่าตัวตายภายในห้องแถวให้เช่า ตั้งอยู่ในซอยพรประภานิมิตร ต.หนองปรือ อ.บางละมุง หลังรับแจ้งจึงนำกำลังตำรวจพร้อมหน่วยกู้ภัยมูนิธิสว่างบริบูรณ์ธรรมสถานเมืองพัทยา รีบรุดไปตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุภายในห้องดังกล่าว พบศพนายเกรียงศักดิ์ หอบกระโทก หรือโบ้ อายุ 24 ปี ชาว จ.นครราชสีมา นอนหงายห่มผ้าเสียชีวิตอยู่บนเตียงในสภาพไม่สวมเสื้อ ตัวแข็งทื่อ มีน้ำลายฟูมออกมาจากปากและจมูก ตามร่างกายไม่พบบาดแผลหรือร่องรอยการถูกทำร้าย คาดว่าน่าจะเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ชั่วโมง 

ตรวจสอบในห้องอย่างละเอียดพบกระปุกยาฆ่าแมลง วางอยู่บนโต๊ะ สภาพถูกแกะถุงพลาสติกออกจนผงยาสีขาวหกเรี่ยราด นอกจากนี้ยังมีขวดเบียร์ บุหรี่ ถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และขวดน้ำวางอยู่บนโต๊ะเดียวกัน

สอบปากคำเพื่อนผู้ตายทราบว่า ปกตินายเกรียงศักดิ์ มีอาชีพเป็นนักดนตรีอยู่ที่ผับแห่งหนึ่งในเมืองพัทยา เมื่อไม่นานมานี้ได้ยินข่าวว่านายเกรียงศักดิ์เพิ่งจะถูกแฟนทิ้ง ทำให้เจ้าตัวซึมเศร้า กระทั่งเวลาประมาณ 22.00 น.คืนวานนี้ นายเกรียงศักดิ์ โพสต์ข้อความผ่านทางเฟสบุ๊คระบุว่า"ตอนนี้อยู่ห้อง อยากให้พากลับบ้านที คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะรบกวนแล้วจริงๆ โทรบอกคนที่เมมเบอร์ไว้ด้วยว่าแฟนน้องหลับสบายแล้วไม่ต้องรอ ตอนพิมพ์ข้อความนี้เมื่อคืน(22.00) ยังมีสติดีทุกอย่าง แค่เหนื่อยกับชีวิต เครียดกับทุกอย่าง ขออโหสิกรรมด้วยนะทุกคน" โดยหลังจากตนได้อ่านข้อความจึงเดินทางมาที่ห้องพักของนายเกรียงศักดิ์ จนมาพบว่าเพื่อนกินยาฆ่าตัวตายแล้ว

ภายหลังการสอบสวนเจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าผู้ตายน่าจะอกหักถูกคนรักตีจาก เลยเกิดความเครียดจนหาทางออกไม่ได้ จึงดื่มเบียร์ย้อมใจและซดยาฆ่าแมลงฆ่าตัวตายหนีปัญหา เบื้องต้นได้มอบหมายให้หน่วยกู้ภัยนำศพหนุ่มนักดนตรีรายนี้ไปเก็บรักษาไว้ที่ รพ.บางละมุง เพื่อรอญาติมาติดต่อรับไปดำเนินการตามพิธีกรรมทางศาสนาต่อไป 

“ยิ่งลักษณ์” ร่วมแสดงความเสียใจ ต่อการถึงแก่อนิจกรรมของ “ดร.พีรพันธุ์ พาลุสุข”

วันที่ 30 เมษายน 2557 go6TV – นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Yingluck Shinawatra (https://www.facebook.com/Y.Shinawatra) มีเนื้อหาดังต่อไปนี้





ดิฉันรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ทราบถึงการจากไปของ ดร.พีรพันธุ์ พาลุสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 30 เมษายน ที่ผ่านมา

นับตั้งแต่ที่รู้จัก และร่วมงานกับท่าน ดิฉันเองรู้สึกชื่นชมในความรู้ความสามารถ ตลอดจนความมุ่งมั่นในการทำงาน ที่สำคัญตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งปีที่ท่านได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนั้น ท่านได้ทุ่มเทกำลังความสามารถอย่างเต็มที่ในการบริหารกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ นอกจากนี้ ด้วยความเชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย ท่านได้ให้คำปรึกษา คำแนะนำในการบริหารราชการแผ่นดินมาโดยตลอด

นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ดิฉันได้มีโอกาสรู้จัก ตลอดจนร่วมงานกับ ดร.พีรพันธุ์ ผู้ซึ่งประกอบคุณูปการให้กับประเทศมากมาย การจากไปของ ดร.พีรพันธุ์ ในครั้งนี้นับเป็นการสูญเสียที่ประเมินค่าไม่ได้ นำมาซึ่งความโศกเศร้า และความเสียใจแก่ครอบครัว ญาติมิตร ลูกศิษย์ ตลอดเพื่อนร่วมงาน และผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นอย่างมาก คุณงามความดีของท่านจะเป็นที่จดจำและให้เราได้ระลึกถึงท่านค่ะ


ในโอกาสนี้ ดิฉันขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของดร.พีรพันธุ์ ต่อการถึงแก่อนิจกรรมของท่านในครั้งนี้ และขอให้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก ช่วยนำพาดวงวิญญาณของท่านไปสู่สุคติในสัมปรายภพค่ะ

คลิปดัง "ซิ่งเฟอร์รารีบนถนนหลวงอวดรวย" สื่อต่างชาติเกาะติดชีวิต "นัท-วิคเตอร์" 2 หนุ่มเซเลบ ม็อบกปปส.

ป็นหนึ่งสกู๊ปที่ถูกแชร์ในโซเชียลมีเดีย ของสำนักข่าวไวซ์นิวส์ Vice News ซึ่งได้ติดตามการทำข่าวความขัดแย้งในประเทศไทยตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ โดยมีสกู๊ปข่าวเกี่ยวข้องกับการชุมนุมออกมาก่อนหน้านี้แล้ว ขณะที่มีสกู๊ปข่าวล่าสุดออกมาอีกครั้ง โดยผู้สื่อข่าว "ทิม พูล" ของไวซ์นิวส์ ได้ติดตามรายงานข่าวชีวิตของ 2 เซเลบหนุ่มของ กลุ่มกปปส. คือ "ธนัตถ์ ธนากิจอำนวย" ทายาทบริษัทโนเบิลฯ หรือในสกู๊ปของไวซ์ นิวส์ เรียกว่า "นัท" และหนุ่มอีกคนคือ "วิคเตอร์ กฤษณะเศรณี" ที่มีทั้งสถานการณ์ตึงเครียดที่ทั้งสองเข้าร่วมการชุมนุม กปปส. ในฐานะแกนนำ ช่วงก่อนเลือกตั้ง จนมาถึงหลังวันเลือกตั้ง ทั้งยังตามติดชีวิตไลฟ์สไตล์ของทั้งสองหนุ่ม ทั้งความชอบในการขับรถเฟอร์รารี หรือกระทั่งช่วงผ่อนคลายและเที่ยวคลับยามค่ำคืน

 ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ได้ถอดความที่น่าสนใจของสกู๊ปข่าวชิ้นนี้มานำเสนอ (ทั้งนี้เป็นความเห็นและรายงานข่าวของสื่อต่างชาติที่มีมุมมองต่อประเทศไทย ไม่เกี่ยวข้องกับผู้เรียบเรียงแต่อย่างใด)

 สกู๊ปข่าวของไวซ์นิวส์เริ่มต้น ระบุว่า เมืองไทยกำลังอยู่ในช่วงเวลาของความขัดแย้ง เนื่องจากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การเมืองไทยเกิดความรุนแรงและไม่มีเสถียรภาพ   ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากการรัฐประหารในปี 2549 ที่ส่งผลให้อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ต้องออกนอกประเทศ  จากนั้นไทยก็ก้าวเข้าสู่ช่วงวิกฤตอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ประกอบกับก่อนหน้านั้นไทยเกิดกลุ่มคนเสื้อเหลือง และกลุ่มคนเสื้อแดงที่ต่างออกมาประท้วงบนถนน และต้องปะทะทางความคิด โดยไวซ์นิวส์ มองว่าการปะทะของคนสองกลุ่มส่งผลให้ประเทศไทยเข้าใกล้ที่อาจเกิดภาวะสงครามกลางเมืองมากขึ้นทุกขณะ โดยทั้งสองฟากความคิดต่างต่อสู้เพื่อครองอำนาจทางการเมืองที่ขณะนี้ยังไม่รู้อนาคต 

สกู๊ปข่าวไวซ์นิวส์ สัมภาษณ์ "นัท" และ "วิคเตอร์" ในฐานะหนึ่งในผู้ขับเคลื่อนของกลุ่ม กปปส. 

โดยมีหลายประเด็นที่พวกเขาเรียกร้องการปฏิรูปในสังคมไทย มีประเด็นหนึ่งที่ วิคเตอร์ ขยายความให้สัมภาษณ์ว่า "สำหรับคนไทยแล้ว หากคุณมีคอนเน็กชั่นกับคนจำนวนมาก ไม่เว้นแม้แต่คนเฝ้าประตู หรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย คุณก็จะได้สิทธิพิเศษ ที่จอดรถที่ดี คุณจะได้ลดราคาสินค้า คุณจะได้เข้าโรงเรียนที่ดี"

"เหมือนตัวผม เวลาผมมีปัญหาที่โรงเรียน บ้านผมจะส่งผมไปอยู่โรงเรียนที่ดีกว่า มีปัญหาอีกก็ย้ายไปโรงเรียนที่ดีกว่าอีก มีปัญหาอีกครั้งก็ส่งไปโรงเรียนระดับท็อป คอนเน็กชั่นก็จะสะสมไปเรื่อยๆ ในชีวิต เพิ่มมากขึ้นทุกวันๆ และนี่คือสาเหตุที่ทำให้ประเทศเราล่มสลาย"  วิคเตอร์กล่าว

สำนักข่าวไวซ์นิวส์ ได้ตามติดถ่ายทอดชีวิตของทั้งนัท และวิคเตอร์ โดยภาพในสกู๊ปนำเสนอให้เห็น ระหว่างช่วงขณะพักการชุมนุม นัทได้ตรงไปยังห้างสรรพสินค้า เพื่อไปสัก คำว่า "สู้เข้าไป อย่าได้ถอย" ลงบนแขนของเขา ซึ่งเขาบอกกับสื่อต่างชาติว่า เป็นคำขวัญของ กปปส. พร้อมทั้งบอกว่า เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะเข้าไปมีบทบาทใน กปปส.มากขนาดนี้ 


ลังจากนั้น ไวซ์ นิวส์ ติดตามนัทและวิคเตอร์ในด้านชีวิตส่วนตัว โดยนัทสนใจการสะสมรถหรู รถซุปเปอร์คาร์ และชื่นชอบการขับรถอย่างมาก ส่วนวิคเตอร์มีรสนิยมพักผ่อนด้วยการไปเที่ยวคลับหรูในยามค่ำคืน

โดยนัทสะสมรถ 4 คัน และ 1 ใน 4 เป็นรถพอร์ช ที่เขาเคยขับเข้าไปในที่ชุมนุมคนเสื้อแดง เขาเล่าถึงเหตุการณ์ที่เขาขับพอร์ช 911 พุ่งไปปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง (เหตุการณ์ปี 2553 ) ว่า ผมเคยขับรถกลับบ้าน และต้องผ่านจุดที่กลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงที่มาขวางถนน กลุ่มคนเสื้อแดงเหล่านี้รวมตัวเรียกร้องว่าคนรวยในเมืองเอาเปรียบคนจนที่อยู่ในชนบท ฉะนั้น ถึงผมขับ พอร์ช 911 ก็ไม่ช่วยอะไรเลยในเหตุการณ์นี้ คนเข้ามาทุบรถ กระทั่งพวกเขาพยายามมาดึงพวงมาลัย ผมคิดว่า เอาละ ยังไงก็ต้องไป ต้องเหยียบรถ

นัท เล่าถึงรถเฟอร์รารีคันแรกที่เขาครอบครองว่าเป็นสีเหลือง ส่วนคันปัจจุบัน (คันที่ขับในสกู๊ป) เป็นสีน้ำเงิน และคิดว่า ถึงแม้ย้อนกลับไปได้ก็คงไม่ซื้อรถเฟอร์รารีสีแดงแน่นอน แม้ว่าใครๆ ก็ต่างซื้อเฟอร์รารีสีแดงขับ

ภาพของวิคเตอร์และนัทปรากฎขึ้นในสกู๊ปข่าว โดยทั้งคู่แลกเปลี่ยนบทสนทนาร่วมกัน โดยวิคเตอร์กล่าวกับนัทขณะนั่งรถพอร์ชที่นัทขับว่า เขาชื่นชมนัทที่ไม่ยอมซื้อรถเฟอร์รารีสีแดง เพราะต้องใช้ความกล้ามาก

นัทได้เล่าถึงความหลงใหลในการขับเฟอร์รารีว่า "เราไม่เคยผิดหวังถ้าขับเฟอร์รารี ขับรถไปรอบๆ กรุงเทพฯ ก็เหมือนขี่ม้าโพนี่ตัวเล็กสบายๆ ไม่มีอะไรจะดีเท่านี้แล้ว เป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ"

ด้านวิคเตอร์ หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการเข้าไปมีส่วนร่วมกับ กปปส. สกู๊ปข่าวได้ตามติดชีวิตของวิคเตอร์ที่แบ่งเวลาผ่อนคลายจากการชุมนุม ด้วยการไปคลับไฮโซที่ชื่อ "แม็กกี้ ชู" 

วิคเตอร์ บอกกับนักข่าวไวซ์นิวส์ว่า นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือนที่เขามาที่นี่ และคิดว่า คนที่นั่น (คลับ) น่าจะตื่นเต้นที่เจอเขาในคืนนี้ ซึ่งที่นี่ต้องจองล่วงหน้า 1 เดือนเพื่อจะจองได้โต๊ะเล็กๆ สักโต๊ะ และคืนนี้เขาจองห้องชื่อว่า "Chinese Tea Room" โดยบรรยากาศในสกู๊ปนำเสนอให้เห็นภาพคลับหรูหรา มีสาวสวยสวมกี่เพ้า มีการเล่นไพ่...

สำหรับบทบาทของนัทและวิคเตอร์ ใน กปปส. รายงานข่าวชิ้นนี้ นำเสนอให้เห็นว่า นัทได้ตัดสินใจซื้อรถบรรทุกเครื่องขยายเสียงไว้ใช้ในการเคลื่อนไหว กปปส. โดยรถคันดังกล่าวเป็นคันที่นายสุทิน ธราทิน แกนนำกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) ถูกยิงเสียชีวิตขณะเดินขบวนคัดค้านการเลือกตั้งล่วงหน้า ที่วัดศรีเอี่ยม ย่านบางนา และรถคันดังกล่าวยังมีคราบเลือดบนพื้นรถ 

นัทกล่าวว่า เขาจะไม่ลบคราบเลือดนั้น เพราะนอกจากทำความสะอาดยากแล้ว เขาก็อยากเก็บมันไว้อย่างนั้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้

ด้านวิคเตอร์ เล่าว่า เขามีบอดี้การ์ดติดตามตลอดเวลา และบอดี้การ์ดของเขาเป็นทหารที่ภาคใต้ ทำหน้าที่ปกป้องประเทศ และอดีตเคยเป็นมือสังหารที่ติดคุกในข้อหาฆาตกรรมมาก่อน ซึ่งออกจากเรือนจำมาเมื่อปีที่แล้ว 

รายงานข่าวของไวซ์นิวส์ ซึ่งเกาะติดช่วงเวลาตั้งแต่ก่อนวันเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 จนถึงหลังวันเลือกตั้ง ได้นำเสนอให้เห็นภาพการชุมนุมของ กปปส.ที่วางแผนจะปิดคูหาเลือกตั้งทั่วกรุงเทพฯ เพื่อกันไม่ให้ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลชนะด้วยการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เพราะมีแนวโน้มสูงที่ฝ่ายรัฐบาลจะชนะเลือกตั้ง 

นัท กล่าวถึงการเลือกตั้งว่า "ไม่มีอะไรจริงสักอย่างสำหรับประชาธิปไตยที่เรามีภายใต้ระบอบทักษิณ ไม่มีอะไรจริงสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ หรือแม้แต่การเลือกตั้งครั้งก่อนหน้า" 

นัทกล่าวกับไวซ์นิวส์ว่า การเลือกตั้งแต่ละครั้งมีราคาต้องจ่าย และทุกคนต้องรู้ว่าต้องเสียอะไรไปบ้าง การเลือกตั้งควรคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติ ไม่ใช่รับเงินจากคนๆ เดียวที่เป็นอาชญากร ดังนั้น เมื่อเราไม่มีประชาธิปไตยที่แท้จริง  เราถึงเรียกร้องให้ปฏิรูป ไม่ใช่เลือกตั้ง เราจึงเตรียมเผชิญความรุนแรงในวันเลือกตั้ง



วซ์นิวส์ยังได้นำเสนอภาพของวิคเตอร์ที่เมื่อขึ้นเวทีกปปส.ก็พบเหตุการณ์ที่มีคนถูกยิงด้วย M79 หลังเวทีเขาบอกว่า "เราโดน M79 ใกล้เวที ไม่ห่างมากจากจุดที่ผมยืนอยู่ เราเข้าใกล้สงครามกลางเมืองขึ้นทุกที สองสามวันที่ผ่านมา มีคนถูกฆ่า 10 คนแล้ว เป็นแกนนำอย่างน้อย 2 คนซึ่งไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ และพอเรื่องเช่นนี้เข้าไปสู่กระบวนการตำรวจก็ไม่มีใครที่เป็นเสื้อแดงถูกจับเลย" 

"อย่างในกรณีของผม มีคนเสื้อแดงเข้ามาโจมตีผมด้วยอาวุธสงคราม แต่ก็ไม่มีใครถูกจับ ถ้าถามว่าผมรู้สึกยังไง ผมกลัวนะ ออกไปข้างนอกนั่น เอาตัวเองไปเสี่ยง ผมกลัว แต่ผมมีสิ่งที่ใหญ่กว่าความกลัวของผม คือการล่มสลายของประเทศ ประเทศที่กำลังจมลงทุกทีๆ"

ด้านนัทยืนยันความคิดของเขาส่งท้ายรายงานข่าวชิ้นนี้ว่า "ผมภูมิใจที่เป็นคนไทย และไม่อยากทำให้ความรู้สึกนี้หายไป ที่นี่เป็นประเทศที่เรารัก ดังนั้น ประเทศไทยและกรุงเทพจึงต้องสู้จนตาย"

"ผมเคยสัมผัสขอบฟ้ามาหลายเมืองใหญ่ ทั้งลอนดอน ปารีส เจนีวา โรม โตเกียว ฮ่องกง แต่เมื่อมองมาที่ขอบฟ้ากรุงเทพฯ ผมรู้สึกว่าที่นี่เป็นบ้าน" 

"มันคงเป็นเหมือน ถ้าเราไปอยู่บนพระจันทร์และมองลงมาที่โลก เราจะเห็นบ้านของเรา เห็นประเทศที่เราอยู่ ประเทศของพระมหากษัตริย์ของเรา ซึ่งเป็นมุมที่ทักษิณคงไม่มีวันมองเห็น"  นัทกล่าวสรุป

สติแตก! "เสรี วงษ์มณฑา" สุดทนโพสต์ด่าประชาธิปัตย์เป็นบัวใต้น้ำ ยอมรับเอากระดูกแขวนคอ


30 เมษายน 2557 go6TV - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 12.00น. ที่ผ่านมา นายเสรี วงษ์มณฑา หรือ "เจ๊อี๊ด" แม่ยกประชาธิปัตย์และแกนนำ กปปส. ได้โพสต์ข้อความผ่าน Facebook ส่วนตัว โจมตีพรรคประชาธิปัตย์อย่างเผ็ดร้อน ขณะเดียวกัน ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตจำนวนมากเชื่อว่าพฤติกรรมของพรรคประชาธิปัตย์ที่ "เจ๊อี๊ด" โพสต์ข้อความแฉเป็นเรื่องจริง แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ "เจ๊อี๊ด" ว่าจะตัดขาดจากพรรคประชาธิปัตย์ได้ 

ทั้งนี้ ข้อความของนายเสรี วงษ์มณฑา หรือ เจ๊อี๊ด มีเนื้อหาดังนี้



"แต่ทุกครั้งที่ออกมาวิพากษ์พรรคประชาธิปัตย์และอภิสิทธ์ด้วยความสุจริตและปรารถนาดี ก็จะต้องเจอกับคนของประชาธิปัตย์บางคนที่จุดยืนเลยสถานะของการเป็นสมาชิกพรรคแต่ทำตัวเป็นสาวกผู้พิทักษ์(curators) ในลักษณะที่ว่าพรรคของข้า หัวหน้าข้าใครอย่าแตะ แทนที่จะพินิจพิจาณาก่อนว่าคนที่เขาวิพากษ์วิจารณ์นั้นเขาทำในนามของกัลยาณมิตรหรือศัตรู ถ้าหากมีคนอย่างนี้ในพรรคประชาธิปัตย์มากๆ อีกหน่อยประชาธิปัตย์จะถูกโดดเดี่ยว ปล่อยให้สู้กับพรรคเพื่อไทยตามลำพัง ไม่มีใครช่วย ไม่มีใครเตือน เพราะคงไม่มีใครอยากจะอยู่ในสภาพ "เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง ต้องเอากระดูกมาแขวนคอ" ไปเรื่อยๆ

คนท่ีจะเตือนคนพวกนี้ได้ก็เห็นจะมีอภิสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว บอกให้คนพวกนี้หัดใจกว้างรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์จากกัลยาณมิตรผู้หวังดีกันบ้าง ประชาธิปัตย์หรือตัวอภิสิทธิ์เองไม่ใช่ว่าจะเป็นคนที่ทำถูกทุกเรื่อง ดังนั้นเวลามีคนที่คนท้วงติงด้วยความปรารถนาดีเยี่ยงกัลยาณมิตรก็ต้องฟังเขาบ้าง อย่าออกมาเป็นสาวกผู้พิทักษ์ด่าทุกคนที่ออกมาวิพากษ์โดยไม่แยกว่าใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู ขืนเป็นอย่างนี้ระวังนะ เมื่อแนวร่วมหายไปจะกลายเป็นพรรคฝ่ายค้านตลอดกาล เพราะเลือกตั้งไม่มีวันจะชนะ เหมือนอย่างที่แกนนำ นปช. ปรามาสเอาไว้

มีทฤษฎการสื่อสารทฤษฎีหนึ่งชื่อทฤษฎี Social Judgment and Individual Involvement กล่าวว่าถ้าคนเรารู้สึกว่าเรื่องใดเกี่ยวข้องกับตนเอง (Individual Involvement) มากเท่าใด ก็จะกลายเป็นคนที่มีจิตใจคับแคบในการฟังข้อมูลใดๆเกี่ยวกับเรื่องนั้น ทำให้เปลี่ยนความคิดเห็น (Social Judgment) ไม่ค่อยได้ มิหนำซำซ้ำยังจะมองคำพูดของคนที่คิดต่างจากตนที่แตกต่างไม่มากนักกลายเป็นความแตกต่างที่มากมายจนไม่อาจจะยอมรับได้ ถ้าหากคนพวกนี้รักษาระยะของความรักความชอบประชาธิปัตย์ให้ห่างออกมาสักนิดก็จะดี จะทำให้เป็นคนที่ใจกว้างขึ้น รับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์พรรคประชาธิปัตย์และหัวหน้าประชาธิปัตย์ได้มากขึ้น เปิดโอกาสให้มีการนำคำวิพากษ์เหล่านั้นมาวิเคราะห์และได้ปรับปรุงการทำงานของพรรค

ณ บัดนี้จะขอเรียนรู้บทเรียนจากประสบการณ์ที่ออกมาวิพากษ์การทำงานของอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์เยี่ยงกัลยาณมิตรผู้หวังดีว่า ต่อไปนี้จะไม่ขอข้องแวะยุ่งเกี่ยวกับการทำงานของพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆทั้งสิ้น ถูกก็จะไม่ชม ผิดก็จะไม่วิจารณ์ ขออวยพรให้ประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านอย่างมีความสุขกับสาวกผู้พิทักษ์ที่ได้ช่วยกันผลักมิตรให้เป็นศัตรูต่อไปเรื่อยๆจนกว่าฟ้าดินสลายก็แล้วกัน น่าเสียดายพรรคที่เราคิดว่าพอจะเป็นบัวโผล่พ้นน้ำได้บ้าง กลับมีผู้พิทักษ์ที่รักมากขนาดไม่รับฟังคำวิพากษ์จากมิตร ยอมที่เป็นบัวใต้น้ำต่อไป"


“ยิ่งลักษณ์” เชื่อ “การเลือกตั้ง-เจรจาอย่างสันติ” คือทางออกของประเทศไทยในเวลานี้

วันที่ 30 เมษายน 2557 go6TV – นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Yingluck Shinawatra (https://www.facebook.com/Y.Shinawatra) มีเนื้อหาดังต่อไปนี้




วันนี้ดิฉันได้เป็นประธานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า เพื่อติดตามปัญหาที่มีผลกระทบต่อประชาชนและการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากผลของการชุมนุมทางการเมือง จากเดิมที่จะต้องมีการเลือกตั้งได้ภายใน 60 วัน หลังจากที่ได้มีการยุบสภาตามกรอบของรัฐธรรมนูญ และสามารถจัดตั้งรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มในการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชน แต่ในปัจจุบันการเลือกตั้งได้ล่าช้ากว่ากรอบการเลือกตั้งไปกว่า 3 เดือนแล้ว

ทั้งนี้ รัฐบาลได้มองเห็นถึงปัญหาที่จะส่งผลกระทบต่อสถานการณ์เศรษฐกิจและสังคมของประเทศจากสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น การจัดทำงบประมาณปี 2558 ที่ต้องล่าช้าออกไป แนวโน้มการจัดเก็บรายได้ที่ลดลง ความมั่นคงไฟฟ้าในภาคใต้จากการปิดแหล่งก๊าซธรรมชาติในประเทศมาเลเซีย การส่งออกที่ยังอยู่ในภาวะหดตัว ความเชื่อมั่นของภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยวที่ลดลง การจัดทำรายงานการค้ามนุษย์ (TIP report) รวมทั้งการติดตามสถานการณ์ภัยแล้งและการจัดทำเกษตรโซนนิ่ง ถึงแม้ว่าในปัจจุบันการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลจะสามารถดำเนินการได้อย่างจำกัดภายใต้เงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 181 เพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศและไม่มีผลผูกพันต่อรัฐบาลต่อไปเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ดิฉันก็ได้เร่งรัดให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมกันบูรณาการเพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชนดังที่ได้กล่าวมาเบื้องต้นอย่างเร่งด่วน โดยได้สั่งการให้ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ตั้งคณะทำงานฯ ประกอบด้วย สภาพัฒน์ฯ กระทรวงคลัง สำนักงบประมาณ กฤษฎีกา เพื่อเร่งรัดโครงการที่ค้างการพิจารณาอยู่ในปัจจุบัน ให้สามารถดำเนินการได้โดยเร็ว เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบในวงกว้างต่อพี่น้องประชาชน

สุดท้ายนี้ดิฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าประเทศจะสามารถหลุดพ้นจากความขัดแย้งและทุกฝ่ายสามารถหันหน้าพูดคุยกันอย่างสันติ รวมทั้งสามารถเดินหน้าจัดการเลือกตั้งได้ตามกรอบของรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ได้รัฐบาลที่มาจากความต้องการของประชาชนที่แท้จริงโดยเร็วค่ะ

"อนุทิน" ตอกหน้า "มาร์ค" ไม่ให้เข้าพบ บอก "หากทุกพรรคลงสมัครรับเลือกตั้ง จะยุติปัญหาต่างๆได้"


นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เดินสายพบองค์กรต่างๆ เพื่อหาทางออกของประเทศว่า นายอภิสิทธิ์ได้โทรศัพท์มาหาตนเพื่อขอหารือหาทางออกของประเทศ ตนบอกไปว่าในช่วงสัปดาห์นี้ติดภารกิจตลอดทั้งสัปดาห์อยู่ต่างจังหวัด และเกรงว่าจะไม่มีเวลาได้คุยกันจึงเสนอว่าหากมีอะไรก็ให้หารือทางโทรศัพท์ก็ได้ และพรรคภูมิใจไทยก็พร้อมจะทำทุกข้อเสนอหากทำให้บ้านเมืองผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้
      

       ทั้งนี้ ตนยังได้กล่าวว่า หากทุกพรรคการเมืองลงสมัครรับเลือกตั้งทั้งหมดบรรยากาศบ้านเมืองคงจะดีและยุติปัญหาต่างๆ ได้โดยที่นายอภิสิทธิ์ก็หัวเราะแต่ไม่ได้กล่าวอะไรต่อไป

ผอ.รพ.พญาไท-นวมินทร์แถลงสาเหตุการเสียชีวิต “พีรพันธุ์” เลือดไม่เลี้ยงสมอง

ผอ.รพ.พญาไท-นวมินทร์ แถลงสาเหตุการเสียชีวิต พีรพันธุ์เส้นเลือดสมองตีบจนเกิดอาการเลือดไม่ไปเลี้ยงสมองจนสมองบวมและเกิดภาวะแทรกซ้อนจนเสียชีวิตในที่สุด ด้าน ปลอดประสพเผยรัฐบาลเสียใจสูญเสียบุคคลมีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ก่อนเตรียมขอพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ
      
       วันนี้ (30 เม.ย.) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่โรงพยาบาลพญาไท-นวมินทร์ นพ.นิพนธ์ ธีราโมกข์ ผอ.รพ.พญาไทฯ และนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมกันแถลงการถึงแก่กรรมของนายพีรพันธุ์ พาลุสุข รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดย นพ.นิพนธ์กล่าวว่า นายพีรพันธุ์เข้ามารับการรักษาที่ รพ.พญาไท-นวมินทร์ เมื่อวันที่ 27 เม.ย.ที่ผ่านมาเนื่องจากมีอาการเหนื่อย และต้องการวัดความดัน แพทย์ได้ตรวจพบภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด มีภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ จึงต้องทำการตรวจรักษาอย่างละเอียด จึงขอให้พักรักษาตัวที่โรงพยาบาล จากนั้นในวันรุ่งขึ้นแพทย์ได้ตรวจพบภาวะแทรกซ้อนคืออาการเส้นเลือดเลี้ยงสมองตีบ ทำให้มีความดันในสมองจึงมีอาการสมองบวม แพทย์ผ่าตัดระบายความดันในสมอง และเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาอาการเต้นของหัวใจผิดปกติมากขึ้น ประกอบกับเส้นเลือดในสมองตีบส่งผลให้นายพีรพันธุ์ถึงแก่กรรมอย่างสงบเมื่อเวลา 06.36 น.วันนี้ ด้วยวัย 67 ปี
      
       ด้านนายปลอดประสพกล่าวว่า รัฐบาลเสียใจต่อการสูญเสียบุคคลสำคัญที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย สำหรับขั้นตอนทางพิธีการที่จะเกิดขึ้นเกี่ยวกับพิธีศพนั้นจะเคลื่อนศพออกจาก รพ.พญาไท-นวมินทร์ไปยังวัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร บางเขน ในวันศุกร์ที่ 2 พ.ค.นี้ รัฐบาลได้หารือกับทางสำนักพระราชวังเพื่อขอพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ พิธีศพนั้นจะอยู่ในพระบรมราชินูปถัมภ์ก่อน และจะมีการหารือกับญาติคาดว่าจะเก็บศพไว้ก่อนสักระยะก่อนจะมีพิธีการทางศาสนาต่อไป
      
       นายปลอดประสพยังกล่าวด้วยว่า ทราบว่านายพีรพันธุ์มีอาการป่วยมานานแล้วแต่ไม่ได้รับการรักษาอย่างจริงจัง ก่อนที่จะมาเข้ารักษาตัวที่ รพ.พญาไท-นวมินทร์ เนื่องจากมีอาการเหนื่อยที่ต้องไปปฏิบัติภารกิจที่ต่างจังหวัดแต่ไม่สามารถเดินทางไปไหว แพทย์จึงได้ขอตัวไว้รักษา จนกระทั่งเสียชีวิตในที่สุด
      
       นายปลอดประสพกล่าวด้วยว่า ก่อนหน้านี้เคยได้ชักชวนให้ น.ส.ชุตินิดา พาลุสุข ลูกสาวนายพีรพันธุ์ให้เข้ามาเล่นการเมือง แต่นายพีรพันธุ์ต้องการให้ลูกสาวตนเองศึกษาให้จบในระดับปริญญาเอกเสียก่อน
      
       ด้าน น.ส.ชุตินิดา พาลุสุข กล่าวว่า เชื่อว่าพ่อตนได้สร้างประโยชน์และผลงานที่มีประโยชน์ให้ประเทศชาติแล้ว ตอนนี้รู้สึกเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมากต่อการจากไปของพ่อ ต้องขอเวลาทำใจสักระยะ

เครือข่ายองค์กรสิทธิมนุษยชนระดับโลก เรียกร้องไทยปล่อยตัว "สมยศ พฤกษาเกษมสุข"



 ครบ 3 ปีจองจำ 'สมยศ พฤกษาเกษมสุข' เครือข่ายองค์กรสิทธิมนุษยชนระดับโลกวอนไทยปล่อยตัว พร้อมเปิดถกปมแก้กฎหมายหมิ่นประมาทประมุขประเทศ
 
ในวันอังคารที่ 29 เมษายน สหพันธ์สากลเพื่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นองค์กรร่มของกลุ่มปกป้องสิทธิพลเมือง 178 แห่งจากกว่า 100 ประเทศ ออกแถลงการณ์เนื่องในวันครบรอบ 3 ปีการจองจำนักเคลื่อนไหวแรงงานชาวไทย นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ในข้อหาละเมิดกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่าด้วยการดูหมิ่น หมิ่นประมาท สถาบันกษัตริย์

 
นายสมยศ สมาชิกสหภาพเพื่อเสรีภาพพลเมือง (Union for Civil Liberty-UCL) จะติดคุกครบ 3 ปีในวันที่ 30 เมษายน อดีตบรรณาธิการนิตยสาร Voice of Taksin ผู้นี้ถูกตัดสินจำคุก 10 ปีในความผิดตามกฎหมายอาญาดังกล่าว เขาได้อุทธรณ์คำพิพากษานี้ แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวระหว่างสู้คดีแม้เคยยื่นคำขอแล้ว 15 ครั้ง



   
ประธานสหพันธ์สากลเพื่อสิทธิมนุษยชน หรือเอฟไอดีเอช การิม ลาฮิดจี กล่าวว่า ประเทศไทยต้องปล่อยตัวนายสมยศ และคนอื่นๆซึ่งถูกคุมขังโดยไม่เป็นธรรมภายใต้มาตรา 112 พวกเขาเป็นเหยื่อของกฎหมายโหด ซึ่งละเมิดพันธะกรณีของไทยตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง

 
"คำนิยามอันครอบจักรวาลของการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา 112 ส่งผลจำกัดสิทธิในการแสดงออกโดยเสรี และเปิดทางแก่การลงโทษอย่างหนักเกินกว่าเหตุต่อผู้ตกเป็นเหยื่อ" ผู้นำของ FIDH กล่าว

 
Fédération International des ligues des Droits de l'Homme มีสำนักใหญ่ในกรุงปารีส ก่อตั้งในปีค.ศ.1922 หรือเมื่อ  92 ปีก่อน เป็นองค์กรระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนที่เก่าแก่ที่สุด





 @  นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ที่ศาลอาญา ในกรุงเทพ เมื่อ 23 มกราคม 2556
 
ไทยในฐานะรัฐภาคี มีพันธะตามตามกติการะหว่างประเทศดังกล่าว เมื่อปี 2554 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UN Human Rights Committee-CCPR) หน่วยงานติดตามการปฏิบัติตามพันธะของรัฐภาคี ได้แสดงความวิตกต่อกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และเมื่อปี 2555 คณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยการควบคุมตัวตามอำเภอใจ (UN Working Group on Arbitrary Detention-WGAD) วินิจฉัยว่า การจองจำนายสมยศเป็นการควบคุมตัวตามอำเภอใจ คณะทำงานชุดนี้เรียกร้องให้ประเทศไทยปล่อยตัวนายสมยศ และจ่ายค่าทดแทนแก่เขาตามสิทธิ์

 
นายจตุรงค์ บุณยรัตนสุนทร ประธานสหภาพเพื่อเสรีภาพพลเมือง กล่าวว่า รัฐบาลไทยต้องแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพโดยเร่งด่วน โดยเฉพาะในประเด็นผู้มีอำนาจฟ้อง ซึ่งควรเป็นของสำนักพระราชวังเท่านั้น และควรลดอัตราสูงสุดของโทษจำคุก

 
เจอรัลด์ สเตเบอร็อก เลขาธิการใหญ่ องค์การโลกต่อต้านการทรมาน (Organisation Mondiale Contre la Torture) ซึ่งทำงานรณรงค์คัดค้านการคุมขังตามอำเภอใจ กล่าวว่า คำร้องขอประกันตัวของนายสมยศควรได้รับการพิจารณาไปตามเนื้อผ้าโดยไม่ชักช้า เขาควรได้รับการพิพากษายกฟ้องในทุกข้อกล่าวหา

 
"ประเทศไทยควรส่งเสริมการถกเถียงในเรื่องการปฏิรูปกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพื่อให้มั่นใจได้ว่า การปกป้องสถาบันกษัตริย์จะไม่กระทบต่อเสรีภาพในการแสดงออก" สเตเบอร็อก กล่าว.

 
Source: FIDH

Photos: AFP
http://news.voicetv.co.th/thailand/104201.html

ภาพชุด 3 ปีที่จองจำ “สมยศ พฤกษาเกษมสุข”





















มวลชนรวมตัวกันร่วมงานรำลึก 3 ปีจองจำ สมยศ พฤกษาเกษมสุข ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2557 (go6TV) มวลชนที่รักความยุติธรรม รวมตัวกันหน้าเรือนจำพิเศษ กรุงเทพมหานคร สถานที่คุมขังนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ได้ร่วมกันจุดเทียนไว้อาลัยแก่ความอยุติธรรม แขวนนกพิราบแห่งเสรีภาพสีแดง บนรั้วของเรือนจำพิเศษ เพื่อรำลึกถึงนายสมยศ ที่โดนจับและคุมขังครบรอบ 3 ปีในวันนี้  โดยเมื่อสามปีที่แล้ว ตำรวจโดย พ.ต.ท.เบญจพล รอดสวาสดิ์ รอง ผกก.ตม.จว.สระแก้ว และ ร.อ.ชาญ ว่องไวเมธี ผบ.ร้อย ทพ.1206 ฉก.กรม.ทพ.12 กกล.บูรพา ได้สนธิกำลังตั้งจุดตรวจ บริเวณจุดตรวจร่วมหน้าด่านพรมแดนอรัญประเทศ จ.สระแก้ว ก็ได้รับแจ้งจาก พ.ต.ท.หญิงสุภาพ ศรีสุข สว.ตม.จว.สระแก้ว ซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่จุดตรวจขาออก ด่านตม.อรัญประเทศ ว่า พบชายต้องสงสัยคาดว่าจะเป็นนายสมยศ พฤษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม นปช.ที่ดีเอสไอ แจ้งข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและศาลอนุมัติออกหมายจับ กำลังจะเดินทางออกไปกัมพูชา   

จากนั้นจึงได้รายงานให้ พ.ต.อ.มานัด ศรีวงษา ผกก.ตม.สระแก้ว รับทราบ จากนั้นจึงเข้าไปตรวจสอบและพบนายสมยศ พฤษาเกษมสุข อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 46/ 428 ซอยประชาอุทิศ 12 แขวงดอนเมือง เขตดอนเมือง กทม.(แกนนำ นปช.)กำลังยื่นหนังสือเดินทาง(พาสปอร์ต)เพื่อให้ จนท.ประทับตราออกไปกัมพูชา


เจ้าหน้าที่จึงแจ้งให้นายสมยศ ทราบว่ามีหมายจับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จึงขอเชิญตัวไปสอบถามเบื้องต้นที่ห้องสอบสวน จุดตรวจ ตม.สระแก้ว โดย จนท.ตม.ได้แจ้งไปยังดีเอสไอ เพื่อมารับตัวนายสมยศไปดำเนินคดีในกระบวนการยุติธรรม จนถึงวันนี้ 3 ปีแล้ว กระบวนการยุติธรรม ยังไม่ดำเนินไปถึงไหน  นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ก็ยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ จึงเป็นเหตุให้พี่น้องออกมารวมตัวกันรำลึกถึงนายสมยศ  และในโอกาสนี้ อาจารย์ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และ นายแทนไท พฤกษาเกษมสุข ได้ร่วมกิจกรรมหน้าเรือนจำพิเศษ ในวันนี้ด้วย

ขอบคุณภาพจาก ฮาโตริ หมูบิน

"ดร.พีรพันธุ์ พาลุสุข" รมว.วิทยาศาสตร์ เส้นเลือดในสมองตีบถึงแก่อสัญกรรมโดยสงบเช้าวันนี้

นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์ หลังเกิดอาการวูบ และเข้ารับการผ่าตัดเส้นเลือดในสมองตีบ  ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว เมื่อเวลา 06.00 น. ที่ผ่านมา


นายพีรพันธุ์  เกิดวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2489 (67 ปี)  เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่ปี 2528  ล่าสุด เป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยโสธร เขต 3 เคยสังกัดพรรคชาติไทย, ประชาธิปัตย์, ความหวังใหม่ จนย้ายมาร่วมงานกับพรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย ในปัจจุบัน เข้ารับตำแหน่ง รมว.วิทยาศาสตร์ฯ ใน ครม. "ยิ่งลักษณ์ 5" แทนนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ที่ถูกปรับออกจากตำแหน่ง เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2556 และอยู่ในตำแหน่งจนกระทั่งยุบสภา

นายพีรพันธุ์ เป็นมือกฎหมายของพรรคเพื่อไทย ก่อนหน้านี้เคยออกมายืนยันถึงสถานะของรัฐบาลกรณีไม่เปิดประชุมสภาฯ ภายใน30วันหลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้งว่า รัฐบาลยังต้องทำหน้าที่รักษาการต่อไป นอกจากนั้น ยังเคยตอบโต้กับ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง ในประเด็นการขู่ว่า จะฟ้องร้องหากการเลือกตั้งเป็นโมฆะ

ปูทองคำฝังเพชรหรือ?! ห้องทำงานประธานศาลรัฐธรรมนูญ ทุ่มค่าตบแต่งสุดอลังการ 54 ล้าน? แต่ศาลไทยค้างค่าก่อสร้างพันกว่าล้าน โดนทวงหนี้



บริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) ได้จัดประชุมสามัญประจำปีขึ้นเมื่อวานนี้(29เม.ย.) และมีเอกสารฉบับหนึ่ง"หลุด"ออกมาจากที่ประชุม โดยเป็นเอกสารแจ้งหนังสือถึง 4 หน่วยงานคือ ศาลฎีกา ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ และกระทรวงไอซีที เรื่อง ขอให้ชำระเงินชดเชยค่าก่อสร้างเพิ่มเติมรวม 1,034 ล้านบาทเศษ เมื่อวันที่ 31 มีนาคมที่ผ่านมานี้

โดยศาลฎีกาให้จ่าย641 ล้านบาทเศษ
ศาลปกครอง 352 ล้านบาทเศษ
ศาลรัฐธรรมนูญ 25 ล้านบาทเศษ
กระทรวงไอซีที 15 ล้านบาทเศษ

ทั้งนี้ศาลรัฐธรรมนูญมีหนี้ค่าก่อสร้างทั้งหมด 54.8 ล้านบาทเศษ และ ธพส.ได้มีการประสานงานเรื่องเงินชดเชยค่าใช้จ่ายในการตกแต่งเพิ่มเติมตามความต้องการของศาลรัฐธรรมนูญ โดยสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญให้ ธพส.เรียกเก็บเงินเฉพาะค่างานก่อสร้างที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบเรียบร้อยแล้วจำนวนเงิน 22.8 ล้านบาทเศษ

ส่วนอีกราว 30 ล้านบาทนั้นยังตรวจสอบไม่เรียบร้อย

เจ้าหน้าที่ของธพส.เปิดเผยว่า กรณีศาลรัฐธรรมนูญนั้น ประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ตกแต่งห้องทำงานเพิ่มเติมในงบประมาณ 50 ล้านบาทเศษ

ทั้งนี้เอกสารรายงานประจำปีของ ธพส.ให้รายละเอียดว่า ทั้ง4หน่วยงานค้างจ่ายมาต่อเนื่อง และได้ลงบันทึกค้างรับไว้ทั้งงบปี 2555 และ 2556 ล่าสุดจึงได้บวกดอกเบี้ยเข้าไปด้วย และมีความจำเป็นต้องส่งหนังสือทวงหนี้ก่อนจะมีการประชุมสามัญประจำปีของธพส.

วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2557

"ณ ป้อมเพชร" ตระกูล "First Lady" 3 รัฐบาล

นิตยสาร TALK ฉบับวันที่ 1 มกราคม 2557 มีเรื่องราวชวนทอล์กมากมายโดยเฉพาะคอลัมน์ TALK SHOW ฉบับนี้ชวนสนทนากับ ป้อมเพชร ณ ป้อมเพชร ทายาทรุ่นที่ 3 ของตระกูลเก่าแก่ ที่มีบทบาทต่อการเมืองไทยมากว่า 100 ปี โดยเฉพาะ "First Lady" ผู้มีสายเลือด ณ ป้อมเพชร​ถึง 3 คน ได้แก่ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์, คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร และ ดร.พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ
      
       หลายปีให้หลังมานี้ นามสกุล ณ ป้อมเพชร กลายเป็นนามสกุลที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดสกุลหนึ่ง จะด้วยความบังเอิญหรือโชคชะตาก็แล้วแต่ ที่ทำให้เชื้อสายของสกุลพระราชทานเข้าไปมีส่วนร่วมในประวัติศาสตร์การเมืองไทยถึง 3 สมัย แม้จะไม่ใช่เบื้องหน้า ทว่าการสร้าง “หลังบ้าน” ให้กับผู้นำประเทศมาแล้วถึง 3 คนนั่นต่างหากที่น่าทึ่ง
ณ ป้อมเพชร ตระกูล  “First Lady” 3 รัฐบาล เรื่องชวนทอล์กในนิตยสาร TALK
       :: สายสกุลผู้อยู่เบื้องหลังผู้นำ
       

       "ผมมีหลานเขยสองคนเป็นอดีตนายกฯ คนหนึ่งคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อีกคนคือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ"
       

       ถ้อยคำบอกเล่าของคุณป้อมเพชร ที่ไม่ว่าใครได้ยินก็คงต้องชะงักด้วยความสนใจ เพราะนี่ไม่เพียงเป็นเรื่องเล่าขานภายในครอบครัวเท่านั้น ทว่าเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของตระกูล ณ ป้อมเพชร ทีเดียว
      
       ก่อนหน้านี้ ในวันที่คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตคู่ชีวิต พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ประกาศความเป็นเชื้อสาย ณ ป้อมเพชร ด้วยการตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้นามสกุลของคุณแม่ - พจนีย์ ณ ป้อมเพชร แทนชินวัตร และดามาพงศ์ ของผู้เป็นพ่อ ไม่เพียงสร้างความประหลาดใจให้กับสังคม แต่ยังเป็นการเปิดเผยให้คนทั่วไปได้รู้ว่า สตรีหมายเลข 1 ของประเทศ 3 คน มีความเกี่ยวพันภายใต้สกุลเดียวกัน
ณ ป้อมเพชร ตระกูล  “First Lady” 3 รัฐบาล เรื่องชวนทอล์กในนิตยสาร TALK
       หนึ่งคือ ท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยาคู่ทุกข์คู่ยากของรัฐบุรุษ ปรีดี พนมยงค์ ผู้นำคณะราษฎร์สายพลเรือน ผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองของสยาม มาเป็นระบอบประชาธิปไตย และเคนดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 3 สมัย ถัดมาคือ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร และล่าสุด ผศ.ดร.พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ ภริยา อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ด้วยต่างเป็นสตรีผู้มีบทบาทสำคัญและเป็นที่สนใจของผู้คนทั้งประเทศ ความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องของทั้งสามท่านจึงถูกสืบสาวราวเรื่องไว้ในหลายแหล่ง ซึ่งหากไล่เรียงขึ้นไปยังต้นขั้ว ท่านผู้หญิงพูนศุขนั้น แน่นอนว่าเป็นทายาทคนที่ 5 ของพระยาชัยวิชิตวิศิษฎ์ธรรมธาดา ต้นสกุล ด้านคุณพิมพ์เพ็ญ ก็สืบเชื้อสายโดยตรง มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดในฐานะ หลานยาย ของท่านผู้หญิงพูนศุข ส่วนคุณหญิงพจมานนั้น เป็นเครือญาติจากอีกสายหนึ่งซึ่งห่างออกไป
      
       "แตงโม - พิมพ์เพ็ญนี่สายตรง เพราะว่าแม่ของแตงโมชื่อประพาพิมพ์ เป็นลูกสาวของอัมพา (ณ ป้อมเพชร) สุวรรณศร ซึ่งเป็นน้องสาวท่านผู้หญิงพูนศุข ลูกสาวแท้ๆ ของคุณขำ
      
       ส่วนคุณหญิงอ้อ (พจมาน) เท่าที่รู้นั้นห่างออกไป คือเจ้าคุณกรุง(บิดาคุณขำ) ท่านมีเมียเยอะ มีลูกเยอะ ก็มีลูกอยู่คนหนึ่งชื่อพร้อม เป็นนายตำรวจ คือเป็นลูกของเจ้าคุณกรุงเหมือนกัน แต่คนละแม่กับคุณขำ ก็เป็นอีกสายหนึ่ง...คุณพร้อมมีลูกสาวชื่อพจนีย์ ณ ป้อมเพชร แต่งงานกับ พล.ต.ท.เสมอ ดามาพงศ์ มีลูกด้วยกัน 4 คน คนเล็กก็คือ คุณหญิงพจมาน...คุณหญิงอ้อ เมื่อหย่ากับสามีแล้ว ตามกฏหมายเขาระบุว่าจะใช้นามสกุลของแม่ก็ได้ ของพ่อก็ได้ให้เลือกเอา แต่เธอไม่ใช้ดามาพงศ์ เพราะระยะนั้นดามาพงศ์เป็นนามสกุลที่มีมลทินอยู่พอสมควร"
ณ ป้อมเพชร ตระกูล  “First Lady” 3 รัฐบาล เรื่องชวนทอล์กในนิตยสาร TALK
       นอกจากคำบอกเล่าของคุณป้อมเพชร มีการส่งต่อข้อมูลที่มาของ ณ ป้อมเพชร ฝั่งคุณหญิงพจมานในหลายทาง แต่ที่น่าเชื่อถือคือการสืบสาแหรกของคุณพจนีย์ มารดา โดยคาดว่าน่าจะอยู่ในสายข้างแม่ของบรรพบุรุษตระกูล ณ ป้อมเพชร โดย พ.ต.อ.พร้อม ซึ่งเป็นบิดาของคุณพจนีย์ ได้ขออนุญาตใช้นามสกุล ณ ป้อมเพชร จากญาติพี่น้องอันเป็นผู้สืบสกุล ณ ป้อมเพชรสายตรง จากนั้นจึงใช้ร่วมกันเรื่อยมา
      
       ด้วยเหตุฉะนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม จะเป็นสาแหรกที่ใกล้ชิดหรือห่างเหิน ก็เรียกได้ว่าภายใต้สกุล ณ ป้อมเพชร มีสตีหมายเลข 1 ที่ขึ้นทำเนียบช้างเท้าหลังของผู้นำรัฐบาลไทยถึง 3 คน
      
       เรื่องราวอันเข้มข้นของสกุล ณ ป้อมเพชร ยังมีอีกมากทั้ง ตระกูลอำมาตย์ รับใช้ชาติมากว่า 100 ปี, การเมืองเรื่องส่วนบุคคล, อยู่อย่างสง่า, เทือกเถาเหล่ากอ เป็นต้น ยังไม่จุใจก็หาอ่านแบบเต็มๆ กันบนแผงหนังสือกับ นิตยสาร TALK ฉบับวันที่ 1 มกราคม 2557 :: Report by FLASH
ณ ป้อมเพชร ตระกูล  “First Lady” 3 รัฐบาล เรื่องชวนทอล์กในนิตยสาร TALK


ขอขอบคุณนิตยสาร TALK