วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556

"ทักษิณ" FB: Me and My Country (3)

วันที่ 29 ตุลาคม 2556 (go6TV) – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว https://www.facebook.com/thaksinofficial โดยมีข้อความดังนี้



ผมมาอยู่ญี่ปุ่น 3 วัน มาเห็นเศรษฐกิจญี่ปุ่นคึกคักขึ้นเยอะ สอบถามผู้คนถึงความพึงพอใจ ก็พบว่าคนส่วนใหญ่รู้สึกว่าดีขึ้น พอใจ

ก็เลยทำให้นึกถึงตอนที่ผมเป็นนายกฯใหม่ๆ ผมจับทฤษฎีโลกทุนนิยมว่าเศรษฐกิจเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่ง จิตวิทยาที่ว่าจะต้องให้เกิดบรรยากาศแห่งความเชื่อมั่น ความไว้เนื้อเชื่อใจ (Trust & Confident)

พอท่านนายกฯ Abe เข้ามา ท่านปรับค่าเงินเยนที่แข็งเกินกว่าเศรษฐกิจที่แท้จริง ถ้าเป็นภาษาของอาชญวิทยา เราเรียกกันว่า Shock Therapy คือการรักษาบำบัดโดยวิธีที่รุนแรง พอดีผมมีโอกาสได้คุยกับท่านนายกฯ Abe ด้วยตัวเอง ก็เลยถามท่าน ท่านตอบดีมาก

ท่านเลี่ยงคำว่าลดค่าเงินซึ่งเป็นการที่อาจถูกต่อว่าจากประเทศคู่ค้าได้ ท่านบอกว่าท่านไม่ได้ลดแค่ค่าเงิน ท่านใช้ทฤษฎี Inflation Targeting ด้วยการตั้งค่าอัตราเงินเฟ้อไว้ที่ 2% เพราะเดิมอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นเป็น 0% หรือบางทีก็ติดลบหน่อยๆ ก็เลยทำให้ค่าเงินเยนอ่อนตัวอย่างรวดเร็ว เงินถึงจะเฟ้อขึ้นมาระดับ 2% ได้ ซึ่งเป็นคำตอบที่ถูกทฤษฎี ความเชื่อมั่นจึงเกิดกับเศรษฐกิจญี่ปุ่นอย่างแรง รัฐบาลจึงเป็นที่นิยมของประชาชนซึ่งรอความหวังทางเศรษฐกิจมานาน

ตอนที่ผมเข้ามาเป็นนายกฯใหม่ตอนนั้น เศรษฐกิจยังไม่ยอมฟื้นจากวิกฤติ หลังจากที่ผมตรวจสอบสภาพคล่องในสถาบันการเงินทั้งของภาครัฐและเอกชน ผมรู้สภาพปัญหาที่เงินของพ่อค้าส่งออกไม่ยอมส่งกลับเข้าไทย และก็สถาบันการเงินต่างประเทศก็ยังไม่มีความเข้าใจและไว้วางใจเศรษฐกิจไทย ผมเลยประกาศความแข็งแรงทันทีว่า เราจะช่วยตัวเอง เราจะฟื้นเศรษฐกิจตัวเอง โดยการไม่ขอความช่วยเหลือทางการเงินจากใคร และจะไม่กู้เงินต่างประเทศเป็นอันขาด ทำให้วงการเงินต่างๆช๊อค นึกว่าเรายังจะวิ่งกู้อยู่ คนไทยก็มีความมั่นใจขึ้นจึงเริ่มมีการขยับตัวทางเศรษฐกิจมากขึ้น

ผมเริ่มปฏิบัติการตามนโยบายที่หาเสียงไว้ทันที โดยเฉพาะกองทุนหมู่บ้านที่ถูกดูแคลนว่าจะเอาตังค์ที่ไหนมาทำ และโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค และตามมาด้วยหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์(OTOP) แล้วรีบตั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) ซื้อหนี้ออกจากธนาคารเพื่อให้ธนาคารเริ่มปล่อยกู้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งก็ถือว่าเป็นการ Shock Therapy เช่นกัน หุ้นก็เริ่มขึ้น ค่าเงินบาทก็เริ่มแข็งตัวแบบมีเสถียรภาพ เงินที่พ่อค้าส่งออกไม่ยอมเอาเข้ามาก็เข้ามา

พอเงินสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น ผมจึงประกาศใช้หนี้ IMF เศรษฐกิจจึงแข็งอย่างต่อเนื่องมาหลายปี

ก็ย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าเศรษฐกิจจะดีได้ต้องสร้างบรรยากาศให้เกิด Trust and Confident ในระบบเศรษฐกิจเราให้ได้ครับ

ไหนๆผมก็ได้คุยกับท่านนายกฯ Abe แล้ว ผมก็เลยสอบถามเรื่องวีซ่าเข้าญี่ปุ่นที่มีการปล่อยข่าวลือว่าจะยกเลิกการไม่ให้วีซ่า กลับมาต้องมีวีซ่าเหมือนเดิมเพราะมีคนไทยเข้าไปแล้วไม่ออกมาหลายคน ซึ่งก่อนผมจะถามท่าน ผมก็เลยขอข้อมูลส่วนของเราก่อนก็พบว่า การอยู่เกินกำหนดมีทั้งสองฝ่าย คือทั้งญี่ปุ่นมาไทยและไทยไปญี่ปุ่น อัตราของการอยู่เกินของไทยไปญี่ปุ่นมีไม่มากกว่าตอนที่ต้องมีวีซ่ามากนัก และเมื่อเปรียบเทียบจำนวนคนไทยไปญี่ปุ่นที่เพิ่มขึ้นถือว่าน้อยมาก ท่าน Abe ก็ตอบผมว่าไม่ได้วิตกและไม่ได้คิดเปลี่ยนนโยบายเรื่องนี้เลย ก็ไม่รู้ใครปล่อยข่าวลือจนคนไทยตกใจมาถามผมจำนวนมาก ผมก็เลยไปถามมาด้วยตนเองมาเล่าให้ฟังว่าไม่ต้องวิตก


คนสิงคโปร์ไปไหนเกือบทั่วโลกไม่ต้องมีวีซ่า ทำไมคนไทยต้องขอวีซ่าอีกตั้งหลายประเทศ ดังนั้นนับวันรัฐบาลก็จะเจรจายกเลิกวีซ่า 2 ฝ่ายกับประเทศหลักๆมากขึ้นเรื่อยๆครับ ปีใหม่ 2014 นี้จีนกับไทยจะยกเลิกวีซ่าต่อกันแล้วครับ

ไม่มีความคิดเห็น: