วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

"ปู่พิชัย" สลด "ปชป." สิ้นเกียรติแนะ "มาร์ค" ให้ลาออก

"มาร์ค" สิ้นคิด! ลงทุนปลุกปั่นชวนม็อบเองพรุ่งนี้





"ปชป." ถ่อย! เขวี้ยงแฟ้มใส่ประธานรัฐสภา+กระโดดขย้ำคอ

คลิปนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาฯ โดน สส.ปชป. เขวี้ยงแฟ้มเอกสารห้องประชุมใส่หน้า


คลิปถ่อย นายธานี เทือกสุบรรณ สส. ปชป. กระโดดขย้ำคอ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ สส.เพื่อไทย

 วันที่ 31 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 16.30 น. ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม โดยแจ้งต่อที่ประชุม ถึงผลการหารือระหว่างประสภาฯกับประธานคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาฯ 35 คณะ  มีมติ 22 ต่อ 1 ว่าร่างพ.ร.บ.ทั้ง 4 ฉบับ ไม่เป็นร่างพ.ร.บ.ที่เกี่ยวกับการเงิน
 นายศุภชัย ศรีหล้า ส.ส.อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ แจ้งต่อประธานว่า มีส.ส.ได้ยื่นถอดถอนการทำหน้าที่ของประธานแล้ว ดังนั้นท่านควรจะอยู่บนบัลลังก์ต่อไปหรือไม่ควรพิจารณา

  ขณะที่นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า คิดว่าฝ่ายค้านจะยื่นถอดถอนประธานนานแล้ว และเมื่อถูกยื่นถอดถอนแล้วก็ไม่มีการระบุว่าจะไม่สามารถทำหน้าที่ได้  ยืนยันว่าประธานได้กระทำถูกต้องทุกอย่าง

 นายธนา ชีรวินิจ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ถ้าท่านคิดว่า 35 คณะของท่านเป็นเสียงเบร็ดเสร็จแล้ว ก็ว่ากันไป แต่เมื่อกลับมาเข้ามาในสภาฯ ก็ต้องชี้แจงให้ที่ประชุมทราบว่าร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวไม่เกี่ยวกับการเงินตรงไหน เรื่องนี้เป็นเรื่องของประเทศชาติและส่วนรวม ต้องชี้แจงว่าใน กรรมาธิการ 35 คณะ พิจารณาในประเด็นใดบ้างที่ไม่เกี่ยวกับการเงิน เพราะเป็นภาษีของประชาชน  และถ้ามีการจ่ายเงิน 4.6 หมื่นล้านบาท ท่านจะรับผิดชอบหรือไม่ ดังนั้นต้องปล่อยให้สมาชิกซักถามว่ากรรมาธิการ 35 คณะมีความเห็นอย่างไร

 นายพีรพันธุ์ พาลุสุข  ส.ส.ยโสธร พรรคไทยเพื่อ ลุกขึ้นประท้วง ว่า เรื่องนี้ที่ประชุมพิจารณาแล้วว่าไม่เกี่ยวกับการเงิน เรื่องก็ยุติ และควรที่จะดำเนินการญัตติที่ค้างอยู่ จึงขอให้ประธานดำเนินการต่อไป ขณะนี้นายสุนัย ประท้วงว่า นายธนาไม่เป็นเป็นประธานกรรมาธิการ ไม่ได้นั่งอยู่ในที่ประชุม และการพิจารณาก็เวลา 5ชั่วโมง และฝ่ายค้านไม่ได้วอล์กเอาท์ ทั้งหมด เพราะนายเชน เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี ก็อยู่และโหวตด้วย

 นายประกอบ รัตนพันธ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช  พรรคประชาธิปัตย์ การที่บอกว่าไม่มีใครวอล์กเอาท์ ไม่เป็นความจริง และมีการพูดคุยกัน 3-4 ชั่วโมง แต่ไม่ได้พิจารณากันในเนื้อหา  เพียงแต่หารือว่าควรที่จะชิญใครมาให้ข้อมูลหรือไม่ และควรจจะพิจารณาป็นรายมาตรา ท่านก็ไม่เอา บอกว่าประธานได้วินิจฉัยแล้ว และประธานก็เมตตาให้พูดคุยกันถึงขนาดนี้  ซึ่งไม่เนื้อหาสาระอะไรเลย จนเราต้องเดินออกจากห้องประชุม

  ทั้งนี้นายสมศักดิ์ ชี้แจงว่า การประชุมร่วมกับปรานคณะกรรมาธิการฯ ใช้เวลา 4 ชั่วโมง 45 นาที จากนั้นก็ขอให้ดำเนินการต่อ ทำให้นายธนาทักท้วงว่าตนอภิอปร่ายค้างอยู่ เพราะมีผู้ทักท้วง  ซึ่งทำให้บรรยากาศวุ่นวายเล็กน้อย เพราะนายสมศักดิ์ ไม่ยอมที่จะให้นายธนาอภิปรายต่อ   ทำให้นายธนา ต่อว่าประธานที่ไม่ยอมให้อภิปราย ว่าพออารมณ์เสียขึ้นมาก็จะตัดบท นายสมศักดิ์ จึงแย้งกลับไปว่า “ไม่ได้อารมณ์เสีย นี่สภาฯ” จึงเกิดเสียงโห่ดังขึ้น จนทำให้นายสมศักดิ์ ยอมที่จะให้อภิปรายฝ่ายละ 2 คน

 นายวัชระ เพชรทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้พูดเสียงดังว่า ประธานต้องสั่งให้ตำรวจสภาฯปลดอาวุธ  เพราะมีการนำเอาอาวุธเข้ามาในสภา ฯ ด้วย

 จากนั้นนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ประธานวิปฝ่ายค้าน อภิปรายว่า ขอสอบถามประธานคณะกรรมาธิการและผู้เข้าประชุมใน 2 ประเด็น ข้อทราบกระบวนการพิจารณา ทำให้ถูกนายพิชิต ชื่นบาน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประท้วงว่า กระบวนการชี้ขาดสิ้นสุดแล้ว ไม่ให้อำนาจใครสอบถามอีก เพราะถือว่าขัดรัฐธรรมนูญ

 ขณะที่นายสมศักดิ์ ชี้แจงว่า ขั้นตอนได้ดำเนินการตามที่ฝ่ายค้านเสนอ และไดดข้อสรุปชัดเจน จึงไม่มีเหตผลอะไรเลยที่จะต้องมา ถกกันต่อ เพราะฉะนั้นควรต้องมาดำเนินการต่อ  จากนั้นนายสมศักดิ์ ได้ถามทันทีว่ามีผู้เสนอเลื่อนญัตติ ขอถามว่ามีท่านใดเห็นเป็นอื่นหรือไม่ ท่ามกลางเสียงโห่จากพรรคประชาธิปัตย์  แต่ประธานก็ยังดึงดันถามมติต่อไปโดยไม่สนใจคำค้าน  ส่งผลให้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ทั้งนพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก ตามาด้วยนายอรรถพร พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี นพ.สุกิจ อัถโถปกรณ์ ส.ส.ตรัง เดินปรี่ตรงไปยังหน้าบังลังก์ประธาน พร้อมถือข้อบังคับการประชุม โดยนพ.วรงค์ชูข้อบังคับ และยกมือขอพูด แสดงความไม่เห็นด้วยว่าผิดข้อบังคับ แต่ประธานก็ไม่สนใจ สั่งตรวจสอบองค์ประชุม ซึ่งมีผู้เข้าประชุม 276  เสียงถือว่าครบองค์ประชุม

จากนั้นนายสมศักดิ์ ขอมติทันที ว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการเลื่อนญัตติของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ท่ามกลางเสียโห่จากพรรคประชาธิปัตย์  ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสภากรูเข้ามาอารักขาประธานสภา สุดท้ายนายสมศักดิ์ สั่งให้ลงมติ พร้อมขอผลคะแนน และขานผลคะแนนอย่างรวดเร็ว ว่า เห็นด้วยกับการเลื่อนญัตติ 272 ต่อ 2 งดออกเสียง1 ไม่ลงคะแนน 1  พร้อมทั้งนัดประชุมในวันที่ 1 มิ.ย. เวลา 09.30 น. แล้วสั่งปิดการประชุมในเวลา 17.00 น. ทำให้ส.ส.ประชาธิปัตย์ ส่งเสียงประท้วงและโห่ฮา สนั่นสภา และมีการขว้างปาสิ่งของขึ้นไปบนที่นั่งประธานสภาฯ อีกด้วย โดยเมื่อดูจากภาพพบว่าหนึ่งในส.ส.ประชาธิปัตย์ ที่ปาเอกสารใส่นายสมศักดิ์ คือ น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ 

"โอ๊ค" โต้เดือด "จิตตนาถ" พูดไปเดี๋ยวเข้าตัวคุณนะ




เฟรซบุ๊คของนายพานทองแท้ ชินวัตร ได้เผยแพร่ข้อความตอบโต้การปราศัยของนาย จิตตนาถ ลิ้มทองกุล ภายหลังนายจิตตนาถพูดปราศัยบนเวทีพันธมิตรเมื่อคืนพาดพิงนายพานทองแท้ โดยมีข้อความว่า

"การเมืองนอกสภารูปแบบนี้แหละครับที่ผมคิดว่าหลายๆท่านไม่อยากให้เกิดขึ้นในบ้านเมืองเรา การด่าทอกันเพียงเพื่อให้เกิดความสะใจโดยที่ไม่ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม การก้าวล่วงบุพการีผู้อื่นทั้งๆที่เมื่อเทียบกันแล้วก็รุ่นราวคราวเดียวกับมารดาของตนเอง

พี่น้องที่ติดตามเฟสบุ๊คของผม ณ ปัจจุบันมีอยู่แค่ประมาณ3หมื่นกว่าคนครับ และผมคิดว่าเกือบทั้ง100%ที่ติดตามก็คือ"คนไทย"เหมือนคุณทั้งนั้นครับ และคนเหล่านั้นเมื่อเขาติดตามถ้าเขาเห็นว่าเป็นความคิดเห็นที่น่าจะแชร์ให้สังคมได้รับทราบเขาก็นำไปลงต่อทางสื่อมวลชนทุกแขนง,ทุกช่อง,ทุกฉบับ ซึ่งก็รวมถึง นสพ.ผู้จัดการและASTVของ"บิดา"คุณด้วยครับ ผมว่าอย่าไปเหมาเลยครับว่า"มีแต่ควาย"เท่านั้นที่ติดตามเฟสบุ๊คผม พูดไปแล้วเข้าตัว เดี๋ยวตายไปตกนรกนะครับ :)

คลิป "ชูวิทย์" รังสิมาลากเก้าอี้ประธานสภาฯ ภูมิใจในความดิบถ่อย



คลิปจากกล้องนายชูวิทย์ กลมวิศิษฏ์ แสดงถึงภาพในขณะที่นางสาวรังสิมา รอดรัศมี สส.ปชป. ฉุดกระชากลากเก้าอี้ประธานสภา ลงไปด้านหลังโยนทิ้ง พร้อมหัวเราะแสดงความดิบเถื่อนสะใจแฟนคลับ



ภาพคลิปจากกล้องนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ แสดงให้เห็นภาพชุลมุนในสภาฯ ขณะที่ สส.ปชป. ฉุดกระชากลากดึงแขนประธานสภาฯ ลงจากเก้าอี้อย่างเถื่อนที่สุด

คลิป "ลูกลิ้ม" ถ่อยขู่เผา "บ้านจันทร์ส่องหล้า-วอยซ์ทีวี"




วันนี้ (30 พ.ค.) นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือเอเอสทีวีผู้จัดการ ขึ้นเวทีปราศรัยบนของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ปรองดองหน้ารัฐสภา โดยกล่าวว่า

"วันนี้อยากจะพูดถึงคนรุ่นเดียวกันแต่อยู่คนละขั้ว คือ นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชิวัตร ในฐานะคนทำสื่อเหมือนกัน การที่นายพานทองแท้ออกมาเชียร์ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หน.พรรคมาตุภูมิ ผู้เสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดองเข้าสู่การพิจารณาสภาว่าเป็นลูกผู้ชายนั้น ตนมองว่า พล.อ.สนธิเป็นหมารับใช้มากกว่า เพราะร่างดังกล่าวมีจุดประสงค์เพื่อลบล้างคำพิพากษาให้ พ.ต.ท.ทักษิณพ้นผิด ถือเป็นการก้าวล่วงพระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"
     
       ส่วนที่นายพานทองแท้มองพ่อของตัวเองว่าเป็นฮีโร่ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ตนมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นแค่อีแอบ ถ้ายิ่งใหญ่จริงต้องกล้าเสียสละด้วยการกลับมาเข้าคุก และที่นายพานทองแท้บอกว่าต้องสนับสนุนการปรองดองทางการเมืองนั้น ถ้าจะอ้างการปรองดอง เอาไหมให้บ้านจันทร์ส่องหล้าโดนเผาแล้วมาปรองดองกัน จะได้รีบไปเผาเลยก่อน  ให้ไปเผาวอยส์ทีวี พ.ร.บ.จะออกมา ตาต่อตาฟันต่อฟันไปเลย แต่เราไม่ทำเพราะเรามีจิตใจสูง แต่มันก็ไม่แน่ หากมันเหลืออดอะไรก็เกิดขึ้นได้"
     
       นายจิตตนาถกล่าวต่อว่า นายพานทองแท้ไม่มีตรรกะที่จะออกมาแสดงความเห็นทางคิดเห็นทางการเมือง เพราะฉะนั้นวอยซ์ทีวีจึงไม่ควรเป็นทีวีที่เสนอข่าวการเมือง ควรเป็นทีวีชวนชิมมากกว่า
     
       นายจิตตนาถกล่าวต่อว่า ส่วนอีกคนที่ตนอยากจะพูดถึง คือ ผบ.ทบ. อยากจะฝากยาแก้เจ็บขอไปให้ท่าน เพราะชอบออกมาคำรามขู่พี่น้องพันธมิตรฯ หาว่าเป็นตัวป่วนและบอกว่ายังไม่ถึงเวลา แล้วจะถึงเวลาเมื่อไหร่ รู้หรือไม่ว่าถ้ากฎหมายปรองกดองผ่าน พวกที่ล้มเจ้าก็จะพ้นผิด เปิดประตูสู่รัฐไทยใหม่ ท่านเป็นทหารของประชาชนทำไมไม่ทำอะไรให้เข้ารูปเข้ารอย
     
       นายจิตตนาถกล่าวอีกว่า คนที่มัวแต่เล่นอินสตาแกรม เล่นเฟซบุ๊ก จะมัวแต่กดไลก์รักในหลวงไม่ได้ เพราะถ้ากฎหมายปรองดองผ่านมันจะล้มล้างคำพิพากษาของศาล เท่ากับล้มล้างในหลวง เพราะฉะนั้นต้องออกมาช่วยกันต่อต้าน และขอฝากถึงนักการเมืองทุกคน ถ้าคิดว่าพันธมิตรฯ หมดฤทธิ์แล้วถือว่าคิดผิด

"ทักษิณ" โฟนอินยินดีอิสรภาพ บ้าน 111 ยัน "ตนไม่ลืมบุญคุณทุกคน"





พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หนึ่งในสมาชิกบ้านเลขที่ 111 สไกด์ทางไกลจากต่างประเทศเข้ามาร่วมยินดีกับกับสมาชิก หลังถูกปลดล็อคทางการเมือง

วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

"ลิ้มทองกุล" จะรวยหรือจนหลังก่อม็อบครั้งสุดท้าย



              ในการเคลื่อนทัพคัดค้านพ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หากมองในบริบทของฐานทุนจะพบว่าขุมกำลังของบ้านพระอาทิตย์ตอนนี้อยู่ที่บริษัท ไทยเดย์ ด็อท คอม จำกัด ธุรกิจในเครือข่ายของกลุ่มบ้านพระอาทิตย์
               หากเจาะข้อมูลบริษัท ไทยเดย์ ด็อท คอม จำกัดจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า บริษัท ไทยเดย์ ด็อท คอม จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2543 ทุนปัจจุบัน 60 ล้านบาท ผลิตรายการวิทยุและโทรทัศน์ ที่ตั้งเลขที่ 2 อาคารสีลมเซ็นเตอร์ ชั้น 15 ถนนสีลม แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพฯ
               ในรอบปี 2551 บริษัท ไทยเดย์ ด็อท คอม จำกัด มีสินทรัพย์ 641,232,112 บาท หนี้สิน 839,542,776 บาท รายได้ 664,023,711 บาท กำไรสุทธิ 157,502,784 บาท ปี 2552 มีสินทรัพย์ 545,649,331 บาท หนี้สิน 677,318,951 บาท รายได้ 506,202,761 บาท กำไรสุทธิ 66,641,044 บาท
               ทั้งนี้ บริษัท ไทยเดย์ ด็อท คอม จำกัด ถือหุ้นในบริษัท เอเอสทีวี (ประเทศไทย) จำกัด 100%
               ขณะที่ สถานะของบริษัท เอเอสทีวี (ประเทศไทย) จำกัด มีทุนจดทะเบียน 250 ล้านบาท ปี 2552 มีสินทรัพย์ 250,308,907 บาท หนี้สิน 118,830,050 บาท รายได้ 210,623,604 บาท ขาดทุนสุทธิ 15,032,984 บาท ปี 2553 สินทรัพย์ 231,479,355 บาท หนี้สิน 99,216,863 บาท รายได้ 186,229,398 บาท ขาดทุนสุทธิ 62,704,365 บาท
รายได้ลดลง แต่หนี้สินก็ลดลงเช่นกัน
               ธุรกิจล่าสุดของกลุ่มนายสนธิคือ บริษัท ดิจิทอลล (ประเทศไทย) จำกัด ก่อตั้งเมื่อ 21 ก.พ.2554 ทุน 4 ล้านบาท ประกอบกิจการให้บริการเป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนข่าวสารในวงธุรกิจ บริการข่าวสารในด้านต่างๆทุกด้าน นางกมลวรรณ ดีประเสริฐ นายปัญจภัทร อังคสุวรรณ นายพชร สมุทวณิช เป็นกรรมการ
               ก่อนหน้านี้นายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นเจ้าของเอ็มกรุ๊ป ก่อนถูกคำพิพากษาล้มลายเมื่อหลายปีก่อนมีเครือข่ายธุรกิจนับร้อยแห่ง
               เฉพาะตัวนายสนธิเป็นกรรมการ 13 บริษัท ได้แก่
               บริษัท เดอะ เอ็ม. กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) , บริษัท เดอะ เอ็ม. กรุ๊ป จำกัด , บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) , บริษัท ผู้จัดการ จำกัด ,บริษัท มังกรสยามตะวันออก จำกัด ,บริษัท มิวส์ เคเบิลทีวี จำกัด , บริษัท วางแผง จำกัด ,บริษัท สำนักพิมพ์กรุงเทพ จำกัด , บริษัท สำนักพิมพ์การเวก จำกัด ,บริษัท เอเชีย บรอดคาสติ้ง แอนด์ คอมมูนิเคชั่นส์ เน็ทเวิร์ค จำกัด , บริษัท เอส.พรอพเพอร์ตี้ จำกัด , บริษัท แอร์โรว์ ซินดิเคท เอเซีย จำกัด และ บริษัท อัลตร้า แทรเวิล จำกัด
               ในจำนวนนี้มีเพียง 1 แห่งยังเปิดกิจการ คือ บริษัท อัลตร้า แทรเวิล จำกัด ประกอบกิจการนำเที่ยว,ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ก่อตั้งวันที่ 24 พฤษภาคม 2525 ทุนจดทะเบียน 12 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 99/18-19 ถนนหลังสวน แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ
               นายสนธิถือหุ้น 25% ,บริษัท ไพบูลย์สมบัติ จำกัด 47.9% นายเทวัญ เลียวบุรินทร์ นางศิริลักษณ์ รังควร นางสุมาลี ปุญญฤทธิ์ คนละ 5% นายชัยยันต์ โปษยานนท์ 4.5% นางกัญญา นวลแข 2.5% นายสานิตย์ กิจเจริญ 1.6% นาวาอากาศเอก ชูดวง แสงชูโต 1.2% มีกรรมการ 7 คน นายดนัย บุนนาค นายชัยยันต์ โปษยานนท์ นายสานิตย์ กิจเจริญ นายภัฎฎารก์ บุนนาค นางศิริลักษณ์ รังควร นางสุมาลี ปุญญฤทธิ์ และนายสนธิ ลิ้มทองกุล
               ขณะที่ นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล บุตรชาย ปัจจุบันเป็นเจ้าของธุรกิจ 7 บริษัท ได้แก่ บริษัท ภูเก็ตบลูสกาย จำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด ขอนแก่นรังนกไทย ห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรพัฒน์ คอม บริษัท แอล อินเตอร์เทรด จำกัด บริษัท บ้านพระอาทิตย์ จำกัด บริษัท เอเอสทีวี โปรดักต์ จำกัด และบริษัท เอเอสทีวี เทรดดิ้ง จำกัด
               ธุรกิจที่คนใกล้ชิดเป็นกรรมการคือ บริษัท เอเอสทีวีผู้จัดการ จำกัด บริษัท เอธนิค เอิร์ธ ดอท คอม โฮลดิ้ง จำกัด และ บริษัท ไอที เอเชีย คอนซัลท์ติ้ง จำกัด
               ข้างต้นคือสถานะทางธุรกิจล่าสุดของแกนพันธมิตรฯ
               หลังถอดบทเรียนในช่วงที่ผ่านมา การเคลื่อนทัพครั้งนี้ของประมุขบ้านพระอาทิตย์เดิมพันธุรกิจ“เจ๊งเป็นเจ๊ง ตายเป็นตายอีก” อีกรอบหรือไม่ ต้องติดตามกันต่อไป ?
(หมายเหตุ : ฐานทุนล่าสุด“สนธิ ลิ้มทองกุล”ปลุกม็อบชน“แม้ว” : สำนักข่าวอิศรา (http://www.isranews.org/))

คลิปจะๆ "รังสิมา" โฟนอินเข้าบลูสกายสั่งม็อบ "ยึดสภา"



รายการลุยข่าวทางช่องบลูสกาย  "รังสิมา รอดรัศมี" โทรสายด่วนเข้าบลูสกาย ระดมประชาชนบุกเข้ายึดสภา ในนาทีที่ 21 เป็นต้นไป

คลิปนาทีต่อนาที "รังสิมาถ่อย" กระชากเก้าอี้ประธานสภาฯ


คลิปรังสิมาถ่อย!  กระชากเก้าอี้ประธานรัฐสภาลงมา


ตำรวจ และ สส.เข้าไปล้อมปกป้องประธานสภาฯ


คลิปรังสิมาถ่อย! ฉบับที่ 2

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 18.30 น. วันที่ 30 พฤษภาคม บรรยากาศการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเกิดความวุ่นวายขึ้นชนิดถูกค่อนขอดว่าเป็นศึกวันผู้ทรงเกียรติในคอนเซ็ปต์พ.ร.บ.ปรองดอง

ทีมงานขอลำดับเหตุการณ์ตะลุมบอนของส.ส.วุ่นวาย "เก้าอี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร" กันอีกครั้ง



ฉาก 1 ระหว่างที่นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการพรรคเพื่อไทยกำลังอภิปรายว่า เหตุใดที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์พูดจึงไม่มีเสียงโห่ แต่ทำไมที่คนอื่นพูดจึงมีเสียง “โห่ทำเหี้ยอะไร”

ฉาก 2 นายอภิชาติ สุภาแพ่ง ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ได้ลุกขึ้นประท้วงนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่การประชุมอยู่ในขณะนั้น และสั่งให้นายประชาถอนคำพูด พร้อมนำเหี้ยออกจากห้องประชุม ซึ่งตนก็รู้แล้วว่าพูดแบบนี้ทำไมถึงถูก

ฉาก 3 นายสมศักดิ์ตัดบทโดยเร่งรัดให้ที่ปะชุมมีการลงมติว่าจะเลื่อน ร่างพ.ร.บ.ปรองดองขึ้นมาพิจารณาก่อนหรือไม่ จึงทำให้บรรดาส.ส.จากพรรคประชาธิปัตย์เกิดความไม่พอใจและลุกขึ้นมา และเดินไปยังบัลลังก์ซึ่งเป็นที่นั่งประธาน  

ฉาก 4 นายอภิชาต เดินเข้าไปประชิดตัวนายสมศักดิ์ และยกมือไหว้ 2 ครั้ง ก่อนดึงแขนให้ลุกออกจากเก้าอี้ 

ฉาก 5 นายพงศ์เวช เวชชาชีวะ ส.ส.จันทบุรี พรรคประชาธิปัตย์ เขย่าเก้าอี้เพื่อให้นายสมศักดิ์ ลุกจากเก้าอี้ด้วยอีกคน

ฉาก 6 เป็นบรรยากาศความวุ่นวาย เมื่อทั้งส.ส.จากพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ได้เข้ามารุมล้อมนายสมศักดิ์ 


ฉาก 7 ส.ส.พรรคเพื่อไทย อาทิ นายพิชิต ชื่นบาน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย มาโอบตัวเพื่อกันนายสมศักดิ์ไว้ 


ฉาก 8 ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่เหลือเป็นจำนวนมากขึ้นมาปกป้องประธานบนบัลลังก์ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภาต้องเร่งนำตัวนายสมศักดิ์ออกจากห้องประชุมไปอย่างเร่งด่วน พร้อมสั่งพักการประชุมเป็นเวลา 15 นาที 

ฉาก 9 ระหว่างพักการประชุมอยู่นั้น บรรดาส.ส.พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ ต่างจับกลุ่มพูดคุยการทำหน้าที่ของประธานสภา

ฉาก 10 ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นำโดยนายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พร้อมด้วยส.ส.พรรค ได้เดินเข้าไปที่เก้าอี้ของประธานสภา เพื่อไม่ให้ประธานกลับมาทำหน้าที่ 


ฉาก 11 น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินเข้าไปถึงเก้าอี้ประธานและเก้าอี้รองประธานทั้ง 3 ตัว 

ฉาก 12 ระหว่างที่ น.ส.รังสิมา กำลังดึงเก้าอี้ตัวที่ 2 นั้น ปรากฏว่าส.ส.หญิงพรรคเพื่อไทย ที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ นำโดยนางเปล่งมณี เร่งสมบูรณ์สุข ส.ส.เลย พรรคเพื่อไทย ได้เดินเข้ามาเพื่อที่จะแย่งเก้าอี้คืน 

ฉาก 13 น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ตะโกนก่อนที่จะไปแย่งเก้าอี้ว่า “มากเกินไปหรือเปล่า”

ฉาก 14 มีการยื้อแย่งโดยนางเปล่งมณีและน.ส.ขัตติยา เข้าไปกระชากเก้าอี้จากน.ส.รังสิมา ก่อน 

ฉาก 15 นางกันตวรรณ ตันเถียร กุลจรรยาวิวัฒน์ ส.ส.พังงา พรรคประชาธิปัตย์ได้เข้าไปช่วยเหลือน.ส.รังสิมา ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภาและส.ส.ชายพรรคประชาธิปัตย์เข้าไปห้าม ทำให้นางเปล่งมณีหันมาขวางพร้อมโต้เถียงกับนางกันตวรรณ

ฉาก 16 นายพงศ์เวช เวชชาชีวะ ส.ส.จันทบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ต้องเข้าไปห้ามนางเปล่งมณี 

ฉาก 17 เจ้าหน้าที่ตำรวจสภาและส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ พยายามกันกลุ่มบุคคลทั้งหมดออกจากห้องประชุมสภาไปอยู่บริเวณด้านหลังบัลลังก์ซึ่งเป็นทางออกของประธานสภา ก่อนแยกย้ายไปจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ด่วน! "อองซาน ซู จี" ถึงไทยเรียบร้อยแล้ว


นางอองซาน ซู จี ผู้นำด้านสิทธิมนุษยชนรางวัลโนเบล



วันนี้ เวลา 22.14 น. นางอองซาน ซูจี สมาชิกสภาผู้แทนฝ่ายค้าน และนักสิทธิมนุษยชนของพม่า ได้เดินทางถึงประเทศไทย และเดินออกจากสนามบินสุวรรณภูมิเรียบร้อยแล้ว  โดยการเดินทางมาประเทศไทยครั้งนี้ เพื่อเข้าร่วมการประชุม “เวิลด์ อีโคโนมิค ฟอรัม ออน อีสต์ เอเชีย” รวมถึงเข้าพบ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และเยี่ยมเยียนชุมชนชาวพม่าที่อาศัยอยู่ในพื้นที่อุตสาหกรรมของไทยอีกด้วย นับเป็นการเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งแรกของเธอในรอบ 24 ปี

ทั้งนี้ ระหว่างการเยือนประเทศไทย นางซูจี จะเข้าพบ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เยี่ยมเยียนชุมชนผู้อพยพชาวพม่า บริเวณเขตอุตสาหกรรมในจังหวัดสมุทรสาคร รวมถึงเดินทางไปยังค่ายผู้อพยพชาวพม่า ที่ตั้งอยู่ตามแนวชายแดนทางภาคเหนือ นอกจากนี้ นางซูจี ยังมีกำหนดเข้าร่วมการเสวนากับ นาย เคลาส์ ชวาบ ผู้ก่อตั้ง “เวิลด์ อีโคโนมิค ฟอรัม” หรือสภาเศรษฐกิจโลก ในวันศุกร์ที่ 1 มิ.ย. นี้ด้วย

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวแจ้งว่า ยังไม่ทราบว่าขบวนรถของเธอจะไปที่ใด แต่คาดหมายว่าน่าจะเดินทางเข้าพักที่โรงแรมแชงกรีลา ซึ่งเป็นที่พักระหว่างอยู่ประเทศไทย

เปิดหนังสือปรองดองฉบับ "พี่เต้น" รีบอ่านด่วน!







"เตี้ยหนองเตย" ไฟเขียวพา "ประชาธิปัตย์รวมพันธมิตรเก่า" ลงถนน

นายสาธิต วงศ์หนองเตย



นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ แถลงภายหลังการประชุม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ว่าที่ประชุมมีจุดยืนเกี่ยวกับร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองฯ  3 ข้อ คือ 1. จะคัดค้านการนำร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของสภา โดยจะต่อสู้อย่างแข็งแรง 2. พรรคจะรณรงค์สร้างความเข้าใจกับประชาชนทั่วประเทศ ว่ากฎหมายดังกล่าวเป็นการทำลายระบอบนิติรัฐ นิติธรรม ทำลายระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยจัดเป็นเวทีสานเสวนาทางวิชาการในต่างจังหวัด ที่ขณะนี้มีกลุ่มนักกฎหมาย และนักวิชาการที่ไม่เห็นด้วย พร้อมเข้าร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์จำนวนมาก และจัดคนเข้าร่วมชี้แจงในเวทีต่างๆ พร้อมทั้งจะเผยแพร่ให้ความรู้ผ่านทางสื่อออนไลน์ และ 3. ขอเรียกร้องประชาชนที่รักความถูกต้องไม่อยากเห็นกฎหมายที่ฟอกคนผิดให้เป็นคนถูก ให้ออกมาแสดงการคัดค้านในรูปแบบต่าง ๆ ภายใต้กรอบกฎหมาย ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์พร้อมสนับสนุนทุกความคิดและการเคลื่อนไหวภายใต้กรอบกฎหมายทุกรูปแบบ ซึ่งหลังจากนี้พรรคจะมีกิจกรรมอย่างเต็มที่ เพื่อยกระดับความเข้าใจของประชาชน

เมื่อถามว่าจะจับมือกับกลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว เพื่อเดินไปในทางเดียวกันหรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า เราพร้อมจับมือกับทุกกลุ่มที่รักความถูกต้อง เพราะขณะนี้ป่วยการที่จะเรียกร้องให้นายกฯ รัฐบาล และพรรคเพื่อไทยถอนร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวออกไป งานนี้นายกฯ ไม่ใช่จะมาแต่งตัวสวย และออกมาพูดว่าไม่เกี่ยวคงจะไม่ได้ เพราะเป็นความรับผิดชอบของนายกฯ เนื่องจากเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน เป็นประโยชน์ของพี่ชาย และล้างผิดให้กับกลุ่มพวกของตัวเอง ซึ่งถือว่าเป็นการปรองดองจอมปลอม

เมื่อถามว่ามีการสั่ง ส.ส.นำมวลชนในพื้นที่มาร่วมชุมนุมหรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า ไม่ได้มอบอย่างชัดเจน แต่ก็เชื่อว่าจะมีคนมาร่วมชุมนุมจำนวนมาก ซึ่งหากเกิดการปะทะกันขึ้นก็ถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาลในการควบคุมกลุ่มคนที่มาชุมนุม แต่เป็นห่วงว่าขณะนี้มีความพยายามของแกนนำคนเสื้อแดง ที่ใช้มวลชนคนเสื้อแดงข่มขู่มวลชนอื่น ส่วนที่อาจมองว่าพรรคประชาธิปัตย์แพ้ในสภาฯ แล้วพานปลุกม็อบชนม็อบเพื่อล้มรัฐบาลนั้น ตนยืนยันว่าไม่ได้ต้องการล้มรัฐบาล เรื่องนี้เป็นประเด็นเฉพาะเรื่องกฎหมาย หากพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ และกลุ่ม ส.ส.พรรคเพื่อไทย ถอนร่างพ.ร.บ.ออกจากวาระการประชุม ทุกอย่างก็จบ

เมื่อถามว่ามองโอกาสในการนองเลือดอย่างไร นายสาทิตย์ กล่าวว่า รัฐบาลรู้ดีว่าได้จุดกระแสความไม่พอใจ โดยเฉพาะการที่นายวัฒนา เมืองสุข ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประกาศว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด หากรัฐบาลคิดว่าได้เสียงข้างมากแล้วไม่แคร์ใคร ก็อยากบอกว่าอย่าประมาทเสียงของประชาชน ส่วนจะทำให้ทหารออกมาปฏิวัติอีกครั้งหรือไม่นั้น ตนตอบไม่ได้ แต่ดีที่สุด คือต้องไม่ให้สถานการณ์บานปลายออกไป 

"โอ๊ค" หวัง "พรบ.ปรองดอง" ช่วยปลดล็อคประเทศไทย


(29 พฤษภาคม 2555 go6TV) - ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 12.00 น.  นายพานทองแท้ ชินวัตร หรือ “โอ๊ค” บุตรชายคนโตของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลานชายของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความในเฟสบุ๊คส่วนตัว ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ ในนาม “Oak Panthongtae Shinawatra” เกี่ยวกับเรื่องร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ใจความว่า

"มีคนถามตนจำนวนมากว่าแนวทางของ พ.ร.บ.ปรองดอง จะเป็นอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ตนยังไม่เห็นในรายละเอียด  แต่โดยหลักการตนได้ลงไว้ในโพสต์ เมื่อวันที่ 24  พ.ค.ว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ผู้เสียหายต้องการให้มีการเยียวยาคือ "ความจริง"และ "ความยุติธรรมในสังคม" ดังนั้นหาก พ.ร.บ.ปรองดองฉบับนี้ ไม่ตอบสนองความต้องการ 2  ข้อที่ตนได้เคยให้ความเห็นไว้ ก็คิดว่าการปรองดองคงเกิดขึ้นได้ยาก เพราะฝ่ายที่เสียหายและไม่ได้รับการเยียวยาในสิ่งที่เขาควรจะได้รับย่อมจะไม่ยอมปรองดองด้วย ความขัดแย้งทางการเมืองขั้นรุนแรงก็จะยังคงอยู่ในสังคมไทยต่อไป"

"ผมคิดว่าในภาพรวมของ พ.ร.บ.ปรองดองทั้งฉบับนี้ น่าจะช่วยปลดล็อกและทำให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งก็ต้องยกเครดิตให้กับพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เพราะถึงแม้ตลอดเวลา 5-6 ปีที่ผ่านมาผมจะรู้สึกว่าท่านคือผู้ที่กระทำต่อคุณพ่อและครอบครัวของผม แต่เมื่อท่านเห็นว่าการปฏิวัติไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง ท่านก็เป็นลูกผู้ชายพอที่จะเป็นผู้นำในการออกมาแก้ไข ซึ่งก็คือที่มาของร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ ก็ต้องขอขอบคุณท่านด้วย แต่หากมีบางมาตราในพ.ร.บ.นี้ ที่ทำให้ผู้เสียหายรู้สึกว่าเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็ควรที่จะมีการแก้ไข"

"ขณะนี้ทราบว่ามีส.ส.ของพรรคเพื่อไทยได้เสนอร่าง พ.ร.บ.ที่สอดคล้องกับแนวทางนี้เพื่อให้สภาได้พิจารณาแล้ว ผมว่าเป็นสิ่งที่ดีเพราะท่านเป็นตัวแทนของประชาชน เมื่อเห็นว่าสิ่งใดที่กระทำแล้ว ขัดกับความรู้สึกและความต้องการของประชาชน ก็ควรที่จะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสม เป็นเรื่องที่น่าสนับสนุน ก็ต้องขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ" นายพานทองแท้ ระบุ

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจาก นายพานทองแท้ โพสต์ข้อความดังกล่าว มีประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็นท้ายข้อความเป็นจำนวนมาก โดยความคิดเห็นทั้งหมดเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คือ ไม่ยอมที่จะนิรโทษกรรมผู้ที่สั่งฆ่าประชาชน

"นายกฯปู" เชิญชวนนับถอยหลังเข้าสู่ the 21st World Economic Forum on East Asia


Located at the heart of ASEAN and representing its second largest economy, Thailand is an ideal place to discuss how senior decision-makers can shape the region's future opportunities while creating the models for improved risk management and sustainable and equitable growth. In this context, the 21st World Economic Forum on East Asia will be an exceptional opportunity not only for leaders from the ASEAN region, but also for those who see in the ASEAN countries a major evolving geopolitical and geo-economic pillar of the global economy.

How can the high economic growth economies of ASEAN help to rebalance both the global and the regional overall economic outlook?

How will governments and institutions develop the financial policies to manage inflation, capital outflows, commodity price volatility and balanced growth towards greater domestic and regional demand?

How will the region leverage its demographic dividend and technology base to develop the models to increase growth through innovation, improve talent mobility, entrepreneurship and skill building?

"ชาญวิทย์ เกษตรศิริ" นำทีม "ครก 112" ยืนร่างแก้ไข ม. 112 ที่สภาฯแล้ว

ปล่อยนักโทษการเมืองเถิด ;")สดที่หน้ารัฐสภา  #ศาลอากงมาจากตราด คุณป้าก็มา #112ขอความยุติธรรม ! #112ต่อต้าน #112นี่คือคนไทย ที่ไร้ความยุติธรรม ! ;")

วันนี้เวลา 9.00 น. อาจารย์กลุ่มนิติราษฎร์  นักคิด นักเขียน นักวิชาการชื่อดัง นำโดยอาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ดร.สุดา รังกุพันธ์ และประชาชนกว่าห้าร้อยคน ได้รวมตัวกันเดินแถวจากลานพระบรมรูปทรงม้า มายังอาคารรัฐสภา เพื่อยื่นร่างแก้ไขกฏหมายอาญา มาตรา 112 แก่ประธานรัฐสภา โดยมีประชาชนร่วมลงนามทั้งหมดกว่า 4 หมื่นชื่อ

"เต้น" บุกสภาฯ ยื่นหนังสือ ร่าง พรบ.ปรองดอง "ฉบับแดง" แล้ว

หนังสือร่าง พรบ.ปรองดอง ฉบับเสื้อแดง




นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์ พร้อมกลุ่ม ส.ส.เพื่อไทย ที่เป็นแกนนำนปช. นำร่างพ.ร.บ.ปรองดองฉบับของตนเอง มายื่นให้กับนายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 เพื่อให้บรรจุเข้าวาระการประชุมสภา พร้อมกับร่างพ.ร.บ.ปรองดองของพรรคมาตุภูมิและพรรคเพื่อไทย ที่จะบรรจุเข้าวาระการประชุมในวันที่ 30 พ.ค. นี้ 

วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

"โอ๊ค-พานทองแท้" ลงพื้นที่เขต 3 ช่วยพรรคหาเสียง


นายพานทองแท้  ชินวัตร
บุตรชายอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร


เวลา 17.30 น.วันที่ 28 พฤษภาคม นายพานทองแท้  ชินวัตร หรือโอ๊ค  บุตรชายพ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร  อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางถึงท่าอากาศยานเชียงใหม่ จากนั้นเดินทางไปพบปะแกนนำประชาชน ผู้นำชุมชน เครือข่ายองค์กร ทีวัดป่าตึง  ต.ออนใต้ อ.แม่ออน เพื่อหาเสียงช่วยนายเกษม นิมมลรัตน์  ผู้สมัคร ส.ส.เชียงใหม่ เขต 3 พรรคเพื่อไทย เบอร์  1 โดยมีประชาชนร่วมต้อนรับ กว่า 500 คน พร้อมมอบพวงมาลัย ดอกไม้ ให้กำลังใจ พร้อมขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกจำนวนมาก ซึ่งเป็นการลงพื้นที่ช่วยนายเกษม หาเสียง เป็นครั้งที่สอง หลังจากมาช่วยหาเสียง เมื่อวันที่ 15-17 พฤษภาคม ที่ผ่านมา

เวลา 19.00 น. นายพานทองแท้ เดินทางมายังตลาดอุ๊ยทา  ต.ต้นเปา  อ.สันกำแพง พบปะประชาชน มีแม่ค้าพ่อค้า และแฟนคลับ มอบพวงมาลัย ขอถ่ายรูปและจับมืออย่างคึกคัก ใช้เวลา 30 นาที ก่อนเดินทางกลับพักผ่อน

นายพานทองแท้  เผยว่า มาให้กำลังใจนายเกษมอีกครั้ง เพราะสนิทสนมส่วนตัว อยากพบปะมวลชนเขต 3 อ.ดอยสะเก็ด อ.แม่ออน อ.สันกำแพง และอยากลงพื้นที่ให้มากที่สุด เพราะยังมีหลายพื้นที่ที่มวลชนเรียกร้องไปพบปะทักทายกัน พร้อมร่วมรณรงค์ประชาชนออกมาใช้สิทธิมากที่สุด ตามระบอบประชาธิปไตย เพื่อแสดงออกให้จังหวัดอื่นเห็นเป็นตัวอย่าง เพราะกลัวคนไม่ออกไปใช้สิทธิเลือกตี้ง มาครั้งนี้ คงไม่ตะลอนทัวร์ชิมอาหารราคาประหยัดอีก อยากลงพื้นที่ ช่วงวันที่ 28-31 พฤษภาคมนี้มากที่สุด 

สส.เพื่อไทยตอบรับประชาชน "จารุพรรณ" เผยผ่านทวิตเตอร์ "ไม่นิรโทษกรรม" คนสั่งฆ่าประชาชน

(go6TV 28 พฤษภาคม 2555) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 19.49น. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จารุพรรณ กุลดิลก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สังกัดพรรคเพื่อไทย (บุตรสาว ของ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย) ได้เผยแพร่ข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว http://twitter.com/ajarnjar ว่า 

"มีนักข่าวถามว่า พรบ.ปรองดองของกลุ่มสส.เสื้อแดง เป็นการเอาใจกลุ่มคนเสื้อแดงหรือไม่? ในความเห็นดิฉันเห็นว่า ไม่ได้เป็นการเอาใจคนเสื้อแดงอย่างเดียว แต่เป็นการเอาใจคนทั้งประเทศ"

"ดิฉันเชื่อว่า ประชาชนไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารและผลพวงที่ไม่เป็นธรรม การรัฐประหารเป็นการทำลายหลักนิติธรรมโดยพื้นฐาน และยังร่างกฎหมายนิรโทษกรรมให้กบฏ เป็นเรื่องที่ไม่มีประชาชนที่มีสติปัญญาคนใดยอมรับ นอกจากนั้นยังทำการบิดเบือนคำว่านิติรัฐว่าเป็นการบังคับใช้กฎหมายเท่านั้น ปราศจากมิติของ 'กระบวนการ' ที่เป็นลำดับที่ถูกต้อง ใครเป็นปฏิปักษ์การรัฐประหาร ก็โดนมัดมือมัดเท้า ไม่ให้มีสิทธิขั้นพื้นฐานในการประกันตัว ไม่มีสิทธิคัดค้านคนตัดสินที่เป็นปรปักษ์แก่ตน บรรยากาศใต้กระบอกปืนของการรัฐประหาร ไม่มีทั้งหลักนิติรัฐ (Due process) และนิติธรรม (Rule of law)"

"เด็กเล็กๆยังเข้าใจหลักนี้ ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ประชาชนที่มีสติปัญญาย่อมที่จะไม่ยอมรับการรัฐประหารและผลพวงของมัน ดังนั้น ร่าง พรบ.ปรองดองของนปช. ย่อมจะถูกใจประชาชนส่วนใหญ่"

"อีกประเด็นคือ ไม่นิรโทษให้กับคดีก่อการร้ายและการสั่งฆ่าประชาชน คดีเหล่านี้ยังอยู่ในขั้นหาความจริง ประเด็นนี้ย่อมจะถูกใจประชาชนทั่วไป สิ่งที่สส.ฝ่ายประชาธิปไตยต้องการให้เกิดขึ้นกับประเทศไทย คือ ความจริงและความเป็นธรรม เชื่อว่าประชาชนทุกคนยอมรับหลักการนี้ ถ้าคนรุ่นเราไม่ทำ แล้วจะรอให้ใครมาริเริ่มทำ"

"ดิฉันขอบคุณแกนนำแดงที่เสียสละตนเอง แม้จะถูกกล่าวหาในคดีก่อการร้ายด้วยเช่นกัน มีพยานหลายพันคนที่บอกได้ว่าใครกันแน่คือผู้ก่อการร้ายตัวจริง ประชาชนจำนวนมากถูกสังหารใจกลางเมืองหลวง เพราะเพียงมาเรียกร้องให้ยุบสภา คนเรือนล้านมาขอหีบเลือกตั้ง แต่กลับได้หีบศพ ไม่มีใครลืมความอำมหิตนี้ได้ และนี่คือความจริงที่จนป่านนี้ฆาตกรยังเดินลอยหน้าลอยตาอยู่ได้"

"อนิจจาประเทศไทย เรื่องที่รุนแรงอย่างนี้จะเพิกเฉยกันไป แล้วจะอธิบายลูกหลานได้อย่างไร? ดิฉันเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่น่าจะไร้คุณภาพอย่างนั้น อย่างไรก็ตาม สส.ที่เป็นตัวแทนฝ่ายประชาธิปไตย จะยังคงมุ่งหน้าสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยว่าเป็นประเทศที่มีนิติรัฐ นิติธรรม ให้ได้ในเร็ววัน ลบคำครหาว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ปราศจากความจริง และอยู่กันอย่างบิดเบือน รวมทั้งจะไม่ทิ้งมรดกความตอแหลไว้ให้กับลูกหลาน และพวกเราจะต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้ ไปจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ..."

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์ พร้อมกลุ่ม ส.ส.เพื่อไทย ที่เป็นแกนนำนปช. นำร่างพรบ.ปรองดองฉบับของตนเอง มายื่นให้กับนายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 เพื่อให้บรรจุเข้าวาระการประชุมสภา พร้อมกับร่างพ.ร.บ.ปรองดองของพรรคมาตุภูมิและพรรคเพื่อไทย ที่จะบรรจุเข้าวาระการประชุมในวันที่ 30 พ.ค. นี้ ทำให้ปัจจุบันมี ร่างพรบ.ปรองดอง จำนวน 3 ฉบับ โดยฉบับล่าสุดนั้น เป็นฉบับที่กลุ่มคนเสื้อแดงเสนอตัดบางมาตราที่ให้ไม่เอาผิดผู้สั่งฆ่าประชาชนออกไป

"เครือข่ายเสรีราษฎร" ประท้วง "เพื่อไทย" ให้ตัดมาตรา 3 วรรค 2 ทิ้ง



นายนิธิวัต วรรณศิริ แกนนำเครือข่ายเสรีราษฎร เปิดเผยว่า ต้องการให้ผู้บริหารและสมาชิกพรรคเพื่อไทยแปรญัตติร่างพ.ร.บ.ปรองดองที่จะนำเข้าสู่สภาฯ เพราะขณะนี้มวลชนคนเสื้อแดงจำนวนมากไม่เห็นด้วยที่ให้มีการนิรโทษกรรมเจ้าหน้าที่รัฐในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่สั่งสลายการชุมนุมประชาชน กลุ่มเสื้อแดงเลือกพรรคเพื่อไทยมาเป็นรัฐบาลเพื่อค้นหาความจริงว่าใครฆ่าคนเสื้อแดง 91 ศพ หากจะนิรโทษเจ้าหน้าที่และผู้สั่งสลายการชุมนุมก็เท่ากับให้สังคมกลบความจริงทั้งหมดไว้ในหลุม

นายนิธิวัต กล่าวอีกว่า สำหรับการโฟนอินของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ปรับตัวเข้าสู่การปรองดองโดยเปรียบเปรยมวลชนว่าได้พาเรือมาส่งตัวเองถึงฝั่งแล้ว และขอให้ลืมเรื่องในอดีตนั้น พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ไกล เป็นการมุมมองจากต่างประเทศเข้ามา ซึ่งต่างจากคนเสื้อแดงที่เราเห็นจากข้างใน หากจะลงจากเรือก็เป็นสิทธิ แต่เชื่อว่ายังมีคนเสื้อแดงอีกจำนวนมากยังต้องการที่จะเดินทางไปต่อ

คุก ม.112 5 ปี "ลุงสุรชัย แซ่ด่าน" คดีหมิ่นเบื้องสูง


นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์



ศาลนัดสอบคำให้การ คดีหมายเลขดำที่ อ.3444/2553 วันที่ 28 พ.ค.55 เวลา 09.30 น. ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายสุรชัย แซ่ด่าน หรือ ด่านวัฒนานุสรณ์  อายุ 70 ปี แกนนำกลุ่มแดงสยาม เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กรณีจำเลยขึ้นปราศรัยเวทีแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.51 ซึ่งได้กล่าวถ้อยคำหมิ่นเบื้องสูง
           
โดยคดีนี้นายสุรชัย จำเลยได้ยื่นคำร้องขอถอนคำให้การเดิมที่ให้การปฏิเสธ เป็นให้การรับสารภาพเมื่อวันที่ 10 พ.ค.55 ที่ผ่านมา
           
เมื่อถึงเวลานัด นายสุรชัย จำเลย ได้แถลงต่อศาลว่า จำเลยได้รับทราบว่ารัฐบาล จะมีการใช้มาตรการการเยียวยา โดยการขอพระราชทานอภัยโทษ จึงอยากจะขอให้ศาลมีคำพิพากษาเพื่อให้คดีเสร็จสิ้นโดยเร็ว ซึ่งจำเลยยอมรับว่าเป็นบุคคลเดียวกันกับคดี หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หมายเลขแดง อ.503/2555 , อ.504/2555 , อ.505/2555 , อ.1088/2555 ซึ่งศาลอาญามีคำพิพากษาให้จำคุกจำเลย 4 สำนวนเป็นเวลา 10 ปี
           
ศาลพิเคราะห์คำร้องที่จำเลยยื่นขอถอนคำให้การเดิมแล้ว จึงมีคำพิพากษาว่าจำเลย มีความผิดจริงตาม ฟ้องให้ จำคุกเป็นเวลา 5 ปี จำเลยรับสารภาพ เห็นควรลดโทษให้กึงหนึ่ง คงจำคุกเป็นเวลา 2 ปี 6 เดือน  และให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีเดิมด้วย


นายขับรถไฟแฉ! น็อตรถไฟ 4 ตัวถูกถอดออกก่อนตกราง


ภาพรถไฟตกรางที่จังหวัดลำพูน



ผู้ว่าการรถไฟฯเปิดแถลงพร้อมพนักงานขับรถรถไฟ แจงเหตุขบวนตกรางที่ลำพูนไม่ได้เกิดจากคนขับเมาสุรา เชื่อเจอวางยาถอนน็อตบนราง

เมื่อเวลา 11.00 น.นายยุทธนา ทัพเจริญ ผู้ว่าการ การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.)  ได้นำตัว นายสมเกียรติ กิจโสภี พนักงานขับรถ และนายประกิจ อาละซ็ด พนักงานช่างเครื่อง ที่ขับรถไฟตกที่จ.ลำพูน  ออกมาแถลงข่าวยืนยันว่า ไม่ได้ดื่มสุราเครื่องดื่มมึนเมา หรือ เสพยาขณะทำหน้าที่  ตามที่เป็นข่าว โดยขวดเบียร์ที่เห็นตกอยู่ เป็นของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่ซื้อขึ้นมาดื่ม และมาจากตู้เสบียงที่มีจำหน่ายให้กับผู้โดยสาร

พนักงานทั้ง 2 คน ยืนยันว่า ได้ปฎิบัติหน้าที่อย่างที่ดีสุดตามคู่มือการปฎิบัติงาน เพราะถือว่าต้องรับผิดชอบชีวิตของผู้โดยสาร และใช้ความเร็วเพียง 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่เกินพิกัดที่กำหนดไว้ที่ 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ข่าวที่ออกมาไม่เป็นความจริง และทำให้ครอบครัวได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะช่างเครื่องที่เป็นอิสลามตามหลักศาสนาไม่สามารถดื่มสุราได้อยู่แล้ว

สำหรับสาเหตุของการตกรางครั้งนี้ ผู้ว่าการรถไฟฯ ตั้งข้อสันนิฐานว่า อาจจะถูกวางยาจากกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดี เข้ามาถอดอุปกรณ์บางตัวออกไป เพราะจุดเกิดเหตุเป็นจุดลับตาคน ห่างจากสถานีลำพูนถึง 10 กิโลเมตร เพื่อต้องให้เกิดอุบัติเหตุ และเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่ดีกับการรถไฟฯ เพื่อโจมตีการทำงาน เนื่องจากเหล็กประกบราง และน็อตยึด 4 ตัว หายไปจากจุดที่เกิดเหตุ ทำให้ตัวรางเคลื่อนออกจากแนวรางไปกว่า 8 เมตร ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่ามีคนถอดออกไป และต้องเป็นคนที่มีความรู้ความชำนาญในการใช้อุปกรณ์ ซึ่งตรงกับคำให้การของพนักงานขับรถ ที่บอกว่า ก่อนตกราง ได้ยินเสียงดังเหมือนหัวรถจักรสะดุดอะไรบางอย่าง ก่อนประสบอุบัติเหตุดังกล่าว โดยคาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์จะได้ข้อสรุป

ฮือฮา! สตรีข้ามเพศคว้าเก้าอี้ ส.อบจ.น่าน


ยลลดา เกิกก้อง สวนยศ


เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 27 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวรายงานผลเลือกตั้ง สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด(ส.อบจ.)น่าน ภายหลังนับคะแนน 24 เขต ว่า อดีต ส.อบจ.ส่วนใหญ่ที่สังกัดกลุ่มเพื่อเมืองน่าน สนับสนุนนายนรินทร์ เหล่าอารยะ นายก อบจ.น่าน ชนะเลือกตั้งได้กลับเข้าสภาเพียง  6 ใน 24 คน เช่น นายอรรถพล คนเที่ยง ประธานกลุ่มเพื่อเมืองน่าน พ่ายแพ้ให้กับนางบุญมี ผัดผล นักพัฒนาเอกชน ภรรยาของประธานมูลนิธิฮักเมืองน่าน ผู้สมัครเขต 1 อ.ภูเพียง นายวัยพจน์ ดีวงศ์ งน่าน ผู้ประสานงานกลุ่มเพื่อเมือดีตส.อบจ.น่าน เขต 2 อ.ภูเพียง แพ้นายเรวัต พรหมอารีย์ คนสนิทนายพิชิต โมกศรี คู่แข่งเลือกตั้งนายก อบจ.กับนายนรินทร์ เช่นเดียวกับเขตเลือกตั้งที่ 1 อ.เชียงกลาง นายวิวัฒน์ ณ น่าน อดีต ส.อบจ.กลุ่มเพื่อเมืองน่าน พ่ายแพ้ให้นายณัฐชัย เติมวาณิช คู่แข่งเป็นผู้ช่วยหาเสียงของนายพิชิต



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สนามเลือกตั้งส.อบจ.น่าน เขต 1 ต.ในเวียง(เขตเทศบาลเมืองน่าน) ซึ่งเป็นที่สนใจทั้ง จ.น่านและต่างจังหวัด ปรากฎว่านายยลลดา เกิกก้อง สวนยศ นายกสมาคมสตรีข้ามเพศแห่งประเทศไทย ชนะ นายภาวัต สัตยวงต์ คู่แข่งจากกลุ่มเพื่อเมืองน่าน ส่วนนายต่วน ยะแสง อดีตดาวสภา อบจ.น่าน คนสนิทของนายพิชิตพ่ายคะแนนให้กับนายแดน จิตอารี คู่แข่งเขต 2 อ.ปัว

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

"หอวัง" วิสัยทัศน์ไกลแจก "นิวไอแพด 320 เครื่อง"


 
   
      เริ่มแจกไอแพดแล้ว! โดยเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม  โรงเรียนหอวัง ถ.วิภาวดีรังสิต แขวง และเขตจตุจักร กรุงเทพฯ ดร.พชรศ์ ตรีเทพา ผู้อำนวยการโรงเรียนหอวัง ได้มีการแจกนิวไอแพด 160 เครื่อง ให้แก่เด็กนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่  4  จำนวน 160 คน เพื่อสื่อการเรียนการสอนพัฒนาการศึกษา

         โดย ดร.พชรศ์ กล่าวว่า ได้มีผู้ปกครองบริจาคเงินประมาณ 4 ล้านบาท ให้กับทางโรงเรียน เพื่อซื้ออุปกรณ์การเรียนการสอน โรงเรียนจึงนำเงินดังกล่าวมาปรับปรุงห้องเรียน และซื้อนิวไอแพด จำนวน  320 เครื่อง ให้กับนักเรียนที่เรียนดี 160 คน และอาจารย์ 160 ท่าน เพื่อเป็นสื่อการเรียนการสอน โดยแจกเฉพาะนักเรียนห้องพิเศษ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 2 ห้อง ห้องละ 40 เครื่อง และชั้นมัธยมศึกษาปีที่  4 จำนวน 2 ห้อง ห้องละ 40 เครื่อง เช่นกัน ซึ่งนักเรียนดังกล่าวจะมีคะแนนเกรดเฉลี่ย 3.00 พร้อมกับเรียนเก่งวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ด้วย

ครก.๑๑๒ แถลงสรุปการรณรงค์ ๑๑๒ วัน


 ครก.๑๑๒ แถลงสรุปการรณรงค์ ๑๑๒ วัน
วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๕
เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า ระหว่างวิกฤตการเมืองที่ผ่านมา นับแต่การรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙  ได้มีผู้ถูกดำเนินคดีด้วยกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ เป็นจำนวนมากจากการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ด้วยการตีความกฎหมายบนอุดมการณ์ที่ผิดหลักการประชาธิปไตย และตีความการกระทำผิดอย่างกว้าง จนแม้แต่การแปลหนังสือก็กลายเป็นการกระทำผิด ในการดำเนินคดีของเจ้าหน้าที่รัฐในระดับต่าง ๆ ได้ปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหาและนักโทษคดีการเมือง ๑๑๒ ถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพอย่างต่อเนื่อง เช่น ไม่ได้รับการสืบพยานอย่างเพียงพอ ไม่ได้รับสิทธิ์ในการปล่อยตัวชั่วคราว ไต่สวนคดีโดยปิดลับ เป็นต้น
การกระทำต่อผู้ถูกกล่าวหาและนักโทษการเมืองคดี ๑๑๒ สร้างความสะเทือนใจให้กับผู้รักความเป็นธรรม และผู้ที่เรียกร้องต้องการประชาธิปไตยจำนวนมาก มีผู้เรียกร้องให้มีการยุติการละเมิดสิทธิ เสรีภาพของประชาชนด้วยกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ มาอย่างต่อเนื่องนับแต่ปี ๒๕๕๓ เช่น การเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ โดยกลุ่ม ๒๔ มิถุนายน และกลุ่มแดงสยาม กระทั่งต้นปี ๒๕๕๔ คณะนิติราษฎร์ได้เสนอร่างแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ขึ้นมา และเกิดกระแสเรียกร้องให้มีการแก้ไขกฎหมายโดยกลุ่มปัญญาชน นักวิชาการ และนักเขียน
หลังจากได้รัฐบาลจากการเลือกตั้ง ซึ่งทำให้ประชาชนต่างคาดหวังว่าเหตุการณ์ทางการเมืองจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น แต่เหตุการณ์ก็กลับไม่เป็นไปดังหวัง กรณีตัดสินนายอำพล หรืออากงอย่างไม่เป็นธรรมสร้างความรู้สึกสิ้นหวังให้กับประชาชนจำนวนมาก ฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตยกลุ่มต่าง ๆ จึงรวมตัวกับนักวิชาการและนักเขียน นักกิจกรรม ขึ้นเป็น คณะรณรงค์แก้ไขมาตรา ๑๑๒ เพื่อผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ตามร่างกฎหมายของคณะนิติราษฎร์ ด้วยการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ยื่นกฎหมายเข้าสู่สภา แต่หลังจากครบการรณรงค์ ๑๑๒ วันไปเพียงสามวัน ก็เกิดเรื่องเศร้าขึ้น นายอำพลเสียชีวิตในเรือนจำด้วยอาการป่วย 
บัดนี้ได้เวลาที่ ครก.๑๑๒ จะแถลงจำนวนผู้ลงชื่อสนับสนุนการแก้ไขกฎหมาย และกำหนดวันเพื่อยื่นร่างกฎหมายเข้าสู่สภาแล้ว
นับแต่วันที่ ๑๕ มกราคมเป็นต้นมา ครก.๑๑๒ ได้รณรงค์อภิปรายปัญหาของกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ตามสถานที่ต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดอื่น ๆ  ในทุกภูมิภาค ทั้งเหนือ กลาง ใต้ ตะวันออก อิสาน  ครก.๑๑๒ ได้รับการสนับสนุนจากผู้คนจำนวนมาก ประชาชนและนักกิจกรรมทางการเมืองเสื้อแดงทุกภาคส่วน  ซึ่งขออภัยที่ไม่อาจกล่าวชื่อออกมาได้หมดในที่นี้ จนกระทั่งบัดนี้ มีผู้ลงชื่อแก้กฎหมายทั้งสิ้นจำนวน ๓๘,๒๘๑ คน  โดยมีผู้ที่มีภูมิลำเนาอยู่ภาคกลางจำนวน ๒,๖๓๒ คน  ตะวันออก ๒๐๘ คน  เหนือ ๒,๖๐๕ คน  อิสาน ๒๒,๓๕๗ คน  ใต้ ๑๑๘ คน  ในจำนวนนี้มีแบบฟอร์มที่เสียจำนวน ๑๐,๓๖๐ คน  และมีรายชื่อที่พร้อมส่งสภาเป็นจำนวน ๒๗,๒๙๑ คน
การรณรงค์ของครก. ๑๑๒ ไม่ได้เป็นเพียงการรณรงค์รวบรวมรายชื่อและการลงนามขอแก้ไขกฎหมายเท่านั้น แต่คณะรณรงค์เอง กลับได้ความรู้ความเข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยอย่างขนานใหญ่ ปรากฏการณ์ที่เราอาจเรียกได้ว่า “ปรากฏการณ์ ๑๑๒ ริกเตอร์” นั้นสั่นสะเทือนสังคมไทยหลายประการด้วยกัน ดังจะขอตั้งข้อสังเกตเบื้องต้นดังนี้
ประการแรก กล่าวได้ว่า นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นต้นมา นี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่การเคลื่อนไหวทางอุดมการณ์เพื่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้แผ่ซ่าน ลงลึกไปถึงผู้คนรากหญ้า คนรากหญ้าเข้าใจถึงปัญหาของม. ๑๑๒ เนื่องจากพวกเขาเล็งเห็นถึงปัญหาที่ใหญ่กว่าตัวบทกฏหมาย นั่นคือปัญหาของการดึงเอาสถาบันกษัตริย์ลงมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ปัญหาของการแทรกแซงการเมืองระบอบประชาธิปไตยโดยอำนาจนอกระบบ และปัญหาของวงจรอุบาทว์ทางการเมืองของการรัฐประหาร ปรากฏการณ์ ๑๑๒ ริกเตอร์จึงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นจากดินถึงฟ้า
ประการที่สอง เหตุที่การรณรงค์แก้ไขมาตรา ๑๑๒ ได้รับการตอบรับอย่างดี เป็นเพราะประชาชนรากหญ้าเข้าใจว่าการคุกคามและลิดรอนสิทธิเสรีภาพในร่างกาย และการลิดรอนสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก ส่งผลเลวร้ายต่อชีวิตความเป็นอยู่อันปกติสุขของพวกเขาเองและประชาชนทั่วไป การที่ผู้ต้องหาที่ไม่มีสถานะทางสังคมจำนวนมากไม่ได้รับการประกันตน กรณีการบิดเบือนหลักการของการให้ความยุติธรรมในกระบวนการกฎหมาย กรณีผังล้มเจ้าที่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อประหัตประหารประชาชนเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม ๒๕๕๓ เป็นตัวอย่างที่ดีของปัญหาการคุกคามสิทธิเสรีภาพในชีวิตประจำวันของผู้คน ยังไม่นับว่ามีผู้อาศัยมาตรา ๑๑๒ เพื่อกลั่นแกล้งผู้บริสุทธิ์ จนถึงการที่มาตรา ๑๑๒ ปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ ทำให้ประชาชนคนรากหญ้าไม่สามารถพูดถึงปัญหาที่ใหญ่คับฟ้าเมืองไทยได้
ประการต่อมา การต่อต้านปรากฏการณ์ ๑๑๒ ริกเตอร์จึงเป็นการขัดขืนความเป็นจริงทางสังคมที่ว่า ประชาชนไม่สามารถยอมรับสถานะไพร่ฟ้าผงธุลีได้อีกต่อไป การต่อต้านปรากฏการณ์ ๑๑๒ ริกเตอร์จึงแสดงออกอย่างไร้เหตุผล เช่น การแสดงความรักแบบไร้เหตุผล การปิดกั้นการใช้เหตุผลด้วยการไม่นำเสนอข่าวสารอย่างครบถ้วนของสื่อมวลชน และการปิดพื้นที่ของเหตุผล ดังที่เกิดขึ้นที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แห่งนี้ และในหลายๆพื้นที่ที่ครก.๑๑๒ สัญจรไป นอกจากนั้น รัฐบาลและพรรคการเมืองยังปิดพื้นที่ของการใช้เหตุผลในการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ ด้วยการปฏิเสธ ตั้งธงไว้แต่แรกว่า จะไม่แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ ทั้งๆที่ยังไม่ได้มีการถกเถียงกันในสภา ทั้งๆที่สังคมยังไม่ได้มีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง ความไร้เหตุผลเหล่านี้เป็นสิ่งเดียวกันกับการใช้กำลังทำร้ายอาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์ แต่ความไร้เหตุผลเหล่านี้ ก็ไม่สามารถหยุดยั้งความเปลี่ยนแปลงที่ได้เกิดขึ้นแล้วในสังคมไทย
ประการสุดท้าย แม้ว่าจะมีการต่อต้านจากชนชั้นนำ และปราศจากการสนับสนุนจากพรรคเพื่อไทย ประชาชนคนรากหญ้าจำนวนมากก็ยังยืนยันที่จะเดินหน้าร่วมกับครก. ๑๑๒ เพื่อรวบรวมชื่อเสนอให้รัฐสภาแก้ไขกฎหมาย นี่แสดงให้เห็นเป็นอย่างดีว่า ประชาชนเป็นตัวของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องอยู่ใต้การชี้นำของพรรคการเมือง แม้ว่าจะเป็นพรรคการเมืองที่พวกเขาสนับสนุนก็ตาม ปรากฏการณ์ ๑๑๒ ริกเตอร์จึงแสดงให้เห็นพัฒนาการอีกขั้นหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยในสังคมไทย ที่อุดมการณ์สิทธิเสรีภาพได้หยั่งรากลึกลงยิ่งขึ้น ดังนั้นนักการเมืองจึงควรเข้าใจด้วยว่า ประชาชนไม่ได้เพียงต้องการนโยบายประชานิยม แต่ยังต้องการสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานอีกด้วย
เราจะยื่นร่างกฎหมายให้กับรัฐสภาถัดจากนี้อีกสองวัน คือในวันอังคารที่ ๒๙  ขอเชิญชวนผู้ที่ต้องการเห็นรัฐสภาซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของผู้แทนปวงชนชาวไทยได้พิจารณาร่างกฎหมายนี้มารวมตัวกันที่หมุดคณะราษฎร์เวลาเก้าโมงเช้า  เราจะตั้งขบวนเดินนำรายชื่อทั้งหมดใส่กล่องสีดำไปยังรัฐสภาเพื่อมอบเอกสารให้กับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์
ครก.๑๑๒ จะยังไม่สลายตัว แต่จะติดตามและต่อสู้จนกว่าปัญหาอันเนื่องจากกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ และกรณีที่เกี่ยวข้องจะได้รับการแก้ไขและเปลี่ยนแปลงไปจนไม่ละเมิดสิทธิ เสรีภาพประชาชนอีกต่อไป

"ทักษิณ" จะแตกกับ "เสื้อแดง" หรือไม่?


 

ถึง บรรณาธิการที่นับถือ

ผมไม่ได้ระบุว่าหนังสือพิมพ์คุณเป็นเสื้อแดง เพราะเชื่อในความเป็นมืออาชีพ แต่ในฐานะที่เจาะข่าวการต่อสู้ของม็อบเสื้อแดงได้ลึกซึ้ง จึงอยากจะถามว่า ความขัดแย้งระหว่างพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับเสื้อแดง ที่เริ่มชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะภายหลังการวิดีโอลิงก์มายังเวทีราชประสงค์ เมื่องาน 19 พฤษภาคมที่ผ่านมานั้น จะนำไปสู่การแตกหักได้หรือไม่ และจะเกิดอะไรตามมาจากนี้

อยากทราบแนวโน้มครับ
จาก

คนชุดดำ

ตอบ คนชุดดำ

ถ้าเราไม่หลงไปกับกระแสโจมตีของประชาธิปัตย์ เราก็จะรู้ได้ตามความจริงที่ว่า ทักษิณกับเสื้อแดงนั้น เป็นแนวร่วมกันในการขับเคลื่อนสังคมไปสู่เป้าหมายที่คล้ายคลึงกัน แต่ไม่เหมือนกันทั้งหมด และถึงที่สุดทักษิณไม่ใช่เจ้าของขบวนการเสื้อแดง เพียงแต่ร่วมกันได้ เป็นแนวร่วมที่ผนึกกันได้ดีในช่วง 6-7 ปีมานี้

แต่เมื่อทักษิณผลักดันพรรคเพื่อไทยจนได้เป็นรัฐบาล โดยคนเสื้อแดงนี่แหละที่แห่กันลงคะแนนให้ ย่อมมาถึงจุดที่เริ่มจะต้องห่างออกจากกัน เพราะข้อจำกัดของการเป็นรัฐบาล ทำให้เพื่อไทยและทักษิณไม่สามารถเดินร่วมไปกับเสื้อแดงได้อย่างแนบแน่นอีกแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติของสังคมและชนชั้น ในอนาคตทักษิณกับเสื้อแดงจะยิ่งต่างกันมากขึ้น แต่หากยังมีเป้าหมายในการผลักให้สังคมเดินหน้า ไม่ใช่ฉุดการเมืองให้ถอยหลังลงคลอง เชื่อได้ว่าทั้งสองฝ่ายก็ยังเป็นแนวร่วมกันต่อไปได้
 

 

หมายเหตุ: จากบทความบรรณาธิการ ข่าวสด ฉบับวันที่ 27 พฤษภาคม 2555

"นายกฯ ยิ่งลักษณ์" ตรวจผัก-ผลไม้สดใน "ไทยทาวน์"

นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ภายหลังจากที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน Thailand Kitchen to the World หรือ ครัวไทยสู่ครัวโลก ในงานสัปดาห์อาหารไทย ณ โรงแรมแชงกรีล่า เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย   เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม   ระหว่างการเยือนออสเตรเลียอย่างเป็นทางการ  เ​พื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการฑู​ต และฉลองความสัมพันธ์การฑูตไทย-อ​อสเตรเลียเนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปี  

ในโอกาสดังกล่าวนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ร่วมปรุงอาหารไทยพร้อมกับเชฟ พร้อมเดินทางไปยังไทยทาวน์ ตรวจเยี่ยมร้านอาหารไทยในนครซิดนีย์ เพื่อส่งเสริมโครงการครัวไทยสู่ครัวโลก และได้เข้าเยี่ยมชมซุปเปอร์มาเก็ต ตรวจดูพืชผักการเกษตรที่นำเข้าจากประเทศไทย  ผลิตภัณฑ์อาหารกึ่งสำเร็จรูป และเครื่องปรุงชนิดต่างๆ และถือโอกาสนี้รับฟังปัญหาด้านต่างๆจาก จากผู้ประกอบการร้านอาหาร ร้านค้าส่ง ปลีกของคนไทยในออสเตรเลีย เพื่อนำประเด็นปัญหาดังกล่าวมาหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และนำไปเจรจากับฝ่ายออสเตรเลียต่อไปเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศไทย


"นายกฯปู" ควงตะหลิวปรุง "ยำทะเล-ส้มตำ" ชูครัวไทยสู่ครัวโลก


นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร


เมื่อเวลา 11.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ เดินทางมายังโรงแรมแชงกรีลา นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย  เพื่อเป็นประธานเปิดงานสัปดาห์อาหาร "Thailand : Kitchen to the world" โดยเมื่อเดินทางถึง นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมงานนิทรรศการ พร้อมทั้งสาธิตวิธีการทำอาหารไทย ได้แก่ ยำทะเล และส้มตำ คู่กับเชฟเดวิด ธอมป์สัน ชาวออสเตรเลีย ที่มีความเชี่ยวชาญด้านอาหารไทยด้วย

 จากนั้นนายกรัฐมนตรีกล่าวเปิดงานสัปดาห์อาหาร "Thailand : Kitchen to the world" ว่า รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาในงานนี้ คนไทยมีความภาคภูมิใจในอาหารไทยเป็นอย่างมาก ทั้งในเรื่องรสชาติ และการตกแต่งอาหาร ทำให้อาหารไทยมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมากทั่วโลก จากการศึกษาเมื่อหลายปีที่ผ่านมาพบว่าอาหารไทยติด 1 ใน 5 อาหารยอดนิยมในออสเตรเลีย และหวังว่าอาหารไทยจะยังคงติดอันดับและเป็นที่ชื่นชอบต่อไปและมากยิ่งขึ้น

 นายกฯ กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นประเทศผู้ผลิตอาหารหลักของโลก รายได้จากการส่งออกอาหารของไทยมากกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้ง ไทยยังเป็น 1 ในผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลกอีกด้วย โดยที่มีออสเตรเลียเป็นลูกค้ารายสำคัญที่นำเข้าข้าวไทย มากกว่า 110,000 ตันต่อปี และไทยเป็นผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารไปยังออสเตรเลียสูงสุดเป็นอันดับ 5 โดยมีการเติบโตประมาณร้อยละ 5–10 ต่อปี โดยอาจกล่าวได้ว่า ไทยเป็นผู้ผลิตผลิตผลทางการเกษตรที่มีคุณภาพในราคาที่แข่งขันได้ และ ยังสามารถช่วยแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความมั่นคงด้านอาหาร ซึ่งจะทวีความสำคัญมากขึ้น เมื่อโลกมีความท้าทายมากมาย เช่น การเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ภัยธรรมชาติ ซึ่งในบางครั้งนำไปสู่การขาดแคลนอาหาร

 สำหรับรัฐบาลได้ดำเนินโครงการ “ครัวไทยสู่ครัวโลก” เพื่อช่วยประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์อาหารและเพื่อให้ตระหนักถึงปัญหาเกี่ยวกับความมั่นคงทางอาหาร โดยเป้าหมายหลักของโครงการ คือ การผลิตอาหารและผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณภาพสูง ในราคาที่สามารถแข่งขันได้ ได้มาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล โดยมีกลยุทธ์ครอบคลุมและครบวงจรทั้งด้านวัตถุดิบ การขนส่ง การผลิต การสร้างมูลค่าเพิ่มและศูนย์กระจายสินค้า

 ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์สำคัญ ได้แก่ 1.การขยายธุรกิจการเกษตรและอาหาร 2.การเพิ่มมูลค่าสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรด้วยเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง 3.การสนับสนุนความร่วมมือระดับภูมิภาคและระดับระหว่างประเทศภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและระดับโลก ซึ่งจะช่วยเอื้อประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมอาหารและการเกษตร 4.สนับสนุนการลงทุนของไทยในต่างประเทศ โดยเฉพาะการสร้างเครือข่ายร้านอาหารไทยในต่างแดน

 หลังจากนั้น เวลา 14.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น นายกรัฐมนตรีเดินทางไปเยี่ยมภัตตาคารไทยและร้านค้าผู้นำเข้าสินค้าอาหารไทยในย่านไทยทาวน์ ถนนแคมป์เบลล์ นครซิดนีย์ เพื่อสอบถามและรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการ ก่อนออกเดินทางไปยังท่าอากาศยานนานาชาติคิงส์ฟอร์ด สมิธ นครซิดนีย์เพื่อเดินทางไปยังท่าอากาศยานทหาร Faibairn Defence Establishment กรุงแคนเบอร์รา ในเวลา 15.55 น. และเดินทางเข้าสู่โรงแรมไฮแอต แคนเบอร์ร่า ซึ่งรัฐบาลออสเตรเลียจัดให้เป็นที่พัก

คลิปช็อคโลก! "ซีเรีย" ฆ่าหมู่เด็ก-ประชาชนรวม 92 ศพ



วันนี้ (27 พ.ค.) องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ออกแถลงการณ์จากสำนักงานใหญ่ ในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อวันเสาร์ เรียกร้องประชาคมระหว่างประเทศดำเนินการต่อซีเรียโดยรีบด่วน หลังมีรายงานทหารกองทัพซีเรีย สังหารหมู่ประชาชนอย่างโหดเหี้ยมเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

โดยแถลงการณ์ร่วมของ นายบัน คี-มูน เลขาธิการสหประชาชาติ และนายโคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ ในฐานะผู้แทนพิเศษยูเอ็น / สันนิบาติอาหรับ กล่าวประณาม “อาชญากรรมที่โหดเหี้ยมและน่าสยดสยอง” ที่เกี่ยวพันกับ “การใช้กำลังอย่างไม่เลือกหน้าและไร้เหตุผล” ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ “อย่างชัดเจน” รวมทั้งขัดต่อคำมั่นสัญญาของรัฐบาลซีเรีย ที่จะไม่ใช้อาวุธหนัก หรือก่อความรุนแรง และนายอันนันได้กล่าวย้ำอีกว่า ผู้อยู่เบื้องหลังการก่ออาชญากรรมครั้งนี้ จะต้องถูกดำเนินการอย่างแน่นอน


เจ้าหน้าที่สหประชาชาติในซีเรีย เผยว่า เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทหารกองทัพซีเรียยิงปืนใหญ่โจมตีเป้าหมายพลเรือน ระหว่างการปราบปรามกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ในเมืองฮูลา ทางภาคกลางของประเทศ ส่งผลให้ประชาชนเสียชีวิตอย่างน้อย 92 ศพ ในจำนวนนี้เป็นเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 10 ขวบถึง 32 ศพ ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณ์นองเลือดที่สุด นับตั้งแต่รัฐบาลของประธานาธิบดีอัสซาด เปิดฉากปราบปรามการต่อต้านอำนาจรัฐอย่างโหดเหี้ยมเมื่อเดือน มี.ค. ปีที่แล้ว.


อยากรู้ "ทักษิณ" คิดอะไร ให้ฟัง "โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม"




นักกฏหมายสิทธิมนุษยชน สำนักกฏหมายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ได้กล่าวปราศัยบนเวทีเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2555 ดังนี้

สวัสดีพี่น้องทุกท่าน ก่อนอื่นอยากให้ทุกคนที่เป็นพยานในเหตุการเมื่อสองปีที่แล้ว ที่ยังไม่พูดให้มาหาผม  ไม่ว่าวันนี้หรือวันใหน เราจะนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ เราจะไม่มีวันลืม และอย่าไปฟังนักการเมืองคนใหนที่ให้ลืมเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น

เราสามารถปรองดองได้ แต่ต้องมีความยุติธรรมเกิดขึ้น  ความยุติธรรมต้องเกิดขึ้นกับพี่น้องทุกคน อย่าให้ใครว่าเมืองไทยเป็นเมืองแห่งรอยยิ้มเพราะมันไม่ใช่รอยยิ้ม เพราะเมื่อเราต้องมารำลึกความตายของ “อากง”

มันไม่ใช่ดินแดนแห่งรอยยิ้ม หากเพื่อนเรา พี่น้องเรายังเป็นเหยื่อการเมือง  เราจะนำคดีของจตุพร ไปฟ้องทั่วโลก เราจะบอกโลกทั้งโลกเกี่ยวกับใบหน้าที่แท้จริงของอำมาตย์ เราจะบอกว่ามันไม่มีความยุติธรรมในไทย ในวันนี้ และเราไม่หยุดค้นหาความจริง ความยุติธรรม จนกว่าความยุติธรรมจะเกิด  มันนานมาแล้วที่เราทนไม่ได้ ที่เราต้องมาฟังอภิสิทธิ์ คนก่อสงคราม เมื่อสองสัปดาห์ นายอภิสิทธิ์โกหกครั้งแล้วครั้งเล่า เราไปที่ออกฟอร์ด เราไปดูว่าอภิสิทธ์ลงทะเบียนนักศึกษาในฐานะพลเมืองอังกฤษหรือไทย เราพบว่า เขาลงทะเบียนเรียนในฐานะคนอังกฤษ แล้วเราก็นำหลักฐานนี้ไปยังศาลโลก

เราต้องการบอกทุกท่านว่าศาลโลก ไม่ว่ารับหรือไม่รับ แต่ไม่ได้หมายความว่า ประเทศไทยไม่มีปัญหา ไม่เกิดปัญหาในประเทศนี้เพราะศาลโลก ไม่ได้มีหน้าที่ในการสืบเสาะค้นหาความจริ และไม่ยอมรับคดี เขาก็จะพยายามสืบค้นข้อมูลเพื่อยื่นต่อศาลอีก เราจะพยายามสู้  อภิสิทธิ์ และสุเทพจะไม่สามารถนอนหลับได้ หากยังมีคนเสื้อแดงอยู่ หากยังมีคนเสื้อแดง แกนนำยังต่อสู้ เราก็จะยังจำได้ว่ามีคนตายเมื่อสองคนที่แล้ว
เราอยากเล่าถึงพี่น้องที่ติดคุกว่า สภาพในเรือนจำมันแย่มากๆ เพื่อนของเรานั่งอยู่ในรัฐบาล เราต้องร้องขอให้พี่น้องในเรือนจำ ให้มีชีวิต ความเป็นอยุ่ที่ดีขึ้น เราต้องเรียกร้องปรับปรุงสภาพมาตรฐานเรือนจำให้มีมาตรฐานสากล พี่น้องทุกคนต้องเรียกร้อง ได้สิทธิ์ ประกันตัว ในคดี ม.112  เป็นเวลาของเราวันนี้ที่เราจะต้องบอกอำมาตย์ให้รู้ว่า เรารู้สึกเจ็บปวดที่เราถูกพรากประชาธิปไตย นั่นคือเหตุผลที่พวกเราอยากให้ช่วยกันอุปการะพี่น้องเสื้อแดงในเรือนจำ อภิสิทธิ์ไม่ใช่แค่ฆ่าพี่น้องเรา แต่ยังเอาพี่น้องเราไปขังคุกอย่างผิดกฏหมาย เมื่อยังมีพี่น้องในเรือนจำ เราไม่ควรนอนหลับสลาย

พวกเรารวมตัวกันสร้างสมาพันธ์นักกฏหมายเพื่อประชาธิปไตย หากใครเป็นนักฏหมายแล้วอยากร่วมงาน ก็เชิญมาร่วมกับเราได้  สิ่งสำคัญ ได้หมายความว่า ศาลจะรับเดือนหน้าหรือปีหน้า แต่เราต้องรู้สำนึกถึงสิทธิ์ของเราและปกป้องสิทธิ์ของเรา

สองปีก่อนผมอยู่ในประเทศไทย และได้เห้นความโหดร้ายป่าเถื่อนของกองทัพไทย เราอยากบอกว่าทหารไทยเขาใช้อาวุธอเมริกาเข่นฆ่าประชาชน เราต้องบอกอเมริกาให้หยุดการฝึกฝนกองทัพร่วม เพราะทหารอเมริกาส่งสไนเปอร์มาฝึกให้คนไทย  ผมมีคำถามถึงกองทัพว่า ใครกันแน่ที่โจมตีประเทศ ทำไมกองทัพถึงได้กลัวหนักนา ทำไมทหารต้องทำให้เราอยู่ในความกลัว รู้สึกกลัว ความจริงคือ กองทัพทำให้เราหวาดกลัวเพื่อทำให้เราลืมคิดถึงสิทธิ์และเสรีภาพของเราเอง

ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้เป็นตัวแทนของคนทุกคนได้ทำงานร่วมกับแกนนำทุกคน ขอพระเจ้าจงคุ้มครองพี่น้องทุกคนที่นี่และในเรือนจำ



วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

"ธงทอง" ย้ำชัด "ยังฟ้องอาญา และแพ่งกับตัวบุคคลได้"


นายธงทอง จันทรางศุ 

 
(วันที่ 26 พฤษภาคม 2555) go6tv: นายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ประธานอนุกรรมการเยียวยาทางแพ่งฯ ได้กล่าวว่านายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ในฐานะประธาน ปคอป. และผู้ที่เกี่ยวข้อง ชี้แจงร่วมชี้แจงแล้วว่าแบบฟอร์มเอกสารรับเงินดังกล่าว เป็นเรื่องของการไม่ฟ้องร้องค่าเสียหายจากหน่วยงานรัฐเพียงอย่างเดียว

ไม่ได้ตัดโอกาสดำเนินคดีอาญา หรือการฟ้องร้องทางแพ่งกับตัวบุคคล 

ที่ระบุในเอกสารเพราะเห็นว่าถ้าไปฟ้องร้องหน่วยงานก็จะเกิดความซ้ำซ้อน เนื่องจากเป็นการจ่ายเงินก้อนเดียวกัน เมื่อพูดกันแล้ว ญาติผู้สูญเสียและผู้เสียหายก็สบายใจขึ้น 

เกิดความมั่นใจ ได้รับความชัดเจน และลงนามรับเงินในแบบฟอร์ม 

เรื่องการจ่ายเงินเยียวยาในลักษณะนี้ไม่ได้ทำเป็นครั้งแรก เหตุการณ์ที่เกิดการ กระทบกระทั่งทางการเมืองหลายครั้งที่ผ่านมาก็มีการจ่ายเงินในลักษณะนี้มาหลายครั้งหลายรัฐบาล ไม่เฉพาะรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง 

เงินที่จ่ายก็มาจากงบประมาณแผ่นดินในส่วนของงบกลาง ซึ่งเป็นดุลพินิจของฝ่ายบริหารพิจารณาหากเห็นว่าเป็นเรื่องฉุกเฉินจำเป็นเร่งด่วน ก็จ่ายได้ตามกฎหมาย 

แต่ใครที่ติดใจสงสัย จะสอบถามหรือดำเนินกรรมวิธีอะไรที่จะสอบทานในเรื่องนี้ เราก็พร้อมรับการตรวจสอบ 

"ข่าวข้นคนข่าว" เนชั่วหลุดผังช่อง 9 แล้ว!



บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ตัดสินใจไม่ต่อสัญญาร่วมผลิตรายการ 'ข่าวข้นคนข่าว' และรายการ 'เช้าข่าวข้น' ที่ออกอากาศทางช่องโมเดิร์นไนน์ทีวีทั้ง 2 รายการ และจะเริ่มนำรายการใหม่เข้ามาแทนที่ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม เป็นต้นไป

          ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้ นายอดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ออกมาเรียงร้องความเป็นธรรมให้กับ 2 รายการดังกล่าว โดยบอกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องไม่ปกติ เพราะการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์นั้น มักจะคำนึงถึงผลประกอบการ และผลประโยชน์ของพนักงานรวมทั้งผู้ถือหุ้น การบอกเลิกสัญญาเพียงฝ่ายเดียวทั้งที่เป็นสัญญาร่วมกัน โดยไม่มีข้อชี้แจงต่อผู้ถือหุ้น ถือว่าผิดหลักปฏิบัติทางธุรกิจและหลักธรรมาภิบาลที่ดี

          โดย นายอดิศักดิ์ ย้ำว่า ตนเองรู้สึกถึงสัญญาณที่ไม่เป็นมิตรมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2554 เนื่องจากมีการปล่อยข่าวเรื่องการถอด 2 รายการดังกล่าวมาตลอด จนทำให้รายได้ในช่วงเดือนมกราคม 2555 ลดลงไปมาก ทั้ง ๆ ที่รายการยังได้รับความนิยมจากคนดู ซึ่งเครือเนชั่นจึงอยากขอความเป็นธรรมให้ทบทวนการตัดสินใจใหม่อีกครั้ง เนื่องจากทั้งสองบริษัทก็มีความสัมพันธ์ที่ดีในการทำงานร่วมกันมาตลอด

          นอกจากนี้นายอดิศักดิ์ยังกล่าวด้วยว่า ตนเองสงสัยในการตัดสินใจครั้งนี้ว่ามีเบื้องหลังที่อธิบายไม่ได้หรือไม่ ทั้งที่รัฐบาลอยากให้ทุกฝ่ายปรองดองเข้าหากัน แต่การตัดสินใจในครั้งนี้จะทำให้ถูกมองว่าตัดรายการเครือเนชั่นออกเพราะอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลชุดนี้ได้

          ทั้งนี้ รายการ ข่าวข้นคนข่าว (ออกอากาศทางช่องโมเดิร์นไนน์ทีวี เวลา 21.30-22.15 น. วันจันทร์-ศุกร์) และรายการ เช้าข่าวข้น (ออกอากาศทางโมเดิร์นไนน์ทีวี เวลา 06.30-08.00 น. วันจันทร์-ศุกร์) จะสิ้นสุดการออกอากาศลงในวันที่ 30 มิถุนายน 2555