วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554

ส่อรบ!! กระทรวงต่างประเทศออกแถลงการณ์ ท้าชนกัมพูชา


วันนี้ (31 ม.ค.) เว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ ได้เผยแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศต่อกรณีธงชาติกัมพูชาที่ปรากฏอยู่เหนือวัดแก้วสิกขาคีรีศวร โดยระบุว่า ตามที่กระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งราชอาณาจักรกัมพูชามีคำประกาศ ลงวันที่ 28 มกราคม 2554 เกี่ยวกับธงกัมพูชาที่ปรากฏอยู่เหนือ “วัดแก้วสิกขาคีรีศวร” นั้น กระทรวงการต่างประเทศขอแถลง ดังนี้

1.ตามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกปี 2543 อนุสัญญาและสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ปี ค.ศ.1904 และ ค.ศ.1907 และเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้สัญญาทั้งสองฉบับ ถือเป็นเอกสารทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการกำหนดเขตแดน ดังนั้น ประเทศไทยจึงไม่ยอมรับข้ออ้างของกัมพูชาว่าแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เป็นเอกสารที่จะกำหนดเขตแดน

2.กัมพูชาได้ยอมรับในคำประกาศฉบับดังกล่าวว่า คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เมื่อปี 2505 (ค.ศ.1962) มิได้ตัดสินในเรื่องเส้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา

3.ประเทศไทยยืนยันว่า “วัดแก้วสิกขาคีรีศวร” ตั้งอยู่ในอาณาเขตไทย และเรียกร้องให้ประเทศกัมพูชารื้อถอนวัดแก้วฯ และปลดธงกัมพูชาที่ประดับเหนือวัดแก้วฯ ข้อเรียกร้องนี้เป็นการย้ำถึงการประท้วงหลายครั้งของไทยต่อกัมพูชาเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ ในวัดแก้วฯ และบริเวณโดยรอบ ซึ่งล้วนเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักรไทย

4.กระทรวงการต่างประเทศยืนยันอีกครั้งถึงความมุ่งมั่นของไทยที่จะแก้ไขปัญหาเขตแดนกับกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศโดยสันติวิธี ภายใต้กรอบของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา การกำหนดเส้นเขตแดนบริเวณปราสาทพระวิหารยังคงเป็นเรื่องที่อยู่ระหว่างการเจรจาภายใต้กรอบของคณะกรรมาธิการ

ปิยบุตร แสงกนกกุล: เกี่ยวกับรายงานของอัมสเตอร์ดัม

ปิยบุตร แสงกนกกุล: เกี่ยวกับรายงานของอัมสเตอร์ดัม

"This case represents a historic opportunity for international justice to confront governments who deploy their militaries to use violence against their own citizens."

Robert Amsterdam

จากการอ่านรายงานของโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ที่ใช้ประกอบการเสนอคำร้องไปยังศาลอาญาระหว่างประเทศในวันนี้

ผมขอสรุปประเด็นสำคัญและความเห็นของผมในเบื้องต้น ดังนี้

ในความเห็นของผม รายงานของอัมสเตอร์ดัมทั้งหมด อาจแบ่งได้ ๓ ส่วนใหญ่ๆ คือ

ส่วนแรก ความเป็นมาของการเกิดขึ้นของเสื้อแดง

ตั้งแต่รัฐประหาร ๑๙ กันยา "ตลก"ภิวัตน์ รัฐธรรมนูญ ๕๐ เป็นคุณต่อพวกเอสตาบลิชเมนท์ การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน การคุกคามเสรีภาพ และการสลายชุมนุม

ส่วนที่สอง การสังหารหมู่เมษายน พฤษภาคม ๕๓ เข้าองค์ประกอบความผิดอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

ส่วนนี้เป็นเรื่องข้อเท็จจริงที่ปรับให้เข้ากับฐานความผิดอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ส่วนนี้ เขารวบรวมพยานหลักฐานไว้ได้ดีมาก มีพยานผู้เชี่ยวชาญชื่อ Joe Ray Witty เป็นอดีตทหารอเมริกัน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาวุธ และสไนเปอร์ มีพยานผู้เห็นเหตุการณ์อีกหลายคน (ดูพยานทั้งหมดที่ภาคผนวก)

ส่วนที่สาม เรื่องนี้อยู่ในเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศได้อย่างไร

ส่วนนี้เป็นเรื่องเขตอำนาจศาล อย่างที่ทราบกันดีว่าประเทศไทยได้ลงนามใน Rome Statute แต่ไทยไม่ได้ให้สัตยาบัน (ราทิฟาย) Rome Statute นี้

ดังนั้น โดยปกติแล้ว ศาลอาญาระหว่างประเทศย่อมไม่สามารถรับคำร้องกรณีประเทศไทยได้

อย่างไรก็ตาม อัมสเตอร์ดัมเสนอว่ามี ๒ ช่องทาง ได้แก่

ช่องทางแรก
ไอซีซีต้องเปิดกระบวนการสืบสวนสอบสวนไต่สวนในกรณีนี้ในเบื้องต้น เพื่อรอให้วันหนึ่งคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติลงมติให้ไอซีซีมีเขตอำนาจในกรณีนี้ตามมาตรา ๑๓ (บี) (เหมือนซูดาน)

ช่องทางที่สอง
ในกรณีที่ไอซีซีไม่มีเขตอำนาจอันเนื่องมาจากรัฐไม่ให้สัตยาบัน ไอซีซีอาจมีเขตอำนาจได้ใน ๒ กรณี

กรณีแรก มาตรา ๑๒ (๒) (เอ) ความผิดนั้นเกิดในดินแดนของรัฐภาคี ภาษากฎหมายเราเรียกว่า เขตอำนาจทางพื้นที่ (ratione loci)

กรณีที่สอง มาตรา ๑๒ (๒) (บี) ถ้าบุคคลผู้ถูกกล่าวหานั้นเป็นพลเมืองของรัฐภาคี ภาษากฎหมายเราเรียกว่า เขตอำนาจทางบุคคล (ratione personae)

ไอซีซีในคดีเคนยาเคยวางหลักเรื่องนี้ไว้แล้ว

กรณีไทย สามารถฟ้องอภิสิทธิ์ได้ เพราะอภิสิทธิ์เป็นพลเมืองสหราชอาณาจักรโดยการเกิด ซึ่งสหราชอาณาจักรเป็นภาคีและราทิฟายอนุสัญญากรุงโรมแล้ว

(ดูรายงานหน้า ๑๑๓)

นอกจากนี้ในรายงานยังเน้นย้ำให้ไอซีซีได้ตระหนักถึงสถานการณ์เฉพาะของไทย ได้แก่ ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมามักมีการนิรโทษกรรมให้คนสังหารหมู่ประชาชนเสมอ ดังเห็นได้จาก ๖ ต.ค. ๑๙ และ พ.ค. ๓๕, ความไม่เป็นกลางและอิสระของศาลไทย, กระบวนการสอบสวนของดีเอสไอ (รายงานหน้า ๑๑๙ เป็นต้นไป)

ในส่วนนี้อาจารย์ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิชเคยเขียนในประกาศนิติราษฎร์ ฉบับที่ ๗ ไว้ ดังนี้

"... อนึ่ง มีข้อสังเกตว่า ศาลอาญาระหว่างประเทศอาจมีเขตอำนาจเหนือคดีที่รัฐนั้นมิได้เป็นภาคีศาลอาญาระหว่างประเทศก็ได้ หากผู้ถูกกล่าวหาว่าได้กระทำความผิดอาญาร้ายแรงแม้จะมิได้เป็นคนที่มีสัญชาติของรัฐที่เป็นภาคีของศาลอาญาระหว่างประเทศก็ตาม แต่อาชญากรรมร้ายแรงได้กระทำขึ้นบนดินแดนของรัฐที่เป็นภาคีของศาลอาญาระหว่างประเทศ ศาลอาญาระหว่างประเทศก็มีเขตอำนาจได้ หรือในกรณีกลับกัน อาชญากรรมได้กระทำโดยคนที่มีสัญชาติของรัฐที่เป็นภาคีของศาล แม้ว่าอาชญากรรมนั้นจะกระทำขึ้นบนดินแดนหรือในประเทศที่มิได้เป็นภาคีของศาลก็ตาม ศาลอาญาระหว่างประเทศก็มีเขตอำนาจ หรือกรณีสุดท้าย ทั้งผู้กระทำความผิดก็มิได้มีสัญชาติของรัฐที่เป็นภาคีศาลอาญาหรืออาชญากรรมร้ายแรงได้กระทำขึ้นในดินแดนที่มิได้เป็นรัฐภาคีศาลอาญา ศาลอาญาก็สามารถมีเขตอำนาจได้หากคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติเสนอเรื่องให้อัยการสอบสวน"

(เน้นข้อความโดยผมเอง)
...

ข้อสังเกตของผม

การที่ไอซีซีจะรับฟ้องหรือไม่นั้น ก็อาจสำคัญเหมือนกัน และแม้นว่าหากไอซีซีไม่เอาด้วย แต่ประเด็นทางการเมืองที่สำคัญกว่า มี ๓ ข้อ

ข้อแรก การกดดันไปที่ไอซีซีว่าจะตัดสินใจทำอย่างไร อย่างน้อยจะเข้ามาไต่สวนเบื้องต้นรอไว้ก่อนมั้ย เพื่อว่าวันนึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจะอนุญาตให้ไอซีซีมีเขตอำนาจ (เหมือนซูดาน) แน่นอนไทยเส้นใหญ่มาก คณะมนตรีฯคงไม่ยอม แต่อย่างน้อย การกดดันขอให้ไอซีซีเข้ามาตรวจสอบก่อนก็น่าจะเป็นการดีมาก

ข้อสอง รายงานชิ้นนี้ เป็นการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานไว้เสร็จหมดแล้ว หากไอซีซีน็อคด้วยการไม่รับเพราะอ้างว่าไม่มีเขตอำนาจเพราะไทยไม่ราทิฟาย ก็เป็นการผลักลูกบอลกลับไปที่รัฐบาลไทยให้ราทิฟายโดยเร็ว

ข้อสาม ประเด็นสังหารหมู่ถูกโหมกระพือไปทั่วโลก นับเป็นความชาญฉลาดของบ๊อบแท้ๆที่เลือกญี่ปุ่นเป็นที่แถลงข่าว ช่วยไม่ได้ไทยดันไม่ฉลาดไปห้ามเขาเข้าเมืองไทยเอง

...

สิ่งที่น่าจับตาต่อไป

๑. รัฐบาลไทยและอภิสิทธิ์จะว่าอย่างไร กรณีเขตอำนาจศาลไอซีซีแบบ ratione personae อภิสิทธิ์อาจปฏิเสธว่าตนไม่ได้ถือสัญชาติอังกฤษแล้ว? เพราะผมค่อนข้างมั่นใจว่า กรณีนี้อัมเสตอร์ดัมเขาเก็บความลับได้ดีมาก เพิ่งมาเปิดเอาวันนี้ รัฐบาลไทยคงมึนไปหลายวัน

๒. เอสตาบลิชเม้นท์ไทย จะทำอย่างไร? เงียบ? ล็อบบี้สหรัฐอเมริกา? ล็อบบี้คณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ? หรือรัฐประหาร?

Thai crackdown on ‘red shirts’ planned years ago, report alleges






The Thai government’s crackdown on “red shirt” protesters last spring was planned nearly four years in advance and modelled on the 1989 Tiananmen Square massacre, a report contends, saying Prime Minister Abhisit Vejjajiva approved military force against unarmed civilians.
The report also alleged two Bangkok hospitals colluded with the Thai government to cremate bodies of civilians killed in skirmishes and to destroy evidence of possible crimes.
The report, prepared by the red shirts’ Toronto-based legal team, is expected to be filed with the International Criminal Court on Monday. It is asking the court to investigate whether the Thai government’s actions constituted crimes against humanity.
An estimated 90 people died and nearly 2,000 were wounded in clashes with government forces after demonstrators took to the streets of Bangkok, demanding Abhisit dissolve the legislature and hold elections.
A draft of the report, obtained by the Star, alleges Abhisit, along with senior government and army officials, began drawing up plans for suppressing anti-government protesters shortly after he assumed power in a military coup in 2006.
The plans included the construction of a full-scale mock-up of Rachadamnoen Ave. — an upscale street sometimes known as Bangkok’s Champs Élysées — where protesters were killed and injured last April 10, the report contends. The mock-up, which was built at a training ground used by the 11th regiment of the Thai army, included “killing zones.”
Thai military personnel, including snipers, rehearsed at the mock-up as early as February 2007, the report alleges.
Immediately after the 2006 coup, the country’s leaders came to a consensus that the red shirts would eventually rise up in protest, so they began planning military countermeasures, says the report, which names 15 senior Thai government, army and police officers.
“It is safe to say that the Royal Thai Army carried out an attack against the red shirt civilian population according to a ‘state or organizational policy’ devised and approved at the highest levels of the country’s civilian and military leadership,” lawyers Bob Amsterdam and Dean Peroff argue in the report.
It was prepared on behalf of the National United Front for Democracy against Dictatorship, the formal name for the red shirt movement.
Amsterdam has acknowledged that former Thai prime minster Thaksin Shinawatra, who was deposed in the 2006 coup, is helping to pay the movement’s legal expenses.
As part of their application to have the court investigate the events of last spring, the lawyers say they have affidavits from 88 witnesses who saw soldiers shoot at unarmed civilians, including three nurses, in a Buddhist temple on May 19, as well as affidavits from another 255 who witnessed the deadly April 10 confrontations.
Many of the witnesses are quoted in the report.
The application also includes a statement from “Anonymous Witness No. 22” — described as an amalgamation of testimony from several active-duty officers in the Thai military, who would be in grave danger if their identities were exposed, though the lawyers say they will provide all names to the court’s prosecutors.
That Thai military officials would provide evidence to assist the red shirts isn’t entirely surprising. Last month, The Economist magazine reported many army and police officers secretly support the protesters and feel the government crackdown was unjustified.
While loyally patrolling Bangkok’s streets by day in their green uniforms, some even showed up at demonstrators’ encampments at night dressed in red shirts, earning them the nickname “watermelons” (green on the outside, red on the inside).
One potential obstacle the red shirts face in getting the court to consider their complaint is whether Thailand comes within the court’s jurisdiction.
Thailand was not a signatory to the Rome Statute, which brought the court into existence in 2002, so the court would normally not have the authority to launch an investigation into the government’s activities.
But Amsterdam and Peroff argue the court still has the power to investigate Abhisit for possible crimes against humanity because he is a British citizen, born in England on Aug. 3, 1964.
The court has the authority to investigate and prosecute people who are citizens of countries that are its members, which the United Kingdom is.
While Thailand is not a member of the court, it is a member of the United Nations, and the UN Security Council can ask the court to investigate the government’s role in last spring’s demonstrations to determine whether it amounted to criminal activity, the report says.

อัมสเตอร์อัมแถลงข่าวส่งฟ้องคดีเสื้อแดงต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ














โรเบิร์ตอัมสเตอร์อัม ได้แถลงข่าวสด จากประเทศญี่ปุ่นเมื่อช่วง 11.30 น.ที่ผ่านมา โดยมีสื่อมวลชนญี่ปุ่นเข้าฟังอย่างคึกคัก โดยแถลงข่าวใจความสรุปว่า


" เมื่อคืนสำนักงานทนายความอัมสเตอร์ดัมได้ส่งคำฟ้องไปยังศาลอาญาระหว่างประเทศแล้ว
โดยมีรายละเอียดชัดเจนว่า ระหว่างการประท้วงของคนเสื้อแดงเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคมปีที่แล้ว ได้มีการใช้กระสุนจริงในการสลายการชุมนุมอย่างชัดเจนและมีการยิงฆ่าอย่างมีหลักฐานชัด

โดยสรุปได้แบ่งความผิดเป็นข้อๆดังนี้

* กองทัพจงใจสลายการชุมนุมเข่นฆ่าประชาชน โดยเฉพาะแกนนำ เมื่อ 10 เมษายน
* กองทัพจงใจสลายโดยเข้าสลายจากทุกจุดพร้อมกัน จงใจปิดล้อมจงใจฆ่าหมู่ไม่มีช่องทางให้หนีออกไปได้
* เมื่อไม่สำเร็จก็ใช้สไนเปอร์ิยิงจากระยะไกล มีการใช้สไนเปอร์อย่างเป็นทีมโดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีคำสั่งให้ใช้สไนเปอร์เป็นทีมตั้งแต่ 10-19 พ.ค.
* การใช้อาวุธต่างๆ ได้มีหลักฐานวิดิโอทั้งหมด ซึ่งเป็นวิดิโอจากกองทัพ
* กรณีชายชุดดำ รัฐพยายามบอกว่าชายชุดดำคือคนเสื้อแดง แต่ไม่เคยจับชายชุดดำได้เลยแม้แต่คนเดียวทั้งที่มีภาพข่าวและหลักฐานทางโทรทัศน์มากมาย
* มีหลักฐานและพยานมากมายว่าผุ้ชุมนุม ชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ
* การทำลายล้างโดยทหารและ ศอฉ. เกิดขึ้นจริง และมีการทำลายหลักฐานในสถานที่เกิดเหตุทั้งหมดโดยรัฐฯ (เช่นที่วัดปทุมฯ ทีทุบพื้น เทปูรอบโบสถ์ลบรอยกระสุนทิ้งทั้งหมด)
* มีหลักฐานในมือแล้วว่าคนเผาตึกเซ็นทรัลเวิร์ล ไม่ใช่คนเสื้อแดง เป็นชายชุดดำที่เตรียมการ ทั้งชุดและอุปกรณ์อย่างดี โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐให้การช่วยเหลือ
* การพิจารณาคดีในประเทศไทยนั้น ยาวนานเกินไป และหยุดนิ่งมานานเกินควรแล้ว
* ช่วงเมษา- พ.ค. เกิดสังหารหมู่ใหญ่ที่สุดใน ประวัติศาสตร์ไทย แต่ก็ไม่มีใครออกมาร้องขอความยุติธรรมให้กับคนกลุ่มนี้ คนกรุงเทพนิ่งปิดปากกับเหตุการณ์ทีเกิดขึ้น จึงเป็นหน้าที่ที่เสื้อแดงต้องรุกนำคดีขึ้นสู่ศาลทุกศาลในโลกนี้
* เหตุการปี 1976 / 1976 / 1992 ในประเทศไทยเกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ เมื่อมีการสอบสวนสักพักก็หายเงียบไป
* รัฐบาลไทยยังคงอยู่ได้ ไม่ต้องแสดงความรับผิดชอบใดๆ และรู้สึกมั่นใจอย่างสูงในอำนาจพิเศษที่ปกป้องตน
* ผู้สื่อข่าวญี่ปุ่นที่โดนฆ่าตายโดยไม่มีความคืบหน้าในการสอบสวนใดๆ ก็เป็นหลักฐานหนึ่งที่รัฐพยายามจะถ่วงเวลา ปิดกั้นและทำลายหลักฐานทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อหลักฐานต่างๆมากมายตรงหน้ายืนยันว่าการฆ่าเสื้อแดงเป็นการฆาตกรรมหมู่ จึงอดรนทนไม่ได้ที่จะไม่นำคดีขึ้นฟ้อง และไม่สามารถทนได้ที่จะนิ่งเฉยปล่อยกระบวนการยุติธรรมของไทยดำเนินไปยังล่าช้า
* หลังรัฐประหาร มีผู้มีบารมี ออกมาใช้กำลังทางการทหาร และตลอดจนการสลายการชุมนุมก็มีการชี้นำจากผู้มีบารมี มีคำสั่งให้ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้ผู้เชี่ยวชาญทางการทหารยิงสไนเปอร์ มาในลักษณะ มือที่สาม เพื่อโยนความผิดให้ฝั่งคนเสื้อแดง

คำถามจากบางกอกโพสท์ว่า ไอซีซี รับเรื่องหรือยัง
ตอบ ได้ยื่นเรื่องไปเรียบร้อยแล้ว แต่ปกติศาลจะไม่รับทันที แต่จะยังตรวจสอบหลักฐานต่อไป ซึ่งเหตุเพราะนายกฯ เป็นคนสัญชาติอังกฤษ ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงประเด็นสัญชาติของนายกฯให้ชัดเจน

คำถาม หากนายกฯ ใช้สัญชาติอังกฤษ จะมีปัญหาอย่างไรกับคดี
ตอบ ผู้มีสัญชาติในคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ มาตรา 12บี ระบุว่าสามารถดำเนินคดีได้ทันทีกับจำเลยที่มีสัญชาติที่เป็นสมาชิกได้ (หมายถึง ประเทศอังกฤษเป็นสมาชิกภาคีระหว่างประเทศของศาล และนายกฯ ก็เป็นคนในสัญชาติอังกฤษพอดี)



โพลชี้ "ว.วชิระเมธี-เหลือง / พระพยอม-แดง"


ผลวิจัยชี้สื่อและสังคมมอง "ว.วชิรเมธี-พระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ" เป็นพระเสื้อเหลือง ส่วน "พระพยอม-พระมหา ดร.สมชาย ฐานวุฑฺโฒ" พระเสื้อแดง นอกจากนี้โพลยังระบุว่า พระอีสานเลือกฝ่ายเสื้อแดงมากที่สุด 57.3% ส่วนพระใต้เลือกเสื้อเหลืองมากสุด 27.3%

เมื่อวันที่ 30 มกราคม นายสุรพศ ทวีศักดิ์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต (มสด.) ศูนย์การศึกษาหัวหิน เปิดเผยว่า ได้ทำโครงการวิจัยเรื่อง "ทำไมพระสงฆ์ส่วนใหญ่เลือกฝ่ายเสื้อแดง" เก็บข้อมูลตั้งแต่เดือนมีนาคม-ธันวาคม 2553 โดยลงพื้นที่สำรวจความคิดเห็นพระสงฆ์ทุกภูมิภาค 512 รูป อาทิ พระสงฆ์ที่ออกมาชุมนุมกับคนเสื้อแดง 75 รูป พระสงฆ์ภาคกลาง 85 รูป ภาคเหนือ 128 รูป ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) 122 รูป และภาคใต้ 102 รูป ทั้งนี้ ได้เจาะจงเก็บข้อมูลจากพระนิสิต-นักศึกษา คณาจารย์ และผู้บริหารของวิทยาเขตมหาวิทยาลัยสงฆ์ 2 แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) และมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) ซึ่งกระจายอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ

นายสุรพศกล่าวว่า จากผลการสำรวจสรุปได้ว่า ท่าทีและบทบาทของพระสงฆ์แบ่งได้ 3 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่ม 1 พระสงฆ์ส่วนใหญ่ยืนยันว่าไม่ได้เลือกฝ่ายเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดง โดยพระสงฆ์ในภาคใต้ไม่เลือกฝ่ายการเมืองมากที่สุด 68% รองลงมาภาคกลาง 60.3% ภาคเหนือ 60.3% และน้อยที่สุด ภาคอีสาน 40%, กลุ่ม 2 กลุ่มพระสงฆ์ที่ยืนยันชัดเจนว่าเลือกฝ่ายเสื้อเหลืองและเสื้อแดง ซึ่งมีทั้งที่ออกมาชุมนุม ไม่ออกมาชุมนุม และเป็นพระที่มีชื่อเสียงที่แสดงความคิดเห็นทางการเมืองเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณะ ในกลุ่มพระสงฆ์ที่เลือกฝ่ายทางการเมืองนี้ พระสงฆ์ที่เลือกฝ่ายเสื้อแดงมีจำนวนมากกว่า โดยพระสงฆ์ภาคอีสานเลือกฝ่ายเสื้อแดงมากที่สุด 57.3% รองลงมา ภาคเหนือ 47% ภาคกลาง 33% และภาคใต้ 4.7%, ส่วนพระสงฆ์ที่เลือกฝ่ายเสื้อเหลือง พระสงฆ์ภาคใต้เลือกฝ่ายเสื้อเหลืองมากที่สุด 27.3% รองลงมา ภาคกลาง 6.7% ภาคเหนือ 3.7% และภาคอีสาน 2.7%

"กลุ่ม 3 พระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงถูกมองว่าเลือกสีนั้นสีนี้ แต่เมื่อผู้วิจัยไปสัมภาษณ์แล้ว ยืนยันด้วยตัวท่านเองว่าเป็นกลาง ได้แก่ พระสงฆ์ที่ถูกสื่อ และสังคมมองว่า เลือกฝ่ายเสื้อเหลือง หรือเป็น "พระเสื้อเหลือง" คือ พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว.วชิรเมธี) ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตยาลัย และพระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ ประธานมูลนิธิเมตตาธรรมรักษ์ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่, 2.พระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงที่ถูกสื่อและสังคมมองว่า "เลือกฝ่ายเสื้อแดง" หรือเป็น "พระเสื้อแดง" คือ พระราชธรรมนิเทศ (พยอม กลฺยาโณ) เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว นนทบุรี และพระมหา ดร.สมชาย ฐานวุฑฺโฒ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และ 3.พระไพศาล วิสาโล ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย และมีบทบาทเป็นที่รู้จักในฐานะพระสงฆ์นักสันติวิธี นักกิจกรรมสังคม และมีบทบาทในด้านความเป็นกลางอย่างเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณะมากที่สุดสำหรับเหตุผลในการเลือกฝ่ายทางการเมือง" นายสุรพศกล่าว

นายสุรพศกล่าวว่า จากการทำวิจัยพบว่า เหตุผลที่พระสงฆ์เลือกฝ่ายทางการเมืองมี 2 ปัจจัย ได้แก่ 1.เหตุผลทางการเมือง พระสงฆ์ที่ออกมาชุมนุมกับคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ต้องการประชาธิปไตย 49.3% และเพื่อต่อต้านรัฐประหารเป็นหลัก 34.7% มีเพียงส่วนน้อย 5.7% ที่เรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาเป็นนายกฯ อีก ส่วนพระสงฆ์ภาคอีสาน 77.7% ภาคกลาง 68.3% และภาคเหนือ 65.7% ส่วนใหญ่มีเหตุผลทางการเมือง เพื่อต้องการประชาธิปไตย และต่อต้านรัฐประหาร ยกเว้นภาคใต้ที่พระสงฆ์ส่วนใหญ่ 4.7% อ้างเหตุผลเรื่องต้องการประชาธิปไตย ต่อต้านคอร์รัปชัน และไม่ต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาเป็นนายกฯ ในสัดส่วนที่สูงกว่าการต่อต้านรัฐประหาร คือมีพระสงฆ์ที่อ้างเหตุผลต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ 18% ขณะที่อ้างเหตุผลต่อต้านรัฐประหาร 15%

นายสุรพศกล่าวว่า 2.เหตุผลทางจริยธรรมพบว่า พระสงฆ์ส่วนใหญ่ต้องการให้สังคมมีความยุติธรรม ไม่ต้องการสองมาตรฐาน ต้องการเห็นการเมืองมีจริยธรรม/ ธรรมาธิปไตย และต้องการให้ยุติความขัดแย้งด้วยสันติวิธี ตามลำดับ คือพระสงฆ์ที่ร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดง 70% และพระสงฆ์ส่วนใหญ่ในภาคกลาง 64% ภาคเหนือ 73% และภาคอีสาน 77.7% ต่างยืนยันเหตุผลเรื่องต้องการความยุติธรรม และไม่ต้องการสองมาตรฐาน แต่พระสงฆ์ภาคใต้ส่วนใหญ่ 60% ต้องการเห็นการเมืองมีจริยธรรม/ ธรรมาธิปไตย และต้องการให้ยุติความขัดแย้งด้วยสันติวิธี

"นอกจากนี้ ได้สัมภาษณ์แนวคิดเชิงลึกของพระสงฆ์ด้วย ได้แก่ พระครูปลัดสุวัฒนจริยคุณ รองอธิการบดี มจร.มองว่า ปัจจุบันสังคมไทยยังไม่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง เพราะพวกอำมาตย์ทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และเป็นรัฐบาลพรรคเดียวครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย พวกอำมาตย์ใช้กลไกทุกอย่างเพื่อทำลายนักการเมือง และพรรคการเมืองที่มาจากประชาชน ทั้งกลไกองคมนตรี ให้องคมนตรีมาเป็นนายกฯ ใช้กลไกลกองทัพให้ไม่ยอมทำงานในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่เอาจริงเอาจังผิดปกติในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใช้กลไกศาลที่เรียกว่าตุลาการภิวัตน์ และใช้กลไกคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และสุดท้ายใช้พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โดยการไปฟอร์มรัฐบาลในค่ายทหาร แล้วก็ยอมทำทุกอย่าง แม้จะรู้ว่าทำเช่นนั้นแล้วว่าประชาชนต้องตาย ทั้งหมดก็เพื่อคำตอบสุดท้ายคือ รักษาอำนาจของตัวเอง และพรรคพวก โดยไม่เคารพเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน"นายสุรพศกล่าว

นายสุรพศกล่าวว่า ส่วนพระไพศาล วิสาโล มองต่างออกไปว่า "เสื้อแดงไม่ได้พูดชัดเจน เขาบอกว่าจุดยืนคือให้ยุบสภา ไม่ได้บอกว่าไม่เอารัฐประหาร ซึ่งมันไม่เวิร์ค เพราะว่าไม่มีรัฐประหารอยู่แล้ว รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็มาจากการเลือกตั้งใช่หรือไม่ อาจจะมีเส้นสนกลในก็แล้วแต่ แต่ว่าเสื้อแดงเขาเรียกร้องยุบสภาใช่หรือไม่ เขาไม่ได้เป็นกลุ่มต่อต้านรัฐประหาร เพราะว่าเขาไม่รู้จะไปต่อต้านกับใคร เพราะรัฐบาลไม่ใช่รัฐประหาร"

นายสุรพศกล่าวว่า เมื่อถามพระมหาโชว์ ทัสสนีโย ว่าเสื้อเหลืองเขาชูประเด็น "เราจะสู้เพื่อในหลวง" หรือเพื่อปกป้องสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ พระสงฆ์ที่โดยปกติก็ยอมรับ หรือเป็นกลไกในการปลูกฝังแนวคิดเช่นนี้แก่ประชาชนอยู่แล้ว ทำไมไม่เลือกฝ่ายเสื้อเหลือง พระมหาโชว์ตอบว่า "ถ้าเขาจงรักภักดีจริง ทำไมจึงอ้างสถาบันเพื่อทำลายศัตรูทางการเมือง ดึงสถาบันลงมาเป็นเงื่อนไขในการแบ่งประชาชนออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายเอาสถาบัน กับไม่เอาสถาบัน อาตมาว่ามันไม่ถูก สถาบันต้องอยู่เหนือการเมือง ไม่ควรถูกดึงลงมายุ่งการเมือง"

นายสุรพศกล่าวว่า ขณะที่พระครูปริยัติธรรมวงศ์ (สุพล ธมฺมวํโส) อาจารย์ประจำแขนงวิชาศาสนาและปรัชญา มจร.วิทยาเขตขอนแก่น มองว่า "ทุกวันนี้คนมันก็หูตาสว่าง พระเข้าไปดูข้อมูลในอินเตอร์เน็ตได้หมด ก็พอจะแยกแยะได้ในระดับหนึ่งว่าอะไรจริง อะไรเท็จ เรื่องสถาบันเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือไม่ ถ้าฟังจากปากคนเสื้อแดง อาตมาก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไร แต่ก็มีคำพูดของฝ่ายเสื้อเหลือง ราก็นำมาคิดตามหลักพุทธ พระพุทธเจ้าท่านเคารพธรรม หมายความว่าพระองค์เคารพหลักการที่ถูกต้อง เพราะการรักษาหลักการที่ถูกต้องจะทำให้ส่วนรวมอยู่ได้ อาตมาก็เลยคิดว่าเสื้อแดงที่พูดจริงจังกับเรื่องนี้ เขาต้องการรักษาหลักการประชาธิปไตย ไม่ใช่ต้องการทำลายสถาบัน"

นายสุรพศกล่าวต่อว่า พระครูปริยัติธรรมวงศ์ยังมองอีกว่า "หลายๆ เรื่องในเกมการเมือง อาตมาไม่สามารถรู้ได้ว่าอะไรจริง อะไรเท็จ ต่างฝ่ายต่างกล่าวหากันมาไป ใครอยู่เบื้องหน้าเบื้องหลังบ้างก็ไม่รู้ได้ด้วยตนเอง แต่ที่เห็นได้ชัดเลย ที่เป็นข้อเท็จจริงที่เห็นได้เต็มตาเลยคือ ชาวบ้านเขาเสียใจ เขาเป็นเดือดเป็นแค้น หลายๆ คนร้องไห้เสียใจที่รัฐบาลที่เขาเลือกถูกล้มไป พ.ต.ท.ทักษิณจะหลอกให้ชาวบ้านรักคลั่งไคล้ได้ขนาดนี้หรือ ถ้าเขาไม่ได้ทำอะไรให้ชาวบ้านเลย ป้าที่ขายลูกชิ้นปิ้งข้างวัดบอกว่า ไอ้จนนี่มันก็จนมาตั้งแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ก็ไม่ได้อ้างความจนออกมาชุมนุมขอความเมตตาจากใครหรอก แต่ที่ดูถูกประชาชน ปล้นอำนาจประชาชนนี่มันทนไม่ได้ มันไม่ยุติธรรม"

นายสุรพศกล่าวว่า ส่วนพระราชธรรมนิเทศ (พยอม กลฺยาโณ) ที่ยืนยันว่าท่านไม่เลือกฝ่าย ก็มองประเด็นเดียวกันนี้ว่า "ตอนนี้มันปิดกันไม่อยู่แล้ว ถ้าสมัยก่อนไม่มีเว็บ ไม่มีหลักฐานอะไรบางอย่างแพร่ออกไปได้ เชื่อว่าสำเร็จ ทำได้ ถ้าเอาสมัย 6 ตุลาฯ ชูสถาบันขึ้นมาแล้วก็ปราบนักศึกษา ปราบประชาชนอะไรเนี่ย มันเป็นเครื่องมือของพวกนั้น แต่ตอนนี้คุณดูแค่เล่มนี้เล่มเดียวก็แย่แล้วไปไม่รอด"

วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

Clinton addresses Egypt’s future

Clinton addresses Egypt’s future
BREAKING: Clinton addresses Egypt’s future

(CNN) - U.S. Secretary of State Hillary Clinton told NBC's "Meet the Press" program on Sunday that, "thankfully, we do not have any reports of any American citizens killed or injured" in Egypt's anti-government demonstrations.

– Secretary Clinton told the ABC program "This Week" that "there is no discussion right now about cutting off aid" to Egypt.

– On CNN's "State of the Union," Clinton said, "We do not want to send any message about backing forward or backing back. What we're trying to do is to help clear the air so that those who remain in power, starting with President Mubarak, with his new vice president, with the new prime minister, will begin a process of reaching out, of creating a dialogue that will bring in peaceful activists and representatives of civil society to, you know, plan a way forward that will meet the legitimate grievances of the Egyptian people."

เรือนแสนล้นวัด "ถวายน้ำสรงศพ" ไว้อาลัยพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน







ผู้สื่อข่าวรายงานจาก วัดเกสรศีลคุณ หรือวัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี ว่า พระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด ได้ละสังขารเมื่อเวลา 03.53 น. ภายในห้องปลอดเชื้อกุฎิหลวงตา โดยมี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เฝ้าดูอาการพร้อมคณะแพทย์และลูกศิษย์อย่างใกล้ชิด ศพหลวงตาถูกเคลื่อนจากห้องปลอดเชื้อ เข้าไปอยู่ห้องข้างๆ ซึ่งเป็นห้องพักของหลวงตา โดยมีกำหนดจะประกอบพิธี หลังจากพระฉันภัตราหารเช้าแล้ว


ต่อมาเมื่อเวลา 07.00 น. ที่ศาลาเล็กภายในวัดป่าบ้านตาด หลวงปู่ลี กุสลธโร เจ้าอาวาสวัดถ้ำผาแดง อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี , พระครูอรรถกิจ นันทคุณ หรือพระอาจารย์นภดล นนทะโน เจ้าอาวาสวัดป่าดอยลับงา จ.กำแพงเพชร และ นายแพทย์พิชาติ ดลเฉลิมยุทธนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี ร่วมกันแถลงข่าวถึงอาการอาพาธของหลวงตา ท่ามกลางศิษยานุศิษย์และสื่อมวลชนจำนวนมาก


นายแพทย์พิชาติ ดลเฉลิมยุทธนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี เปิดเผยว่า คำชี้แจงคณะแพทย์ เวลา วันที่ 30 มกราคม เวลา 02.49 น.หลวงตามีอาการทรุดลง อยู่ในภาวะวิกฤติ ระดับความดันโลหิตเริ่มต่ำลง ตรวจพบสมองหยุดทำงาน เวลา 03.25 น. ตรวจพบม่านตาขยาย ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า เวลา 03.40 น. ชีพจร 54 ครั้งต่อนาที ความดันโลหิต 38/49 มิลลิเมตรปรอท ออกซิเจนในเลือดมีค่าเท่ากับศูนย์ เวลา 03.50 น. ชีพจร 49 ครั้งต่อนาที ความดันโลหิต 38/16 มิลลิเมตรปรอท ออกซิเจนในเลือดมีค่าเท่ากับศูนย์ เวลา 03.53 นาที หัวใจหยุดเต้นและหยุดหายใจ จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบทั่วกัน


พระครูอรรถกิจ นนทคุณ กล่าวว่า จากที่ทางคณะแพทย์ได้แถลงไปแล้ว คณะสงฆ์เริ่มแน่ใจว่าหลวงตาจะนิพพาน เมื่อคณะแพทย์ได้ตรวจดูที่สมองจนแน่ใจว่าสมองหยุดทำงาน พระสงฆ์ได้มารวมกันและเข้าที่ภาวนาอย่างสงบกันตั้งแต่ 02.49 น. เมื่อพบว่าหัวใจหยุดทำงานและไม่หายใจ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ก็ได้ประกาศให้ทราบทั่วกันที่เวลา 03.53 น.และได้กราบทูลสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ รวมศิริอายุ 97 ปี 5 เดือน 18 วัน 77 พรรษา

"ญาณสัมปันนาลัย"

“ญาณสัมปันนาลัย”

“พระอาจารย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน”

"พระอาจารย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน" แห่งวัดป่าเกสรศีลคุณ (วัดป่าบ้านตาด) ละสังขารแล้วเมื่อเวลา 03.53 น. สิริรวมอายุ 98 ปี
ฟ้าหญิงฯเสด็จวัดป่าบ้านตาด


ประวัติ

พระธรรมวิสุทธิมงคล

พระอาจารย์หลวงตา พระมหาบัว ญาณสัมปันโน

กำเนิด ในครอบครัวชาวนาผู้มีอันจะกิน ณ บ้านตาด อุดรธานี

http://www.luangta.com/images/icon_yellow.gif วันเกิด ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๔๕๖

http://www.luangta.com/images/icon_yellow.gif นาม บัว โลหิตดี

http://www.luangta.com/images/icon_yellow.gif พี่น้องทั้งหมด ๑๖ คน

http://www.luangta.com/images/icon_yellow.gif สมัยเด็ก เคารพเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา โดยได้ร่วมทำบุญตักบาตรกับผู้ใหญ่อยู่เสมอ

http://www.luangta.com/images/icon_yellow.gif วัยหนุ่ม เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัว ขยันขันแข็ง ทำงานอะไรทำจริงๆ จังๆ เป็นที่ไว้วางใจของพ่อแม่ในการงานทั้งปวง

http://www.luangta.com/images/icon_yellow.gif คู่ครอง เดิมไม่เคยคิดจะบวช เพราะอยากมีครอบครัว แต่มักมีอุปสรรคให้แคล้วคลาดทุกทีไป

http://www.luangta.com/images/icon_yellow.gif เหตุที่บวช เมื่ออายุครบ ๒๐ ปี พ่อแม่ขอร้องให้บวชตามประเพณีอยู่หลายครั้ง ท่านก็ทำเฉย ๆ ตลอดมา ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธแต่อย่างใด ในครั้งสุดท้ายนี้ ด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้า หวังพึ่งใบบุญจากการบวชของลูกให้ได้ ถึงกับทำให้พ่อแม่น้ำตาร่วง ครั้งนี้ท่านรู้สึกสะเทือนใจและเห็นใจพ่อแม่มาก จึงตัดสินใจ และยอมบวชตามประเพณี เพื่อตอบแทนพระคุณพ่อแม่ โดยตั้งใจไว้ในตอนต้นนี้ว่า จะบวชเพียงระยะสั้น ๆ เท่านั้น

http://www.luangta.com/images/icon_yellow.gif วันบวช ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ณ วัดโยธานิมิตร อุดรธานี

http://www.luangta.com/images/icon_yellow.gif พระอุปัชฌาย์ ชื่อ ท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์(จูม พันธุโล) วัดโพธิสมภรณ์

http://www.luangta.com/images/icon_yellow.gif เคารพพระวินัย ด้วยเดิมมีนิสัยจริงจัง จึงบวชเพื่อเอาบุญกุศลจริง ๆ และตั้งใจรักษาสิกขาบทวินัยน้อยใหญ่อย่างเคร่งครัด ในพรรษาแรกท่านได้ตั้งสัจอธิษฐานว่า ในการทำวัตรเช้า-เย็นรวมและการบิณฑบาต จะไม่ให้มีวันใดขาดเลย และท่านก็ทำได้ตามที่ตั้งคำสัตย์ไว้

http://www.luangta.com/images/icon_yellow.gif เรียนปริยัติ เมื่อได้เรียนหนังสือทางธรรม ตั้งแต่นวโกวาท พุทธประวัติ ประวัติพระสาวกอรหันต์ ที่ท่านมาจากสกุลต่าง ๆ ตั้งแต่พระราชา เศรษฐี พ่อค้า จนถึงประชาชน หลังจากฟังพระพุทธโอวาทแล้ว ต่างก็เข้าบำเพ็ญเพียรในป่าเขาอย่างจริงจัง เดี๋ยวองค์นั้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในป่า เดี๋ยวองค์นี้สำเร็จในเขา ในเงื้อมผา ในที่สงบสงัด ท่านก็เกิดความเชื่อเลื่อมใสขึ้นมา อยากจะเป็นพระอรหันต์ พ้นจากทุกข์ทั้งปวงในชาตินี้อย่างพระสาวกท่านบ้าง

http://www.luangta.com/images/icon_yellow.gif คืนแห่ง..ความสำเร็จ จากนั้นไม่นานท่านก็มุ่งสู่วัดดอยธรรมเจดีย์ (ปัจจุบันอยู่ อ.โคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนคร) เป็นช่วงพรรษาที่ ๑๖ ของท่าน บนเขาลูกนี้นี่เองของคืนเดือนดับแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ (จันทร์ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓) เวลา ๕ ทุ่มตรง ท่านได้บรรลุธรรมด้วยความอดทนพากเพียร พยายามอย่างสืบเนื่องตลอดมา นับแต่วันออกปฏิบัติกรรมฐานอย่างเต็มเหนี่ยวรวมเวลา ๙ ปี

คืนแห่งความสำเร็จระหว่างกิเลสกับธรรมภายในใจของท่านจึงตัดสินกันลงได้ ด้วยความประจักษ์ใจ หายสงสัยทุกสิ่งทุกอย่างเรื่องภพชาติ เรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย กิเลสตัณหา อาสวะทุกประเภทได้ขาดกระเด็นออกไปจากใจในคืนวันนั้นเอง


http://www.luangta.com/images/icon_yellow.gif ยืนยัน...ชาตินี้ ชาติหน้า อดีตชาติ มีจริง สภาวะธรรมในใจของท่านขณะนั้น ท่านเคยเล่าให้พระภิกษุในวัดป่าบ้านตาดฟังว่า "เกิดความสลดสังเวชภพชาติแห่งความเป็นมาของตน และเกิดความอัศจรรย์ในพระพุทธเจ้า พระสาวกอรหันต์ที่ท่านหลุดพ้นไปแล้ว ท่านก็เคยเป็นมาอย่างนี้ เราก็เป็นมาอย่างนี้ แต่คราวนี้เป็นความอัศจรรย์ในวาระสุดท้าย ได้ทราบชัดเจนประจักษ์ใจ เพราะตัวพยานก็มีอยู่ภายในจิตนั้นแล้ว แต่ก่อนจิตเคยมีความเกี่ยวข้องพัวพันกับสิ่งใด บัดนี้ไม่มีสิ่งใดจะติดจะพัวพันอีกแล้ว..."

http://www.luangta.com/images/icon_yellow.gif สงเคราะห์...พระเณร กิจสูงสุดในพระพุทธศาสนา ท่านสมบูรณ์แล้วเหมือนพระในครั้งพุทธกาลที่ออกบวชมุ่งปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น หลังจากนั้นท่านก็เมตตาสงเคราะห์โลก


เนื่องจากพระเณรหมู่เพื่อนเคยได้ยินท่านพระอาจารย์มั่นปรารภถึงท่านอยู่เนือง ๆ ว่า "ท่านมหาฯฉลาดทั้งภายนอกภายใน ต่อไปจะเป็นที่พึ่งแก่หมู่คณะได้มาก" ดังนั้น หลังพิธีศพท่านพระอาจารย์มั่นเสร็จสิ้นลง พระเณรหมู่คณะหลายสิบรูป จึงต่างพากันติดตามท่าน เพื่อหวังพึ่งพิงและขอรับคำแนะนำข้ออรรถธรรม และข้อวัตรปฏิบัติจากท่าน ท่านก็ให้การเมตตาอนุเคราะห์แต่นั้นมา จนทุกวันนี้


การเทศนาพระเณร-ฆราวาส ปรากฏออกมาเป็นเทป-หนังสือจำนวนมากโดยแจกเป็นธรรมทานตลอดมา ไม่มีการซื้อขายแต่อย่างใด เฉพาะหนังสือธรรมะภาษาไทยมีจำนวนกว่า ๑๐๒ เล่ม ภาษาอังกฤษกว่า ๘ เล่ม เทปเฉพาะที่มีการบันทึกการเทศนามีหลายพันกัณฑ์


http://www.luangta.com/images/icon_yellow.gif ตอบแทนพระคุณ..มารดา ท่านแนะสอนธรรมะแก่โยมมารดา และให้บวชปฏิบัติธรรม ด้วยหวังอยากให้รู้เห็นและพบความสุขจากธรรมนี้บ้าง จึงจำเป็นต้องตั้งวัดป่าบ้านตาดขึ้นมา ท่านคอยเอาใจใส่ดูแลโยมมารดาทั้งทางด้านร่างกาย พวกปัจจัย ๔ อาหาร หยูกยา ปัจจัยใช้สอยทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งให้คำแนะนำทางด้านจิตใจด้วยจิตภาวนาอย่างจริงจัง ด้วยระลึกพระคุณ แม้โยมมารดาจะสิ้นไปแล้วก็ตาม ท่านก็ไม่เคยลืมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ โดยทำบุญในวันคล้ายวันเสียชีวิตประจำทุกปีตลอดมา

ในวาระสุดท้ายก่อนหน้าโยมมารดาจะจากโลกไป ท่ามกลางทุกขเวทนากล้าที่พร้อมจะให้สิ้นชีวิตได้ทุกเมื่อ ท่านได้เข้าเยี่ยม และถามอาการ โยมมารดาตอบว่า "ร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยก็จริง แต่ใจนั้นใสสว่างกระจ่างแจ้งอยู่ตลอดเวลา" จึงเป็นที่เชื่อแน่ได้ว่า โยมมารดาของท่านได้ทรงอริยธรรมขั้นใดขั้นหนึ่งอย่างแน่นอน นับว่าสมเจตนารมณ์ของท่านที่ได้ทดแทนพระคุณโยมมารดาอย่างเต็มที่


http://www.luangta.com/images/icon_yellow.gif โปรด...ชาวอังกฤษ ฝรั่งชาวพุทธในอังกฤษ มีความสนใจต่อการปฏิบัติธรรมเป็นจำนวนมาก กราบขออาราธนานิมนต์ให้ท่านเมตตาเดินทางไปโปรด เพื่อบรรยายสอนธรรม ท่านก็เมตตาไปในช่วง ๗-๒๒ มิถุนายน ๒๕๑๗ โดยมีพระชาวอังกฤษและแคนาดา ที่จำพรรษาอยู่ ณ วัดป่าบ้านตาด ติดตามไปด้วย แม้ระยะต่อมาก็ประสงค์อยากกราบขอนิมนต์ท่านไปอีก แต่ด้วยปัญหาเรื่องสุขภาพและวัยชรา ท่านจึงงดเดินทางไปเทศนาตามสถานที่ต่าง ๆ ในต่างประเทศ

http://www.luangta.com/images/icon_yellow.gif สงเคราะห์...โรงพยาบาล ด้วยเหตุที่ท่านเคยเห็นสภาพคนไข้ ที่ต่างรอความหวังจากหมอ ว่าเป็นสภาพที่น่าสงสารมาก เหมือนคนจนตรอกจนมุม เมื่อวิ่งมาหาหมอ หากไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัยที่ดีพอ ก็ก้าวไม่ออกรักษาไม่ได้ และสภาพคนชนบทก็เป็นคนยากจนส่วนมาก การบำบัดรักษาถ้าพอเป็นไปได้ก็ควรให้การรักษาใกล้บ้าน จะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินทองมากในการเดินทาง ตลอดสถานที่พักอาศัยการกินอยู่หลับนอน

ด้วยเหตุนี้ท่านจึงให้ความเอาใจใส่ต่อสถานพยาบาลต่าง ๆ ตลอดมาแบบเงียบๆ จนถึงขณะนี้ท่านได้สงเคราะห์ช่วยเหลือโรงพยาบาลในจังหวัดต่าง ๆ กว่า ๑๐๐ โรง โดยทั้งก่อสร้างตึกอาคารผู้ป่วย สงฆ์อาพาธ ห้องผู้ป่วย ห้องผ่าตัด ตั้งกองทุนศูนย์พิทักษ์ดวงตา กองทุนสงเคราะห์คนพิการ ซื้อที่ดิน บริจาครถยนต์พยาบาล และเครื่องมือต่าง ๆ เช่น เครื่องเอกซเรย์ อุลตร้าซาวด์ เครื่องตรวจคลื่นหัวใจ เครื่องช่วยชีวิตเด็ก ช่วยหายใจเด็กทารก เครื่องคลอด เตียงทำฟัน ฯลฯ รวมแบ่งเป็นประเภท ๆ ของรายการการสงเคราะห์ รวมแล้วกว่า ๕๐๐ รายการ


http://www.luangta.com/images/icon_yellow.gif สงเคราะห์...หน่วยราชการ การช่วยเหลือหน่วยราชการ ท่านก็เมตตาให้ตามเหตุผลความจำเป็น ตัวอย่างหน่วยงานที่ท่านช่วยเหลือ เช่น กองกำกับการตำรวจตระเวณชายแดน ๒๔ ค่ายเสณีรณยุทธ์, ตำรวจทางหลวงจังหวัด, สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมือง, สำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท, สถานีตำรวจภูธรกิ่งอำเภอภูพาน, สถานีตำรวจภูธรอำเภอน้ำหนาว, ตำรวจสันติบาลจังหวัด, เรือนจำจังหวัด, สถานีรถไฟจังหวัดอุดรธานี

http://www.luangta.com/images/icon_yellow.gif สงเคราะห์...โรงเรียน ท่านเมตตาช่วยด้านอาคารเรียน วัสดุอุปกรณ์ต่าง สื่อการเรียนการสอน และอื่น ๆ ตัวอย่างโรงเรียน ได้แก่ ร.ร.สตรีราชินูทิศ ร.ร.บ้านตาด ร.ร.อุดรธรรมานุสรณ์ ร.ร.หนองแสงวิทยา ร.ร.บ้านดงเมือง ร.ร.บ้านหนองตุ เป็นต้น

http://www.luangta.com/images/icon_yellow.gif สงเคราะห์...ผู้ด้อยโอกาส ตัวอย่างเช่น สถานสงเคราะห์เด็กพิการทางสมองและปัญญา ปากเกร็ด ท่านอนุเคราะห์ให้ตั้งกองทุนโดยนำดอกเบี้ยออกมาใช้จ้างพี่เลี้ยงจำนวน ๑๒ คน จ่ายเป็นรายเดือนเริ่มแต่ปี ๒๕๓๓ สถานสงเคราะห์อื่น ๆ เช่น บุคคลปัญญาอ่อนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ, เด็กหญิงภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ทัณฑสถานหญิง กรมราชทัณฑ์ บางเขน ท่านอนุเคราะห์ช่วยก่อสร้างเรือนนอน ๑ หลังมูลค่า ๓ ล้านกว่าบาท ตั้งกองทุนยารักษาโรค ๑ ล้านบาท และเคยช่วยเหลือจ่ายค่าจ้างเลี้ยงดูเด็กรายเดือนอยู่หลายปี (ตั้งแต่ปี ๒๕๓๗ ปัจจุบันไม่ได้ให้แล้ว)


http://www.luangta.com/resume/images/image8.jpghttp://www.luangta.com/images/icon_yellow.gif สงเคราะห์...สัตว์ ท่านอนุเคราะห์สัตว์ป่าในวัดอย่างทั่วถึงตลอดมา โดยเข้มงวดกับพระเณรให้ดูแลเรื่องอาหาร(กล้วย ข้าวสาร) น้ำ ไม่ให้ขาดตกบกพร่องแก่สัตว์ เช่น ไก่ป่า กระรอก กระจ้อน กระแต กระต่าย ท่านว่าเรามีปากมีท้องมีหิว เขาก็เช่นกันกับเรา เราต้องเมตตาสงสารเขา เขาเกิดมาตามวิบากวาระแห่งกรรม เขาก็มีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์เหมือนกับเรา เราเองก็มีโอกาสกระทำผิดพลาดกลายเป็นสัตว์แบบเขาได้ จึงไม่ควรประมาทกัน แต่ให้เห็นใจสงสารกัน ช่วยเหลือสงเคราะห์กันไป

บ้านสัตว์พิการ ซอยพระการุณย์ ปากเกร็ด เป็นสถานที่อาศัยของสัตว์พิการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สุนัข มีจำนวนมากหลายร้อยตัว อื่น ๆ เช่น แมว ไก่ เต่า นก ฯลฯ ท่านช่วยเหลือโดยซื้อที่ดิน ๒ งาน สร้างอาคาร ๓ ชั้นเป็นที่พัก และที่ทำการรักษาสัตว์ที่เจ็บป่วย เช่น สุนัขโดนรถชน เป็นต้น นอกจากนี้ท่านยังช่วยค่าอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ และอื่น ๆ โดยให้เป็นรายเดือน ๆ ละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ตั้งแต่ปี ๒๕๓๗ เป็นต้นมา และสถานที่อีกแห่งหนึ่งคือ บ้านสงเคราะห์สุนัข ถ.พุทธมณฑลสาย ๓ มีสุนัขกว่าสองร้อยตัว ท่านช่วยเหลือขยายที่ดินเพิ่มให้ ๒ แปลง และช่วยเหลือค่าอาหาร ยา และอื่น ๆ เป็นรายเดือน ๆ ละ ๓๐,๐๐๐ บาท

วาระสุดท้ายท่านเข้ารับการรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลศิริราช และกลับมาพักอีกครั้งยังวัดป่าบ้านตาดเมื่อปลายปี ๒๕๕๔