วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ทักษิณ ดอดพบ เนลสัน


นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แถลงวันที่ 31 สิงหาคมกรณี นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเดินทางไปเยือนประเทศมอนเตเนโกรว่า แม้การเดินทางครั้งนี้นายกษิตอ้างว่าเป็นการเดินทางไปคุยเรื่องทั่วไป ไม่มีกรณีพ.ต.ท.ทักษิณ แต่คงไม่มีใครเชื่อ คงหวังที่จะให้รัฐบาลมอนเตเนโกร ส่งตัวพ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งเรื่องนี้ นายกฯและรัฐบาลมอนเตเนโกร ยืนยันว่าจะไม่ส่งกลับแน่นอน อีกทั้งวันนี้พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นประชาชนและถือพาสปอร์ตมอนเตเนโกร

ทั้งนี้ปฏิบัติการณ์ไล่ล่าอดีตนายกฯอย่างสุดขอบฟ้ายังมีต่อไป เพียงแต่เปลี่ยนจาก นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ เพราะมาเป็นส.ส.ประชาธิปัตย์แล้ว มาเป็นนายกษิต ถามว่าเป็นธรรมหรือไม่กับการไล่ล่าคนๆเดียว ต้องนำภาษีคนเสื้อแดง เสื้อเหลือง ข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ และสถานทูตต่างๆ ตราบใดที่ยังมีการไล่ล่า ทัศนคติผู้นำของไทยเรื่องความปรองดอง คงยังไม่เกิดขึ้น

นายนพดลกล่าวว่า กรณีกระแสข่าวพ.ต.ท.ทักษิณ ป่วยเป็นมะเร็งหรือสื่อบางสำนักระบุถึงขั้นว่า ตายไปแล้ว นั้นยืนยันว่าไม่มีแน่นอน ท่านยังสุขภาพแข็งแรงดี ไม่ได้ป่วยเป็นมะเร็ง ในช่วงที่ท่านทวิตข้อความมาก็บอกว่าป่วย ไม่ทวิตมาก็บอกว่าป่วย เลยไม่รู้จะเอาอย่างไร พ.ต.ท.ทักษิณนิ่งเงียบหายไปไม่ได้ป่วย แต่เพราะท่านอยากให้ความปรองดองเกิดขึ้นอย่างแท้จริง และจะได้ไม่ถูกนำมาเป็นข้ออ้างว่าเป็นอุปสรรคในการแก้ไขปัญหา การเดินทางไปต่างประเทศมี2อย่าง คือ 1.ไปพบปะผู้นำประเทศต่างๆ 2.เพื่อหาโอกาสการค้า การลงทุน

ทั้งนี้ นายนพดลกล่าวพร้อมกับแสดงสำเนาภาพสี พ.ต.ท.ทักษิณ 2ภาพ ว่า ภาพแรกเป็นการเดินทางเมื่อเร็วๆนี้ เพียงแต่ไม่ได้ระบุวัน เวลาของภาพ แต่เป็นภาพจริง ไม่มีการตัดต่อ โดยพ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปพบนายเนลสัน แมนเดลา อดีตประธานาธิบดีแอฟริกาใต้

“พ.ต.ท.ทักษิณไปพบ นายเนลสัน แมนเดลาเพราะเคยได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ไปแลกเปลี่ยนประสบการณ์เรื่องความปรองดอง ในอดีตแอฟริกาใต้มีการเลือกปฏิบัติ นายเนลสัน ได้ต่อสู้เรื่องการเหยียดสีผิวมาโดยตลอด ท่านไปพบเพื่อสร้างความปรองดอง เพื่อที่จะนำมาใช้ในประเทศไทย ซึ่งประเทศเขาเน้นเรื่องความปรองดองมากกว่าไล่ล่า แต่ไทยตอนนี้ปรองดองน้อยไปหน่อย การแก้แค้นเยอะไป ดังนั้นเราต้องหันมาปรับเปลี่ยนทัศนคติผู้มีอำนาจในประเทศเพื่อให้เกิดความปรองดองอย่างแท้จริง”นายนพดลกล่าว

นายนพดลอธิบายอีกรูปว่า มีการถ่ายภาพเมื่อ 27/08/2010 16.05 ดังนั้นการที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี อ้างในช่วงดังกล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปแถวๆภูมิภาคนี้ จึงไม่เป็นความจริง โดยพ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางไปพบนางวินนี่ แมนเดลา ภริยานายเนลสัน แมนเดลา พร้อมทั้งถ่ายภาพที่บ้านนางวินนี่ ซึ่งเป็นบ้านที่นางวินนี่สร้างไว้เพื่อรอรับนายเนลสัน หลังจากติดคุกทางการเมืองนานกว่า 26ปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับภาพถ่ายสีทั้ง2ภาพ โดยภาพแรก พ.ต.ท.ทักษิณ ในชุดสูทดำ ไทด์สีแดงกำลังจับมือกับนายเนลสัน แมนเดลา ขณะนั่งบนเก้าอี้ในห้องทำงาน โดยมีฉากหลังเป็นชั้นเก็บหนังสือมากมาย ส่วนอีกภาพ ระบุ 27/08/2010 16:05 เป็นภาพพ.ต.ท.ทักษิณ ในชุดเดิม ถ่ายคู่กับนางวินนี่ ที่บริเวณหน้าบ้าน โดยบ้านหลังดังกล่าวนายนพดลอ้างว่า เป็นบ้านนางวินนี่ ที่สร้างรอรับนายเนลสัน หลังจากออกจากคุก

นายนพดลกล่าวอีกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ฝากบอกคนมีอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ทหาร คนคุมเกมหรือคนที่มองไม่เห็น ให้สบายใจได้ ทุกวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ท่องอยู่3คำ 1.ปรองดอง 2.ความยุติธรรม 3.ประชาธิปไตย แต่การจะปรองดองได้ ต้องปรบมือทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ใช่ตบข้างเดียวมันไม่ดัง
เมื่อถามว่าประเทศมอนเตเนโกรมีสนธิสัญญากับไทย เรื่องการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่ นายนภดลกล่าวว่า ประเทศมอนเตเนโกรมีกฎหมายของเขา แต่เข้าใจว่าเขาจะไม่ส่งประชาชนของเขากลับมาแน่นอน ประกอบกับไทยก็ไม่มีสนธิสัญญาด้วย

M79 grenade hits state-run TV station, no casualties


M79 grenade hits state-run TV station, no casualties
/ Photo by Rungkarn Rujiwarangk
BANGKOK, Aug 31 - An explosive device, likely to be an M79 grenade, hit the the National Broadcasting Services of Thailand (NBT) station Tuesday afternoon but no one was wounded in the incident.
It was fired from the Vibhavadi-Rangsit expressway in the capital about 1.30pm.and hit tree branches and fell on the ground in the parking lot near the entrance of state-operated NBT Channel 11 broadcasting station.
No one was injured but three passenger cars and two news vans were damaged.
The incident occurred as a state of emergency is in place in the capital and the nearby provinces of Nonthaburi, Pathum Thani and Samut Prakan, as well as three northeastern provinces of Khon Kaen, Udon Thani and Nakhon Ratchasima.
The incident was the latest attack in less than a week after a security guard on August 26 was seriously wounded by a grenade explosion on Rangnam Road near the King Power duty-free shopping complex in central Bangkok.
That explosion occurred at 11pm last Thursday night, only a few metres from the site of an earlier grenade blast less than a month ago on July 30.
M79 grenade hits state-run TV station, no casualties
/ Photo by Rungkarn Rujiwarangk

On July 30, an unidentified garbage scavenger was critically wounded when a grenade hidden in a rubbish bin exploded.
Photo by Rungkarn Rujiwarangk

โผล่แฉ !!! หีบบางกะปิ ถูกเปิดก่อนมาถึงเขตฯชาวบ้านโวย



www.go6tv.com,กรุงเทพ. คลิปแฉโกงเลือกตั้ง ทยอยออกมาอย่างไม่ขาดสาย ล่าสุดเขตบางกะปิ หีบบัตรจากหน่วยเลือกตั้งตรงข้ามสำนักงานเขตแค่ข้ามถนน กลับใช้เวลาเดินทางมาเขตถึง ๔ ชั่วโมง และสภาพกล่องโดนงัดแวะ เทปกาวฉีกขาดลายเซ็นหาย

เมื่อหีบบัตรมาถึง ปรากฏว่าหีบที่นำมาส่ง เลขที่ ๙๑ มีรอยเทปกาวถูกฉีกขาด ลายเซ็นขาดกระจุย และใชัเวลาเดินทางจากเวลา ๑๕.๐๐ น. ถึง ๑๙.๐๐ น. เมื่อเริ่มนับคะแนน ปรากฏว่า หลักเกณฑ์การนับคะแนนปรากฏว่าประชาชนเห็นแย้งในหลายจุด เมื่อเจ้าหน้าที่ประกาศว่าบัตรเสีย ประชาชนที่มาเป็นพยานดูการนับก็ค้านว่าน่าจะเป็นบัตรดี

แม้การนับคะแนนจะจบไปแล้วด้วยชัยชนะแบบเฉียดฉิว แต่ประชาชนเจ้าของหน่วยเลือกตั้งกลับสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้นกับหีบนับคะแนนที่ ๙๑ ที่มาช้ากว่าสี่ชั่วโมง มีรอยงัดแงะ เทปปิดหีบฉีกขาด เชือกมัดหีบขาด แต่ไม่มีคำตอบใดๆจากสำนักงานเขตบางกะปิ


ชุดไล่ล่าทหาร ถล่มเอ็ม 16 ใส่แดงเชียงใหม่บาดเจ็บหนัก



http://www.go6tv.com/, เชียงใหม่. เสื้อแดงเชียงใหม่อดีตการด์ กลุ่ม รักเชียงใหม่ 51 ถูกใบสั่งเก็บ โดนถล่มด้วยอาวุธสงคราม อาการโคม่า เมื่อคืนวันที่29 ส.ค. เวลาประมาณ 01.15 น นาย กฤษดา และแฟนสาวกลับจากการขายของที่ ถนน คนเดินท่าแพ ขณะที่ขับรถกำลังจะเข้าบ้าน ที่หางดง ได้ถูกคนร้ายคาดว่าประมาณ 4คน ขับรถเก๋ง สีบรอน์เข้าประกบแล้วกระหนำยิงด้วยอาวุธสงคราม นับร้อยนัด แล้วขับรถหนีไป ทางแฟนสาวได้ขับรถต่อทั้งที่ถูกยิงนำนาย กฤษดา ส่งโรงพยาบาล หางดง แต่เนื่องจาก กระสุนเข้าจุดสำคัญร่างกายหลายจุด ตั้งแต่หน้าอกถึงเท้า และเสียเลือดมากทางโรงพยาบาลจึงส่งต่อมาที่ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ในเวลาต่อมา อาการโคม่าเพราะจากการสอบถามจากแพทย์ผู้ดูแลกระสุนทำลายอวัยวะสำคัญในร่างกายหลายจุด​ มีเลือดออกในช่องท้องตลอดเวลาซึ่งทาง วิทยุชุมชนได้ประชาสัมพันธิ์ในการขอบริจาคโลหิตด่วนเพื่อช่วยชีวิตนาก กฤษดา ซึ่งก็มีพี่น้องเสื้อแดงมาร่วกกันบริจาคโลหิตกันอย่างมากมาย ทางแพทย์ได้ทำการผ่าตัด 1ครั้งแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถหยุดการไหลของโลหิตในช่องท้องได้ ซึ่งขณะนี้ผู้ป่วยอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด ในห้อง ไอ ซี ยู

ข่าวนี้เป็นข่าวใหญ่ในเชียงใหม่แต่กลับไม่มีสื่อมวลชนเผยแพร่ข่าวแต่อย่างใดที่สำคัญทางตำรวจได้เก็บหัวกระสุนในที่เกิดเหตุ เป็นกระสุน M16 A1เป็นกระสุนที่ใช้ในกองทัพ แล้วอย่างนี้มันหมายความว่าอย่างไร ปรองดอง หรือไล่ล่ากันแน่

นายกฯ สงสัยกลุ่มป่วนจัดระบบเคลื่อนไหวใหม่ จากกรณีพี่เอ็มเยี่ยมช่อง ๑๑





นายกฯปูดกลุ่มป่วนจัดระบบเคลื่อนไหวใหม่ รับมึนบึ้ม"ช่อง11
"นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 31 ส.ค. ถึงเหตุการณ์ยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ (ช่อง 11) ถนนวิภาวดีรังสิต ว่า ยังไม่ทราบรายละเอียด และยังสรุปอะไรไม่ได้ ต้องรอให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการ คงต้องขอตรวจสอบและสอบถามนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีก่อน
เมื่อถามว่าหน่วยงานด้านความมั่นคงได้มีการรายงานสถานการณ์ความมั่นคงในช่วงเดือนกันยายนที่มีวันที่เป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองหลายวันอย่างไรบ้าง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า วันที่เป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองในเดือนกันยายน มีค่อนข้างจะถี่ ซึ่งก็มีการระมัดระวังในเรื่องการเคลื่อนไหวต่างๆ แต่ถ้าเป็นการเคลื่อนไหวอยู่ในขอบของกฎหมายก็ไม่เป็นปัญหาอะไร ซึ่งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.)ดูแลอยู่ โดยมีการติตดามเฝ้าดูในสถานที่ต่างๆ เพราะที่ผ่านมาก็ยังมีการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง และดูเหมือนว่าจะมีการจัดการของกลุ่มที่เคลื่อนไหวดีขึ้นจากสภาพในระยะแรกที่เป็นแบบกระจัดกระจาย


ยิงเอ็ม79 ถล่มช่อง 11 รถพนักงาน-รถข่าวพัง 5 คัน คาดกระสุนมาจากทางด่วนโทลล์เวย์ "องอาจ"แจ้นตรวจสอบ

เมื่อเวลาประมาณ 13.30 น. วันที่ 31 ส.ค. ได้เกิดเหตุคนร้ายไม่ทราบกลุ่มยิงระเบิดเอ็ม 79 ลงบริเวณที่จอดรถสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 ถ. วิภาวดี-รังสิต โดยแรงระเบิดดังกล่าว ส่งผลให้รถของพนักงานสถานีโทรทัศน์ และรถข่าวพังเสียหาย 5 คัน กระจกแตกทั้งหมด โดยไม่พบว่ามีพนักงานคนใดได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด

ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่จากกองบัญชาการตำรวจนครบาล และเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสถานีตำรวจสุทธิสารได้รุดไปยังที่เกิดเหตุทันที สำหรับแรงระเบิดดังกล่าวตกลงตรงศาลพระพรหม ด้านใน คาดว่า คนร้ายน่าจะยิงมาจากทางต่างระดับโทลล์เวย์ ด้วยการขับรถชะลอ เปิดกระจก และยิงระเบิด โดยเจ้าหน้าที่ สน. สุทธิสารห้ามบุคคลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้า พร้อมกับรอเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานมาเก็บหลักฐานยังที่เกิดเหตุแล้ว

ด้านผู้บริหารสถานีและพนักงานต่างลงมามุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก บางคนถึงกับตกใจสุดขีด เพระไม่เคยเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน

สอบสวนนายสมชาย หนุนเกื้อ หัวหน้าหมวดยานพาหนะของสถานี ให้การว่า ขณะยืนโทรศัพท์ใกล้ศาลพระพรหม ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้น จึงวิ่งไปหลบยังที่ปลอดภัย จากนั้น เมื่อเหตุการณ์สงบลง ก็พบว่า บริเวณดังกล่าวมีกิ่งไม้ และเศษใบไม้หักตกลงเกลื่อนไปหมด และพบว่า กระจกรถพนักงาน และรถข่าวได้รับความเสียหาย

เบื้องต้น นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ เดินทางจากทำเนียบรัฐบาลไปยังที่เกิดเหตุแล้ว

ส่วนการจราจรถ.วิภาวดี ยังเคลื่อนตัวด้วยดี มีเจ้าหน้าที่สน.สุทธิสารมาดูแลให้ความสะดวก เนื่องจากพื้นที่เกิดเหตุอยู่ข้างในสถานีฯ

อดีต รมช.คลังเผย...นายกฯ โกหก

อดีตรมช.คลัง 'พิชัย นริพทะพันธุ์' แนะ รัฐบาลหารายได้เพิ่ม ทดแทนรายจ่ายจากนโยบายประชานิยม ที่ทำกระเป๋าฉีก...

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมช.คลัง เปิดเผยถึงกรณีที่รัฐบาลระบุเศรษฐกิจไทยครึ่งแรกของปีนี้ เติบโตถึง 10.6% เมื่อเทียบกับครึ่งแรกปีก่อนว่า การขยายตัวที่ดูเหมือนจะสูง ส่วนหนึ่งมาจากช่วงเดียวกันปีก่อนติดลบถึง 6% เท่ากับการเติบโตที่แท้จริงเพียง 3.96% ส่วนในครึ่งปีหลังที่รัฐบาลระบุจะไม่ดีเท่าครึ่งปีแรกนั้น เพราะครึ่งหลังของปีก่อน การเติบโตเป็นบวก ไม่ได้ติดลบเหมือนครึ่งปีแรก โดยไตรมาส 3 ติดลบ 2.8% ส่วนไตรมาส 4 ขยายตัว 5.8% ดังนั้น การเจริญเติบโตในครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะในไตรมาสสุดท้ายจะไม่สูงแน่นอน และการที่คาดว่า ในปีนี้จะเติบโตถึง 7.5% นั้น เมื่อคำนวณกับปีก่อนที่ติดลบ 2.3% ก็จะทำให้การเจริญเติบโตในปี 53 มีเพียง 5% เมื่อเทียบกับปี 51 หรือถ้าเฉลี่ย 2 ปี เท่ากับขยายตัวปีละ 2.5% ซึ่งไม่สูงเลย

ดังนั้น ตามที่นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า รัฐบาลจัดเก็บรายได้เกินเป้า จนอาจขาดดุลไม่กี่หมื่นล้านบาท หรืออาจจะเป็นงบประมาณสมดุลนั้น ไม่จริง เพราะปีที่แล้วมีการคาดประมาณการจัดเก็บต่ำมากเพียง 1.35 ล้านล้านบาท หรือเพียง 13.8% ของรายได้ประชาชาติ (จีดีพี) ซึ่งต่ำกว่าปี 52 ที่เก็บได้ 1.60 ล้านล้านบาท หรือ 18.1% ดังนั้น การจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวจึงเป็นเรื่องปกติ เพราะตั้งเป้าต่ำมาก ส่วนการที่งบประมาณปีก่อนเป็นงบประมาณปีแรกที่การทำงบประมาณลดลงคือ เหลือ 1.7 ล้านล้านบาท จากปี 52 ที่ 1.95 ล้านล้านบาท หรือลดลง 250,000 ล้านบาท โดยรัฐได้ โยกงบลงทุนไปอยู่ใน พ.ร.ก.กู้เงิน 400,000 ล้านบาท และนายกฯระบุว่า อาจเป็นงบประมาณสมดุล จึงไม่เป็นความจริง เพราะหนี้สาธารณะต้องไม่เพิ่มขึ้น แต่ความจริงคือหนี้สาธารณะกลับสูงขึ้นมาก จึงไม่อยากให้นายกฯให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องแก่ประชาชน

"สิ่งที่รัฐควรทำในช่วงเศรษฐกิจฟื้นคือ หารายได้ เพิ่มเพื่อทดแทนรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นมากจากนโยบายประชานิยม จนทำให้เงินลงทุนในสาธารณูปโภคพื้นฐานลดลง ส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันในอนาคตของประเทศลดลง แต่รัฐกลับทำตรงข้าม ซึ่งก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อจากการที่รัฐใช้เงินเพิ่มขึ้น ราคาข้าวของแพง ประชาชนยากลำบาก ซึ่งเมื่อเกิดเงินเฟ้อ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ต้องขึ้นดอกเบี้ยควบคุมเงินเฟ้อ ทำให้ ต้นทุนของธุรกิจเพิ่มขึ้น และยังทำให้ค่าเงินบาทสูงขึ้น จนกระทบต่อผู้ส่งออก"

นายพิชัยกล่าวถึงงบประมาณปี 54 ที่เพิ่งผ่านสภาว่า ในงบปี 54 มีงบ 2.07 ล้านล้านบาท สูงกว่างบปี 53 ถึง 370,000 ล้านบาท โดยมีการกู้เงิน 420,000 ล้านบาท มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ แต่กลับมีงบใช้หนี้น้อยลงเพียง 32,554.6 ล้านบาท ขณะที่ปีงบ 53 มีถึง 50,920.9 ล้านบาท อีกทั้งดอกเบี้ยจากเงินกู้ในอดีต 178,000 ล้านบาท ยังต้องมีการกู้มาชำระดอกเบี้ยของหนี้ ซึ่งเท่ากับ 42.38% ของเงินกู้ในปีงบ 54 หากแนวโน้มเป็นเช่นนี้ ประเทศจะมีหนี้เพิ่มขึ้นมาก โดยตั้งแต่ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นถึงกว่า 800,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 43% ของรายได้ประชาชาติ และภายในสิ้นปีนี้ รัฐจะต้องกู้หนี้เพิ่มขึ้น ทำให้ หนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นถึง 50% ส่งผลให้ความน่าเชื่อถือทางการเงินการคลังของประเทศลดลง

"หนี้สาธารณะที่ 50% บางคนอาจอ้างว่าน้อยเมื่อเทียบกับประเทศอื่น แต่อย่าลืมว่า ประเทศไทยมีฐานรายได้จากภาษีเพียง 17% หากหนี้สาธารณะสูงเกินไป จะทำให้การใช้หนี้ของประเทศมีปัญหา โดยแบงก์ชาติได้ออกมา เตือนเป็นครั้งที่ 2 แล้วสำหรับการใช้งบเพื่อ ประชานิยมมากเกินไปของรัฐ โดยไม่รู้วิธีการหารายได้เพิ่ม ซึ่งจะสร้างปัญหาการคลังให้กับประเทศ หากไทยยังมีผู้จ่ายภาษีจริงเพียง 2.3 ล้านคน จากขึ้นทะเบียน 9 ล้านคน และมีเพียง 60,000 คนที่เสียภาษีถึง 37% และในจำนวนนี้ มีเพียง 2,400 คนที่เสียภาษีเกิน 10 ล้านบาท ประเทศไทยคงจะไม่พัฒนา และที่สำคัญคือ อย่าให้ประชาชนรู้สึกว่าไม่อยากจ่ายภาษีเพื่อให้ไปคอรัปชันกัน".

วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

"แฉจะๆ ถุงใส่บัตรเลือกตั้งผี"




www.go6tv.com. รายการโกงการเลือกตั้งจากการชนะถล่มทลายของพรรค ปชป.นั้น มีกลิ่นการโกงการเลือกตั้งมาเป็นระยะ จนมีคลิปการโกงการเลือกตั้งออกมาจนได้

แหล่งข่าวได้แจ้งข่าวมาดังนี้ "วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๓ ผอ.ศูนย์การเลือกตั้ง ส.ก.เขตบางบอน เข้าแจ้งอายัดถุงใส่บัตรเลือกตั้ง ที่มาการนำมาให้รวมกองเพื่อนับคะแนนโดยมีเจ้าหน้าที่หิ้วถุงมาให้โดยไม่ได้เปิดออกมาจากหีบที่ส่งมาจากหน่วยเลือกตั้ง พอจับได้เจ้าหน้าพาถุงบัตรลงคะแนนหนีไป เอาถุงที่มีบัตรไว้ได้เพียงสองถุงเท่านั้นเป็นตัวอย่าง จะมีหลักฐานที่ถ่าย VDO ไว้มานำเสนอต่อไปว่ามีการนำถุงบัตรเลือกตั้งวิ่งหนีไปจริง

www.go6tv.com สังเกตในคลิปเห็นว่า คนที่ถือบัตรมานั้น ปกติ ต้องใส่กล่อง มีเอกสารแนบว่ามาจากใหนหน่วยใด ใครนำมาส่ง แต่นี่ปรากฏว่าชายหญิงสองสามคน ใส่ชุดข้าราชการ ถือถุงใสใส่บัตรกันมาคนละถุงสองถุงมาส่งให้โดยไม่มีเอกสารแนบ หน้าตางงๆ พอถามว่ามาจากหน่วยใหนอ่ะอะก็ไม่ตอบ ไม่มีเอกสารใดๆ

รายละเอียดเพิ่มเติมจะแจ้งให้ทราบต่อไป

บทลงโทษ "การเมืองใหม่"



www.go6tv.com กรุงเทพฯ การเมืองใหม่ได้รับบทเรียนจากความหยิ่งผยอง ความกล้าบ้าบิ่นปิดสนามบิน อ้างเบื้องสูง จนวันนี้ประชาชนได้อดทนเพียงพอกับพรรคการเมืองใหม่แล้วก็สั่งสอนเรียบร้อยผ่านการเลือกตั้ง สก. สข. กรุงเทพมหานครในวันอาทิตย์ที่ผ่านมา


ลำพังผลการเลือกตั้งระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทยนั้น ไม่ได้สร้างความประหลาดใจอย่างใด เพราะเมื่อไม่มีพรรคการเมืองทางเลือกเด่นๆ แน่นอนกระแสก็ไหลกลับไปพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่พรรคคนกรุงเทพฯอยู่แล้ว แม้เพื่อไทยจะสูญพันธ์ไปเลยจากกรุงเทพ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างไรเพราะใครๆก็อ้างได้ว่า "เสื้อแดงเผาเมือง" สลักไว้แล้วบนหน้าผาก

แต่ความแปลกอยู่ที่ พรรคการเมืองใหม่ ก่อร่างสร้างตัวมาจาก พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รวมกลุ่มชนนั้นสูง ชนชั้นกลางอย่างมีระบบที่สุด จนดึงเอาพรรคประชาธิปัตย์มาร่วมเดินเกมส์จนชนะ ไล่ทักษิณหัวซุกหัวซุนออกนอกประเทศ

เมื่อการเมืองใหม่ลงเลือกตั้ง ก็สมควรอย่างยิ่งที่พรรคการเมืองใหม่จะต้องได้รับการต้อนรับอย่างดียิ่งจากคนกรุงเทพฯ และคะแนนเสียงของเพื่อไทยและ ปชป.บางส่วนควรไหลเข้าไปในพรรคการเมืองใหม่

แต่ผลการเลือกตั้งมันบอกว่า ภาพลวงตาของการปิดทำเนียบ ที่ขนคนภาคใต้มาปิด ภาพการปิดสนามบิน ขนสารพัดมาไล่ล่า ตลอดจนการไปปิดช่อง ๑๑ และไล่ล่ายิงปืนฆ่าคน ขับรถทับตำรวจได้ โดยไม่มีความผิดใดๆ ไม่มีแม้แต่หมายเรียกสักใบ ภาพลวงตาทั้งหมดนั้นมันจบไปแล้ว


เพราะอะไรฤา

พรรคปชป. มีฐานเสียงมั่นคงในภาคใต้ และเมื่อปิดทำเนียบ ปิดสนามบินสุวรรณภูมิ คนเดือนร้อนจริงไม่ใช่คนภาคใต้ แต่เป็นคนกรุงเทพฯ คนกรุงเทพที่สนับสนุนสนธิ ลิ้มทองกุล จำลอง ศรีเมือง ปฏิเสธไม่ได้ คนที่เสียหาย เสียชื่อคือ พันธมิตร ไม่ใช่ ปชป. เพราะ หัวหน้าพรรค ปชป.และพลพรรคไม่เคยเหยียบกรายไปสุวรรณภูมิช่วงโดนปิด ไม่ให้มีภาพตนเองบนสื่อเลย ดังนั้น เวลาคนกรุงเทพด่า ไม่ได้ด่า ปชป. แต่ด่า กกม. แม้อาจจะดูเป็น "อีแอบ" ไม่ค่อยเป็นลูกผู้ชายนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่า พรรคดัดจริตก็ต้องไปกันได้กับคนเลือกที่ดัดจริตพอกัน (ดัดจริตไม่ใช่คำด่า แต่มุ่งให้ความหมายที่ดูเทียบเคียงได้ชัดเจน) คนกรุงเทพห่วงตึกมากกว่าห่วงชีวิตคน ปกป้องผลประโยชน์ตนชนิดฆ่ากันตายได้เพื่อผลประโยชน์ เงินทองจากธุรกิจตน นั่นก็แล้วแต่มุมมอง แต่พรรคนี้เขาพูดเก่ง โพไฟล์ดี ก็ต้องยกให้เขา

พรรคเพื่อไทย ยังไงก็ตาม คนกรุงมากกว่า เจ็ดสิบเปอร์เซนเชียร์ ปชป.เพราะเป็นคนไล่ทักษิณกับมือกับปาก มีหรือจะเปิดทางให้เพื่อไทยได้เหยีบกรุงเทพ แม้คนกรุงจะกาคะแนนให้ ปชป. รัอยเปอร์เซน ได้เป็น สก.สข.หมด แต่ยังจะรอดูคะแนนดิบ เพราะเอามาคำนวนได้ว่าในร้อยเปอร์เซน เป็นคนกาให้ ปชป.เท่าไร เพื่อไทยเท่าไร. จะเห็นว่า คะแนน เพื่อไทยแทรกเป็นยาดำอยู่ทุกพื้นที่มากบ้าง น้อยบ้าง ตามแต่เขต ต่อให้เพื่อไทยหายไปหมดจากเลือกตั้ง สก. สข. ก็ไม่ได้มีผลใดๆ เพราะฐานใหญ่ของเพื่อไทยคือ เหนือกับอิสาน และกลางบางส่วน อย่างไรก็ตามความพ่ายแพ้ในศึกนี้ในข้อหา "เผาเมือง" ก็ควรอย่างยิ่งที่จะนำมาเป็นบทเรียนแก้ไขของพรรคเพื่อไทยด้วยว่าจะใช้กลยุทธ์ใดต่อสู้ในการเลือกตั้งผู้ว่า กทม.ในอีกสองปีถัดไป

พรรคการเมืองใหม่ อันนี้เกิดใหม่โดยยืมปลาจากบ่อเพื่อน ตอนนี้เองคนเริ่มขาสั่น เพราะต้องยอมรับว่า พื้นที่กรุงเทพคือฐานที่แข็งแรงมากที่สุดของ กกม. กกม.มีทั้งทีวีทั้งวัน วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร แถมเจ้าของเป็นเจ้าพ่อสื่อตัวยง ยังไม่สามารถเบียดเข้ามาได้เลยแม้แต่เก้าอี้เดียว ทั้ง สก.และสข. จริงๆ คะแนนเสียงคราวนี้ ใครกุมแค่หลัก หนึ่งหมื่นได้ก็แทบจะลอยลำได้เป็น สก.สข.กันแล้ว และพอมองคะแนนคราวนี้เห็นภาพรวมๆ แล้วว่า มีคะแนนประมาณ สิบห้าเปอร์เซนจากคะแนนคนมาลงคะแนนทั้งหมด นั่นหมายถึงทั้งกรุงเทพมีคนมาลงคะแนนให้ กกม.ประมาณ สองแสนห้าไม่เกิน เป็นคะแนนดิบที่น่าคิด เพราะยังได้น้อยกว่าเมื่อคราว "หม่อมปลื้ม" ลงผู้ว่าฯ กทม ที่ได้ไปสามแสนกว่าๆๆ ทั้งที่หน้าใหม่ แต่นี่ กกม. ไฮโพรไฟล์ ชื่อดี นามเพราะ ผลงานเด่นไปทั่วโลก ที่สำคัญ ยึดมั่นความจงรักภักดี รักชาติรักพระวิหารมากกว่าใครๆในแผ่นดิน แต่ทำไมคนกรุงเทพใจร้ายเจียดคะแนนให้แค่ สองแสนเศษทั่วกรุงเทพมหานคร ขนาดป้ายหาเสียงยังอาจหาญ เอาภาพการปิดทำเนียบไปใช้หาเสียง โดยไม่สำเนียกรู้สึกกันสักนิด เห็นกงจักรเป็นดอกบัวได้ขนาดนี้

นี่คือการบ้านหนักให้ กกม.ไปคิด


ใบอนุญาตฆ่าคน (Licence to Kill)


ใบอนุญาตฆ่าคน (Licence to Kill)

โดย คุณชำนาญ จันทร์เรือง นักวิชาการอิสระ


เหตุการณ์การสลายการชุมนุมในเดือนเมษายน - พฤษภาคม 2553 ที่ผ่านมาได้สร้างความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินอย่างมากมาย ในจำนวนผู้เสียชีวิต ทั้ง 91 ราย นั้น มีนักข่าวต่างประเทศอยู่ด้วย 2 คน และ มีกรณีที่สื่อมวลชนได้รับ บาดเจ็บมากถึง 10 ราย โดยในจำนวนนี้บางรายอาจต้องเสียสมรรถภาพทางร่างกายไปตลอดชีวิต นอกจากนี้แล้ว ยังมีกรณีการเซ็นเซอร์และปราบปรามสื่ออีกมากมายอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ตั้งแต่หลังช่วงปี ค.ศ. 90

ภายหลังเหตุการณ์สงบแล้ว ต่างฝ่ายต่างป้ายความผิดให้ฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นผู้กระทำความเสียหาย ให้เกิดขึ้น ซึ่งตราบจนบัดนี้ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าแท้ที่จริงแล้วใครกันแน่ที่จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการสูญเสียครั้งนี้ หนึ่งในองค์กรที่เข้ามาสอบสวนข้อเท็จจริงและมีผลการสอบสวนปรากฏออกสู่สาธารณชนไปทั่วโลกเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ก็คือ องค์กรของผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนหรือที่เรารู้จักกันในชื่อว่า Reporter without Borders หรือ Reporters sans frontières โดยจัดทำเป็นรายงานการสอบสวน(investigation report)ในชื่อว่า THAILAND LICENCE TO KILL

องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนได้สัมภาษณ์และวิเคราะห์ในกรณีสื่อมวลชนได้รับการคุกคาม ดังต่อไปนี้


1. การเสียชีวิตของนักข่าวอิสระชาวอิตาเลียน นาย Fabio Polenghi


2. การเสียชีวิตของผู้สื่อข่าวชาวญี่ปุ่นของสำนักข่าวรอยเตอร์ นายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ


3. กรณีการบาดเจ็บของ นาย Nelson Rand ผู้สื่อข่าวของสถานีโทรทัศน์ France24


4. กรณีการปิดกั้นเว็บไซต์ประชาไท


5. กรณีวางเพลิงสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง 3


6. การสัมภาษณ์นางสาว Agnès Dherbeys ช่างภาพหนังสือพิมพ์ The New York Times ในขณะเกิดเหตุ


7. กรณีนายสุบิน นวมจันทร์ ช่างภาพหนังสือพิมพ์มติชนได้รับบาดเจ็บ


8. กรณีนาย Chandler Vandergrift นักข่าวอิสระชาวแคนาดาได้รับบาดเจ็บสาหัส


9. คำบอกเล่าของสื่อมวลชนชาวต่างประเทศที่ไม่ต้องการเปิดเผยชื่อ


10. กรณีนายไชยวัฒน์ พุ่มพวง ช่างภาพอาวุโสของหนังสือพิมพ์ The Nation ได้รับบาดเจ็บสาหัส

องค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนตั้งคำถามว่าจำนวนสื่อมวลชนที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตนั้น เป็นผลมาจากอุบัติเหตุเพียงอย่างเดียวหรือไม่ ทั้งนี้ มีนักข่าวมากมายที่ทำงานเสนอข่าวในบริเวณที่ชุมนุม และมีจำนวนหนึ่งที่อาจขาดการอบรมด้านการทำงานในพื้นที่อันตรายหรือไม่ ได้ใช้อุปกรณ์การป้องกันภัย ที่พอเพียงรวมถึงการขาดการอบรมในด้านการป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อพลเมืองของทหารที่ ทำหน้าที่ควบคุมและสลายการชุมนุม หรือว่าเหตุการณ์เศร้าสลดที่เกิดขึ้นมีเหตุมาจากความตั้งใจ คุกคามสื่อมวลชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อมวลชนชาวต่างประเทศโดยตรง


ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนได้รับคำบอกเล่าจากนักข่าวชาวยุโรปที่อยู่ในพื้นที่ว่า ในช่วงวันสุดท้ายของการชุมนุมนั้นทหารได้ใช้อาวุธสงครามกับประชาชน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนักข่าว นั่นแสดงให้เห็นว่า ทหารไม่ได้เคารพกติกาของการปฏิบัติ( Rules of Engagement ) แต่อย่างใด

ซึ่งในประเด็นนี้ ดร.ธานี ตัวแทนจากกระทรวงการต่างประเทศได้กล่าวว่า ทหารได้รับคำสั่งให้เคารพ ข้อปฎิบัติเฉพาะ แต่เมื่อมีการยิงทหารไร้อาวุธในวันที่ 16 เมษายน นั้น ทหารก็ได้รับคำสั่งให้ใช้กระสุนจริงเพื่อป้องกันตนเองจากชายชุดดำ ซึ่งเป็นฝ่ายเดียวกับผู้ชุมนุม นปช. แต่เขาได้ย้ำว่า กองทัพไม่ได้ รับการอนุญาตให้ยิงประชาชนแต่อย่างใด


ประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งสำหรับผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนคือการเซ็นเซอร์สื่อที่เพิ่มมากขึ้นตั้งแต่ช่วงวิกฤติการเมือง รวมถึงการปิดปากตัวเอง (Self-Censorship) ของสื่อบางส่วนด้วย ในกรณีนี้ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ยังได้มีคำสั่งให้ปิดกั้นสื่อมากมาย รวมทั้งประชาไทด้วย ทั้งนี้ ดร.ธานีได้ยืนยันกับองค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับเสรีภาพสื่อเป็นอย่างยิ่ง แต่ได้เพิ่มเติมว่าสถานการณ์ฉุกเฉินบังคับให้สื่อต้องมีความรับผิดชอบในการทำงาน

ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนจัดทำรายงานฉบับนี้ขึ้น โดยมีเป้าหมายจะสะท้อนเสียงของกรณีตัวอย่าง 10 ราย ที่สื่อมวลชนได้รับการคุกคาม หรืออันตรายทั้งจากฝ่ายแรก ได้แก่ ทหาร หน่วยกำลังพิเศษ และทหารรับจ้าง และฝ่ายที่สองคือผู้ชุมนุมเสื้อแดงซึ่งเป็นสมาชิกของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ โดยผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนเลือกที่จะเป็นสื่อกลางและกระบอกเสียงให้แก่สื่อมวลชนในครั้งนี้ นอกจากนั้นแล้ว ยังได้สัมภาษณ์ตัวแทนจากรัฐบาลไทยและทนายความของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อีกด้วย ซึ่งบางกรณีตัวอย่างแสดงให้เห็นถึงการคุกคามสื่อมวลชน ทั้งจากฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายผู้ชุมนุมเสื้อแดงอย่างชัดเจน

ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนย้ำให้เห็นความสำคัญของการสอบสวนอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤติการณ์ทางการเมืองครั้งนี้อย่างโปร่งใส และเสนอให้มีการขอความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญจากนานาประเทศ เนื่องจากหากไม่มีการสอบสวนอย่างเป็นอิสระแล้วไซร้ เหตุการณ์ครั้งนี้อาจทำให้ประเทศไทยสูญเสียความน่าเชื่อถือในเวทีนานาชาติ

ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนเรียกร้องให้มีการเพิ่มทั้งทรัพยากรและอำนาจแก่คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง เพื่อให้คณะทำงานดังกล่าวมีความอิสระในการทำงานอย่างแท้จริง และ ในโอกาสที่ประเทศไทยได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนจึงเรียกร้องให้เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ นายบัน คี มุน ให้ความร่วมมือกับประเทศไทย โดยการให้องค์กรต่างๆ ของสหประชาชาติเข้ามามีส่วนร่วมกับการสอบสวนในครั้งนี้ โดยผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือและข้อมูลแก่คณะทำงานอย่างโปร่งใสและเป็นอิสระ

จะเห็นได้ว่ารายงานการสอบสวนฉบับนี้เป็นการรายงานของมืออาชีพที่แท้จริงที่เราทุกคนและฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรจะหามาอ่าน เพราะแสดงให้เห็นว่าการคุกคามสื่อนั้นมีมาจากทั้งสองด้าน คือทั้งจากฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายผู้ชุมนุม ซึ่งแกนนำรัฐบาลหรือแกนนำผู้ชุมนุมจะทราบหรือไม่ก็ตาม แต่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นแล้วจริง ที่สำคัญก็คือกองทัพไม่ได้รับอนุญาตให้เข่นฆ่าประชาชน(Licence to Kill) แต่อย่างใด

แต่การสลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิตนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วจะต้องมีผู้รับผิดชอบแน่นอน เพียงแต่ฝ่ายรัฐบาลอย่าเพิ่งออกกฎหมายนิรโทษกรรมดังเช่น กรณี 6 ตุลาออกมาเสียก่อนก็แล้วกัน อย่างไรก็ดีถึงแม้จะมีกฎหมายนิรโทษกรรมออกมาก็ตาม การ นิรโทษกรรมนี้ก็ไม่อยู่ในข่ายที่จะยกเว้นเขตอำนาจของศาลอาญาระหว่างประเทศ(หากจะมีผู้หยิบยกและให้สัตยาบันต่อไปในภายหน้า)แต่อย่างใด

ขอขอบคุณ มติชนออนไลน์

ผล สก.สข. การเมืองใหม่ล่มปากอ่าว





สรุปผลการเลือกตั้ง ส.ก. อย่างไม่เป็นทางการ ยอดผู้ใช้สิทธิ 41.15%

"สรุปผลการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) 50 เขต ทั้งนี้ ภายหลังเสร็จสิ้นการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ ปรากฏว่า มีจำนวนหน่วยเลือกตั้งทั้งสิ้น 6,433 หน่วยเลือกตั้ง จำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ส.ก ทั้งสิ้น 4,139,075 คน มีผู้มาแสดงตนใช้สิทธิเลือกตั้ง 1,703,206 คน คิดเป็นร้อยละ 41.15 จากเดิมร้อยละ 41.94

สำหรับเขตที่มีผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ก. มากที่สุด ได้แก่ เขตภาษีเจริญ คิดเป็นร้อยละ 45.21 และเขตที่มีผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ก. น้อยที่สุด ได้แก่ เขตวัฒนา คิดเป็นร้อยละ 35.03

สำหรับผู้ได้รับการเลือกตั้งเป็น ส.ก. 50 เขต มีจำนวนทั้งสิ้น 61 คน แยกเป็น

ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ 45 คน

ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย 15 คน

ผู้สมัครอิสระ 1 คน


ทั้งนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะเป็นผู้ประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการต่อไป"

จาคำประกาศอย่างไม่เป็นทางการของกรุงเทพมหานคร เป็นไปตามความคาดหมายของประชาชนที่ยังคงเลือกผู้สมัครจากพรรคเดิมในแต่ละเขต ทั้งสองพรรคใหญ่ ยังรักษาสถิติ รักษาเขตตนไว้ได้ แต่คะแนนในเขตที่เพื่อไทยนำ จะมีคะแนนของประชาธิปัตย์ตีคู่สูสี เป็นการบ้านของพรรคเพื่อไทยไปศึกษาต่อไป

ด้านพรรคการเมืองใหม่นั้น ผู้สื่อข่าวได้ผ่านไปยังหน้าพรรคการเมืองใหม่เขตพระนคร ซึ่งปิดประตูบานเลื่อนลงมาทั้งหมด เปิดแต่ประตูใหญ่ มีรถจอดอยู่ข้างในไม่เกิน5 คนแล้วบรรยากาศเงียบเหงา ทั้งที่พรรคการเมืองใหม่มีสื่อทั้ง หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ของตนออกอากาศโฆษณาตลอด 24 ชั่วโมงแต่ไม่มีคนของพรรคได้รับการเลือกตั้งแม้แต่คนเดียว

ชาวบ้านในเขตปทุมวันบอกกับสื่อฯว่า " การเลือก สก.สข. นี้จะวัดกระแสจาก เม.ย. หรือ พ.ค.ไม่ได้ เพราะว่าที่เราเลือกกัน เราเลือกจากตัวผู้สมัครแต่ละคนโดยตรง ไม่ได้ดูว่าพรรคใหน แต่หากจะวัดกระแส เหตุการณ์ดังกล่าว คงต้องดูจากเลือกตั้ง สส. จะเห็นชัดเจนมากกว่า ผมจะรอดูคะแนนรวมทั้งหมดทุกคะแนนของสองพรรคใหญ่ เพราะหากประชาธิปัติย์ดีจริง คะแนนต้องทิ้งห่าง แต่เท่าที่ดู คะแนนสูสีกันไม่ทิ้งเท่าไร ดังนั้น หากเลือกตั้งใหญ่ ก็เป็นเรื่องน่ากลัวสำหรับ ปชป."

สรุปผลการเลือกตั้ง ส.ก. อย่างไม่เป็นทางการ (เวลา 24.00 น.)

นายเจริญรัตน์ ชูติกาญจน์ ปลัดกรุงเทพมหานคร แถลงสรุปผลการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) เมื่อ เวลา 24.00 น. ปรากฎว่า สามารถรายงานผลการนับคะแนนอย่างไม่เป็นทางการได้ 48 เขต 59 เขตเลือกตั้ง ดังนี้

เขตคลองเตย นางกรณิศ งามสุคนธ์รัตนา พรรคประชาธิปัตย์ 14,387 คะแนน
เขตคลองสาน นายสมชาย เต็มไพบูลย์กุล พรรคประชาธิปัตย์ 9,590 คะแนน
เขตคันนายาว นายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ พรรคเพื่อไทย 15,646 คะแนน
เขตดินแดง นางอนงค์ เพชรทัต พรรคเพื่อไทย 17,373 คะแนน
เขตดุสิต นายศิริพงษ์ ลิมปิชัย พรรคเพื่อไทย 14,160 คะแนน
เขตตลิ่งชัน พ.ต.ท.วันชัย ฟักเอี้ยง พรรคประชาธิปัตย์ 16,583 คะแนน
เขตทวีวัฒนา นายสุไหง แสวงสุข พรรคประชาธิปัตย์ 15,627 คะแนน
เขตทุ่งครุ นายวันชัย เปี่ยมสวัสดิ์ พรรคประชาธิปัตย์ 11,635 คะแนน
เขตธนบุรี นายวิชัย หุตังคบดี พรรคเพื่อไทย 12,821 คะแนน
เขตบางกอกน้อย นายนภาพล จีระกุล พรรคประชาธิปัตย์ 19,413 คะแนน
เขตบางกอกใหญ่ นายวิรัช คงคาเขตร พรรคประชาธิปัตย์ 14,131 คะแนน
เขตบางคอแหลม นายอภิมุข ฉันทวานิช พรรคประชาธิปัตย์ 14,689 คะแนน
เขตบางซื่อ น.ส.พรพิมล คงอุดม พรรคประชาธิปัตย์ 22,157 คะแนน
เขตบางนา นายคำรณ บำรุงรักษ์ พรรคประชาธิปัตย์ 13,336 คะแนน
เขตบางบอน นายณรงค์ศักดิ์ ม่วงศิริ พรรคประชาธิปัตย์ 14,073 คะแนน
เขตบางพลัด นายคมสัน พันธุ์วิชาติกุล พรรคประชาธิปัตย์ 12,608 คะแนน
เขตบางรัก นายพิพัฒน์ ลาภปรารถนา พรรคประชาธิปัตย์ 8,540 คะแนน
เขตบึงกุ่ม นายแมน เจริญวัลย์ พรรคประชาธิปัตย์ 21,043 คะแนน
เขตปทุมวัน นางสาวอุไร อนันตสิน พรรคประชาธิปัตย์ 6,463 คะแนน
เขตป้อมปราบฯ นายเอก จึงเลิศศิริ พรรคประชาธิปัตย์ 8,742 คะแนน
เขตพญาไท นายพีรพล กนกวลัย พรรคประชาธิปัตย์ 11,415 คะแนน
เขตพระโขนง นายตรีสิทธิ์ ศิริวรรณ พรรคประชาธิปัตย์ 16,170 คะแนน
เขตพระนคร น.ส.กานต์กนิษฐ์ แห้วสันตติ พรรคประชาธิปัตย์ 10,481 คะแนน
เขตภาษีเจริญ นายสุธา นิติภานนท์ พรรคประชาธิปัตย์ 18,784 คะแนน
เขตมีนบุรี นายวิรัตน์ มีนชัยนันท์ พรรคเพื่อไทย 20,532 คะแนน
เขตยานนาวา นายอมรเทพ เศตะพราหมณ์ พรรคประชาธิปัตย์ 14,305 คะแนน
เขตราชเทวี นางผุสดี วงศ์กำแหง พรรคประชาธิปัตย์ 8,457 คะแนน
เขตราษฎร์บูรณะ นายไสว โชติกะสุภา พรรคประชาธิปัตย์ 12,478 คะแนน
เขตลาดพร้าว นายกษิดิ์เดช ชุติมันต์ พรรคประชาธิปัตย์ 16,975 คะแนน
เขตวังทองหลาง นายบำรุง รัตนะ พรรคประชาธิปัตย์ 15,391 คะแนน
เขตวัฒนา นายประสิทธิ์ รักสลาม พรรคประชาธิปัตย์ 11,301 คะแนน
เขตสวนหลวง นายณัทวุฒิ หมัดนุรักษ์ พรรคประชาธิปัตย์ 19,005 คะแนน
เขตสะพานสูง นายประสิทธิ์ มะหะหมัด พรรคเพื่อไทย 10,983 คะแนน
เขตสัมพันธวงศ์ นายพินิจ กาญจนชูศักดิ์ พรรคประชาธิปัตย์ 6,446 คะแนน
เขตสาทร นายธวัชชัย ปิยนนทยา พรรคประชาธิปัตย์ 14,428 คะแนน
เขตหนองแขม นายนวรัตน์ อยู่บำรุง พรรคเพื่อไทย 22,804 คะแนน
เขตหนองจอก นายไพฑูรย์ อิสระเสรีพงษ์ พรรคเพื่อไทย 20,787 คะแนน
เขตหลักสี่ น.ส.เรณุมาศ อิศรภักดี กลุ่มอิสระ 11,289 คะแนน
เขตห้วยขวาง นายประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ พรรคเพื่อไทย 13,621 คะแนน

เขตจตุจักร
เขตที่ 1 นายประพนธ์ เนตรรังษี พรรคเพื่อไทย 10,057 คะแนน
เขตที่ 2 นายอนันตชาติ บัวสุวรรณ์ พรรคประชาธิปัตย์ 11,518 คะแนน


เขตจอมทอง
เขตที่ 1 นายพิรกร วีรกุลสุนทร พรรคประชาธิปัตย์ 11,471 คะแนน
เขตที่ 2 นายสุทธิชัย วีรกุลสุนทร พรรคประชาธิปัตย์ 14,369 คะแนน


เขตสายไหม
เขตที่ 1 น.ส.รัตติกาล แก้วเกิดมี พรรคประชาธิปัตย์ 13,218 คะแนน
เขตที่ 2 นายสมชาย เวสารัชตระกูล พรรคประชาธิปัตย์ 13,336 คะแนน


เขตบางเขน
เขตที่ 1 นายสายันต์ จันทร์เหมือนเผือก พรรคเพื่อไทย 13,979 คะแนน
เขตที่ 2 น.ส.ปราณี เชื้อเกตุ พรรคประชาธิปัตย์ 12,922 คะแนน


เขตบางแค
เขตที่ 1 นายสุพิน คล้ายนก พรรคประชาธิปัตย์ 14,030 คะแนน
เขตที่ 2 นายเพทาย จั่นเผื่อน พรรคประชาธิปัตย์ 16,036 คะแนน


เขตบางกะปิ
เขตที่ 1 นายประเสริฐ ทองนุ่น พรรคประชาธิปัตย์ 10,816 คะแนน
เขตที่ 2 นางนฤมล รัตนาภิบาล พรรคประชาธิปัตย์ 8,578 คะแนน


เขตบางขุนเทียน
เขตที่ 1 นายสารัช ม่วงศิริ พรรคประชาธิปัตย์ 11,272 คะแนน
เขตที่ 2 นายสาทร ม่วงศิริ พรรคประชาธิปัตย์ 11,468 คะแนน


เขตประเวศ
เขตที่ 1 นายธนวัฒน์ เชิดชูกิจกุล พรรคประชาธิปัตย์ 11,867 คะแนน
เขตที่ 2 นายกิตพล เชิดชูกิจกุล พรรคประชาธิปัตย์ 12,140 คะแนน


เขตคลองสามวา
เขตที่ 1 นายวิรัช อินช่วย พรรคประชาธิปัตย์ 10,525 คะแนน
เขตที่ 2 นายชูชาติ ประเสริฐกรรณ พรรคประชาธิปัตย์ 11,774 คะแนน


เขตดอนเมือง
เขตที่ 1 นายสุริยา โหสกุล พรรคเพื่อไทย 11,170 คะแนน
เขตที่ 2 นางพิมพ์ชนา โหสกุล พรรคเพื่อไทย 11,863 คะแนน


เขตลาดกระบัง
เขตที่ 1 นายวิสูตร สำเร็จวาณิชย์ พรรคเพื่อไทย 10,096 คะแนน
เขตที่ 2 นายณัฐ สำเร็จวาณิชย์ พรรคเพื่อไทย 10,425 คะแนน

วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Alla Bout, wife of alleged Russian arms trader Viktor Bout, reads her husband's letter denying invol

Russian arms dealer Viktor Bout has confirmed that Sirichoke Sopha, a close aide to Prime Minister Abhisit Vejjajiva, met him to make inquiries into how ousted premier Thaksin Shinawatra's plane could be brought down.

He also alleged that the MP made inquiries into whether Thaksin was involved in arms smuggling.

Mr Bout's wife, Alla, read his statement yesterday during a press conference in Bangkok in which he proclaimed his innocence and elaborated on his discussions with Mr Sirichoke on April 15 at Bang Kwang Central Prison.

Mr Bout said no tape recording had been made of the conversation.

He claimed Mr Sirichoke asked him whether Thaksin had paid to have an aircraft smuggle arms from North Korea to Sri Lanka in December of last year, before the shipment was seized in Thailand.

Mr Sirichoke quoted a foreign news report saying that Thaksin had flown to Sri Lanka one week before the seizure.

Mr Bout alleged that Mr Sirichoke asked him whether Thaksin might have bought the weapons to arm his red shirt supporters.

As seen on: http://ireport.cnn.com/docs/DOC-485805

แถ! ต่อไป มาร์คป้องศิริโชค


http://www.go6tv.com/, กรุงเทพ. "มาร์ค"ป้อง"วอลเปเปอร์"เปล่าอ้างเป็นผช.นายกฯคุย"วิคเตอร์ บูท"ชี้ทำเพื่อชาติสืบข้อมูล จวก"จตุพร"โกหก

วันที่ 28 ส.ค. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นางเอลล่า บูท ภรรยานายวิคเตอร์ บูท พ่อค้าอาวุธชาวรัสเชีย แถลงข่าวเรื่องศิริโชคดอดเข้าคุกใปพบนายวิกเตอร์ บูท


มีการอ้างตำแหน่ง ผช. นายกรัฐมนตรี??

นายภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนได้สอบถามเจ้าตัวแล้ว ซึ่งยืนยันว่าแนะนำตัวเองในฐานะ ส.ส.แต่รายละเอียดการพูดคุยก็ต้องให้นายศิริโชค ชี้แจงเอง เพราะเจ้าตัวบอกว่าไม่ได้พูด


กรณีนายจตุพร บอกว่าในฐานะ ส.ส. นายศิริโชคก็ไม่ควรไปพบเพราะไม่มีอำนาจหน้าที่??

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า “เหรอครับ แล้วที่คุณจตุพร ทำอยู่นี้เป็นอำนาจหน้าที่ ส.ส.หรือเปล่าครับ ที่ไปทำมาทั้งหมด คุณศิริโชคก็ชี้แจงสภาฯไปแล้วว่าเขามีหน้าที่ในการหาข้อมูลมาประกอบการทำงานในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์ของบ้านเมืองครับ และไม่มีเรื่องประโยชน์ส่วนตัว ไม่มีเรื่องต่อรอง ไม่มีเรื่องอะไร เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของการทำหน้าที่ของแต่ละคน ส.ส.เขามีความสนใจปัญหาเรื่องใดก็ไปเสาะแสวงหาข้อมูล”

หากไม่ใช่ ส.ส.แล้วทางกรมราชทัณฑ์จะให้เข้าพบผู้ต้องหาหรือไม่??

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อันนี้อยู่ที่ทางกรมราชทัณฑ์จะเป็นผู้พิจารณา อย่างไรก็ตาม เรื่องราวที่เกิดขึ้นในฐานะที่นายศิริโชคเป็นคนใกล้ชิดตนก็คงไม่มีปัญหาอะไรกับตัวเอง เพราะจุดยืนของตนและรัฐบาลชัดเจนอยู่แล้วว่า เราพิจารณาทุกเรื่องเรายึดประโยชน์ประเทศและยึดกติกา ทั้งกติกาบ้านเราและกติกาสากล

แถลงการณ์ของนายบูท ระบุชัดเจนว่า เป็นการพูดคุยเรื่องพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี?

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คุยกันเรื่องอะไรบ้างก็คงต้องถามนายศิริโชค ให้อธิบายเองว่าคุยกันอย่างไร ตนไม่ทราบรายละเอียดแต่ชัดเจนว่า รัฐบาลไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง"
เพียงแค่ต้องการตั้งป้อมใส่ร้ายคนๆเดียว คือทักษิณ ชินวัตร แต่กลับฉลาดคิดเล่นลากเกมส์ชาวบ้านมาตีกินฟรีๆ แต่ปรากฏข้างงูไม่พ้นคอ อำนาจ ศอฉ.ไม่ได้ครอบคลุมไปทั่วทุกประเทศให้ต้องยอมสยบให้ คิดแค่ว่าจบปริญญาโทอังกฤษเกียรตินิยมจะฉลาดไปหมด แต่การฉลาดเพื่อใส่ร้ายคนๆเดียว ตอนนี้ต้องลากเอาประเทศไปอยู่ท่ามกลางวิกฤตด้วยฝีมือ ความโง่อวดฉลาดของอภิสิทธิ์ ศิริโชค และพรรคประชาธิปัตย์

แค่ครอบครัว วิกเตอร์บูท ทำเอารัฐบาลนั่งไม่ติด หากทั้งสองประเทศกระโดดมาเล่นด้วย ประเทศไทยแหลกรานเพราะเด็กสร้างบ้านสองคนแน่แท้


ช้างไทยที่ถูกลืม!!


เห็นแล้วเศร้าใจ

จาก.....หมีแพนด้า ถึงช้างไทย ใยแตกต่าง
ลำนำทาง พรางความคิด ให้ผิดหวัง
เคยกรำศึก ยิ่งใหญ่ ให้ไทยยัง
ได้อยู่ยั้ง ยืนยง คงเป็นไทย.....

.....จูงมือลูก ผูกมือหลาน ไปดูหมี
เจ้าตัวน้อย แสนดี คลอดมาใหม่
ลืมช้างพัง ลืมช้างพลาย ของเราไป
เป็นเหตุให้ ช้างไทยถูก ทารุณกรรม.....

.....เหลียวหันกลับ มามองกัน สักนิดเถิด
สัตว์ที่เชิด ชูกู้ชาติ อย่างระห่ำ
คือช้างไทย เกรียงไกร วีระกรรม
อย่าเหยียบย่ำ ให้ถม ลงจมดิน....

ผู้จัดการวังช้างอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า

ตนยอมรับว่าการทาสีช้างเป็นช้างแพนด้านั้น ใจจริงมีนัยยะแอบแฝงที่ต้องการประชดรัฐบาล และสื่อให้เห็นว่ากระแสสังคมและรัฐบาลให้ความสำคัญกับหมีแพนด้ามากเกินไป ทั้งๆ ที่หมีแพนด้าเป็นสัตว์ทูตสันถวไมตรีจากประเทศจีน และไม่ใช่สมบัติของไทยหรือสัตว์ของไทยแท้ๆ

แต่ทุกคนกลับให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก และให้ความสำคัญจนโอเวอร์ กระทั่งเมินที่จะให้ความสำคัญกับสัตว์สายพันธุ์ของประเทศไทย ในทางกลับกัน ช้างเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของประเทศไทย และทำคุณกับแผ่นดินไทยมามาก แต่รัฐบาลและคนไทยกลับไม่มีใครเห็นความสำคัญมากนัก

โดยเฉพาะกรณีที่มีข่าวว่า จะมีการสร้างที่อยู่ให้หมีแพนด้าโดยใช้งบประมาณ 60 ล้านบาท ในความเป็นจริงตนมองว่าเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ เพราะอีกไม่นานหมีแพนด้าก็จะต้องกลับไปอยู่ที่ประเทศจีน ซึ่งเป็นบ้านเกิดและเป็นบ้านของเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริงของหมีแพนด้า

หมีแพนด้า...มาจากจีน ยีนต่างชาติ
กลับประกาศ ก้องกู่ ให้รู้ทั่ว
ข่าวตีพิมพ์ เขียนเข้า เอาพาดหัว
ดั่งว่าตัว หมีเล่า เป็นเผ่าไทย


ช้างไทยเรา..เอาไว้ แห่งใดกัน
ทิ้งขว้างมัน นั้นลง ไม่คงไว้
จากประวัติ ขจัดขจร ก่อนเป็นไทย
เคยคิดไหม ในค่า อาชาชร


หมีแพนด้า..มาเกิด ก็เลิศนัก
มีคนรัก รับขวัญ กันสลอน
จัดงานเลี้ยง ครบเดือน เกลื่อนคำพร
บายศรี-ฟ้อน อ่อนช้อย ร้อยระบำ


ช้างไทยถิ่น..ดินแดน แคว้นล้านนา
ถูกเข็ญฆ่า ล่าเลือด เชือดให้ช้ำ
บ้างถูกยิง ถูกเลื่อยงา ตาดำๆ
ช่างน่าขำ ทำได้หนา ไม่ปรานี


หมีแพนด้า..มาที ก็มีสุข
ไม่มีทุกข์ ดั่งช้างไทย ให้บัดสี
หมีแพนด้า....อยู่สบาย ไร้ไพรี
แต่กลับที ช้างไทย ไร้ป่านอน


ช้างไทยเรา..เอาไว้ ที่ไหนหนอ
เห็นเดินขอ ทานกิน ทุกถิ่นถอน
ไม่มีแม้ แต่ป่า น่าอาวรณ์
เดินสัญจร ท้องถนน รถชนตาย


...อันสยาม เป็นไท ได้เพราะช้าง
กุญชรสร้าง ให้ยิ่งใหญ่ ใช่น้องหมี
จึงคงความ เป็นไทย ถึงวันนี้
ก็เพราะมี ช้างไทย ใช้กู้เมือง...
ในสภาวการณ์ปัจจุบัน

ช้างไทยก็เปรียบเสมือนดั่งประชาชนคนไทยชาวรากหญ้า..หรือนั่นก็คือ "คนเสื้อแดง"


ที่ถูกละเลย ลืมเลือน...ถูกทารุณกรรม จากผู้ที่นิยมความฟุ้งเฟ้อ นิยมของนอก


ถึงเวลาแล้วรึยังที่เราจะหันกลับมาให้ความสำคัญกับ "ช้างไทย" ที่ถูกลืม!!

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เมียบูท แฉ! ศิริโชคถามเรื่องทักษิณซื้ออาวุธให้เสื้อแดง


เมื่อเวลาประมาณ 16.45 น. วันที่ 27 สิงหาคม นางอัลลา บูท ภรรยานายวิคเตอร์ บูท ผู้ต้องหาคดีค้าอาวุธให้กับองค์กรก่อการร้ายระหว่างประเทศ ของสหรัฐอเมริกา ได้เดินทางมายัง สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (เอฟซีซีที) เพื่อเปิดแถลงข่าว ทั้งนี้ นางบูท เริ่มการแถลงด้วยการอ่านถ้อยแถลงของ นายวิคเตอร์ บูท ผู้เป็นสามีที่เขียนด้วยภาษารัสเซียพร้อมลายเซ็นของนายบูทกำกับ เพื่อให้ล่ามถ่ายทอดให้กับผู้สื่อข่าวเป็นภาษาอังกฤษอีกต่อหนึ่ง ดังนั้นทุกคำในข้อแถลงถือเป็นคำแถลงของนายวิกเตอร์บูท ช่วงหนึ่ง นางอัลลา บูท กล่าวถึงข่าวนายศิริโชคโสภาดังนี้

"...ในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับ นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลาพรรคประชาธิปัตย์นั้น ถ้อยแถลงดังกล่าวระบุว่า นายศิริโชค เดินทางมาพบตนที่กรมราชทัณฑ์เมื่อวันที่ 15 เมษายน ราว 5 วันหลังเกิดเหตุการณ์นองเลือดที่บริเวณสี่แยกคอกวัว โดยแนะนำตัวเองว่าเป็นผู้ช่วยนายกรัฐมนตรี และนำเอาซองเอกสารที่สื่อมวลชนต่างประเทศ รายงานเกี่ยวกับกรณีการลักลอบค้าอาวุธและที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาให้ดู และสอบถามว่า ตนทราบหรือไม่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้จัดซื้ออาวุธให้กับกลุ่มเสื้อแดงหรือไม่

ถ้อยแถลงของนายบูทระบุต่อไปด้วยว่า ได้ตอบนายศิริโชคไปว่า ไม่อยากจะคาดเดาเอาเองว่า ทักษิณขนอาวุธให้เสื้อแดงหรือไม่ตามที่นายศิริโชคถาม นายศิริโชค สอบถามต่อเป็นเชิงขอคำแนะนำว่า จะสกัดจับเครื่องบินส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณได้อย่างไร ซึ่งนายบูทให้ความเห็นไปว่า เครื่องบินดังกล่าวถือสัญชาติอเมริกัน ดังนั้น นายศิริโชคควรไปสอบถามทางฝ่ายอเมริกันเอาเอง นอกจากนี้ นายศิริโชคยังทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้เผื่อนายวิคเตอร์จะเปลี่ยนใจติดต่อกลับไป

นอกจากนี้ นายศิริโชค ยังถามว่ามีความเห็นอย่างไรที่รัฐบาลรัสเซียไม่ส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณให้ทางการไทย ทั้งที่พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางไปรัสเซีย นางอัลลาร์ กล่าวว่า อาจจะเป็นเพราะรัฐบาลนี้มาจากรัฐบาลรัฐประหาร จึงไม่ได้รับความร่วมมือมากนัก อย่างไรก็ตาม นางอัลล่า กล่าวทิ้งท้ายว่า "สามีเป็นคนเข้มแข็ง จะไม่ยอมแพ้ พร้อมสู้ต่อไป"


ในถ้อยแถลง นายบูทระบุว่า ภรรยาของตน ไม่ได้มีเทปบันทึกเสียงใดๆอยู่ในครอบครอง และไม่เคยรู้ว่า มีการบันทึกเทปการสนทนาระหว่างตนกับนายศิริโชคไว้หรือไม่ ข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง เพราะระหว่างการพูดคุย เป็นการพูดกันสองต่อสอง ไม่มีผู้อื่นอยู่ด้วย ถ้าหากจะมีการอัดเทป ก็คงเป็นนายศิริโชค ซึ่งตนเองก็ไม่รู้และไม่เชื่อด้วยว่านายศิริโชคจะนำเทปดังกล่าวมามอบให้กับภรรยาของตน.."

แต่ก่อนหน้าการแถลงการณ์นี้ นายศิริโชค โสภา ได้ให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่า การเข้าเยี่ยมนายวิกเตอร์ บูท แค่การเข้าเยี่ยมปกติ ไถ่ถามสารทุกข์ว่าจะมีอะไรให้ช่วยเหลือได้ ไม่ได้คุยเรื่องใดๆเกี่ยวกับ พตท.ทักษิณดังที่โดนกล่าวร้ายเลย

"ธรรมศาสตร์" ไม่เห็นมี ประชาธิปไตย ในแดนธรรม


กลอนสดุดีวันลากตั้งอธิการบดีธรรมศาสตร์

รักนิรันดร์ วรรณวีรพงษ์ - 4903680199


หมายเหตุ บทกวีชิ้นนี้เขียนโดยรักนิรันดร์ วรรณวีรพงษ์ บัณฑิตจากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งกล่าวถึงกระบวนการสรรหาอธิการบดีคนใหม่ของมหาวิทยาลัยได้อย่างน่าสนใจ แม้จะมีลักษณะเปรียบเปรยเสียดสี ทว่าบทกวีของรักนิรันดร์ก็ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การให้ร้ายตัวบุคคล หากมุ่งเน้นวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการเสนอชื่อ/สรรหา (ไม่ใช่การเลือกตั้ง) อธิการบดีของสถานศึกษาที่เขาเคยเล่าเรียนอยู่มากกว่า ซึ่ง http://www.go6tv.com/ ขออนุญาตนำมาเผยแพร่โดยทั่วกัน


โอ้ละหนอ ว่าด้วย "การลากตั้ง"
มีใบสั่ง เรียบร้อย จนเสร็จสรรพ
เพียงปิดหีบ ก็เดาได้ ไม่ต้องนับ
ว่าผลลัพธ์ จะออกมา เป็นเช่นไร


เลือกไปแล้ว เลือกทำไม ใครอยากเลือก
เพราะมีมือ จอม "..." มาเลือกให้
ถ้าเลือกไป เลือกแล้ว ไม่พอใจ
พวกสภา มหาลัย ก็เปลี่ยนคน


จึงไม่แปลก ที่วันนี้ จะเงียบเหงา
ไม่เหลือเงา นักศึกษา ไปกาฝน
นับคะแนน จากสามหมื่น เหลือร้อยคน
ใครอยากทน การลากตั้ง ไร้เสรี


วันลากตั้ง อธิการ ธรรมศาสตร์
ไม่แคล้วคลาด เงียบเหงา ดั่งเผาผี
เพราะกี่คน วนผ่าน กี่นานปี
ไม่เห็นมี ประชาธิปไตย ในแดนธรรม


นักศึกษา คณาจารย์ ไม่มีสิทธิ์
ไม่ "สมคิด" ได้เลือกเอง แสนกลืนกล้ำ
มีระบอบ ชี้ขาด อำนาจนำ
ไร้ซึ่งธรรม และประชาธิปไตย


อันแดนธรรม นำสมัย วิไลเลิศ
เคยประเสริฐ เลิศล้ำ นำสมัย
เคยสร้างชาติ สร้างประชาธิปไตย
คงเหลือไว้ แค่ชื่อ ให้บูชา


ถ้าอยากให้ นักศึกษา มาเลือกตั้ง
คุณต้องฟัง ให้สิทธิ์เขา เข้าคูหา
ให้เขาได้ ใช้สิทธิ์ หยิบปากกา
ให้เขาได้ ศรัทธา เสียงมวลชน...


ไม่ใช่ให้ เพียงสิทธิ์ เสนอชื่อ
พวกเขาไม่ ใช่กระบือ หรือต้นสน
แต่พวกเขา นั้นเป็นเหล่า ปัญญาชน
และเป็นคน ไม่แตกต่าง จากพวกคุณ...

วิกรม กรมดิษฐ์ ว่าที่ "นายกรัฐมนตรี"


www.go6tv.com, กรุงเทพ. จากข่าวเงินบริจาคเข้าพรรคการเมืองอู้ฟู่หรูหรา จนมาถึงชื่อว่าที่นายกฯ "ว" ที่โยนหินถามทางสังคมมาสักระยะ www.go6tv.com แกะรอยเงินบริจาคจากสื่อแล้วโยงได้ชัดเจนว่า ว่าที่นายกฯ "ว" มาจากการสนับสนุนของพรรคใด โดยขอใส่ข่าวดังกล่าวไว้เป็นหลักฐานด้วยดังนี้

"เปิดเงินบริจาคพรรคการเมือง 7 แกน กกม.อู้ฟู่ -ฮือฮา! บ.นายทุนพรรคบิ๊ก รมต.กวาดพีอาร์ ก.คลังเพียบ

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เปิดเผยยอดเงินบริจาคพรรคการเมืองประจำเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2553 โดยมีข้อมูลดังนี้

เดือนมิถุนายนมีพรรคการเมืองแจ้งว่าได้รับเงินบริจาค 11 พรรค มากสุด เพื่อแผ่นดิน 3,700,000 บาท , ภูมิใจไทย 2,240,000 บาท ,ประชาธิปัตย์ 1,676,800 บาท (ไม่มีผู้บริจาครายใหญ่) ,การเมืองใหม่ 525,823 บาท , มาตุภูมิ 295,000 บาท (นายศุภกาญจนะ หิรัญญะเวช) ,รวมชาติพัฒนา (รวมใจไทยชาติพัฒนา) 200,000 บาท ( บริษัท เมอริทซ์ พับบลิซิตี้ จำกัด ,ประชาธรรม 150,000 บาท ( นายโภมาต เจริญภูวดล) , อาสามาตุภูมิ 45,000 บาท เพื่อฟ้าดิน 20,000 บาท , กิจสังคม 10,000 บาท (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) และ อนาคตไทย 1,000 บาท รวม 8,863,623 บาท

พรรคเพื่อแผ่นดินผู้บริจาคมากสุด นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ รองประธานบริหารนิคมอมตะกรุ๊ป 1,200,000 บาท บริษัท บุญยวีร์ก่อสร้าง จำกัด 700,000 บาท นางกนกวรรณ อัคคพงษ์กุล 500,000 บาท นายอนันต์ อัคคพงษ์กุล 500,000 บาท นายเนติ ตันติมนตรี 300,000 บาท นายสุรเดช อุทัยรัตน์ 300,000 นางธารนี ปรีดาสันต์ 100,000 บาท และ นายไพศาล จันทวารา 100,000 บาท"

จริงๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่อย่างไร เพราะชื่อของวิกรม กรมดิษฐ์นั้น เข้าขั้นเซียนการตลาด นักทำงานชั้นยอดของประเทศที่นักการเมืองต้องไปเยี่ยมหาอยู่แล้ว แต่กระแสผลักดันคุณวิกรมนั้น เริ่มต้นมาพักใหญ่อย่างจริงจัง หลังจากที่อภิสิทธิ์ "เป๋" จากเหตุการณ์พ.ค.หฤโหด เริ่มต้นจากการผลักดันของกลุ่มใหญ่เลขคู่ ไปถึงการให้หมอดูในสังกัดทายหวย "ว" บอกใบ้สังคมว่าเป็นนักธุรกิจ นักเขียนคนดี แต่การจะผลักดันวิกรมได้นั้น จะขัดกับรัฐธรรมนูญ จึงตั้งกรรมการปฏิรูป เพื่อหาช่องทาง "งดใช้รัฐธรรมนูญ" บางมาตราเพื่องดใช้กรณี "นายกฯต้องมาจากการเลือกตั้ง" เพื่อเปิดช่องให้ "วิกรม" ขึ้นนั่งเก้าอี้ ล้างภาพการเมืองเลวร้าย ให้คนไทยลืมๆ ฉีดยาชาให้สังคมสักพัก

ผู้เขียนอ่านหนังสือของคุณวิกรมแล้ว ก็บอกตรงๆว่าไม่ได้ติดใจอะไร แต่มีข้อสงสัยหลายประการโดยเฉพาะอย่างยิ่งความเป็นคนดีในตัวละคอน รวมถึงการผลักดันสร้าง "วิกรม" ให้รู้จักกันทั่วประเทศผ่านบทละคร ทางช่อง9 มันออกจะทะแม่งๆ ด้วยเหตุไม่เคยมีการสร้างละครชีวิตคนจริงๆ โดยที่เจ้าตัวยังมีชีวิตอยู่กันเท่าไร เหมือนพยามยามโฆษณา "วิกรม" ผ่านวิทยุ โทรทัศน์ โดยไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

ผู้เขียนยืนยันว่า ไม่ได้รังเกียจอะไรคุณวิกรมส่วนตัว ออกจะนิยมเสียด้วยซ้ำ แต่ไม่เห็นด้วยกับการ "งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา" เพื่อเปิดช่องทางพิเศษให้วิกรม เพราะมันไม่สง่างามเลย

Cambodia Never Demands Assistance from Bangkok


via Khmer NZ


Wednesday, 25 August 2010 12:30 DAP NEWS / VIBOL


CAMBODIA, PHNOM PENH, AUGUST 25, 2010-Cambodian foreign ministry announced that Cambodia has never demanded the assistance from Bangkok.


Thailand has rights to give assistance to any countries. And Cambodia does not demand assistance from Thailand, Koy Khuong, spokesman for foreign ministry said by phone.


Cambodian PM Hun Sen said previously that " Cambodia does not get assistance from Thailand. Cambodia does not die from that. Cambodia terminated the assistance project from Thailand after Thailand planned to impose the aid project as tool for dealing border issues. Cambodia built the natioal road 6 with own money in western part of Banteay Mean Chey province linked to Thailand's border.

คำแปล: รัฐบาลกัมพูชาไม่ต้องการความช่วยเหลือใดๆจากกรุงเทพ

กัมพูชา กรุงพนมเปญ วันที่ 25 สิงหาคม 2553 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศประกาศว่าไม่เคยร้องขอความช่วยเหลือใดๆจากกรุงเทพฯ

ประเทศไทยมีสิทธิที่จะให้ความช่วยเหลือประเทศใดก็ได้ แต่รัฐบาลกัมพูชาไม่เคยต้องการความช่วยเหลือจากประเทศไทย
นายกรัฐมนตรีกัมพูชากล่าวก่อนหน้านี้ว่า "กัมพูชาไม่เคยรับความช่วยเหลือใดๆจากประเทศไทย กัมพูชาก็ไม่ตาย กัมพูชาได้ยกเลิกโครงการความช่วยเหลือจากรัฐบาลไทยหลังจากที่รัฐบาลไทยวางแผนช่วยเหลือเพื่อเป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาด้านชายแดนของประเทศไทยกับกัมพูชา กัมพูชาเองก็สร้างถนนแผ่นดินหมายเลข 6 ด้วยเงินของกัมพูชาเองทางด้านตะวันตกของ จังหวัด Banteay Mean Chey ซึ่งเชื่อมกับจังหวัดทางฝั่งไทย

ดำทั้งแผ่นดินเชียงใหม่ ประกาศท้าหัวใจสู้



www.go6tv.com, Chiang Mai. ประชาชนร่วมแต่งดำ รำลึกเหตุการณ์พันธมิตรฯ บุกยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที เมื่อวันที่ ๒๖ ส.ค.50

ประชาชนร่วมพัน แต่งกายด้วยชุดสีดำชุมนุมหน้าศาลากลางจังหวัดอย่างสงบ ยืนถือผ้าและป้ายสีดำ ร่วมรำลึกเหตุการณ์ยึดบ้านเมืองของพันธมิตร โดยเน้นย้ำให้เห็นถึงความไม่ยุติธรรมของกระบวนการตุลาการและสังคมของประเทศ

ผ่านมากว่า 3 ปี แต่ตำรวจไม่สามารถแม้แต่ออกหมายเรียกพันธมิตรมาดำเนินคดีได้
แต่กลับใช้เวลาแค่ 4 เดือน ในการไล่จับขังคุกจนส่งดำเนินคดีกับแกนนำเสื้อแดงและประชาชนทีชุมนุมอย่างสงบที่ราชประสงค์และทั่วประเทศจากเหตุการไม่สงบ พฤษภาคมที่ผ่านมา

ประชาชนหวังเพียงแค่ความยุติธรรมและมาตรฐานเดียวของการพิจารณาคดีเท่านั้น

ด่วน !! ระเบิดสร้างสถาการณ์หน้า King Power รางน้ำ อีกแล้ว

http://www.go6tv.com/ , กรุงเทพ. ได้รับแจ้งข่าวว่ามีเหตุระเบิดหน้าห้าง คิงส์พาวเวอร์ ซอยรางน้ำเมื่อประมาณก่อนเที่ยงคืนที่ผ่านมา

มีผู้บาดเจ็บ 1 คน ทราบเบื้องต้นชื่อ เจษฏา จันทร์กระจ่าง โดนสะเก็ดระเบิดที่ศีรษะ และยังเหลือระเบิดอีก 1 ลูกในที่เกิดเหตุ แต่ไม่ระเบิด ขณะนี้ตำรวจ ทหารและหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดได้เข้าพื้นที่เกิดเหตุแล้ว

รายละเอียดจะเพิ่มเติมในบทความนี้ต่อไป.

แฉ!! พ่อค้าน้ำตามหาลูกเมียป่วยที่ รพ.ตร. โดนยัดคุกข้อหาเผาห้าง แถมตีหัวซ้ำ




www.go6tv.com , กรุงเทพ. ช็อค!! พ่อค้าน้ำตามหาลูกเมียที่ป่วย ที่ รพ.ตำรวจ กลับโดนทหารจับยัดคุกข้อหาเผาห้าง วางเพลิง ข้อหาผิด พรก.ฉุกเฉิน มีอาวุธและก่อการร้าย ร้องขอความยุติธรรมจากสังคม.
พ่อค้าน้ำ (ขอสงวนชื่อ) ตำรวจบ้านย่านลาดพร้าว ร้องขอความยุติธรรม ว่าตนถูกเจ้าพนักงานรัฐกลั่นแกล้งจนนอนติดคุกตั้งแต่ 19 พ.ค.53 ถึงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พ่อค้าน้ำแฉผ่าน http://www.go6tv.com/ ว่าสภาพความเป็นอยู่เหมือนนรกบนดิน โดนกลั่นแกล้งจากเสือ้เหลืองในคุกสารพัด แล้วต้องพลัดพรากลูกเมียทั้งที่ตนเป็น "พ่อค้าจนๆ เข็นรถน้ำหวาน เก็บขยะ" ในม็อบ
พ่อค้าน้ำเล่าว่า วันเกิดเหตุ 19 พ.ค. ได้ข่าวว่าเขาจะสลายการชุมนุม ตนกำลังเก็บขยะ ขวดพลาสติก กระป๋องเพื่อไปชั่งกิโลขาย จึงรีบเดินทางไปโรงพยาบาลตำรวจ เพราะลูกป่วยรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจและเมียก็เฝ้าใข้ลูก
ในบริเวณชุมนุมราวเที่ยง เริ่มทราบว่าเมียและลูก ย้ายหนีจาก รพ. เข้าไปยังในวัดปทุมวนาราม ตนไปยังวัดแล้วรู้ว่า ลูกเมียอยู่ จึงหาวิธีพาลูกเมียกลับบ้าน จึงเดินออกมาทางด่านปทุมวัน (มาบุญครอง) เพื่อหารถแท็กซี่ เพื่อรับลูกเมียกลับบ้าน ขณะที่เดินจากวัดไปมาบุญครอง ค่อนข้างไกล จึงกระโดดขึ้นมอเตอร์ไซไปยังสี่แยกมาบุญครอง ด้วยความบริสุทธิ์ใจ จึงได้ไปแจ้งให้ทหารที่เฝ้าด่านทราบเพื่อขออนุญาตนำรถแท็กซี่ไปรับลูกเมียจากข้างใน
ทหารที่อยู่ด่านนั้น กลับจับตัวของพ่อค้าน้ำ ค้นถุงเก็บขยะ ซึ่่งในถุงขยะสีดำ 2-3 ถุงที่ตนถือมา มีขวดน้ำ กระป๋องน้ำอัดลมยัดเก็บไว้เพื่อไปขาย รวมทั้งมีดปลอกผลไม้ที่เก็บได้ และตนได้เอากระดาษห่อมีดไว้หลายๆชั้นเพื่อประกันว่าไม่สามารถหยิบมีดนี้มาใช้ได้ ทหารถามว่าทำไมมีมีดปลอกผลไม้ยาว6-7นิ้ว จึงตอบว่าตนเก็บได้จากแถวถังขยะ ซึ่งยังใช้ได้ เพราะตนขายส้มตำไก่ย่างแถวบ้านด้วย จึงได้เก็บมีดนี้ไว้ กะว่ามาลับให้คมเพื่อใช้สับมะละกอส้มตำ
ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่รัฐได้ใช้มีดเล่มดังกล่าว "สับ" เข้าบนหัวอย่างจังจนเลือดไหล พร้อมโดนถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมด ยึดโทรศัพท์มือถือ และส่งตัวขึ้นรถบัสที่ ศอฉ.จัดไว้ให้ โดยอ้างว่าจะพากลับบ้าน ตนยืนยันว่า ทุกคนที่อยู่บนรถ ไม่ได้ถูกส่งกลับบ้านเลย แต่ถูกส่งเข้าเรือนจำทันที
ขณะที่กำลังเดินจากหน้าวัดปทุมฯ จนมาถึงฝั่งสี่แยกมาบุญครอง พ่อค้าน้ำเล่าต่อว่า ราวบ่ายโมง แต่ปรากฏว่าตนเห็นทหารอยู่บนรถไฟฟ้า ส่องปืนลงมายังประชาชนข้างล่าง พร้อมส่งเสียงโวยวายฟังไม่ออกว่าเป็นภาษาไทย ทหารที่อยู่ด้านล่างต้องส่องปืนขึ้นไปด้านบน พร้อมตะโกนบอกว่า "อย่ายิง" พร้อมโบกมือห้าม เพราะเหมือนทหารบนรถไฟฟ้าไม่รู้ภาษาไทย แต่พอเห็นทหารข้างล่างโบกมือไม้จึงหยุด แล้วส่งเสียงพูดภาษาแปลกๆๆ ไม่คุ้นหูคนไทยเลย
พอมาอยู่ในเรือนจำ ก็ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากจนมีคนช่วยไปประกันตัวออกมาชั่วคราวเพื่อรักษาอาการป่วยที่เท้าที่เริ่มเดินไม่ได้ ขณะนี้เขาออกมาอยู่บ้าน ไม่มีรถเข็นแล้ว ลูกก็ป่วยหลังจากนั้นมาตลอดเวลา จึงมาร้องขอความเป็นธรรมกับสังคมต่อไป
( http://www.go6tv.com/ จะได้ถอดเทปทั้งหมดออกมานำเสนอท่านเป็นตอนๆต่อไป)

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

พฤติกรรม "จนตรอก" ของรัฐบาลไทย






www.go6tv.com, กรุงเทพ. บทความโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม / ตำนานเรื่อง “พ่อค้าความตาย” วิกเตอร์ บูท กำลังหักมุมอย่างน่าทึ่ง

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ศาลอุทธรณ์ในประเทศไทยได้กลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยพิพากษาให้ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนชาวรัสเซียไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา เห็นชัดว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ถูกรัฐบาลสหรัฐกดดันอย่างหนัก การส่งตัวบูทเป็นการกระทำที่จนตรอกของรับบาลเหตุผลเพื่อหลีกเลี่ยงคำประณามจากนานาชาติต่อการกระทำของตน รัฐบาลสหรัฐรุกรัฐบาลไทยอย่างอย่างหนัก โดยมีการเรียกตัวเอกอัครราชทูตไทยเข้าพบ ณ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ เพื่อแสดงเจตจำนงให้รัฐบาลไทยส่งตัวบูทไปยังสหรัฐ ขณะเดียวกันผู้แทนสภาคองเกรสได้เขียนจดหมายตั้งคำถามถึงสถานภาพประเทศไทยที่ “เป็นผู้ไม่ฝักใฝ่กลุ่มองค์การนาโต้”

ท่ามกลางปริศนาว่ามีการ “ปรับ” ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของสหรัฐและรัสเซีย บูทมีสายสัมพันธ์กับกลุ่มตระกูลที่เหี้ยมอำมหิต ซึ่งกลุ่มตระกูลดังกล่าวคงบคุมพื้นที่ทางการเมืองของรัฐบาลรัสเซีย หลายคนเชื่อว่าบูทมีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อตกลงที่รองนายกรัฐมนตรีรัสเซียนายไอกอร์ เซชิน และประธานาธิบดีเวเนซูเอล่านายฮูโก้ ซาเวช ได้กำหนดขึ้นเพื่อสนับสนุนกบฏเอฟเออาร์ซีในประเทศโคลัมเบีย โดยข้อตกลงค้าอาวุธสงครามและพลังงานที่มีขึ้นอย่างต่อเนื่องใน 2-3 ปีที่ผ่านมาได้สร้างความเป็นปึกแผ่นให้กับทั้งสองประเทศ โดยประธานาธิบดีซาเวชสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลรัสเซียในการแทรกแซงตลาดพลังงาน และรัฐบาลรัสเซียสนับสนุนนโยบายของประธานาธิบดีซาเวชซึ่งสร้างความไร้เสถียรภาพให้กับประเทศเพื่อนบ้านในละตินอเมริกา

ขณะที่เครื่องบินสหรัฐจอดรอ ณ สนามบินนานาชาติดอนเมือง เพื่อรับตัวนายวิกเตอร์ บูทไปยังสหรัฐ ข้อกล่าวหาเรื่องข้อตกลงที่รัฐบาลอภิสิทธิ์พยายามจะตกลงกับบูทก่อนที่จะมีคำพิพากษาให้ส่งตัวบูทไปยังสหรัฐได้ถูกเปิดโปง โดยวันที่ 24 สิงหาคม นายนิติภูมิ นวรัตน์ คอลัมนิสต์ไทยรัฐซึ่งหลายคนรู้จักดี โดยนายนิติภูมิสามารถพูดภาษารัสเซียและเคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสภาร่างนิติบัญญัติหลังจากการทำรัฐประหารในปี 2549 เปิดเผยว่าตัวแทนรัฐบาลอภิสิทธิ์ได้เข้าเยี่ยมบูทในเรือนจำ โดยมีการเสนอให้บูทให้ร้ายอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าอาวุธสงครามที่ผิดกฎหมาย เพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่บูทจะไม่ถูกส่งตัวไปยังสหรัฐ และไม่นานหลังจากนั้นนายจตุพร พรหมพันธ์ ส.ส. พรรคเพื่อไทย ได้ยกประเด็นนี้ขึ้นมาอภิปรายในรัฐสภา โดยกล่าวหาว่านายศิริโชค โสภา ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ได้ช่วยเหลือนายอภิสิทธิ์ในการเสนอข้อตกลงดังกล่าว ขณะที่มีการปฏิเสธข้อตกยื่นหมูยื่นแมวนั้น นายศิริโชคยอมรับว่าเคยไปพบบูทที่เรือนจำจริง

หลังจากรัฐประหารปี 2549 เป็นต้นมา อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรถูกสอบสวนดำเนินคดีอาญาหลายข้อหา อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการเพิ่มอิทธิพลทางการเมืองในกระบวนการยุติธรรมหลังรัฐประหาร ศาลยุติธรรมพิพากษาให้ทักษิณมีความผิดไม่กี่ข้อหา ซึ่งน้อยมากหากเีทียบกับสิ่งที่นายทหารที่ทำรัฐประหารกล่าวหา และน้อยกล่าวสิ่งที่ฝ่ายตรงที่บ้าคลั่ง อย่างนายกษิต ภิรมย์ ตั้งข้อเปรียบว่าทักษิณเป็นฮิตเล่อร์หรือสตาลิน จนถึงวันนี้ ทักษิณถูกตัดสินว่ากระทำความผิดเพียงหนึ่งข้อหา ซึ่งไม่ใช้ความผิดอันเกี่ยวกับการคอรัปชั่นอย่างที่หลายคนกล่าวหา แต่เป็นกรณีที่ทักษิณได้เซ็นยินยอมให้ภรรยาของตนไปประมูลซื้อที่ดินสาธารณะในกรุงเทพมหานคร ศาลพิพากษาให้ทักษิณมีความผิดฐานละเมิดกฎหมายรัฐธรรมนูญในบทที่ว่าด้วยเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เดือนกุมภาพันธ์ 2553 ศาลฎีกาพิพากษายึดทรัพย์ของทักษิณมูลค่า 1.4 พันล้านดอลล่าสหรัฐ ตามความผิดข้อหา “คอรัปชั่นเชิงนโยบาย” แม้ว่าบริษัทบางบริษัทของทักษิณจะทำผลกำไรมหาศาลไม่ต่างก่อนที่ทักษิณจะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีก็ตาม และเมื่อไม่นานมานี้กรมสอบสวนคดีพิเศษตัดสินไม่สั่งฟ้องทักษิณในคดีที่เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของทักษิณถูกยึด

การขาดหลักฐานที่น่าเชื่อถือเพื่อที่จะพิสูจน์ว่าทักษิณคือ “ปิศาจร้าย” ทำให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ต้องสร้างเรื่องป้ายสีทักษิณให้ใหญ่ขึ้น โดยเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับบูทแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยพยายามที่จะดำเนินคดีกับฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของตนแบบ “Dreyfus” (ใส่ร้ายป้ายสี ขบวนการล่าแม่มด) ในขณะที่การฆ่าหมู่ในเดือนเมษายนและพฤษภาคมเผยให้เห็นว่ารัฐบาลไทยละเลยความรับผิดชอบที่จะปกป้องชีวิตพลเรือนของตน และระหว่างการตัดสินใจว่าจะลบหลู่ไม่ปฏิบัติตามพันธกรณีภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่ รัฐบาลไทยได้พยายามเสนอข้อตกลงอันเลวร้ายกับบูท แสดงให้เห็นการกระทำอันต่อทรยศประเทศสัมพันธมิตรอันใกล้ชิด เพื่อแลกกับการดำเนินนโยบายทางการเมืองอันน่าละอายที่เกี่ยวกับการป้ายสี คุกคาม และการดำเนินคดีฝ่ายตรงข้าม การกระทำเหล่านี้ไม่ใช่การกระทำของสัมพันธมิตรที่ดี และไม่ว่าเรื่องดังกล่าวจะเป็นเรื่องเล็กหรือใหญ่ก็ตาม การกระทำเหล่านี้ถือเป็นการกระทำของกลุ่มคนที่จนตรอกและถูกประชาชนค่อนประเทศเกลียดชัง กลุ่มคนเหล่านี้พร้อมที่จะสละเกียรติยศและผลประโยชน์ของประเทศเพื่อแลกกับการรักษาอำนาจการเมืองที่เสื่อมถอย

ขณะที่ทั่วโลกกำลังมองดูสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น รัฐบาลไทยเดินหน้าสร้างความยุ่งยาก ฟอกอาชญากรรมของตน และขัดขวางกระบวนการบุติธรรมอย่างเป็นระบบ รัฐบาลยังคงแต่งเรื่องป้ายสีฝ่ายตรงข้าม และปฏิเสธที่จะเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับผลชันสูตรของศพทั้ง 91 ศพที่เสียชีวิตในเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 ซึ่งรวมถึงการเสียชีวิตของช่างภาพชาวอิตาลีนายฟาบิโอที่รัฐบาลไทยพยายามปกปิดอย่างน่าละอาย และเหมือนทุกครั้ง รัฐบาลประณามฝ่ายตรงข้ามตนทันทีว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ปัดความรับผิดชอบ ล้าช้าในการเปิดเผยพยานหลักฐานที่อาจจะเปิดเผยสิ่งที่ตรงข้ามกับข้อกล่าวหา

ขณะที่รัฐบาลพยายามปิดบังความจริงที่เกิดขึ้นระหว่างการฆ่าหมู่ในกรุงเทพมหานครคือกระทำอาชญากรรมที่เห็นได้ชัด เรื่องอื้ฉาวของบูทเผยให้เห็นว่าถึงธาตุแท้ทางการเมืองแที่รัฐบาลใช้ข้อหา“ก่อการร้าย” กล่าวหาคนเสื้อแดงและทักษิณ เมื่อศีลธรรมของอภิสิทธิ์จมดิ่งลงสู่หุบเหวลึก แม้แต่ “พ่อค้าความตาย” ได้ค้นพบว่ากลลวงของรัฐบาลเป็นสิ่งที่ต่ำทราม หรืออาจจะเป็นเพียงกลลวงที่โง่เขลาเท่านั้น การที่บูทกำข้อมูลซึ่งอาจสร้างความเสียหายต่อรัฐบาล ทำให้หลายคนตั้งคำถามถึงความปลอดภัยของบูท ในระหว่างที่อยู่ในการควบคุมของรัฐบาลไทย

ด้วยเหตุผลหลายประการ เราเชื่อว่าว่าบูทจะไม่ถูกส่งตัวไปยังสหรัฐในเร็วๆนี้ อย่างไรก็ตามเราได้แต่หวังว่านานาชาติจะใช้กดดันให้รัฐบาลไทยส่งตัวบูทไปยังสหรัฐและเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับประชาชนชาวไทยและชาวต่างชาติที่ถูกสังหารและได้รับบาดเจ็บระหว่างการสังหารหมู่เมื่อไม่นานมานี้โดยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ถึงเวลาแล้วที่นานาชาติต้องแสดงท่าที ก่อนที่รัฐบาลไทยจะฟอกอาญากรรมของตนจนขาวสะอาด กำจัดผู้นำฝ่ายตรงข้ามที่เรียกร้องประชาธิปไตยสำเร็จ และกระทำการอันน่าอัปยศโดยทำลายพันธกรณีที่มีต่อพันธมิตรประเทศอันยาวนาน ประชาคมโลกต้องไม่นิ่งเฉยต่อการกระทำที่ผิดกฎหมายของรัฐบาลอันธพาล

หมอดู หรือปีศาจ ?


http://www.go6tv.com/, กรุงเทพ. เมื่อการเมืองไทยถึงทางตัน (หรือกำลังหาทางไป) สื่อสารมวลชนไทยก็มักไปถามหาหมอดู ทุกศาสตร์ทุกสาขา เล็งฌาน เล็งเลขลัคขณา ไปยังทั้งดวงเมือง ดวงผู้นำ เพื่อหาทางออกหรือพอทำให้อุ่นใจ
แต่ในความเป็นจริงนั้น บรรดาผู้ปกครองหรือชนชั้นนำ ต่างทั้งลุ่มหลงและใช้ "หมอดู" ในการโยนหินถามทางประชาชนเสมอ ถึงขั้นที่ "วาสนา นาน่วม" สามารถนำเอาโหราศาสตร์มาผูกกับการเมืองจนเขียน "ลับ ลวง พราง" ขายได้ไปจนถึง 4 เล่มแล้ว
มันไม่ใช่หน้าที่ หรือเหตุผลใดอะไรของสื่อมวลชน ที่จะต้องมาคอยทำนายทายทักอะไรให้กับดวงเมือง หรือดวงผู้นำในกรณีที่ไม่มีการร้องขอ แต่โดยธรรมชาติของคนไทยนั้น นิยมชมชอบและ "เชื่อพระ เชื่อหมอดู"
ดังนั้น เมื่อชนชั้นนำหรือชนชั้นปกครองต้องการดำเนินอย่างไรต่อ จึงอาศัยหมอดูมาแจ้งข่าว เล่าให้ประชาชนฟังเพื่อเตรียมใจดังเช่นดังนี้
"เก่งกาจ จงใจพระ โหรการเมืองกล่าวว่าดวงอภิสิทธิ์ตั้งแต่ 29 เม.ย. ถึง 29 พ.ย.นี้ ดวงนายกอันตรายมาก อยากเตือนให้นายกฯ ระวังตัว ดวงเข้าเคราะห์ ควรหลีกเลี่ยงไปอิสาน-เหนือ รวมถึงตึกสูง เพราะอาจโดนลอบยิงได้ ที่สำคัญอักษร "อ.อ่าง" เป็นอัฉนาม หมายถึงเป็นแพะรับบาป ทำนายว่าดวงพรรคไม่ดี ดวงรัฐบาลไม่ดี อาจต้องยุบพรรค"
ถอดรหัสคำทำนายนี้ ชนชั้นนำ กำลังบอกเราว่า "อภิสิทธิ์อาจโดนลอบฆ่าได้ ไม่ควรไปอิสานกับเหนือ" ประโยคนี้กำลังสื่อโยนบาป โยนการกระทำเลวร้ายนี้ไปที่คนเสื้อแดง กำลังจะบอกว่า หากโดนทำร้ายก็จะมีแต่คนเสื้อแดงเท่านั้นที่จะกระทำ อย่างนั้นหรือ "เป็นแพะรับบาป" กำลังบอกประชาชนว่าอะไรครับ กำลังบอกว่าอภิสิทธิ์ไม่ได้ฆ่าคนหรือ??? จะบอกว่าอภิสิทธิ์ ไม่มีความผิด ใสซื่อบริสุทธิ์ เธอแค่คนรับกรรมในสิ่งที่ตนไม่ได้ก่อ ให้คนไทยรู้สึกสงสารหรือ "ให้มันเลิกๆๆกัน" หรือครับ
หรือจากหมอดูอีกคน

นายภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล ประธานกรรมการสถาบันศาสตร์แห่งชีวิตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า "ในเดือน ต.ค. ที่เป็นเดือนธาตุไฟ ส่วนดวงนายอภิสิทธิ์ เป็นปีมะโรง ธาตุไม้ ซึ่งชงกัน จะเป็นไฟที่เผาไม้ และนายอภิสิทธิ์ ก็อายุอยู่ในเคราะห์ด้วย และยังมาเจอเดือนไม่ดี เดือน ต.ค.จึงจะเป็นเดือนที่หนักที่สุดของนายอภิสิทธิ์ พอแกนนำรัฐบาลมีปัญหาก็จะหนัก โดยภาระบ้านเมืองจะมีเรื่องปั่นป่วนเกิดขึ้น ถึงขั้นมีอาวุธระเบิดปืนไฟมาสร้างปัญหากับบ้านเมือง โยงจนถึงขั้นบุคคลในเครื่องแบบต้องออกมาดูแลบ้านเมือง ถ้าหนักๆ อาจมีการนองเลือด เสียเลือดเสียเนื้อ สุดท้ายที่พูดกันอยู่ตลอดเวลาคือปฏิวัติ ดังนั้นผู้ใหญ่ที่มีอำนาจ บทบาท ต้องอดทนใจเย็น เอาน้ำเย็นเข้าลูบ นอกจากนี้ต้องหาคนที่มีความสามารถ ความพร้อมประสานสิบทิศ ออกมาเจรจา และตัวคนมีอำนาจเอง ต้องหยุดตัวเองชั่วขณะหนึ่งในช่วงเดือน ต.ค.เช่น หยุดการสัมภาษณ์หรือลาพักร้อนไปเสียเลย"
นี่คือการเล่นจิตวิทยามวลชนชัดๆเลยว่า ต้องการสื่อให้คนไทยว่า:
1. ยัดเยียดข้อกล่าวหาว่า คนเสื้อแดงนั้น ยังมีอาวุธร้ายอยู่ คำว่ามีปืนไฟ คงไม่ได้หมายถึงมีพลุหรือดอกไม้ไฟแน่ แต่เขากำลังใส่ความนิ่มๆ ผ่านปากหมอดู เขาจะปราบปรามอย่างหนักนองเลือดอีกครั้ง แต่จะบอกคนไทยว่า เป็นการสุมไฟให้บ้านเมือง เขาต้องออกมาแก้ไขปัญหา(ด้วยกระสุนปืน)อย่างมีศีลธรรม
2. กำลังโยนหินถามทางว่า หากต้องการให้ พลเอก ประยุทธิ์ จันทร์โอชา ออกมานำทัพปฏิวัติอีกครั้ง แล้วกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ เผด็จการแบบสุดขั้ว โดยใช้คำสวยหรูว่า "ดูแลบ้านเมือง" ผมไม่แน่ใจว่า ดูแลบ้านเมือง หรือดูแลชนชั้นปกครองกันเอง แล้วกดหัว กุดหัวประชาชนข้างล่าง
3. แจ้งให้คนไทยทราบว่า ได้เตรียมนายกฯคนใหม่ไว้เรียบร้อยแล้ว จะออกชื่อ "ป" เฉลยง่ายว่า "ประยุทธิ์ จันทร์โอชา" เป็นนายทหาร หรือ "ว" นักธุรกิจร้อยล้านคนแสนดีแบบพิลึกพิกล "วิกรม กรมดิษฐ์" ซึ่งโผล่มาเป็นคนดีแบบงงงวยสังคม เขาคงรอดูสถาณการณ์อีกที เขากำลัง "ยัดเยียด" นายกฯอำมาตย์คนใหม่ในคราบ "นักธุรกิจ" ให้คนไทยเผลอตัวซาบซึ้งกันไปอีก
ดังนั้นจะเห็นว่า เขาไม่ใช่หมอดู แต่เขากำลัง "ยัดเยียดข้อมูลใส่หัวคนไทย" นี่คือเฉลยของคำทำนายทั้งหมดครับ

ภาพสดๆ !! ดำทั้งแผ่นดิน ขจัดสิ้นสองมาตรฐาน



www.go6tv.com, กรุงเทพ. ประชาชนนับพันแห่ร่วมงานเสวนา  2 ปี 2 มาตรฐาน ที่ชั้น 5 อิมพีเรียล ลาดพร้าว เริ่มเมื่อเวลา 14.00 น.ที่ผ่านมา

ในงาน มีการเสวนาของ นายคณิน  บุญสุวรรณ.   อาจารย์สุดา  . และ สมบัติ บุญงามอนงค์ (บก.ลายจุด)  ในหัวข้อ 2 ปี 2 มาตรฐาน  โดยเป็นการเสวนาประเด็นด้านรัฐธรรมนูญ  สังคม การเมือง และบทบาทเสื้อแดง  โดยประชาชนพร้อมใจใส่เสื้อดำให้เกียรติ

ในงานมีการจำหน่าย วีซีดี เสื้อแดง อุปกรณ์ชุมนุมต่างๆ โดยมีเพื่อนฝูงร่วมอุดมการณ์ทุกสำนักอย่างคับคั่ง


วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม: เมื่ออำนาจรัฐ ถูกปล้น


www.go6tv.com, กรุงเทพ.
โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ได้ออกบทความใหม่หัวข้อ การ “เมื่ออำนาจรัฐถูกปล้น” เมื่อวันที่ 25 สิงหาคมที่ผ่านมา มีใจความส่วนหนึ่งว่า.....
" ในประเทศไทยมีลักษณะเฉพาะ ในยุค 50 สิ่งสำคัญแรกสุดในมุมมองของประชาคมโลกต่อการแก้ปัญหาความไม่มั่นคงภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือการใช้วิธีการทางการเมืองที่ไม่ได้คำนึงถึงจริยธรรม อย่างแรกคือการต่อสู้กับกลุ่มคอมมิวนิสต์ และเมื่อไม่นานมานี้คือลดอิทธิพลของสาธารณรับประชาชนจีน โดยสหรัฐได้สนับสนุนและให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงินอย่างมากต่อกลุ่มอำมาตย์ในประเทศไทย แม้ว่าในเวลานั้นรับบาลไทยจะใช้ระบบที่กดขี่ประชาชนแค่ไหนก็ตาม ผลก็คือประเทศเดียวที่สามารถกดดันและผลักดันให้ประเทศไทยไปสู่แนวทางประชาธิปไตยได้นั้น ไม่ได้มีความสนใจที่จะทำเช่นนั้น และในประเทศไทยนั้น พื้นฐานของ “การปล้นอำนาจรัฐ”มีเล่ห์อุบายที่ซับซ้อนกว่าประเทศรัสเซียหรือกัวเตมาลา ประเทศเหล่านี้ การปล้นอำนาจรัฐตั้งอยู่บนพื้นฐานของเงินและกองทัพอย่างชัดเจน แต่การปล้นอำนาจรัฐในประเทศไทยตั้งอยู่บนพื้นฐานของการเชื่อในสิ่งที่เหนือธรรมชาติและกระบวนการล้างสมอง กว่าร้อยปีที่ผ่านมา หน้าที่หลักของระบบการศึกษาไทยและสถาบันทางศาสนาคือการหลอกลวงประชาชนให้เชื่อว่าความเหลื่อมล้ำทางอำนาจและรายได้นั้นคือสิ่งที่ “เป็นธรรมชาติ” และคำกล่าวนั้น ทำให้เชื่อว่ากลุ่มอำมาตย์เหล่านั้นมีสิทธิตามธรรมชาติที่จะทำอะไรก็ได้เพราะได้ทำกรรมที่ดีกว่าและกระทำคุณงามความดีที่มากกว่าคนทั่วไป

โศกนาถกรรมที่เกิดขึ้นใน 4ปีที่ผ่านมา อาจจะเผยให้เห็นว่ากลุ่มอำมาตย์ในประเทศไทยสามารถรักษาอำนาจของกลุ่มตนโดยการใช้วิธีการสุดขั้วและจนตรอกอย่างการทำรัฐประหาร ยึดสนามบิน ปิดกั้นข่าวสารอย่างรุนแรง คุมขังนักโทษทางการเมืองหลายร้อยคน ใช้อำนาจฉุกเฉิน สังหารหมู่ประชาชนเท่านั้น และยังมีความเป็นไปได้ว่าจะมีการโฆษณาชวนเชื่อว่าจะมีการก่อการร้ายอย่างต่อเนื่อง เหตุผลที่วิธีการเหล่านี้มีความจำเป็นเพราะกระบวนการล้างสมองประชาชนได้ล้มเหลว ประชาชนไม่เชื่อในคำโฆษณาชวนเชื่ออีกต่อไป และหลายคนต้องการที่จะทวงประเทศของพวกเขาคืน

กว่าสองทศวรรษผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่า ระบอบประชาธิปไตยใช้ได้ผลกับประเทศกำลังพัฒนาไม่เป็นไปอย่างที่ชาวตะวันตกกลัว แต่ข้อเท็จจริงคือจุดสูงสุดของคลื่นประชาธิปไตยในต้นยุค 90 ได้ถอยหลังลงคลองแสดงให้เห็นว่าความเชื่อในเรื่อง “จุดสิ้นสุดของประวัติศาสตร์” ไม่เป็นความจริง ความเสื่อมของระบอบประชาธิปไตยที่ประชาคมโลกได้เห็นในสองศตวรรษที่ผ่านมา ย้ำให้เห็นเราต้องระมัดระวังอย่างจริงจังว่าไม่มีชัยชนะใดที่ถาวร และเมื่อเราได้ความเป็นประชาธิปไตยมา เราจะต้องปกป้องเสรีภาพนั้นอย่างจริงจัง ประชาชนไทยกำลังจารึกประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้เพื่อเรียกร้องเสรีภาพและประชาธิปไตยอันยาวนานหน้าใหม่ โดยทวงคืนอำนาจรัฐจากกลุ่มอำมาตย์เผด็จการที่ไร้ยางอาย และนี่จะเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนให้ประชาคมโลกเห็นว่ากระบวนการการทวงคืนและเรียกร้องสิ่งเหล่านั้นทำกันอย่างไร..."

อ่านบทความเต็มเพิ่มเติมได้จาก
http://robertamsterdam.com/thai/?cat=7

Statement of Press and Quick Reaction Unit คำต่อคำจาก "กัมพูชา" ถึง "สนธิ ลิ้มทองกุล"



กองโฆษกหน่วยสื่อและการตอบโต้อย่างรวดเร็ว ในสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแห่งกัมพูชา ขอแถลงการณ์ว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (เสื้อเหลือง) ได้กล่าวในรายการ เมืองไทยรายสัปดาห์ เอเอสทีวี วันที่ 20 สิงหาคม 2553 ได้กล่าวหมิ่นประมาทอย่างหยาบคายแก่ ผู้นำอันเป็นที่รักและเคารพ สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ซึ่งทำให้เกิดการยุยงความเกลียดชังต่อต้านประชาชนแห่งกัมพูชา จุดเริ่มต้นสร้างศัตรูระหว่างชาวกัมพูชาและชาวไทย เขา(สนธิ) กำลังพิสูจน์ได้ว่ากำลังเป็น คนเพ้อเจ้อ ไร้สติ ปลุกปั่นพวกหูหนวกตาบอดไปทำการเคลื่อนไหว ที่สร้างความเกลียดชังของ สนธิ ลิ้มทองกุล ในการต่อต้านกัมพูชา รัฐบาลของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นผู้มีส่วนรู้เห็นและสนับสนุนความเคลื่อนไหวที่มีแนวโน้มที่เป็นอาชญากรรม ฉะนั้น รัฐบาลนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องรับผิดชอบทั้งทางด้านจริยธรรมและทางการเมืองซึ่งอาจเกิดขึ้นในอนาคต

มันไร้ค่าที่จะกล่าวว่าคนโง่งี่เง่าอย่าง สนธิ ลิ้มทองกุล ได้กล่าวอะไรบ้างในเอเอสทีวี โฆษกของหน่วยงานสื่อและการตอบโต้อย่างรวดเร็ว ขอเน้นย้ำ และแจ้งเตือต่อสาธารณะดังนี้

1.สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา เป็นที่น่ายกย่องเป็นที่รักอย่างสุดซึ้ง และเป็นที่เคารพของประชาชนกัมพูชา ขึ้นสู่อำนาจในฐานะผู้นำรัฐบาลผ่านการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์และยุติธรรม โดยการลงคะแนนเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ และโดยการลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ของสมาชิกพรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodian People’s Party -CPP)

2.สมเด็จฯ ฮุน เซน เป็นรัฐบุรุษได้รับการยอมรับจากนานาชาติว่าเป็นผู้รักในสันติภาพและสร้างสันติภาพ เขาได้รู้ซึ้งมีประสบการณ์เพียงพอต่อสงครามอันเลวร้าย ซึ่งเขาได้ต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของประชาชนและประเทศกัมพูชากับยุคฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของเขมรแดง ในความเป็นจริง เขาได้สร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชาวกัมพูชา ต่อสู้เพื่อความเป็นอิสรภาพของชาติ อธิปไตย และสมบูรณภาพเหนือดินแดน ยกระดับกัมพูชาในระดับภูมิภาคสู่การเข้าร่วมเป็นกลุ่มอาเซียน สำหรับเวทีนานาชาติ กัมพูชาได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศที่มีการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างรวดเร็ว เป็นประเทศซึ่งนำความยุติธรรมมาสู่เหยื่ออาชญากรรมละเมิดสิทธิมนุษยชน ผ่านองค์คณะผู้พิพากษาพิเศษของศาลกัมพูชาที่ก่อตั้งร่วมกันระหว่างกัมพูชาและสหประชาชาติ ต่อการอุทิศตัวเพื่อสันติภาพอันเป็นที่ประจักษ์ต่อนานาชาติ สมเด็จฯ นายกรัฐมนตรีแห่งกัมพูชาได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิติมศักดิ์และรางวัลสากลอื่นอีกจำนวนมาก และเขาเป็นสมาชิกเต็มขั้นของ the Academy of Natural Sciences

3.สมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาเป็นพุทธศาสนิกชนผู้ยึดหลักไม่นิยมความรุนแรง เป็นผู้นำการจัดเทศกาลประเพณีทางพุทธศาสนา ให้ความใส่ใจต่อนักบวชสูงอายุทั่วประเทศ

4.ในความเป็นจริง กษัตริย์นเรศวร (King Noreso of Thailand) ได้ร้องขอความช่วยเหลือจากกษัตริย์กัมพูชา ระหว่างที่สยามมีราชการสงครามกับพม่า หลังจากสยามเติบโตเข้มแข็งขึ้น สยามลืมว่าใครเป็นผู้มีบุญคุณและประพฤติตัวคล้ายจระเข้ในนิทานพื้นบ้านกัมพูชา (คล้ายนิทานชาวนากับงูเห่าของไทย) ซึ่งถูกไฟเผาไหม้เกือบถึงแก่ความตาย และได้กราบกรานร้องขอชาวนาให้ช่วยชีวิตและไปส่งยังบึงน้ำ ในการสนองคุณชาวนา จระเข้ยืนยันจะกินชาวนาโดยอ้างเหตุผลว่ามัดมันแน่นเกินไประหว่างหามมันไปส่งที่บึง นี่เป็นวิถีซึ่งสยามประพฤติ วิถีซึ่งสยามยึดดินแดนของกัมพูชา เช่น จังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี เป็นต้น

5.การมอมเมาโดย สนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งได้ถูกพิสูจน์ว่าไม่ประสบความสำเร็จเลยตราบถึงปัจจุบัน ได้เปลี่ยนเป็นการสร้างความเกลียดชังโดยไอ้บ้าเสียสติ ผู้ซึ่งสมองถูกทำลายด้วยกระสุนไทยสำหรับการอวดผยองยกย่องตัวเอง ดังที่โฆษกหน่วยสื่อได้กล่าวไว้ข้างต้น “ใครหว่านพืชในสายลม ย่อมเก็บเกี่ยวความวุ่นวาย” ดังนั้น สนธิ ลิ้มทองกุล จะถูกกระหน่ำและร่วงหล่นโดยผู้มีอำนาจทางการเมืองของไทย สนธิ ลิ้มทองกุล ไม่ใช่มนุษย์อีกกต่อไป เขาเปลี่ยนตัวเองเป็นสัตว์ร้าย พูดจาอย่างโหดเหี้ยม ไร้ยางอายในเรื่องไร้สาระ
โฆษกหน่วยงานสื่อ เตือนผู้นำทางการเมืองของไทยอีกครั้ง ว่า ให้ยุติการรณรงค์ประชดประชันที่มุ่งร้าย การเสนอแนะและการพิจารณาที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่กัมพูชา โดยยกระดับปัญหาปราสาทพระวิหารบนพื้นฐานของแผนที่ซึ่งไม่มีที่มาที่ไป ทำขึ้นฝ่ายเดียวและไม่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ และการสร้างความรู้สึกเป็นศัตรูของคนไทยต่อกัมพูชาเพื่อสนองเป้าประสงค์ส่วนตัวทางการเมืองท่ามกลางความขัดแย้งในหมู่นักการเมืองไทยและการแบ่งแยกอย่างลึกซึ้งของสังคมไทย

โฆษกหน่วยงานสื่อ เตือนอย่างหนักแน่นต่อรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้เตือน สนธิ ลิ้มทองกุล ให้หยุดการกระทำที่ทำให้ภาพอาณาจักรไทย ทั้งอาณาจักรเป็นอาณาจักรคนป่าเถื่อน ซึ่งคิดถึงแต่ความรุนแรง การฆ่าฟัน ป่าเถื่อนอย่างการ “ตัดหัวเสียบประจาน” ในวิถีทางสังคมและการเมือง ท้ายที่สุด โฆษกเตือนอย่างหนักแน่นต่อรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้ดำเนินการในทันทีเพื่อหยุดยั้ง สนธิ ลิ้มทองกุล เพื่อสัมพันธภาพอันดีของทั้งสองประเทศในอนาคต ด้วยเหตุผลเรียบง่ายที่ว่า สนธิ ลิ้มทองกุล ต่ำกว่าความเป็นมนุษย์ โดยแท้จริงเขาเป็นสัตว์ร้ายป่าเถื่อน สนธิ ลิ้มทองกุล เหมาะแก่การหา “ตะกร้อ” (ขลุม) มาครอบปาก และเก็บรักษาไว้ในสถาบันบุคคลอันตรายและก่อกวน

ต้นฉบับแถลงการณ์โดยกัมพูชา ทั้งฉบับภาษาเขมรและอังกฤษ ลงวันที่ 24 สิงหาคม 2553

ช็อค !! ขึ้นภาพยึดทำเนียบ บนป้ายหาเสียง กมม.





www.go6tv.com,กรุงเทพ. พรรคการเมืองใหม่ก็เผยธาตุแท้ ภูมิใจภาพก่อการร้ายบนป้ายหาเสียง

ชาวบ้านในเขตพระนคร แจ้งให้ www.go6tv.com ทราบว่า พรรคการเมืองใหม่ ได้เผยแพร่ป้ายหาเสียงล่าสุด ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นภาพผู้สมัคร สก. โดยมีภาพกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยึดทำเนียบรัฐบาลเมื่อปลายปี ๕๐ เป็นภาพหลัง

ประชาชนได้เห็นภาพนี้แล้วต่างวิจารย์กันไปมาว่า เหตุการณ์ยึดทำเนียบรัฐบาลนั้นเป็นเหตุการณ์ที่นำความเศร้าสลดมาแก่ประวัติศาสตร์การเมืองไทย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายทางการเมือง จนไล่ลามมาถึงการยึดสนามบินนานาชาติ พัฒนาระดับเป็นการ "ก่อการร้ายสากล"

ประชาชนต่างพยายามลืมภาพดังกล่าว โดยเห็นเป็นเรื่องเลวร้าย แต่พรรคการเมืองใหม่กลับภาคภูมิใจในฝีมือขนาดนำภาพยึดทำเนียบ มาเป็นภาพใช้หาเสียงให้ผู้สมัคร สก. สข. กรุงเทพฯ.
การยึดทำเนียบดังกล่าวลุลามไปถึงการยึดสนามบินฯ โดยที่การดำเนินคดีดังกล่าวกลับไม่ได้คืบหน้าเลย ซ้ำยังได้รับคำยกย่องจากตำรวจผู้ดูแลสำนวนว่าเป็น "ผู้ก่อการดี"

"ไม่รู้เขาคิดยังไง ที่เอาภาพยึดทำเนียบมาใช้หาเสียง เขาไม่รุ้สึกเลยสักนิดเลยหรือว่า อะไรถูกอะไรผิด ถึงขนาดกล้าเอามาเตือนความจำอันเลวร้ายบนป้ายหาเสียง เราเห็นภาพนี้แล้ว เรารุ้สึกกลัว ขยะแขยง กับความคิดและนักการเมืองพวกนี้เหลือเกิน" ชาวบ้านในเขตพระนครคนหนึ่งกล่าว