วันที่ 6 พฤษภาคม เวลาประมาณ 10.25 น. ศาลรัฐธรรมนูญจะมีการไต่สวนพยานในคดี
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กรณีโยกย้ายนายถวิล
โดย คำชี้แจงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ต่อศาลรัฐธรรมนูญ เป็นการ
ปฏิเสธคำร้องของผู้ร้องในทุกประเด็น โดย
ยืนยันว่าไม่ได้ใช้สถานะหรือตำแหน่งนายกฯเข้าไปแต่งตั้งหรือโอนนายถวิล
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะเปิดช่องให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์
เครือญาติของผู้ถูกร้องขึ้นเป็น ผบ.ตร. และไม่เคยกระทำการใดๆ
ในฐานะนายกฯเข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น
หรือของพรรคการเมือง โดยจะชี้แจงคำร้องใน 8 ประเด็น คือ
1.ความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯได้สิ้นสุดลงแล้ว
พร้อม ครม. เมื่อมีการยุบสภา
การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ความเป็นนายกฯสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ
มาตรา 182(7) อีก ย่อมไม่มีวัตถุแห่งคดี คือ
ความเป็นนายกฯให้ต้องสิ้นสุดลงซ้ำสองอีก เปรียบได้กับคนที่ตายไปแล้วเพราะเหตุใดเหตุหนึ่ง
จะให้กลับมาตายเพราะเหตุอื่นอีกไม่ได้
2.กระทำโดยมีอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติ
ที่จะแต่งตั้งให้นายถวิลมาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกฯได้
โดยถือเป็นการกระทำโดยถูกต้องตามรูปแบบ ขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้นตามกฎหมายแล้ว
ดังที่ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำวินิจฉัยไว้ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (น.ส.ยิ่งลักษณ์)
ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลและในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของข้าราชการประจำ
มีอำนาจในการบริหารงานบุคคลหมุนเวียนสับเปลี่ยนบทบาท ตามแนวนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาได้
แสดงว่านายกฯมีอำนาจตามกฎหมายในการโอนย้ายนายถวิล
หากคำสั่งโยกย้ายจะถือเป็นความผิดได้
ต้องเริ่มต้นจากการกระทำโดยไม่มีอำนาจตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
3.การแต่งตั้งโอนย้ายนายถวิลเป็นการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของผู้ที่มีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้งตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
จึงไม่ใช่การก้าวก่ายหรือแทรกแซงตามความหมายของรัฐธรรมนูญมาตรา 266 และรัฐธรรมนูญมาตรา 268 ตามที่ผู้ร้องยื่นคำร้อง
4.การโยกย้ายนายถวิล
ไม่ได้ใช้สถานะหรือตำแหน่งของการเป็นนายกรัฐมนตรีในการสั่งอนุมัติโดยลำพัง
แต่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติในการประชุม ครม.
5.การโอนหรือย้ายนายถวิล
เป็นไปตามความเหมาะสมของฝ่ายปฏิบัติที่จะได้รับความไว้วางใจ
ในการตอบสนองต่อฝ่ายบริหารในการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภา
หรือตามที่กฎหมายบัญญัติ
6.การย้ายนายถวิลไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะเปิดช่องให้สามารถผลักดันหรือเป็นผลให้
พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ขึ้นเป็น ผบ.ตร. เพราะการย้ายนายถวิล เป็นการใช้
พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534
ส่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มี พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547
บังคับใช้เป็นการเฉพาะ ซึ่งนายกฯไม่อาจใช้สถานะนายกฯได้โดยลำพัง ในการแต่งตั้ง
ผบ.ตร. แต่จะต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547
7.สำหรับกรณีที่ พล.ต.อ.วิเชียรมาดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคม
นายกฯไม่ได้ติดต่อทาบทาม หรือมอบหมายให้ผู้ใดทาบทาม และไม่มีคำมั่นใดๆ กับ
พล.ต.อ.วิเชียร และกระบวนการแต่งตั้งการดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคมของ
พล.ต.อ.วิเชียร นายกฯเกี่ยวข้องแต่เพียงการเป็นประธานการประชุม ครม.เท่านั้น
ซึ่งเป็นการปฏิบัติหน้าที่ปกติ
ไม่ได้ใช้สถานะการเป็นนายกฯทาบทามหรือมอบหมายให้ผู้ใดไปทาบทาม พล.ต.อ.วิเชียร
มาดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคมแต่อย่างใด
8.นายกฯและ ครม.ยังต้องปฏิบัติหน้าที่อยู่ต่อไป
ไม่ว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีจะสิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่
แม้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯจะสิ้นสุดลงเฉพาะตัว แต่
ครม.ที่พ้นจากตำแหน่งยังต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่แต่งตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา
181
ทั้งนี้ ระหว่างการไต่สวน นางสาวยิ่งลักษณ์ ได้กล่าวย้ำในหลายตอนว่า
เป็นการมอบหมายให้พลตำรวจเอกโกวิทย์ วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรี ดำเนินการ
โดยตนเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง และอ้างว่า ช่วงเวลาดังกล่าว
ต้องเร่งแก้วิกฤตน้ำท่วม ไม่ได้ดำเนินการเรื่องนี้ด้วยตนเอง
AFP PHOTO / PORNCHAI KITTIWONGSAKUL
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น