จาตุรนต์ ฉายแสง รมว.กระทรวงศึกษาธิการ แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ติดตามข่าวการประชุมนอกรอบของวุฒิสภาที่หารือข้อเสนอของนานสุเทพ เทือสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.แล้วต้องเรียกว่า ‘เลอะเทอะพอกัน’ ถ้ามากกว่านี้อีกขั้นก็ต้องใช้คำว่า “ฝนตกขี้หมูไหล” ตนเป็น ส.ส.มาตั้งแต่ปี 2529 ยังไม่เคยเห็นสมาชิกรัฐสภาใช้ห้องประชุมสภาประชุมกันโดยไม่มีพระราชกฤษฎีกาเปิดประชุม ยิ่งไม่เคยเห็นการประชุมในเรื่องที่ตนเองไม่มีอำนาจ เรื่องที่สมาชิกวุฒิสภาหารือกันเป็นการหารือนอกรอบที่ไม่มีกฎหมายข้อบังคับใดรองรับ จึงถือเป็นสาระอะไรไม่ได้
"ที่สำคัญเรื่องที่หารือกันนี้ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญจึงไม่อาจมีผลอะไรได้ ถ้าจะมีผลทางกฎหมายก็เห็นจะมีเพียงประการเดียวคือ เป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญอย่างร้ายแรง ยิ่งเป็นการหารือร่วมกับคุณสุเทพซึ่งถูกข้อหากบฏและได้เนื้อหาข้อสรุปในทางที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ยิ่งเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นไปอีก" นายจาตุรนต์กล่าว
นายจาตุรนต์ กล่าวอีกว่า การจะใช้มาตรา 7 สรรหานายกรัฐมนตรี ทั้งๆที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ชัดเจนว่า เมื่อยุบสภาแล้วต้องมีการเลือกตั้ง นายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส.และมาจากการเลือกของสภาผู้แทนราษฎร ความพยายามตั้งนายกฯคนนอกจึงเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยฯแบบหนึ่งและยังเป็นการกระทำให้ได้อำนาจการปกครองโดยวิธีการที่ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ขัดรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 68 อย่างชัดเจนอีกด้วยหาก สมาชิกวุฒิสภาเหล่านี้เสนอนายกรัฐมนตรีคนกลางจริง สิ่งที่ประชาชนควรทำก็คือรวบรวมรายชื่อร้องต่ออัยการสูงสุดตามมาตรา 68 เพื่อให้อัยการพิจารณาเสนอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งห้ามการกระทำนี้เสีย นอกจากนี้เนื่องจากการกระทำของ สว.ร่วมกับนายสุเทพ มีลักษณะไม่ต่างจากการทำรัฐประหาร ประชาชนจึงมีสิทธิ์โดยชอบที่จะร่วมกันต่อต้านตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 67 ด้วย
นายจาตุรนต์ กล่าวว่า การร่วมมือกับนายสุเทพและพวกเพื่อล้มการปกครองนั้น ประชาชนยังอาจแจ้งความดำเนินคดีกับ สว.ที่ร่วมมือกับนายสุเทพในข้อหากบฏได้อีกด้วย ทั้งนี้ สว.ที่ร่วมกันกระทำผิดย่อมไม่ได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองใดๆ เนื่องจากไม่ได้หารือกันในระหว่างการประชุมวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญ แต่เป็นเพียงการใช้ห้องประชุมของสภาเพื่อร่วมกันปล้นอำนาจอธิปไตยไปจากประชาชนเท่านั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น