วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2557 go6TV – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
เมื่อเวลา 14.00 น. ที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เมืองทองธานี
นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ
นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รักษาการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมกันแถลงมาตรการของรัฐบาลในการบรรเทาและแก้ปัญหาความเดือดร้อนของชาวนา
โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
รัฐบาลได้ยืนยันถึงวัตถุประสงค์ของนโยบายโครงการรับจำนำข้าวที่ต้องการยกระดับรายได้แก่ชาวนา
และสร้างความมั่นคงมั่งคั่งที่ยั่งยืน ให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ทั้งเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับรากหญ้า
และนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยต่อเนื่องทางรัฐบาลได้ดำเนินการมาแล้ว 4 ฤดูการผลิต
ตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2554
และสามารถจ่ายเงินค่ารับจำนำแก่ชาวนาแล้วเป็นจำนวนเงินกว่า 6
แสนล้านบาท จนมาถึงฤดูกาลนาปี 2556/57
ซึ่งได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครงการในวันที่ 3 กันยายน 2556 และรับจำนำมาตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2556 ซึ่งได้จ่ายเงินค่ารับจำนำไปแล้วเป็นจำนวนกว่า 6
หมื่นล้านบาท
แต่ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินการในการจัดสรรเงินให้แก่ชาวนามีอุปสรรคมากขึ้น
นอกจากนี้
การยุบสภาผู้แทนราษฎรทำให้การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาลมีข้อจำกัดในการบริหารงาน
ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ในมาตรา 181
จึงจำเป็นต้องใช้เวลาในการดำเนินการมากกว่าปกติ อย่างไรก็ดี
รัฐบาลยังคงมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องชาวนาอย่างเร่งด่วน
โดยเร่งดำเนินมาตรการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นายนิวัฒน์ธำรงค์ เปิดเผยถึงแนวทางการระบายข้าว ว่ามีทั้งหมด 5 วิธี ได้แก่ 1)
GtoG 2) ขายเป็นการทั่วไปให้ผู้ประกอบการในประเทศ 3) ตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า หรือ AFET 4) ขายให้กับหน่วยงานหรือองค์กรการกุศล
5) บริจาค
โดยในเดือนตุลาคม 2556 – มกราคม 2557 ได้มีการส่งเงินจากการระบายข้าวคืนให้กับ ธ.ก.ส. ประมาณ 35,000 ล้านบาท และในเดือนมกราคม 2557
สามารถขายข้าวได้เพิ่มขึ้นประมาณ 1 ล้านตัน
คิดเป็นมูลค่าประมาณ ๑๒,๐๐๐ ล้านบาท จากนั้น
ในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมนี้ จะมีการประกาศขายข้าวเพิ่มขึ้นอีก เดือนละประมาณ 1 ล้านตัน ทั้งนี้ สถิติปริมาณการส่งออกข้าวของไทยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ยปีละประมาณ 8 ล้านตัน
ขณะที่สถิติการซื้อขายข้าวในตลาดโลก 2-3 ปีที่ผ่านมา
ประมาณปีละ 30-35 ล้านตัน
ด้าน นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ได้ระบุถึงแนวทางการจัดหาแหล่งเงินกู้ว่า
กระทรวงการคลังยืนยันว่า
ฐานะทางการเงินการคลังของภาครัฐยังมีความมั่นคงและเข้มแข็งมาก ณ สิ้นปีงบประมาณปี 2556
มีเงินคงคลังทั้งหมดประมาณ 334,732 ล้านบาท
สำหรับการจัดเก็บรายได้ก็สามารถจัดเก็บได้เกินเป้า โดยในไตรมาสแรก ต.ค. – ธ.ค. 2556 รวม ม.ค. 2557
จัดเก็บรายได้ได้แล้วกว่า 600,000 ล้านบาท
ในการดำเนินการ กระทรวงการคลังมีหน้าที่ตามมติ คณะรัฐมนตรีและระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการการเงินเพื่อดำเนินโครงการจำนำข้าว
ดังนั้น การจัดการแหล่งเงินกู้ให้กับ ธ.ก.ส. และการดำเนินการเพื่อสนับสนุนให้ทาง
ธ.ก.ส.มีความสามารถชำระเงินจำนำให้กับชาวนาได้โดยเร็วถือเป็นการดำเนินการตามหน้าที่ปกติของกระทรวงการคลัง
ทั้งนี้
การปฏิบัติหน้าที่ของทางกระทรวงการคลังหลังการยุบสภาผู้แทนราษฎรมีข้อจำกัดทางกฎหมายมากขึ้น
ประกอบกับมีการดำเนินการเพื่อขัดขวางการทำงานของรัฐบาลในการดูแลทุกข์สุขของประชาชนในหลายรูปแบบอย่างต่อเนื่อง
“จากยอดรับจำนำทั้งสิ้น 175,000 ล้านบาทนั้น
ได้ดำเนินการจ่ายให้ชาวนาแล้วประมาณ 65,000 ล้านบาท
โดยกระทรวงการคลังได้เร่งดำเนินการอย่างเต็มกำลังความสามารถ
ทำให้สามารถจ่ายเงินในส่วนที่ค้างชำระ 110,000 ล้านบาท
ให้กับชาวนาได้เร็วขึ้น โดยจะเริ่มการจ่ายเงินให้กับชาวนา ได้ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 17 ก.พ. 57 ตามลำดับการลงทะเบียน ทั้งนี้
เมื่อพิจารณาจากศักยภาพของ ธ.ก.ส. ในการดำเนินการจ่ายเงินต่อวันแล้วนั้น
คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในระยะเวลา 6-8 สัปดาห์” นายกิตติรัตน์กล่าว
นอกจากนี้ นายทนุศักดิ์ ได้กล่าวว่า “รัฐบาลได้มีแนวทางการบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้า
โดยขยายเวลาการชำระหนี้ลูกค้าธนาคาร ธ.ก.ส. เป็นระยะเวลา 6
เดือน โดยไม่มีค่าปรับ รวมทั้ง
ขยายวงเงินในการปล่อยสินเชื่อให้กับชาวนาเพื่อให้ชาวนามีเงินลงทุนในการปลูกข้าวในรอบใหม่
โดย ธ.ก.ส.จะขยายวงเงินให้ลูกค้ารายปัจจุบัน
โดยสามารถใช้หลักค้ำประกันที่ได้วางไว้กับ ธ.ก.ส. แล้ว
โดยมาตรการนี้จะครอบคลุมถึงชาวนาที่ไม่ได้เป็นลูกค้าของทาง ธ.ก.ส. ด้วย
โดยสามารถสมัครเป็นสมาชิก และยื่นความจำนงที่ ธ.ก.ส. สาขาใกล้บ้าน
สำหรับชาวนาที่อยู่ภายใต้สถาบันเกษตร (สหกรณ์) สามารถขอเงินกู้จากสหกรณ์ได้เช่นกัน
โดยทาง ธ.ก.ส. จะสนับสนุนเงินทุนให้สหกรณ์”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น