วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553
รื่นเริง เถลิงศก ๒๕๕๔
ขออำนาจคุณพระศรีรัตนไตย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านผู้อ่านเคารพ โปรดอภิบาลบันดาลให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน
มีความสุข ร่างกายแข็งแรง จิตใจเข้มแข็ง และร่ำรวยตลอดปี ๒๕๕๔ นี้
พล่านฉลองปีใหม่ พันธมิตรฯเดินสายเผาโลงศพเป็นสิริมงคล
วันพฤหัสบดีที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2553
แถลงการณ์จากสกุล "เทพหัสดิน ณ อยุธยา"
Cambodian court questions Thai lawmaker on trespass case (1st Lead)
Phnom Penh - A Thai parliamentarian and six other Thai nationals were questioned by a Cambodian court Thursday after being arrested along the border for alleged trespassing.
Panich Vikitsreth of the ruling Democrat Party was arrested along with the six other Thais Wednesday in a disputed border area between Thailand's Sa Keow province and Cambodia's Banteay Meanchey province.
Thai Prime Minister Abhisit Vejjajiva said Thursday that the seven men should be released immediately and dispatched Foreign Minister Kasit Piromya to Phnom Penh to seek their freedom.
Abhisit noted that both countries had previously agreed there should be no soldiers in the disputed area where the Thais had been arrested.
The men visited the border area Wednesday to check on reports that Cambodian soldiers had moved in to villages claimed by Thailand, according to Thai government sources.
Cambodian Prime Minister Hun Sen said late Wednesday that the case would proceed quickly, adding that he had rebuffed requests from Thai officials to intervene.
'I think Prime Minister Abhisit will understand Cambodian legal procedure, which no one can abuse,' Hun Sen said, adding that the group 'will face legal punishment because Thai lawmakers cannot use their parliamentary immunity in Cambodia.'
A senior Cambodian official said the group was being held for 'trespassing under immigration law.'
'They intruded into Cambodia,' the official said, requesting anonymity because he was not authorized to speak on the matter.
The court hearing Thursday was closed to reporters although it was attended by the Thai ambassador to Phnom Penh, Prasas Prasavinitchai.
One of the Thais on trial, Veera Somkwamkit, was previously arrested for illegally entering Cambodia to protest Cambodian soldiers' occupation of Preah Vihear temple, the source of another border dispute between the two countries.
Kasit was scheduled to meet with his counterpart, Foreign Minister Hor Namhong, in the Cambodian capital later Thursday.
Relations between Thailand and Cambodia have been tense for more than two years with sporadic clashes between troops over disputed territory surrounding Preah Vihear, 200 kilometres east of Banteay Meanchey.
The 11th-century Hindu temple, known as Preah Vihear in Cambodia and Phra Viharn in Thailand, belongs to Cambodia under a 1962 ruling by the International Court of Justice, but jurisdiction of 4.6 square kilometres of adjacent land is still in dispute.
The two countries are currently demarcating their border although talks have been stalled pending a repeatedly delayed vote in the Thai parliament to approve the latest round of negotiations.
นักรบศรีวิชัย "ไปรบต่อในคุก"
วันนี้ (30 ธ.ค.) เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 704 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ อ.4486/2551 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายธเนศร์ คำชุม กับพวก รวม 85 คน กลุ่มนักรบศรีวิชัย การ์ดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นจำเลยในความผิดฐานสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานเป็นซ่องโจร, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง, ร่วมกันไม่มีเหตุอันสมควรเข้าไปหรือซ่อนตัวในเคหสถาน หรือสำนักงานในความครอบครองของผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยมีอาวุธในเวลากลางคืน, ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์, ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ หรือทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้ายโดยมีอาวุธ, ร่วมกันพาอาวุธไปในเมืองหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91, 92, 210, 215, 309, 358, 364, 365 และ 371 พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ.2490, พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2545 และ พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ.2535
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 22-25 ส.ค.51 จำเลยทั้ง 82 คน กับพวกอีก 3 คน ซึ่งเป็นเยาวชน ร่วมกันบุกรุกอาคารสำนักงานสถานี NBT พร้อมพกอาวุธจำนวนมาก จากนั้นจำเลยได้ร่วมกันทำลายทรัพย์สิน รวมค่าเสียหายทั้งสิ้นกว่า 6 แสนบาท ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวเป็นของทางราชการ โดยจำเลยที่ 1 มีเครื่องรับและส่งวิทยุคมนาคม ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ขณะที่จำเลยที่ 39, 80 มีใบกระท่อม ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 รวมจำนวน 18 ใบไว้ในครอบครอง ในชั้นสอบสวน จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในข้อหาพกพาอาวุธปืนติดตัวไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนจำเลยที่ 39 ให้การรับสารภาพ เฉพาะข้อหามีใบกระท่อมไว้ในครอบครอง แต่ภายหลังกลับให้การปฏิเสธ ส่วนข้อหาอื่นจำเลยที่ 1-85 ให้การปฏิเสธ
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 รับว่าได้ร่วมกับพวกเกินกว่า 5 คน บุกรุกเข้าไปที่สถานีโทรทัศน์ NBT พร้อมกับพกพาอาวุธเข้าไป อันเป็นการกระทำความผิดฐานซ่องโจร แม้ว่าโจทก์จะไม่มีพยานหลักฐานก็ตาม แต่ตามพฤติการณ์บ่งชี้ว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดดังกล่าว และมีความผิดฐานมีวิทยุสื่อสารในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้จำเลยที่ 1 และ 2 ยังกระทำผิดฐานมีอาวุธปืน และพกพาปืนไปในที่สาธารณะด้วย ส่วนจำเลยอื่นนั้นโจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยคนใดพกพาปืนชนิดไหน จึงลงโทษจำเลยอื่นไม่ได้ ส่วนความผิดฐานมั่วสุม บุกรุก และทำให้เสียทรัพย์นั้นเห็นว่า การวินิจฉัยว่าจำเลยใดกระทำความผิดนั้น ต้องพิจารณาไปตามข้อเท็จจริงเห็นว่ากรณีดังกล่าวเป็นเพียงการที่จำเลยร่วมกันบุกรุก สถานีโทรทัศน์ และสถานีวิทยุ NBT เท่านั้น
นอกจากนี้ ในความผิดฐานกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองนั้น เห็นว่าจากการนำสืบของพนักงานสอบสวนพยานโจทก์ระบุว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำ พันธมิตรฯ ประกาศชักชวนอาสาสมัครที่จะไปชุมนุมที่สถานีโทรทัศน์ NBT ให้ไปรวมกลุ่มที่ ลานพระบรมรูป รัชกาลที่ 5 ซึ่งเกิดหลังจากที่กลุ่มจำเลยกระทำการดังกล่าวไปแล้ว จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยทั้งหมดจะมีเจตนาร่วมกันกับแกนนำได้ อีกทั้งไม่ปรากฏว่าเกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง แม้จะปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการบุกรุกสถานีโทรทัศน์ NBT ก็ตาม แต่เป็นเพียงความผิดฐานบุกรุกเท่านั้น และจำเลยทั้งหมดยังไม่มีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ร่วมกันข่มขืนใจอีกด้วย เนื่องจากโจทก์ไม่นำสืบให้เห็นว่าจำเลยกระทำผิดในความผิดฐานดังกล่าว ส่วนจำเลยที่ 39 และ 80 มีความผิดฐานยาเสพติดใบกระท่อมในครอบครอง
พิพากษาว่าจำเลยที่ 1-41 และ 43-85 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 210 วรรคแรก 365 (1) (2) (3) ประกอบมาตรา 364, 83 ขณะกระทำผิด จำเลยที่ 30, 47, 81 อายุยังไม่เกิน 20 ปี เห็นสมควรลดโทษมาตราส่วนโทษ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 76 จำเลยที่ 83-85 อายุต่ำกว่า 18 ปี เห็นสมควรละโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 75 ฐานเป็นซ่องโจร จำคุกจำเลยที่ 1-29 ที่ 31-41 ที่ 43-46 ที่ 48-80 ที่ 82 จำคุกคนละ 1 ปี จำคุกจำเลยที่ 30 ที่ 47 ที่ 81 คนละ 8 เดือน สั่งจำคุกจำเลยที่ 83-85คนละ 6 เดือน ฐานบุกรุก จำคุกจำเลยที่ 1-29, 31-41, 43-46, 48-80 และที่ 82 คนละ 1ปี จำคุกจำเลยที่ 30, 47, 81 คนละ 8 เดือน จำคุกจำเลยที่ 83-85 คนละ 6 เดือน
จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิวรรคหนึ่ง , 72 วิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 เป็นการกระทำความผิดกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุก 1 ปี และความผิด พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 มาตรา 6 และ 23 สั่งจำคุก 1 ปี
จำเลยที่ 2 มีความผิด พ.ร.บ.อาวุธปืน มาตรา 7 และ 72 วรรคสอง สั่งปรับ 1 พันบาท ส่วนจำเลยที่ 39 และ 80 มีความผอดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26 วรรคหนึ่ง 76 วรรคสอง สั่งปรับคนละ 1 พันบาท เพิ่มโทษจำเลยที่ 24 1ใน3 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 92 รวมเป็นจำคุกกระทงละ 1ปี 4 เดือน การกระทำของจำเลยที่ 1-41 และ 43-85 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 จำเลยรับข้อเท็จจริงว่าได้ร่วมกันบุกรุกอาคารสำนักงานสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน
จำเลยที่ 1 และ 2 ให้การรับสารภาพ ความผิดตาม พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ จำเลยที่ 39 และ 80 ให้การรับสารภาพ ซึ่งเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี 18 เดือน และจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน และสั่งปรับ 500 บาท ส่วนจำเลยที่ 3-29, 31-38, 40, 41, 43-46, 48-79 และ 82 มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 39 และ 80 มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน ปรับ 500 บาท จำเลยที่ 30, 47 และ 81 มีกำหนด 12 เดือน จำเลยที่ 83-85 มีกำหนด 9 เดือน จำเลยที่ 24 มีกำหนด 1 ปี 12 เดือน ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 30, 47, 81, 83, 85 ได้รับโทษจำคุกมาก่อน ขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 30, 47 และ 81 อายุยังไม่เกิน 20 ปี จำเลยที่ 83-85 ยังเป็นเยาวชน จึงเห็นควรให้โอกาสกลับตนเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกให้รอการลงโทษจำเลยดังกล่าวไว้มีกำหนด 2 ปี ให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง ภายในกำหนดเวลา 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 หากจำเลยที่ 2 ที่ 39 และ 80 ไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29 และ 30 และให้ริบของกลางโดยให้วิทยุคมนาคมไว้ใช้ในราชการของสำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ข้อหาและคำร้องอื่นให้ยก
คลิปแม่แพรวาอ้างลูกตัดพ้อ "เอาชีวิตหนูไปเลยไหม ทำไมหนูไม่ตาย"
นางลัดดาวัลย์กล่าวต่อว่า ตอนนี้ครอบครัวทุกข์มาก ไม่มีใครได้นอนหลับเลยตั้งแต่เกิดเหตุ ช็อกและเสียใจอยู่แล้ว ที่ลูกสาวไปทำให้เกิดอุบัติเหตุมีคนตายถึง 8 คน มีคนเอาเบอร์โทรศัพท์ของเราไปลงในเฟซบุ๊ก เอารูปแพรวาไปลง มีโทรศัพท์ด่าทอเข้ามาตลอดทั้งคืน
“ดิฉันกับสามีต้องกราบขอโทษจริงๆ เราต้องย้ายแพรวาออกจาก รพ.วิภาวดี ไปอีก รพ.หนึ่ง และไปอีกที่หนึ่ง ตอนนี้อยู่ รพ.ที่ 3 แล้วเพราะมีการขู่ทำร้ายร่างกายและขู่ฆ่า ทั้งจากโทรศัพท์และจากช่องทางอื่น รวมถึงบุกเข้าไปในห้องพัก ซึ่งเราเข้าใจในอารมณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมตอนนี้ ทาง รพ.ก็ขอให้เราย้ายออกไปด้วย ไม่ใช่เราตัดสินใจฝ่ายเดียว แต่ตอนนี้ลูกพักรักษาตัวในที่แห่งหนึ่ง ไม่ได้หนีไปต่างประเทศ เราหนีคดีได้ แต่เราหนีความผิดไม่ได้หรอกค่ะ” นางลัดดาวัลย์กล่าว
นางลัดดาวัลย์กล่าวอีกว่า เหตุที่เกิดลูกสาวยอมรับว่าขับรถเร็ว เพราะจะรีบเอารถไปคืนเพื่อน ไม่ใช่รถของเรา ตนไม่เคยอนุญาตให้ลูกขับรถไปข้างนอกแบบนั้น โดยรายละเอียดคันไหนอยู่เลนไหน จะเป็นหน้าที่ของตำรวจ พอชนแล้วลูกติดอยู่ในรถ พอเจ้าหน้าที่ช่วยออกมาได้ ในสภาพกระจกทิ่มแทงที่ก้น นั่งไม่ได้ ลูกจึงไปยืนพิงขอบถนน ตำรวจขอดูบัตรและการประกัน ลูกสาวผิดแน่ที่อายุ 16 ไม่มีบัตร แพรวารีบกดบีบีบอกเพื่อนว่ารถชนและถามเรื่องประกันของรถคันนี้ ไม่ใช่มัวเล่นบีบีตามที่บางท่านเข้าใจ
“อยากให้ดูจากหลักฐานพยานทุกอย่าง น้องยอมรับว่าขับมาด้วยความเร็วสูง ตอนเกิดเหตุรถตู้กินเลนมาเลนในของลูกก็เลยยิงไฟสูงขอทาง พอรถตู้หลีกทาง เราก็เร่งสปีดเพื่อให้พ้น แต่รถตู้ก็เข้ามาในเลนของน้องอีก แต่หลบไม่ทันเลยพุ่งชน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอยากให้ตำรวจดูกล้องทุกกล้อง ถ้าน้องผิดจริง เราก็ยินดีให้น้องเข้ากระบวนการทุกอย่าง” นางลัดดาวัลย์กล่าว
นางลัดดาวัลย์กล่าวอีกว่า ตอนนี้อยากจะไปกราบทุกๆ คน ไปแสดงความเสียใจ ไปเยี่ยม ตัวน้องเองก็เครียดบอกกับแม่ว่า “เอาชีวิตหนูไปเลยไหม ทำไมหนูไม่ตาย” ส่วนที่บอกว่าคุณพ่อแพรวาเป็นทหารก็ยอมรับว่าเคยเป็นทหาร ตอนนี้ก็เป็นทหารนอกราชการ ตั้งแต่อายุ 39 ปี เป็นข้าราชการบำนาญไม่มีอิทธิพลใดๆ ผิดด้วยเหรอที่นามสกุลนี้ ตอนนี้รอรวบรวมหลักฐานทั้งหมดให้ชัดเจนก่อนจึงจะออกมาแถลง อยากให้ตำรวจตรวจสอบสภาพรถ กล้องทุกคนว่าผิดจริงไหม พูดไปเหมือนแก้ตัวแต่เราอยากให้มีการตรวจสอบ
Thailand urges Cambodia to release MP in border incident
The seven, including Democrat Party lawmaker Panich Vikitsreth and members of the royalist "Yellow Shirt" movement, were due to appear in a court in Phnom Penh on Thursday on charges of illegally entering Cambodia a day earlier.
"Cambodia must release all seven Thais immediately," Prime Minister Abhisit Vejjajiva told reporters. "Cambodia should not take this case to court as it will further complicate the issue."
He said the Thai foreign minister would travel to Cambodia to meet with his counterpart there later Thursday for talks on the issue.
Cambodian Prime Minister Hun Sen said Wednesday the seven would be charged and put in jail to await trial.
The two countries have a long-standing dispute over their border, which is not fully demarcated, partly because it is littered with landmines left over from decades of war in Cambodia.
Relations between the two countries have been strained following a series of deadly border clashes in July 2008 over land surrounding the 11th century Preah Vihear temple after it was granted UN World Heritage status.
Deputy Thai premier Suthep Thaugsuban, however, acknowledged that the seven Thais were on Cambodian territory when arrested.
"Panich and his entourage passed the border police checkpoint and border police followed them by car to ask them to return, but they were already on Cambodian soil," he said.
- AFP/ir
พ่อแพรวาแจงครั้งแรก !! "อยู่อเมริกา ก็ขับรถเอง"
ความคืบหน้าเหตุน.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 16 ปี ขับรถเก๋งฮอนด้าซีวิคชนรถตู้โดยสาร ทำให้มีผู้เสียชีวิต 8 ราย ผู้สื่อข่าวได้ขอสัมภาษณ์ พ.อ.รัฐชัย เทพหัสดิน ณ อยุธยา บิดา น.ส.เอ ทางโทรศัพท์ โดย พ.อ.รัฐชัย กล่าวด้วยน้ำเสียงเครียดว่า สื่อควรลงข่าวให้ตรงกับข้อเท็จจริง ไม่ควรสนใจกระแสข่าวต่างๆ ในเฟซบุ๊กมากนัก เพราะเป็นแค่การนำเสนอข้อเท็จจริงเพียงด้านเดียว โดยวันเกิดเหตุลูกสาวมีเพื่อนมารับออกไปข้างนอก ซึ่งตามปกติแล้วเพื่อนจะขับรถมาส่งทุกครั้งและอยู่ในความควบคุมตลอด แต่คืนเกิดเหตุหลังจากเพื่อนขับรถมารับแล้ว ลูกสาวได้ยืมรถของเพื่อนออกไปทำธุระคนเดียว ระหว่างที่ขับรถกลับไปรับเพื่อนซึ่งเป็นเจ้าของรถเพื่อจะให้ขับมาส่งที่บ้านก็เกิดเหตุเสียก่อน
"ตอนลูกสาวอยู่ที่อเมริกาก็ขับรถเอง พอกลับมาเมืองไทยผมก็อนุญาตให้ขับรถได้ในละแวกบ้านคือ เมืองทองธานี เพื่อไปสระผมบ้าง ทำเล็บบ้างเท่านั้น แต่คืนเกิดเหตุอนุญาตเพียงให้ออกไปกับเพื่อน แต่ไม่ทราบว่าลูกขับรถด้วย" พ.อ.รัฐชัย กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการวิจารณ์ว่าลูกสาวเปลี่ยนชื่อเพื่อหนีคดีนั้น พ.อ.รัฐชัยกล่าวว่า ไม่เป็นความจริง เพราะตั้งแต่เกิดมาบุตรสาวใช้ชื่อนี้มาตลอด เพิ่งจะเปลี่ยนชื่อเป็นอีกชื่อเมื่อตอนกลับจากสหรัฐอเมริกาเมื่อ 6-8 เดือนที่แล้ว ส่วนที่อ้างว่าหลบหนีออกนอกประเทศก็ไม่เป็นความจริงเช่นกัน เพราะตอนนี้พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง
"ลูกสาวเล่าว่าระหว่างเกิดเหตุขับรถอยู่เลนขวา โดยขับตามหลังรถตู้ซึ่งขับคร่อมทางอยู่ เมื่อเห็นว่ารถตู้เปิดไฟขอทางเข้าเลนซ้ายจึงเบี่ยงให้ แต่รถตู้ไม่ได้เลี้ยวตามที่ขอทาง ไม่กี่วินาทีต่อมารถตู้เบียดเข้าเลนขวามากกว่าเดิม จึงเบรกแล้วหักเลี้ยวซ้าย เพราะหากเลี้ยวขวาจะชนกับขอบกั้นทาง เมื่อเบรกแล้วรถจึงเสียหลักชนท้ายรถตู้ ทำให้รถทั้ง 2 คันหมุนคว้างจนเกิดเหตุดังกล่าว ลูกสาวมีอาการฟกช้ำที่ตาและลำตัว ส่วนภาพที่เห็นว่ายืนโทรศัพท์อยู่ เพราะว่ามีบาดแผลถลอกที่หลังและก้น ทำให้ไม่สามารถนั่งได้ ทั้งยังไม่ได้เล่นบีบีแต่อย่างใด เพียงกดโทรศัพท์เพื่อบอกเพื่อนซึ่งเป็นเจ้าของรถว่า เกิดอุบัติเหตุและถามเบอร์โทรศัพท์ของบริษัทประกันเพื่อติดต่อเท่านั้น" พ.อ.รัฐชัยกล่าว
พ.อ.รัฐชัยกล่าวอีกว่า จากกระแสในโซเชียลเน็ตเวิร์คที่กล่าวว่าลูกสาวเส้นใหญ่หรือมีการปิดสื่อ ไม่โกรธที่จะมีใครคิดอย่างนั้น เพราะว่าใครเห็นนามสกุลของตระกูลก็สามารถคิดได้ทั้งนั้น แต่ไม่เคยมีพฤติกรรมเอาเปรียบประชาชน เพราะตั้งแต่เข้ารับราชการกระทั่งลาออกทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดี ไม่เคยเล่นเส้นสายหรือทุจริตแต่อย่างใด กรณีของนายณัฐ เทพหัสดิน ณ อยุธยา (บุตรชาย) ก็ไม่เคยเข้าไปก้าวก่าย ปล่อยให้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม เราทำตามกระบวนการของกฎหมายทุกอย่าง ทั้งยังไม่เคยบอกว่าลูกสาวถูก หากมีความผิดจริงก็ต้องให้รับผิดตามโทษทัณฑ์กฎหมาย แต่จะให้พาลูกสาวไปประหาร นั่งเก้าอี้ไฟฟ้าทันทีอย่างนั้นไม่ยุติธรรม
"ผมรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ลูกสาวรู้สึกไม่ต่างกับผมนัก คนดีๆ ทั้งนั้นที่เสียชีวิตไป ผมไม่ได้ตามใจลูกโดยไม่มีเหตุผล เช่นเรื่องการขับรถผมก็วางแผนจะซื้อให้ แต่ยังไม่อนุญาตให้ขับรถเอง แม้จะเข้ามหาวิทยาลัยก็วางแผนว่าจะให้แม่ของเขาขับรถไปรับส่ง รอให้มีใบอนุญาตขับขี่ได้ก่อนผมจึงจะอนุญาตให้เขาขับรถเองได้" พ.อ.รัฐชัยกล่า
"กนก" แจงเรื่องแพรวาผ่านทวิตฯ ย้ำ "ไม่ได้เข้าข้างแพรวา"
กนก รัตน์วงสกุล ได้ชี้แจงผ่านทวิตเตอร์เมื่อเที่ยงคืนเศษที่ผ่านมากรณีนำเสนอข่าวน้องแพรวา "อรชร เทพหัสดิน ณ อยุธยา" ว่าไปปกป้องเด็ก ปกป้องคนผิดจนลุกลามขยายใหญ่โต คุณกนกได้เขียนรายละเอียดขี้แจงผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวเมื่อเที่ยงคืนที่ผ่านมา ความว่า
บ่ายนี้มีพี่นักข่าวอาวุโสท่านนึงขอให้ช่วยพูดถึงเรื่อง "แพรวา" ที่กำลังถูกกระแสกดดัน ประณาม ในโลกไซเบอร์รุนแรง ซึ่งพอเข้าใจได้ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะ "พ่อ - แม่" ของเด็ก เก็บตัว..ไม่ออกมาแสดงความเสียใจ ไม่ออกมาขอโทษ ผมรับปากว่าผมจะพูดประเด็นนี้ให้ ประเด็นที่พ่อแม่กำลังปล่อยให้ลูก ซึ่งผิดอยู่แล้ว รับกระแสถาโถมอย่างหนักหน่วง
ผมได้พูดคุยกับญาติและแม่ของเด็ก คุณแม่เอ่ยก่อนว่า "ฝากกราบขอโทษทุกๆคน ทุกๆครอบครัวที่สูญเสียและบาดเจ็บ เราไม่หลบไปไหนแน่ แต่ขอให้กระแสของอารมณ์ในสังคม คลี่คลายลงกว่านี้ก่อน ระหว่างนี้จะส่งป้าของเด็ก ไปเป็นตัวแทนกราบแสดงความเสียใจ ทั้งที่งานศพและที่โรงพยาบาล"
"ตอนนี้ครอบครัวเราทุกข์มาก ไม่มีใครได้นอนหลับเลยตั้งแต่เกิดเหตุ ช็อกและเสียใจอยู่แล้ว ที่ลูกสาวไปทำให้เกิดอุบัติเหตุคนตายถึง 8 คน มีคนเอาเบอร์โทรศัพท์ของเราไปลงในเฟสบุ๊ค เอารูปแพรวาไปลง มีโทรศัพท์ด่าทอเข้ามาตลอดทั้งคืน"
"และดิฉันกับสามี ต้องกราบขอโทษจริงๆ เราต้องย้ายแพรวาออกจาก รพ.วิภาวดี ไปอีก รพ.หนึ่ง และไปอีกที่หนึ่ง เพราะมีการขู่ทำร้ายร่างกายและขู่ฆ่า ทั้งจากโทรศัพท์และจากช่องทางอื่น รวมถึงบุกเข้าไปในห้องพัก ซึ่งเราเข้าใจในอารมณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมตอนนี้ ทาง รพ. ก็ขอให้เราย้ายออกไปด้วย ไม่ใช่เราตัดสินใจฝ่ายเดียว แต่ตอนนี้ลูกพักรักษาตัวในที่แห่งหนึ่ง ไม่ได้หนีไปต่างประเทศ เราหนีคดีได้ แต่เราหนีความผิดไม่ได้หรอกค่ะ"
"เหตุที่เกิด..ลูกสาวยอมรับว่าขับรถเร็ว! เพราะจะรีบเอารถไปคืนเพื่อน ไม่ใช่รถของเรา ดิฉันไม่เคยอนุญาตให้ลูกขับรถไปข้างนอกแบบนั้น (รายละเอียดคันไหนอยู่เลนไหน จะเป็นหน้าที่ของตำรวจ) พอชนแล้ว ลูกติดอยู่ในรถ พอเจ้าหน้าที่ช่วยออกมาได้ ในสภาพกระจกทิ่มแทงที่ก้น นั่งไม่ได้ ลูกจึงไปยืนพิงขอบถนน ตำรวจขอดูบัตร และการประกัน ลูกสาวผิดแน่ที่อายุ 16 ไม่มีบัตร แพรวารีบกดบีบี บอกเพื่อนว่ารถชนและถามเรื่องประกันของรถคันนี้ ไม่ใช่มัวเล่นบีบีตามที่บางท่านเข้าใจ"
ในรายการข่าวข้นฯ ผมเน้นเพียงว่า "พ่อ-แม่ ของแพรวา ต้องออกมาแสดงตัว" การไม่ออกมาขอโทษ..แสดงความ
วันพุธที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2553
"สมเด็จ ฮุนเซ็น เซย์ โน" แฉกลับ "อภิสิทธ์" ขอร้องให้ปล่อยพนิช
Khmer Article
Cambodia PM: No border and Diplomatic Tension over Thai Arrests
“Our authorities arrested them in Cambodia soil. They entered Cambodian soil illegally without passport, and also conducted the opposed activities of against Cambodian soldiers in Cambodia,” PM Hun Sen told the closing ceremony of annual meeting of ministry of rural development in Phnom Penh.
He added: “arresting of the seven will not affect the border issue and diplomatic ties between the two countries,” “My Thai counterpart PM Abhisit asked me to intervene on the cases and released a lawmaker from his Democrat party. I said “no” I could not help,” PM Hun Sen said, adding that Thai lawmaker has immunity in Thailand but here is in Cambodia and they acts illegal activities in land and they opposed us. “Thai PM Abisit loves his country and I also love my country,”. Those seven violated the Cambodian law, PM added.
PM Hun Sen noted: the seven will arrived Phnom Penh this late evening and our acts today are not doing revenge against Thai authorities who always shot and made violence on innocent Cambodians who entered illegally or did not know where borderline is.
PM Hun Sen added: they will face legal punishment in Cambodia. And he said we also released three Thais recently after they entered illegally.
“We always want to see the good relationship between the two countries”. PM Hun Sen stresses.
Thai media said that the seven including Panich Vikitsreth, the Democrat PM and former Bangkok deputy governor and Veera Somkwamkid, the yellow clad core activist.
DAP News
CNN: 20 stories that changed our world in 2010
20 stories that changed our world in 2010
From Wikileaks to potential war in Korea to red shirts in Thailand, these were some of the big stories we couldn't stop talking about in Asia this year
1.Red shirts protest in Thailand
It began in March with peaceful protests by supporters of ousted prime minister Thaksin Shinawatra, and ended two months later with 90 dead and more than 1,400 wounded, in a swath of violence spanning seven provinces.
The original movement hoped to force Prime Minister Abhisit Vejjajiva’s strict parliamentary regime to call early elections.
The United Front of Democracy Against Dictatorship, also known as the red shirts, seized upon the cause and mobilized thousands to hit the streets, launching grenades and setting fire to banks, shopping malls and the stock exchange.
In May, an all-out military assault beat back the protesters, in a horrific crackdown witnessed around the world. Red shirt leaders soon surrendered and were jailed, ending a bizarre series of incidents that further polarized this usually peaceful “land of smiles.” The surprising coda is how quickly the country returned to calm and comparative normality.
Read more: 20 stories that changed our world in 2010 | CNNGo.com #1 http://www.cnngo.com/explorations/life/stories-changed-our-world-2010-694444?page=0%2C3#ixzz19VuPpw3u
ทวิตเตอร์ "พนิช" ล่าสุด "ผมปลอดภัยดี" เผย วินาทีโดนจับ
พรรคประชาธิปัตย์-นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย -กัมพูชา (เจบีซี) ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ว่า ขณะนี้ตนยังถูกกองกำลังทหารประเทศกัมพูชาจับกุมตัวอยู่ ซึ่งอยู่ในสวนผลไม้ใกล้กับค่ายทหารของกองกำลังเขมรที่ได้กระจายตั้งค่ายอยู่ตามชายแดน ทั้งนี้ได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้าน และร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ และนายวีระ สมความคิด ว่ามีกองกำลังทหารเขมร พร้อมอาวุธได้รุกล้ำพื้นที่ ซึ่งเป็นที่นาชาวบ้านของคนไทย โดยพื้นที่ดังกล่าวมีโฉนดที่ดินประทับตราครุฑเป็นที่ยืนยันถูกต้อง และเจ้าของที่ยังต้องเสียภาษีให้กับการไทยทุกปีแต่เมื่อเดือนกว่าได้มีกองกำลังทหารเข้ามาในพื้นที่ดังกล่าวเพื่อห้ามชาวบ้านเข้าไปในพื้นที่ ตนได้รับการร้องเรียนในฐานะกรรมาธิการจึงลงมาดู
นายพนิช กล่าวว่า ขณะที่ถูกจับในช่วงเวลา 13.00 น. วันนี้ (29 ธ.ค.) คณะได้ถูกจับกุมอยู่ริมถนนศรีเพ็ญ บ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว โดยได้เดินเข้าไปในพื้นที่นาของชาวบ้าน และกำลังจะเข้าไปในหมู่บ้าน ทันใดนั้นก็มีกลุ่มทหารเขมร 8-9 คน พร้อมอาวุธครบมือล้อมกรอบและจับกุมตัว พร้อมทั้งยึดอุปกรณ์สื่อสาร กล้องถ่ายรูป โทรศัพท์ บัตรทุกชนิดของคณะ ซึ่งได้แสดงตัวว่าเป็นส.ส.เพื่อมาตรวจสอบพื้นที่แต่กลุ่มทหารไม่ฟัง
พร้อมได้ควบคุมตัวและนำกลุ่มคณะมาคุมตัวที่สวนผลไม้ ซึ่งระหว่างที่มีการเจรจาต่อรอง ได้โทรศัพท์หานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สูต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งนี้ ขอยืนยันว่ายังอยู่ในเขตพื้นที่ของไทย จากนั้น ได้ร้องขอให้คืนอุปกรณ์สื่อสารและทรัพย์สินทั้งหมดให้กับคณะ ต่อมากองกำลังทหารเขมรจึงยอมคืนอุปกรณ์และทรัพย์สินส่วนตัวของแต่ละคนให้ ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ของทางการไทยในส่วนท้องถิ่นคือ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว นายอำเภอ และเจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนก็ได้ประสานเพื่อขอให้มีการปล่อยตัวตนและชาวคณะ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ยืนยันได้หรือไม่ว่าพื้นที่ที่ถูกจับเป็นเขตของประเทศไทย นายพนิช กล่าวว่า ร.ต.แซมดินและนายวีระยืนยันว่าอย่างนั้น เพราะชาวบ้านเจ้าของพื้นที่มีโฉนดที่ดินของทางการไทยและใช้ทำนามาโดยตลอดอีกทั้งยังเสียภาษีบำรุงท้องที่มาทุกปี ทั้งนี้ การที่ตนลงพื้นที่เพื่อตรวจดูหลักหมุดที่ปักปันเขตแดนของทั้งสองประเทศ แต่พอเดินเข้าหมู่บ้านยังไม่เข้าเขตชายแดนและยังไม่พบหลักหมุดก็ถูกจับเสียก่อน
เมื่อถามย้ำว่า พื้นที่ดังกล่าวยังเป็นเขตประเทศไทย นายพนิช กล่าวว่า ตนเข้าใจว่าเช่นนั้นและตนเชื่อว่าขณะที่โดนจับและอยู่ในทุ่งนาของชาวบ้านอยู่ในเขตแดนไทยและไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมถึงมีทหารเขมรเข้ามา เมื่อถามว่า ทหารเขมรมีนายทหารระดับสัญญาบัตรควบคุมมาด้วยหรือไม่ นายพนิช กล่าวว่า เข้าใจว่าคงเป็นระดับผู้กอง ซึ่งครั้งแรกเขาควบคุมตัวเข้มงวดมากจนเมื่อมีตัวแทนของทางราชการไทยเข้ามาติดต่อจึงทำให้สถานการณ์ผ่อนคลายและทหารเขมรจึงได้คืนอุปกรณ์สื่อสารและทรัพย์สินให้กับตน สำหรับการใช้โทรศัพท์มือถือก็ต้องคอยดูจังหวะเพราะไม่ค่อยสะดวก ซึ่งก่อนที่นายพนิชจะขอตัวตัดสายไปได้บอกว่า “ แค่นี้ก่อนนะครับ เพราะผมไม่สะดวกแล้ว ” ซึ่งได้ใช้เวลาสัมภาษณ์ประมาณ 5 นาที
"พนิช นอนคุกสมใจ" สัมพันธ์ไทย-กัมพูชา สั่นคลอน
หนึ่งในคณะผู้เดินทาง ซึ่งมีทีมงานของ เอเอสทีวีด้วย ได้ให้รายละเอียดว่า คณะที่เดินทางมาในครั้งนี้ จำนวน 10 คน โดยใช้รถยนต์จำนวน 2 คัน โดยรถคันแรกจำนวน 7 คน เดินทางไปยังจุดเกิดเหตุก่อน และกำลังเดินทางจะไปดูหลักเขตที่ 46 ส่วนตนและเพื่อนอีก 2 คน กำลังนำรถไปจอดเพื่อติดตามคณะเข้าไปยังพื้นที่
ในระหว่างที่จะเดินติดตามคณะชุดแรกไปนั้น ได้เห็นทหาร คาดว่า เป็นทหารฝ่ายกัมพูชา ประมาณ 7-8 คน อยู่บริเวณดังกล่าว สร้างความตกใจให้กับตนและเพื่อนอีก 2 คน จึงตัดสินใจหันหลังกลับ พร้อมกับโทรศัพท์ติดต่อกับคณะที่เดินทางเข้าไปล่วงหน้า ซึ่งประกอบด้วย นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ และ นายวีระ สมความคิด ซึ่งได้รับแจ้งว่าถูกทหารกัมพูชาควบคุมตัวไป จากนั้นสัญญาณโทรศัพท์ก็ถูกตัด และไม่สามารถติดต่อได้อีก
หลังจากทราบว่า ทางคณะทั้ง 7 คนถูกจับกุมตัวไป ผู้ที่ไม่ถูกจับอีก 3 คน ซึ่งเป็นเลขาฯ ของนายพนิช ได้โทรศัพท์ ประสานหน่วยงานระดับสูงเพื่อขอความช่วยเหลือโดยด่วน และมีผู้บริหารระดับสูงทราบเรื่องแล้ว และได้แจ้งให้หน่วยงานในพื้นที่เร่งประสานกับผู้บริหารระดับสูงของประเทศกัมพูชา เพื่อขอปล่อยตัว 7 คนไทยโดยด่วน ล่าสุด ยังไม่รู้ชะตากรรมของทั้ง 7 คน
ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ของไทยนำโดย พลตรี วลิต โรจนภักดี ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ พร้อมด้วย พลตำรวจตรี ธีรยุท ธรรมสาโรจ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว เดินทางมายังพื้นที่ชายแดนเพื่อเจรจาต่อรอง โดยมี พันโท ดุกสวาท รอง ผบ.ป้องกันชายแดนที่ 503 ประเทศกัมพูชา ได้ต่อโทรศัพท์ ให้เจรจากับ พลโท บุญ เซง ผู้บัญชาการภูมิภาคทหารที่ 5 กัมพูชา ซึ่งได้รับคำตอบว่าได้รายงานให้นายพล ซก เพียบ ไปแล้วขณะนี้ต้องรอคำสั่งจากนายพล ซก เพียบ ว่า จะให้ดำเนินการอย่างไรต่อไป
สถานการณ์ล่าสุด เมื่อเวลา 17.40 น.ได้ยุติการเจรจาระหว่าง พลตรี วลิต และทางนายพล ซก เพียบ เพื่อขอตัวคนไทยทั้ง 7 คนกลับประเทศ ซึ่งผลปรากฏว่า การเจรจาล้มเหลว ทางทหารกัมพูชาไม่ยินยอมส่งตัวคนไทยกลับ
พลตรี วลิต กล่าวว่า คงต้องรอวันพรุ่งนี้ ว่า จะดำเนินการอย่างไรต่อไป พร้อมทั้งต้องรอฟังทางรัฐบาลว่าจะดำเนินอย่างไร ซึ่งอาจจะต้องเป็นการเจรจรกันระหว่าง 2 รัฐบาล หรือไม่อย่างไรคงต้องมีการหารือกันอีกครั้ง
พร้อมกันนี้ ทาง พลตรีวลิต ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.ณัฐ สิงห์อุดม ผู้กำกับการ ตชด.12 ให้มีการเข้มงวดในพื้นที่ที่ปัญหา โดยห้ามมีการเข้า-ออก นอกจุดผ่านแดนถาวรโดยเด็ดขาด ส่วนคนไทยทั้ง 7 คน ได้ถูกส่งตัวไปยังสถานีตำรวจภูธรบันเตียเมียนเจยแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ต่อมาสถานีโทรทัศน์ของกัมพูชา ได้มีการรายงานข่าวเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว โดยประกาศว่า จะดำเนินคดีกับคนไทยทั้ง 7 คนให้ถึงที่สุด และล่าสุด มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่กัมพูชาได้นำคนไทยทั้ง 7 คน ไปควบคุมตัวที่กรุงพนมเปญแล้ว
ตำรวจยัน "ต้องรอสอบสวนแพรวาก่อนตั้งข้อหา"
พล.ต.ต.ภาณุกล่าวว่า เหตุที่หลุดออกจากตัวรถตู้โดยสาร เพราะผู้โดยสารไม่ได้รัดเข็มขัดนิรภัยและกระเด็นออกมาตกลงจากทางด่วนที่มีความสูงถึง 20 เมตร ซึ่งตกลงมาโอกาสที่เสียชีวิตจึงมีสูง ส่วนในเรื่องมาตรการความปลอดภัยจากที่ผู้ขับขี่รถเก๋งคู่กรณีมีอายุเพียงแค่ 16 ปี ซึ่งแน่นอนว่ายังไม่สามารถมีใบขับขี่รถยนต์ได้ จึงต้องมาวิเคราะห์ว่าทำไมถึงขับรถยนต์ได้
“กรณีนี้จะมีคำถามตามมาว่าถ้าเป็นลูกของเรา แล้วเอารถยนต์ออกจากบ้านไปทั้งๆ ที่เรารู้ว่าไม่มีใบขับขี่จะต้องดำเนินการอย่างไร ซึ่งต้องหามูลเหตุอีกครั้ง พ่อแม่ผู้ปกครองอาจจะไม่รู้ก็ได้ แต่กรณีนี้ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นรถยนต์ของผู้ปกครองหรือไม่ หรือเป็นรถของเพื่อนที่ยืมมา ซึ่งหากเป็นรถของผู้ปกครองก็อาจจะเป็นการปล่อยปละละเลยไม่ห้ามปราม ซึ่งต้องพิสูจน์กันอีกครั้ง” พล.ต.ต.ภาณุกล่าว
รอง ผบช.น.กล่าวต่อว่า หากถามว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจป้องกันได้หรือไม่ เพราะคนขับรถยนต์ไม่มีใบขับขี่ จุดนี้ยอมรับว่าในยามค่ำคืนค่อนข้างยากในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ แต่ขอฝากกรณีดังกล่าวให้ผู้ปกครองเข้มงวดหากบุตรหลานยังไม่มีใบขับขี่ ต้องไม่อนุญาตให้นำรถออกมาใช้เด็ดขาด ไม่ว่าจะขับเก่งแค่ไหนก็ตาม เพราะเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ในทางของกฎหมายของเยาวชนนั้นต้องดูที่เจตนาความผิด เช่นกรณีนี้ไม่มีใบขับขี่ ก็เข้าข่ายความผิดไม่มีใบอนุญาต แต่หากมีความประมาทก็ต้องเข้าข่ายความผิดอีกอย่างหนึ่ง แต่กรณีนี้เป็นเยาวชน การแจ้งข้อหาก็ต้องรอให้ออกจากโรงพยาบาลก่อน และต้องให้ทนาย อัยการ นักจิตวิทยาเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมกันเพื่อสอบปากคำ
พล.ต.ต.ภาณุ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ยังต้องรอไปก่อน ส่วนจะประมาทหรือไม่ก็ต้องรอคำให้การจากพยานและหลักฐานอื่นๆ ประกอบแต่จากภาพในกล้องวงจรปิด ก็พบว่ารถเก๋งคันนี้ขับมาอย่างกระชั้นชิด ซึ่งตามกฎหมายก็ระบุให้เว้นช่องว่างเพื่อให้มีระยะเบรกที่พอเหมาะ แต่ที่แน่ๆ คือ มีความผิดที่ไม่มีใบอนุญาตขับขี่อย่างแน่นอน
มีรายงานว่า ในสังคมเฟซบุ๊ก และบีบี ต่างโพสต์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกันอย่างหลากหลาย โดยส่วนใหญ่ตำหนิผู้ขับขี่ที่วุฒิภาวะและการตัดสินใจยังน้อย รวมทั้งครอบครัวของผู้ขับขี่ที่ปล่อยให้เด็กสาววัยเพียง 16 ปี ออกมาขับรถจนเกิดอุบัติเหตุสยองขึ้น
นอกจากนี้ ความคิดเห็นในสังคมดังกล่าวยังตำหนิผู้ขับขี่ที่หลังจากเกิดเหตุแล้วได้ยืนอยู่ขอบถนนบนทางด่วนโทลล์เวย์ และหยิบโทรศัพท์มาออกกดข้อความส่ง ซึ่งข้อความดังกล่าวไปปรากฏเป็น status บนบีบีว่า “รถชน ไม่รู้มีคนตายกี่คนอ่ะ” โดยข้อความดังกล่าว สังคมในเฟซบุ๊กต่างแสดงความคิดเห็นไปในแนวทางเดียวกันว่าเป็นข้อความที่ไร้ความรับผิดชอบ
คลิปข่าวยืนยัน "อรชร เทพหัสดิน ณ อยุธยา" กลับบ้านไปแล้ว????
ประวัติ "ดร.ศาสตรา เช้าเที่ยง"
ดร.ศาสตรา เช้าเที่ยง อายุ 32 ปีอยู่บ้านเลขที่ 187 / 21 ถนนมนตรีสุริยะวงศ์ เขตเทศบาลเมือง อ.เมือง จ.ราชบุรี และเมื่อเวลา 16.00 น. ญาติของได้นำศพกลับมาตั้งบําเพ็ญกุศลที่ศาลาการเปรียญ วัดเกาะนัมทาปทวลัญธาราม อ.เมือง ท่ามกลางความเศร้าโศกของญาติพี่น้อง
นางถวิล เช้าเที่ยง อายุ 62 ปีมารดาของดร.ศาสตรา นั่งร้องไห้ด้วยความเสียใจตลอด หลังจากทราบข่าวว่าบุตรชายซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมเสียชีวิตขณะกำลังเดินทางกลับบ้านพักในกรุงเทพฯ
นางถวิล กล่าวว่าดร.ศาสตรา เป็นบุตรชายของลูกผู้พี่เมื่อพ่อแม่ของดร.ศาสตรา แยกทางกัน จึงได้ขอมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมและเลี้ยงดูส่งเสียให้เรียนหนังสือ ช่วงประถมเรียนที่โรงเรียนวัดมหาธาตุ และให้เรียน ม.ต้นที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศจังหวัดราชบุรี และด้วยผลการเรียนที่ดีจึงได้เข้าเรียนที่เตรียมอุดมศึกษา กรุงเทพฯ ช่วงวัยเด็กของดร.ศาสตรา นั้นเรียนเก่ง ขยัน รู้จักประหยัด จนสามารถสอบชิงทุนเล่าเรียน ไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ จากประเทศอังกฤษ จนจบปริญญาเอก จากนั้นกลับมาทํางานใช้ทุนที่สถานบันวิจัยจุฬาภรณ์ กรุงเทพมหานคร เมื่อ 3 ปีที่แล้ว
"เสียใจมากเนื่องจากมีบุตรชายที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรง และมีลูกชายคนเดียวที่อายุยังน้อยอยู่ แม้ว่าตัวเองมีอาชีพร้อยพวงมาลัยดอกไม้ ขายอยู่ที่ตลาดทรัพย์สินเขตเทศบาลเมืองราชบุรี แต่ก็ภูมิใจที่ลูกเป็นเด็กดีไม่ทำให้แม่ผิดหวัง และในช่วงที่เรียนนั้นจะบอกลูกเสมอว่าให้ใช้เงินประหยัดนะลูก แม่ร้อยพวงมาลัยเจ็บหลังมาก ลําบากมาก แม้ว่าจะมีเพื่อนหลายคนบอกว่าลูกเป็นดอกเตอร์แล้วให้เลิกขายดอกไม้ได้แล้ว ฉันบอกว่าลูกเพิ่งจะเดินทางกลับมาจึงไม่อยากจะไปรบกวน และหลังจากกลับมาอยู่เมืองไทยส่วนตัวก็ไม่เคยมาขอเงินแม่ใช้เลย มีแต่เขาก็ให้กินให้ใช้ตลอด "
นางถวิล ยังกล่าวทั้งน้ำตาอีกว่า จะตั้งศพบําเพ็ญกุศลไว้ 5 วันก่อนจะทําการฌาปนกิจศพในวันอาทิตย์ ที่ 2 มกราคม2554 ซึ่งถือว่าเป็นการสูญเสียลูกชายที่รักมากเพราะเพิ่งเรียนจบดอกเตอร์มายังไม่ได้ตั้งตัวเลย
"อยากจะบอกว่ารถที่รับผู้โดยสารนั้นต้องระวังให้มากกว่านี้ เพราะนอกจากจะทําให้คนในรถตายแล้ว ยังมีญาติพี่น้องของคนที่ตายต้องเสียใจอยู่ภายหลังด้วย อยากให้เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นบทเรียนของทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง "
สื่อกระหน่ำ "อรชร เทพหัสดิน ณ อยุธยา" เล่น บีบี จริงหรือ?!
และวินาทีต่อมา รถเก๋งซึ่งก็เสียหลักหมุนเช่นกัน ส่งผลให้ด้านข้างขวาของรถเก๋งกระแทกซ้ำเข้าไปที่ด้านซ้ายของรถตู้อย่างจัง ผลจากการชนซ้ำทำให้รถตู้กระแทกเข้าไปที่ขอบปูนอย่างรุนแรง จนด้านหน้าของรถตู้ฉีกขาด ทำให้ผู้โดยสารที่อยู่ภายในหลุดกระเด็นออกมาเสียชีวิตดังกล่าว โดยช่วงระยเวลาที่เกิดเหตุนั้น รวมเพียงแค่ 5-6 วินาทีเท่านั้น.
ซึ่งผู้ที่ขับรถเก๋งทำให้เกิดอุบัติเหตุดังกล่าว ทราบชื่อต่อมาในภายหลังว่าคือ “น.ส.อรชร เทพหัสดิน ณ อยุธยา” หรือ “แพรวา” เป็นน้องสาวต่างมารดาของดาราหนุ่ม “ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา” ซึ่งได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลที่ปากและข้อศอก ยังคงนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลวิภาวดี ซึ่งดาราหนุ่มคงอึ้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดขณะเดินทางไปเยี่ยมน้องสาวที่โรงพยาบาล ว่า รู้สึกเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต ส่วนอาการบาดเจ็บของ “แพรวา” ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว คาดเย็นนี้ย้ายโรงพยาบาล แต่ขออุบเป็นที่ไหน
“สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนอื่นต้องบอกว่ารู้สึกเสียใจกับผู้ที่เสียชีวิตด้วยนะครับ ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ผมเองก็รู้สึกตกใจเหมือนกัน เพราะมันเป็นอุบัติเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดอยู่แล้ว ซึ่งเหตุการณ์ในวันดังกล่าว ผมยังไม่ทราบรายละเอียดที่แน่ชัด เพราะว่ายังไม่ได้เจอน้องเลย เขาเป็นน้องสาวคนละแม่กับผมครับ ตอนนี้ทราบเพียงแต่ว่าคุณพ่อไปดูอาการน้องเบื้องต้นแล้ว ซึ่งอาการปลอดภัยแล้ว แต่คิดว่าจะต้องย้ายโรงพยาบาล ส่วนจะเป็นที่ไหนยังไงผมจะแจ้งให้พี่ๆ นักข่าวทราบอีกครั้ง”
“ส่วนเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นคงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่จะต้องไปตรวจสอบพยานเหตุการณ์อะไรต่างๆ ผมไม่ทราบรายละเอียดตรงนี้จริงๆ”
อย่างไรก็ตามภายหลังเกิดอุบัติเหตุ ชื่อของ “แพรวา หรือน.ส.อรชร” ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ และถูกพูดถึงอย่างมากในโลกไซเบอร์ ซึ่งส่วนใหญ่จะพยายามตามขุดคุ้ยประวัติของ "แพรวา" และแสดงความคิดเห็นไปในทางลบ โดยรุมจวกประณามการขับรถโดยประมาทในวัยเพียงแค่ 16 ปีของเธอ ซึ่งมีภาพจากกล้องวงจรปิดมายืนยันความผิด บางส่วนก็คาดเดาว่าการเป็นลูกหลานนามสกุลดังจะทำให้เธอหลุดพ้นจากคดีดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีการส่งฟอร์เวิร์ดข้อความประณาม “แพรวา” เรียกร้องความยุติธรรมให้กับเหยื่อที่เสียชีวิต ที่ส่งต่อๆ กันไปทั่วโลกไซเบอร์ รวมทั้งบรอดคาซท์ทางบีบีด้วย โดยเนื้อความระบุไว้ว่า
“ขอเรียกร้องความยุติธรรมให้นักศึกษาธรรมศาสตร์ ที่เสียชีวิตจากเด็กอายุ16ปี ที่ขับรถชนรถตู้จนพวกเค้าเสียชีวิตครับ ภาพจากล้องวงจรปิดบนทางด่วนโทลล์เวย์ช่วงก่อนเกิดเหตุ รถตู้วิ่งอยู่เลนกลางด้วยความเร็วประมาณ 80 กม./ชม. รถเก๋งซีวิค วิ่งตามหลังมาด้วยความเร็วสูง แล้วเกิดเปลี่ยนเลนไปทางขวากะทันหัน ทำให้ด้านหน้ารถเก๋งชนท้ายขวาของรถตู้อย่างแรง ทำให้รถตู้หมุนหัวรถหันไปทางด้านซ้าย”
“และวินาทีต่อมา รถเก๋งซึ่งก็เสียหลักหมุนเช่นกัน ส่งผลให้ด้านข้างขวาของรถเก๋งกระแทกซ้ำเข้าไปที่ด้านซ้ายของรถตู้อย่างจัง ผลจากการชนซ้ำทำให้รถตู้กระแทกเข้าไปที่ขอบปูนอย่างรุนแรง จนด้านหน้าของรถตู้ฉีกขาด ทำให้ผู้โดยสารที่อยู่ภายในหลุดกระเด็นออกมาเสียชีวิตดังกล่าว โดยช่วงระยเวลาที่เกิดเหตุนั้นรวมเพียงแค่ 5-6 วินาทีเท่านั้น”
“ผู้ที่ขับรถชนพวกเค้าเสียชีวิต ชื่อแพรวา หรืออรชร เทพหัสดิน ณ อยุธยา อายุ 16 ปี เกิดวันที่ 30 มิถุนายน 2537 และเป็นน้องสาวของพระเอกช่อง5 ชื่อ ณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา นาทีนี้รูปของแพรวาที่เคยถ่ายแบบไว้ในเว็บต่างๆ ถูกลบหมดสิ้น และมีความพยายามอย่างยิ่งที่จะปกปิดชื่อผู้กระทำผิดในสื่อต่างๆ ด้วยความเป็นนามสกุลดังและมีพ่อเป็นนายตำรวจใหญ่”
“รูปของแพรวาตอนนี้ถูกลบหมดแล้ว และให้ข่าวว่าพักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล มีเหลืออยู่รูปเดียวที่นักข่าวบังเอิญถ่ายได้หลังรถชน ซึ่งหล่อนลงมาพิมพ์บีบีและอัพสเตตัสเฟสบุ๊คอยู่หน้ารถตัวเองหลังชน ช่วยกันส่งต่อด้วยนะครับ ส่งกันจนกว่าสื่อมวลชนจะนำเสนอชื่อคนผิด และอย่าปล่อยให้ ความเป็นนามสกุลใหญ่โตและอำนาจของพ่อเค้า มาทำลายชีวิตเพื่อนเราไปฟรีๆนะครับ”
และส่วนที่เป็นข้อความที่พยายามขุดคุ้ยประวัติของ "แพรวา" ที่บ่งชี้ให้เห็นว่าเธอเป็นลูกหลานคนใหญ่คนโต
"คุณวรัญญู เทพหัสดิน ณ อดีต สส.ปทุม เขตสอง พรรคไทยรักไทย มีศักดิ์เป็นน้า เป็นผู้ยิ่งใหญ่ย่านนั้น ถ้าใครไม่รู้จักก็ยาวครับ ส่วนคุณกนก เทพหัสดินฯ เป็นเจ้าของนิคมฯนวนคร น่าจะเป็นลุง แค่สองคนนี้ก็ง้างไม่ไหวแล้ว"
กระแสในโลกไซเบอร์ที่พยายามขุดคุ้ยเรื่องราวของแพรวาดังกล่าว ทำให้มีกระแสข่าวว่า "ณัฎฐ์" เตรียมที่จะแถลงข่าวในเร็ววันนี้ เพราะเรื่องราวเริ่มบานปลายถึงชื่อเสียงวงศ์ตระกูล
โดยบรรยากาศที่ศาลาการเปรียญ วัดเกาะนัมทาปทวลัญธาราม อ.เมือง จ.ราชบุรี เต็มไปด้วยความโศกเศร้า มารดาของ ดร.ศาสตรา เช้าเที่ยง ร้องไห้ตลอดเวลา โดยมีญาติ เพื่อนร่วมงานเข้าร่วมพิธีศพ
นางถวิล เช้าเที่ยง มารดาวัย 62 ปี กล่าวทั้งน้ำตา ว่า บุตรชายเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเคมบริด ประเทศอังกฤษ และเริ่มกลับมาใช้ทุนที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ กรุงเทพมหานคร บุตรชายเป็นหัวเรี้ยวหัวแรงของครอบครัว สำหรับตนเองมีอาชีพร้อยพวงมาลัยขายอยู่ที่ราชบุรี เงินทั้งหมดที่ได้จากการขายพวงมาลัย ส่งให้บุตรชายเรียนหนังสือ และบอกอยู่เสมอว่าให้ใช้เงินอย่างประหยัด แม่ร้อยพวงมาลัยเจ็บหลังมาก เมื่อบุตรชายจบด็อกเตอร์ ลูกค้าที่มาซื้อพวงมาลัย ต่างชื่นชม และบอกว่า น่าจะเลิกขายดอกไม้แล้ว แต่ก็มาเสียบุตรชายไปอย่างกระทันหัน
วันอังคารที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ภาพล่าสุดทักษิณ แพร่สะพัด "เข้าเฝ้าฯเจ้าชาย"
ฉายารัฐบาลแห่งปี "รัฐบาลรอดฉุกเฉิน"
ตลอดปี 2553 รัฐบาลต้องเผชิญกับวิกฤตหลายด้าน ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตภัยธรรมชาติ วิกฤตการเมืองทั้งในและนอกสภา เกิดความขัดแย้งและแตกแยกอย่างรุนแรงในสังคม จนต้องประกาศใช้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ในหลายพื้นที่เพื่อควบคุมสถานการณ์ ยังไม่รวมวิกฤตสังคมอื่นๆ จนทุกฝ่ายมองว่ารัฐบาลไม่น่าจะบริหารราชการแผ่นดินต่อไปได้ แต่สุดท้ายรอดจากวิกฤตต่างๆ รวมทั้งรอดพ้นจากคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ ท่ามกลางข้อกังขาจากสังคม
ในภาวะที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจโลก วิกฤติความขัดแย้งทางสังคมทั้งระดับประเทศ ลงไปถึงระดับครอบครัว เปรียบเสมือนผู้ป่วยหนักที่ต้องการยารักษาโรคให้หายขาด บางปัญหาต้องทำการผ่าตัด-ปรับโครงสร้าง - เปลี่ยนอวัยวะ สังคมคาดหวังว่านายกฯ จะเข้ามาแก้ไขปัญหาและรักษาอาการของประเทศได้ แต่ผลการปฏิบัติหน้าที่ของนายกฯ ยังทำได้ผลเพียงการบรรเทาโรค เปรียบเสมือนการใช้ “ ซีม่าโลชั่น ” ทาแก้คันเท่านั้น
เป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในทุกเรื่อง เปรียบเหมือนทศกัณฑ์ที่มีหลายหน้า อาทิ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง แม่บ้านพรรคประชาธิปัตย์ ผู้จัดการรัฐบาล บิดาของนายแทน เทือกสุบรรณ ที่ถูกโจมตีเรื่องการครอบครองที่ดินเขาแพง เกาะสมุย จ. สุราษฎร์ธานี ทำให้ต้องเผชิญศึกหนักจากรอบด้าน ทั้งศึกที่จบไปแล้ว และศึกที่ยังดำรงอยู่ แต่ด้วยความมีประสบการณ์การเมืองสูง รอบจัด จึงเอาตัวรอดจากศึกรอบด้านมาได้ ขนาดหลุดจากเก้าอี้ส.ส. เพราะถือหุ้นต้องห้าม ตามด้วยการไขก๊อกจากเก้าอี้รองนายกฯ ลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อม สุดท้ายก็ฟื้นชีพการเมืองครบทุกตำแหน่ง เปรียบเสมือนทศกัณฑ์ที่ถอดกล่องดวงใจได้ ไม่มีวันสิ้นชีพ
ผลงานในตำแหน่งรองนายกฯ ไม่เป็นที่ประจักษ์-เป็นรูปธรรม แต่บทบาทที่เด่นชัดคือการเดินสายเจรจาสร้างความปรองดองกับทุกพรรคการเมืองทั้งฝ่ายค้าน-รัฐบาล และกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองทุกสี รวมทั้งการเจรจากับพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จนถูกวิจารณ์ว่าอยากเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ผลการเจรจาก็ไม่สำเร็จ เปรียบเหมือนการใช้ลิ้นจระเข้ที่ไม่มีต่อมรับรส กินอะไรก็ไม่รู้รสชาติ การเจรจาของชาละวัน-สนั่น จึงไม่มีการตอบรับจากทุกฝ่าย
แม้จะพ้นจากการกำกับดูแลสื่อในช่วงครึ่งปีหลัง แต่บทบาทที่เด่นชัดคือการสั่งการสื่อสำนักต่างๆ ของรัฐ โดยเฉพาะในช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมือง มักโทรศัพท์สายตรงไปถึงกองบรรณาธิการ-สถานีโทรทัศน์ เพื่อชี้นำและกำหนดทิศทางในการนำเสนอประเด็นข่าว ทำให้บางสื่อเกิดความอึดอัด แต่ต้องทำตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกครั้งที่เสียงโทรศัพท์ของสื่อดังขึ้น มีชื่อผู้โทร. เข้าเป็นรมต.สาทิตย์ จะทำให้ทุกสื่อรู้สึกสยองขวัญกับคำสั่งที่สิงสู่ส่งมาตามสาย
ในฐานะรมว. คลังจำเป็นต้องมีภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ การแสดงบทบาทต่อสาธารณะทุกครั้ง เท่ากับเป็นการส่งสัญญาณต่อความเชื่อมั่นเรื่องภาวะเศรษฐกิจ และเป็นท่าทีทางนโยบายของรัฐบาล แต่สำหรับนายกรณ์กลับแสดงออกไม่สมบทบาทขุนคลัง ในหลายกรณี อาทิ การเปิดผับเชียร์ฟุตบอลโลก การแสดงบทพ.ต. ประจักษ์ มหศักดิ์ คู่กับแอฟ ทักษอร ในละครวนิดา ภาคปลดหนี้ จนถูกวิจารณ์ว่ามีพฤติกรรมที่เน้นสร้างความบันเทิง-เฮฮา มากว่าบทบาทรมว.คลัง
เป็นนักการเมืองรุ่นเก่าที่ได้เข้ามาร่วมรัฐบาลชนิดที่หลายฝ่ายคาดไม่ถึง เมื่อนำส.ส. พรรคมาตุภูมิเพียง 3 เสียงมาร่วมรัฐบาล หลังพรรคประชาธิปัตย์ขับพรรคเพื่อแผ่นดินออกจากรัฐบาล แม้งานที่ทำจะเงียบเชียบ ไม่มีผลงานชัดเจน แต่ก็ยังชักใย-เกาะติดอยู่กับฝ่ายรัฐบาลได้ทุกยุค เปรียบเหมือน “ หยากไย่ ” ที่เกาะอยู่ในบ้านเรือน ที่ไม่มีประโยชน์ รอวันถูกปัด-กวาดทิ้ง
ถูกวิจารณ์จากทั้งคนในและนอกกระทรวงมหาดไทยว่าเป็นยุคตกต่ำที่สุดของกระทรวงนักปกครอง ที่ถูกเรียกขานตามสัญลักษณ์ “ สิงห์ ” โดยปรากฏข่าวไม่ชอบมาพากลสารพัดโครงการ มีการแต่งตั้งโยกย้ายที่ถูกร้องเรียนว่าไม่เป็นธรรมมากที่สุด ทำลายสถิติเรื่องการมีว่าที่ปลัดกระทรวงมากที่สุด จนนักปกครองทุกสีทั้ง สิงห์ดำ-สิงห์แดง-สิงห์ขาวออกมาโอดครวญ เพราะถูก “ เสือ ” เจ้ากระทรวงขย้ำจนไม่เหลือความเป็น “ สิงห์ ” ขณะที่เสือ-คนรอบตัว รมว.กลับอิ่มหมีพีมันเสพสุข
ชื่อเล่นคือ “ บิ๊กป้อม ” เป็นพี่ใหญ่ของนายพลทุกเหล่าทัพ แม้คนภายนอกมองว่าบทบาทของเขาไม่โดดเด่น แต่ในความเป็นจริงเขากลับสร้างผลงานได้ทะลุเป้าในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการกุมอำนาจในฝ่ายความมั่นคง การปฏิบัติการกระชับพื้นที่ชุมนุมย่านราชประสงค์ การขออนุมัติใช้งบของกองทัพทั้งงบลับ-งบแจ้งที่ถูกครหาว่าสูงเป็นประวัติการณ์ การได้รับอนุมัติจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากรัฐบาลทุกรูปแบบ ทุกเงื่อนไข ทำให้เป็นปีที่ “ ป้อมทะลุทุกเป้า ”
เป็นคนหนุ่มไฟแรงที่นายกฯ ตั้งความหวังเอาไว้มากว่าจะเข้ามาพัฒนาระบบไอทีของประเทศ แต่ทั้งนายกฯ และคนไทยกลับต้องผิดหวังแทบทุกเรื่อง เพราะทั้งระบบ 3 จี บัตรประชาชนอเนกประสงค์ (สมาร์ทการ์ด) ทุกโครงการยังไม่สำเร็จ ทั้งที่พยายามสตาร์ทมาทั้งปี แต่ยังไม่ติด เหมือนรถที่หัวเทียนบอด แต่รูปธรรมการทำงานกลับเป็นการไล่บี้-สั่งแบนเครือข่ายพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้แบนติดดิน โดยเฉพาะการมุ่งแต่สะสางสัญญาสัมปทานของค่ายชินคอร์ป.
เป็นอดีตแอร์โฮสเตสที่ผันตัวมาเล่นการเมือง ก่อนรับบทแม่ค้าในฐานะรมว. พาณิชย์ ต้องค้า-ขายบริหารสินค้าเกษตร และระบายสต็อกสินค้าเกษตรทั้งหมด แต่ทุกครั้งที่มีการเปิดประมูลสินค้าเกษตร มักมีปัญหาส่อความไม่ชอบมาพากล จนถูกสำนักงานคณะกรรมการป้องกนและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตั้งอนุกรรมการสอบสวน เมื่อตรวจพบสินค้าเกษตรบางรายการเป็นเพียงสต๊อคลม และสินค้ามีที่มาที่ไปไม่โปร่งใส ขณะเดียวกันยังเกิดปัญหาสินค้าราคาแพง ทำให้สบช่องจัดรายการ “ ธงฟ้าราคาประหยัด ” อยู่ตลอดทั้งปี
วาทะแห่งปี 2553 : ถ้าเลือกตั้งแล้วนองเลือด แล้วผมชนะ ผมไม่เอาหรอก ”
เป็นคำให้สัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2553 ที่โรงแรมเซนทาราแกรนด์
อนึ่ง ที่ประชุมสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล ได้ตัดสิทธิสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ในการเข้าร่วมประชุมและเผยแพร่ฉายารัฐบาล เนื่องจากในปี 2552 ได้มีการเผยแพร่ข้อมูลฉายารัฐบาลประจำปี 2552 พร้อมเบื้องหลัง ก่อนวันเวลาที่กำหนด