วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

"เนชั่น" ยอมถอย แนะ "ม็อบปชป." กลับบ้าน


วันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 (go6TV) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2556 เวลา 01:00 เว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ได้เผยแพร่บทความ ระวังกระแสตีกลับ ถอยเถิดครับ ปชป. ซึ่งเขียนโดย นายปกรณ์ พึ่งเนตร โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้

ถ้าพรรคประชาธิปัตย์เห็นแก่บ้านเมืองจริง และต้องการให้สังคมเปลี่ยนผ่านการเมืองแบบไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ

หรือทิ้งบาดแผลแห่งความขัดแย้งบาดลึกจนยากเยียวยา พรรคประชาธิปัตย์สมควรถอย และกลับไปทำหน้าที่ของตนเองในสภา เพื่อป้องกันการเผชิญหน้าของมวลชนฝั่งหนุนกับฝั่งต้านรัฐบาล

เพราะภารกิจการขัดขวางร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ"ฉบับสุดซอย"ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว แม้ร่างกฎหมายยังไม่ตายสนิท แต่ควรปล่อยให้พลังประชาชนผู้บริสุทธิ์เขาว่ากันต่อ

พรรคประชาธิปัตย์ไม่ควรฉวยจังหวะนี้ ปลุกระดมมวลชนให้ลุกฮือขึ้น เพื่อหวังเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในวิถีทางที่ไม่ใช่การเข้าคูหากาบัตรเลือกตั้ง หรือกดดันรัฐบาลจนไม่มีทางถอย กระทั่งต้องปลุกมวลชน"คนเสื้อแดง"ผู้สนับสนุนขึ้นมาเผชิญหน้า ทำให้สถานการณ์บานปลายเกินควบคุม

แน่นอนว่าหากพรรคประชาธิปัตย์เดินหน้ากดดันด้วยวิธีการต่างๆ ไปเรื่อยๆ รัฐบาลอาจอยู่ไม่ได้ จะด้วยเหตุผลที่ทหารออกมาเอ็กเซอร์ไซส์ หรือศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดีสำคัญ หรือมีม็อบชนม็อบก็ตาม แต่สุดท้ายความเกลียดชังในหัวใจของคนไทยด้วยกันไม่ได้หมดไปด้วย ประชาชนจะยังคงแบ่งเป็น 2 ขั้ว 2 ฝ่าย ทีเอ็งทำข้าพ่าย ถึงทีข้าบ้างต้องเอาให้ตาย...อะไรประมาณนั้น เพราะการเปลี่ยนผ่านมันไม่ใช่กระบวนการที่ทุกคนต้องยอมรับ มันเป็นแค่เกมการเมืองโค่นล้มกัน

เมื่อรัฐบาลแสดงเจตนา"ถอยสุดซอย"แล้ว ก็ควรดึงความขัดแย้งกลับไปในสภาแล้วพูดจากัน ตรวจสอบกันไปตามระบบ จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ลากไส้ทุจริตจำนำข้าวก็ว่ากันไป โดยมีพลังมวลชนที่ตื่นรู้และรู้เช่นเห็นชาติกับพฤติกรรมของรัฐบาลชุดปัจจุบันแล้วเป็นแรงสนับสนุนอยู่ข้างนอก บทจบก็ไปวัดกันที่สนามเลือกตั้ง นั่นคือการเปลี่ยนผ่านที่ถูกต้อง สง่างาม ฝ่ายแพ้ก็จะยอมรับ ไม่พยายามก่อเงื่อนไขกลับมาอีก

มีสุ้มเสียงจากคน ปชป.ว่า ถึงเลือกตั้งวันนี้ก็แพ้อีก ซึ่งก็คงไม่ผิด แต่สิ่งที่อยากจะบอกคือ พรรคประชาธิปัตย์จะแพ้อีกเพียงแค่ครั้งเดียว หรืออย่างมากไม่เกิน 2 ครั้ง จากที่เคยมีนักรัฐศาสตร์คาดการณ์ว่าผลการเลือกตั้งจะไม่เปลี่ยน (คือพรรคฝ่ายทักษิณจะชนะอย่างท่วมท้น) อีกอย่างน้อย 4-5 ครั้ง หรือ 20 ปี และในการเลือกตั้งครั้งหน้านี้ ถ้าสถานภาพของรัฐบาลยังเป็นแบบนี้ ถึงจะชนะกลับมา ก็ไม่น่าจะท่วมท้นแบบเดิม และน่าจะรักษาอำนาจอยู่ได้อีกไม่นาน

กระบวนการให้ข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดีย เปิดเวทีสื่อสารโดยตรงกับคนในท้องถิ่นต่างๆ ทั่วประเทศ แล้วเสนอนโยบายที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้และดีกว่าพรรคเพื่อไทย คือภารกิจใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มที่ไม่เอารัฐบาลชุดนี้ต้องช่วยกันสร้าง ช่วยกันทำ เพื่อให้ความห่างของคะแนนจากคูหาเลือกตั้งระหว่าง 2 พรรคใหญ่ลดน้อยลงที่สุด แล้วการเมืองก็จะพลิกขั้วของมันไปได้เอง

จะอภิปรายซักฟอกทุจริตจำนำข้าว แล้วหาเสียงสู้ว่า"ชาวนาได้เท่าเก่า แต่ไม่เอาการโกง"อย่างนี้ก็ไม่มีใครว่า และไม่เกิดคำถามเชิงชนชั้นว่า"คนชนบทตั้งรัฐบาล คนกรุงเทพฯล้มรัฐบาล"อีกต่อไป

หากประชาธิปัตย์ยังหลงกับกระแส ระวัง"ม็อบไพร่"จากความหมั่นไส้ของคนเสื้อแดงจะกลับมาล้อมเมือง แล้ววันนั้นจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่มีใครรู้

อย่าลืมว่าปรากฏการณ์เสื้อแดงที่แผ่กว้างและขยายวงไปทั่วประเทศเมื่อหลายปีก่อน เหตุผลที่มีน้ำหนักไม่น้อยคือ "หมั่นไส้เสื้อเหลือง" เพราะทำอะไรไม่เคยผิด รัฐบาลที่ชนะเลือกตั้งมาไม่มีสิทธิ์แม้เข้าทำเนียบรัฐบาล ฯลฯ

วันนี้หลายคน หลายกลุ่ม ตื่นรู้แล้ว อย่าให้อารมณ์หมั่นไส้ย้อนกลับมาทำลายบ้านเมืองอีกเลย...

และผู้ที่เริ่มต้นได้คือประชาธิปัตย์ ควรฉวยจังหวะนี้เร่งปฏิรูปพรรค ทำสัญญาประชาคมกับกลุ่มต่างๆ เพื่อปฏิรูปประเทศไปในทิศทางที่ถูกที่ควร เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดให้กับประชาชน ก้าวข้ามความเป็นนักการเมืองที่มองแต่ผลเลือกตั้ง ไปสู่การเป็น"รัฐบุรุษ"หรือ state man กันดีกว่าไหม...

ถ้าทำไม่ได้ ก็นับถอยหลังกันได้เลย!


อ้างอิงจาก http://www.bangkokbiznews.com/

ไม่มีความคิดเห็น: