วันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 (go6TV) – ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่
12 พฤศจิกายน 2556 เวลา 01:00 เว็บไซต์ กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ได้เผยแพร่บทความ
“ระวังกระแสตีกลับ ถอยเถิดครับ ปชป.” ซึ่งเขียนโดย นายปกรณ์ พึ่งเนตร โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้
ถ้าพรรคประชาธิปัตย์เห็นแก่บ้านเมืองจริง
และต้องการให้สังคมเปลี่ยนผ่านการเมืองแบบไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ
หรือทิ้งบาดแผลแห่งความขัดแย้งบาดลึกจนยากเยียวยา
พรรคประชาธิปัตย์สมควรถอย และกลับไปทำหน้าที่ของตนเองในสภา
เพื่อป้องกันการเผชิญหน้าของมวลชนฝั่งหนุนกับฝั่งต้านรัฐบาล
เพราะภารกิจการขัดขวางร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ"ฉบับสุดซอย"ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว
แม้ร่างกฎหมายยังไม่ตายสนิท แต่ควรปล่อยให้พลังประชาชนผู้บริสุทธิ์เขาว่ากันต่อ
พรรคประชาธิปัตย์ไม่ควรฉวยจังหวะนี้
ปลุกระดมมวลชนให้ลุกฮือขึ้น
เพื่อหวังเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในวิถีทางที่ไม่ใช่การเข้าคูหากาบัตรเลือกตั้ง
หรือกดดันรัฐบาลจนไม่มีทางถอย กระทั่งต้องปลุกมวลชน"คนเสื้อแดง"ผู้สนับสนุนขึ้นมาเผชิญหน้า
ทำให้สถานการณ์บานปลายเกินควบคุม
แน่นอนว่าหากพรรคประชาธิปัตย์เดินหน้ากดดันด้วยวิธีการต่างๆ
ไปเรื่อยๆ รัฐบาลอาจอยู่ไม่ได้ จะด้วยเหตุผลที่ทหารออกมาเอ็กเซอร์ไซส์
หรือศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดีสำคัญ หรือมีม็อบชนม็อบก็ตาม
แต่สุดท้ายความเกลียดชังในหัวใจของคนไทยด้วยกันไม่ได้หมดไปด้วย
ประชาชนจะยังคงแบ่งเป็น 2 ขั้ว 2 ฝ่าย ทีเอ็งทำข้าพ่าย
ถึงทีข้าบ้างต้องเอาให้ตาย...อะไรประมาณนั้น
เพราะการเปลี่ยนผ่านมันไม่ใช่กระบวนการที่ทุกคนต้องยอมรับ
มันเป็นแค่เกมการเมืองโค่นล้มกัน
เมื่อรัฐบาลแสดงเจตนา"ถอยสุดซอย"แล้ว
ก็ควรดึงความขัดแย้งกลับไปในสภาแล้วพูดจากัน ตรวจสอบกันไปตามระบบ
จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ลากไส้ทุจริตจำนำข้าวก็ว่ากันไป
โดยมีพลังมวลชนที่ตื่นรู้และรู้เช่นเห็นชาติกับพฤติกรรมของรัฐบาลชุดปัจจุบันแล้วเป็นแรงสนับสนุนอยู่ข้างนอก
บทจบก็ไปวัดกันที่สนามเลือกตั้ง นั่นคือการเปลี่ยนผ่านที่ถูกต้อง สง่างาม
ฝ่ายแพ้ก็จะยอมรับ ไม่พยายามก่อเงื่อนไขกลับมาอีก
มีสุ้มเสียงจากคน ปชป.ว่า
ถึงเลือกตั้งวันนี้ก็แพ้อีก ซึ่งก็คงไม่ผิด แต่สิ่งที่อยากจะบอกคือ
พรรคประชาธิปัตย์จะแพ้อีกเพียงแค่ครั้งเดียว หรืออย่างมากไม่เกิน 2 ครั้ง
จากที่เคยมีนักรัฐศาสตร์คาดการณ์ว่าผลการเลือกตั้งจะไม่เปลี่ยน
(คือพรรคฝ่ายทักษิณจะชนะอย่างท่วมท้น) อีกอย่างน้อย 4-5 ครั้ง หรือ 20 ปี
และในการเลือกตั้งครั้งหน้านี้ ถ้าสถานภาพของรัฐบาลยังเป็นแบบนี้ ถึงจะชนะกลับมา
ก็ไม่น่าจะท่วมท้นแบบเดิม และน่าจะรักษาอำนาจอยู่ได้อีกไม่นาน
กระบวนการให้ข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดีย
เปิดเวทีสื่อสารโดยตรงกับคนในท้องถิ่นต่างๆ ทั่วประเทศ
แล้วเสนอนโยบายที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้และดีกว่าพรรคเพื่อไทย
คือภารกิจใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มที่ไม่เอารัฐบาลชุดนี้ต้องช่วยกันสร้าง
ช่วยกันทำ เพื่อให้ความห่างของคะแนนจากคูหาเลือกตั้งระหว่าง 2
พรรคใหญ่ลดน้อยลงที่สุด แล้วการเมืองก็จะพลิกขั้วของมันไปได้เอง
จะอภิปรายซักฟอกทุจริตจำนำข้าว
แล้วหาเสียงสู้ว่า"ชาวนาได้เท่าเก่า แต่ไม่เอาการโกง"อย่างนี้ก็ไม่มีใครว่า
และไม่เกิดคำถามเชิงชนชั้นว่า"คนชนบทตั้งรัฐบาล คนกรุงเทพฯล้มรัฐบาล"อีกต่อไป
หากประชาธิปัตย์ยังหลงกับกระแส ระวัง"ม็อบไพร่"จากความหมั่นไส้ของคนเสื้อแดงจะกลับมาล้อมเมือง
แล้ววันนั้นจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่มีใครรู้
อย่าลืมว่าปรากฏการณ์เสื้อแดงที่แผ่กว้างและขยายวงไปทั่วประเทศเมื่อหลายปีก่อน
เหตุผลที่มีน้ำหนักไม่น้อยคือ "หมั่นไส้เสื้อเหลือง"
เพราะทำอะไรไม่เคยผิด รัฐบาลที่ชนะเลือกตั้งมาไม่มีสิทธิ์แม้เข้าทำเนียบรัฐบาล ฯลฯ
วันนี้หลายคน หลายกลุ่ม ตื่นรู้แล้ว
อย่าให้อารมณ์หมั่นไส้ย้อนกลับมาทำลายบ้านเมืองอีกเลย...
และผู้ที่เริ่มต้นได้คือประชาธิปัตย์
ควรฉวยจังหวะนี้เร่งปฏิรูปพรรค ทำสัญญาประชาคมกับกลุ่มต่างๆ
เพื่อปฏิรูปประเทศไปในทิศทางที่ถูกที่ควร เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดให้กับประชาชน
ก้าวข้ามความเป็นนักการเมืองที่มองแต่ผลเลือกตั้ง ไปสู่การเป็น"รัฐบุรุษ"หรือ
state man กันดีกว่าไหม...
ถ้าทำไม่ได้ ก็นับถอยหลังกันได้เลย!
อ้างอิงจาก http://www.bangkokbiznews.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น